New Release : Love Before Sunset รักในฝันก่อนตะวันลับฟ้า

อัพเดทข่าวบงกชบุ๊คส์ ความเคลื่อนไหว และกิจกรรมพิเศษ ตลอดจนร่วมสนุกชิงรางวัลพร้อมของรางวัลมากมาย

Moderator: P'Bly, Gals, พี่บี

ตอบกลับโพส
Gals
โพสต์: 1072
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 13 ก.พ. 2009 3:47 pm

New Release : Love Before Sunset รักในฝันก่อนตะวันลับฟ้า

โพสต์ โดย Gals »

เรื่องย่อ
ความเคร่งเครียดจากงานที่มีมากเกินไปเป็นเหตุให้แฟนสาวของจางซื่อหลิงแนะนำให้เขาลาพักร้อน เขาจึงเดินทางไปที่เกาะไหหลำ แต่เมื่อไปถึงเขากลับโชคร้ายโดนหลอกจากสูญเงิน อีกทั้งยังเกือบจมน้ำทะเล ดีว่าหนีเข่ออี้มาช่วยชีวิตของเขาไว้และชวนให้ไปพักที่บ้านแสงตะวัน ซื่อหลิงจึงได้รู้จักกับสภาพแวดล้อมใหม่ๆ และปรับตัวจนคุ้นเคยกับที่นั่นและไม่อยากจะกลับไปอยู่ในสังคมเดิมๆ เช่นเดียวกับหัวใจที่เคยมีใครจับจองเอาไว้ กำลังแปรเปลี่ยนไปหาอีกคน








บทนำ





?เฮ้อ คิดถึงช่วงเรียนหนังสือจังเลยน้า?


เจ้าของเสียงใสที่เปรยขึ้นคือสาวสวยในชุดสีดำเรียบหรู เส้นผมสีน้ำตาลอ่อนเข้ากับริมฝีปากสีชมพูหวานของเธอ คนที่กำลังขับรถอยู่นั้นคือชายคนรักที่คบหากันมานาน ทั้งคู่ต่างก็ต้องทำงานหนัก เมื่อมีเวลาว่างระหว่างเดินทางไปพรีเซนต์งานเธอจึงชวนคุยบ้าง แม้จะกังวลเกี่ยวกับหัวคิ้วขมวดมุ่นของอีกฝ่ายเล็กน้อย


จางซื่อหลิงก็เป็นแบบนี้ ภายใต้ท่าทีสุขุมซ่อนความคิดไว้หลากหลาย แม้ภายนอกซื่อหลิงจะเป็นผู้ชายเพียบพร้อมทั้งหน้าตาและฐานะ ใบหน้าของเขาเรียวสวย โดดเด่นด้วยจมูกโด่งรั้น ดวงตาเรียวคม และคิ้วเข้มซึ่งพาดสวยได้รูป ไหนจะรูปร่างสูงสมส่วนกับผิวค่อนข้างขาวนั่นอีก


ทำไมจึงมักจะทำหน้าเศร้าๆ ก็ไม่รู้


?วันหยุดก็เป็นวันว่างๆ สบายๆ ไม่เหมือนตอนนี้ ชีวิตมีแต่งานกับงาน?


?แต่เหมือนผมจะชินแล้ว ไม่รู้สึกอะไรเลย? เจ้าของใบหน้าหล่อคมเอ่ยเสียงนิ่งๆ ?แล้วก็ไม่สนด้วยว่ามีวันหยุดหรือเปล่า เราต่างก็ทำแต่งาน ไม่แตกต่างกันหรอก?


?จริงอย่างที่คุณพูด มิน่า จื่อหลิงถึงได้ชมคุณบ่อยๆ เห็นทีต้องเรียนรู้จากคุณอีกเยอะ เอ๊ะ ดูนั่นสิ? ระหว่างที่รถชะลอตัวลงเพราะไฟแดง โจวลี่ถงก็ชี้ไปที่โทรทัศน์ขนาดยักษ์บนตึกสูง ซึ่งปรากฏภาพของนักร้องสาวชื่อดังที่ทั้งคู่กำลังพูดถึง ซื่อหลิงยิ้มบางๆ


?ญาติคุณนี่ใช่ย่อยเลยนะ?


?อืม...? รับคำเสร็จจึงเงียบไป และเพราะความเงียบนั่นเองที่ก่อให้เกิดความอึดอัดระหว่างทั้งคู่ ลี่ถงยื่นหน้าเข้าไปใกล้ๆ ซื่อหลิง ?ทำไมเหรอ ทำไมดูเศร้าจังล่ะ เครียดเหรอ?


?ไม่ใช่หรอก จะพูดยังไงดีล่ะ...ผมรักงานนี้นะ แต่ไม่ชอบลูกค้าที่ไม่เคารพต่อวิชาชีพ?


?อย่าเป็นแบบนี้สิ นานๆ ได้คุยเล่นกันทีก็ยิ้มหน่อย? เธอเย้า ขณะที่รถยนต์เคลื่อนตัวออกไปเมื่อสัญญาณไฟเปลี่ยนเป็นสีเขียว ทว่าไม่นานเธอก็ต้องร้องอุทาน ?ว้าย!?


?ระวัง!?


จู่ๆ ก็มีชายหนุ่มผมยาวในชุดสูทสีขาววิ่งตัดหน้ารถ เพียงเสี้ยววินาทีก่อนที่รถยนต์คันสีดำของซื่อหลิงจะชนเข้าที่เอวของชายคนนั้น ชายหนุ่มก็หักพวงมาลัยหลบได้เสียก่อน แต่ก็ทำให้อีกฝ่ายเสียหลักล้มลง กระเป๋าเอกสารกระเด็นไปอีกทาง ฝ่ายซื่อหลิงก็รีบเปิดประตูลงมาเพื่อดูอาการของชายชุดขาวจนไม่ทันได้ระวัง ทำให้กระเป๋าเอกสารของเขาร่วงลงบนพื้นเช่นกัน


?เป็นอะไรไหม? ซื่อหลิงเดินเข้าไปช่วยประคองคนเจ็บให้ลุกขึ้น เมื่อได้เห็นหน้าใกล้ๆ จึงรู้ว่าอีกฝ่ายมีแววเจ้าชู้ไม่ใช่เล่น กลิ่นน้ำหอมโชยฟุ้ง หนำซ้ำยังนาฬิกาและแหวนก็เต็มตัวไปหมด ใบหน้าค่อนข้างดูดี แม้ไม่สะดุดตามากแต่ก็ยิ้มได้มีเสน่ห์ทีเดียว ตรงนี้เป็นหน้าตึกบริษัทของเขาแท้ๆ ดันมาเกิดอุบัติเหตุเสียได้


?อะ เอ่อ...ไม่เป็นไรครับ?


?ไม่เป็นไรจริงๆ นะ?


?ผมไม่เป็นอะไรจริงๆ? ว่าแล้วก็หมุนแขนให้ดูด้วย ?สบายใจได้!?


ลี่ถงที่เพิ่งเดินตามลงมาตรงเข้าไปหาซื่อหลิง ?เขาโอเคนะ??


?ก็...?


?เฮ้ย!?


ยังไม่ทันได้ตอบอะไร เสียงโวยวายพลันดังมาจากทางถนนอีกด้านเสียก่อน ทั้งสามคนหันไปมองอย่างงงงวย แล้วก็เป็นหนุ่มชุดขาวที่อ้าปากค้างเมื่อเห็นคนกลุ่มหนึ่งกำลังวิ่งมา


?ไอ้บ้านี่! กล้าโกหกนายหญิงของเราเหรอ!?


โดยไม่รอให้ใครซักถาม ชายหนุ่มที่เกือบโดนรถชนคว้าเอากระเป๋าเอกสารที่ร่วงอยู่กับพื้นแล้ววิ่งหายไปในตัวตึกอย่างรวดเร็ว ชายฉกรรจ์ที่บ้างก็สักตามตัว บ้างก็โกนหัวล้านเลี่ยนก็ใช่ว่าจะยอมปล่อย ทั้งหมดต่างวิ่งกรูตามร่างนั้นไปพลางตะโกนเสียงดัง


?หลี่ฮั่น! อย่าหนีนะ อย่าหนีโว้ย!!!?


จางซื่อหลิงมองตามอย่างเหนื่อยใจ และแม้จะรู้ว่าไม่ใช่เรื่องของตน เขาก็ยังหยิบโทรศัพท์ออกมาเพื่อโทรเรียกตำรวจ จากนั้นจึงเดินกลับไปขึ้นรถ ทว่าเมื่อเดินไปถึงเขาก็พบว่าตนรีบร้อนจนกระเป๋าเอกสารร่วงอยู่ที่พื้น ชายหนุ่มยกมันขึ้นมาปัดๆ เล็กน้อยแล้วจึงเข้าไปนั่งในรถและเลี้ยวรถเข้าสู่ตัวตึก เขาวนรถไปได้สองสามชั้นจึงจอดรถ ซึ่งทันทีที่ก้าวลงบนพื้นเขาก็ได้ยินเสียงโวยวายที่คุ้นหูอีกครั้ง


โจวลี่ถงขมวดคิ้วขณะที่ช่วยรับของซึ่งต้องใช้ในการพรีเซนต์งานมาจากซื่อหลิง ทั้งคู่เดินมาทางด้านหน้ารถเพื่อมองเหตุการณ์ ใบหน้.ียมที่ตะโกนแต่ ?หลี่ฮั่น? บ้าง ?ไอ้บ้า? บ้าง ไม่ผิดแน่ว่าคือเจ้านักเลงที่ไล่ตามหนุ่มชุดขาว ทีแรกซื่อหลิงคิดจะกลับเข้าไปในรถ แต่เพราะเจ้าพวกนั้นถูกตำรวจวิ่งมารวบตัวไว้ได้ก่อนพวกเขาจึงยืนอยู่นิ่งๆ แล้วก็ถอนหายใจ


?อะไรของเจ้าพวกนั้นนะ? ลี่ถงส่ายหน้าเบาๆ ?ไม่รู้จะตีกันทำไม?


?ลี่ถง ให้ช่วยถือไหม?


?ไม่ต้องหรอก ไม่ได้หนักอะไร โอ๊ะ...ประธานหลิว?


หญิงวัยสี่สิบปลายๆ ที่กำลังเดินมาหยุดชะงัก เธออยู่ในชุดกี่เพ้าสีขาวปักลายสีแดงสวย เส้นผมถูกรวบตึงเผยให้เห็นต่างหูทองบ่งบอกถึงความมีฐานะ หล่อนเยื้องย่างเข้ามาด้วยท่าทีภูมิฐาน


?ลี่ถง ไม่เจอกันนานนะ?


?นี่คนรักของฉันค่ะ? เจ้าของชื่อผายมือไปยังชายหนุ่มร่างสูงข้างๆ ตน ?เขาเป็นผู้จัดการแผนกออกแบบชื่อจางซื่อหลิงค่ะ?


?สวัสดีครับ?


?สวัสดีจ้ะ? หล่อนรับคำ ?ผู้จัดการฝ่ายธุรการกับผู้จัดการฝ่ายออกแบบ ช่างเป็นคู่ที่เหมาะสมกันจริงๆ เลยนะ นี่ ลี่ถง? เธอยิ้มให้ซื่อหลิงแล้วจึงหันไปพูดกับอีกคน ?งานโฆษณาประกันภัยของบริษัทฉัน จำไว้นะ จะต้องมากับพ่อรูปหล่อคนนี้ด้วยล่ะ?


ลี่ถงยิ้มรับบางๆ ?แน่นอนค่ะ?


?เอ้อ พอดีฉันมีธุระต้องทำนิดหน่อย ฉันลาก่อนนะ?


?ค่ะ?


?ลาก่อนครับ? ซื่อหลิงก้มหัวเล็กน้อยเช่นเดียวกับลี่ถง เขาหันไปยิ้มให้คนรักแล้วจึงทำท่าจะเดินออกมาทว่าอีกฝ่ายกลับชะงัก ใบหน้าหวานเหมือนนึกอะไรขึ้นได้


?ฉันลืมปิดกระโปรงท้ายรถ?


?อ้อ ผมไปปิดให้เอง? ซื่อหลิงเดินวนกลับไปที่ท้ายรถ แต่ยังเดินไปไม่ถึงสายตาของเขาก็เหลือบไปเห็นอะไรบางอย่างเข้าเสียก่อน ครั้นเมื่อตรงไปถึงท้ายรถแล้วก็พบว่า ?อะไรบางอย่าง? หายไป และไปหลบอยู่หลังเสาแทน พอเขาเห็นเข้าเจ้าตัวก็ทำท่าจะวิ่งหนี ซื่อหลิงรีบเรียกไว้ทันทีเมื่อนึกได้ว่าเจ้าหมอนี่ก็คือ ?ไอ้บ้า? ที่คนพวกนั้นไล่ตามกันจ้าละหวั่น


?หยุดนะ มาหลบอยู่ตรงนี้ทำไม?


?ซื่อหลิง? เมื่อลี่ถงได้ยินเสียงก็เดินมาดู ?มีอะไรหรือ?


?ไม่รู้ว่าเขามาทำอะไรลับๆ ล่อๆ?


?เปล่าซะหน่อย? ชายหนุ่มปริศนาส่ายหน้ารัวแล้วก็กลับหลังหันตั้งท่าจะวิ่งหนีอีก เพียงแต่สายตาไปปะทะกับประธานหลิวเสียก่อน ใบหน้าของชายหนุ่มก็แสดงถึงความตกใจอย่างที่สุดก่อนที่เจ้าตัวจะกลบเกลื่อนความรู้สึกนั้นด้วยการเดินเข้าไปหาอีกฝ่ายด้วยท่าทีนุ่มนวล


?อ้าว กว้านจง? ประธานหลิวคล้องแขนของชายชุดขาวอย่างสนิทสนม ?ได้ยินเสียงเอะอะกะว่าจะโทรเรียกตำรวจแล้ว เป็นนายหรอกเหรอ มาทำอะไรน่ะ?


?ฮ่าๆๆ เปล่าหรอกครับ? กระทั่งเสียงก็ยังแหบต่ำน่าฟังไม่แพ้ท่าทาง ?เป็นเรื่องบังเอิญของเราจริงๆ เลย คิดไม่ถึงว่าฟ้าจะส่งคนพิเศษมาที่นี่ ซ้ำยังเป็นผู้หญิงที่ทั้งสวยทั้งเก่ง?


?แหม มานี่ มา...ฉันจะแนะนำให้เธอรู้จักพวกเขาหน่อย นี่พวกเธอ คนนี้ก็คือ...เอ่อ...เอ่อ...?


?คนรักที่แสนดี? หลี่ฮั่นต่อให้ด้วยรอยยิ้ม ประธานหลิวจำต้องทุบไหล่เขาเบาๆ


?แหม ปากหวานจริง เขาคือแฟนของฉันเองน่ะ?


?สวัสดีครับ? แฟนที่ว่าก้มศีรษะลงพร้อมกับยิ้มกว้าง ในขณะที่ซื่อหลิงได้แต่มองด้วยความเคลือบแคลง คำว่าหลี่ฮั่นกับกว้านจงไม่ได้มีความใกล้เคียงกันเสียหน่อย ทำไมพวกนั้นจึงเรียกหมอนี่ด้วยอีกชื่อ


และแม้จะสงสัยแต่เขาก็จำต้องแนะนำตัวเองเช่นกัน


?ผมจางซื่อหลิง ส่วนนี่โจวลี่ถง?


ต่างฝ่ายก็ยื่นมือออกมาจับกันพอเป็นพิธี อี้หลี่ฮั่นหุบยิ้มลงฉับพลันแล้วจึงหันหน้าหนี แต่เมื่อเห็นว่าประธานหลิวกำลังมองอยู่ก็กลับไปยิ้มประจบประแจง


?ผมมีเรื่องจะคุยกับคุณ ไปหาที่คุยกันเถอะ?


?ขอโทษนะ กว้านจงเขามีธุระนิดหน่อยน่ะ วันหลังเราค่อยคุยกันนะ ลาก่อนจ้ะ?


ประธานหลิวเดินเกาะแขนกับหลี่ฮั่นออกไป ทิ้งให้ซื่อหลิงมองตามอย่างสงสัย กระทั่งลี่ถงสะกิดบอกว่าใกล้จะถึงเวลาเริ่มประชุมเพื่อพรีเซนต์งานลูกค้าแล้วเขาก็สลัดความคิดทั้งหมดทิ้งเสีย


และแม้จะเสียเวลาไปมากแต่พวกเขาก็มาถึงได้ทันเวลา ซื่อหลิงหยิบแผ่นป้ายขึ้นมาในขณะที่ลี่ถงนั่งลงข้างๆ มิสเตอร์ลอน ชายชาวตะวันตกผู้เป็นลูกค้าของพวกเขาเพื่อคอยเอ่ยอธิบายถึงสิ่งที่นำเสนอ ถัดจากเขาเป็นกลุ่มผู้บริหารที่ต้องเข้าร่วมพิจารณา


?รูปที่จะต้องใช้นั้นรบกวนช่วยพิจารณาด้วยครับ ไม่ทราบว่าเป็นอย่างไรบ้าง? ซื่อหลิงพูดพลางเลื่อนแผ่นป้ายแสดงเกี่ยวกับผลงานของเขา นั่นก็คือการสร้างจุดขายให้แก่สินค้ารวมถึงโลโก้ต่างๆ


?ถ้าไม่มีปัญหา ผมก็จะขอไปต่ออีกส่วน เราจะสร้างโลโก้สุดยอดข้าวกล่องโดยเน้นหลักสำคัญเกี่ยวกับอาหารที่มีคุณภาพและครบตามหลักโภชนาการ หากมีความคิดเห็นประการใดก็เชิญเลยครับ?


?ยอดเยี่ยม!? มิสเตอร์ลอนปรบมืออยู่หลายครั้งด้วยรอยยิ้มจนซื่อหลิงต้องกล่าวขอบคุณ ก่อนที่เขาจะเริ่มพูดต่อ ?แต่ว่าตอนนี้ผมมีอยู่ปัญหาหนึ่งเกี่ยวกับตัวฉลากที่แสดงแคลอรี่ของผลิตภัณฑ์ นอกนั้นก็แค่ปัญหาเพียงเล็กน้อย?


?ตอนนี้เรื่องสุขภาพกำลังบูม การแสดงแคลอรี่อย่างชัดเจนเพื่อให้ผู้บริโภคทราบจำนวนแคลอรี่ที่แน่ชัดจะทำให้มั่นใจในผลิตภัณฑ์ คุณลองคิดดูนะว่า ถ้าคุณคือผู้บริโภค คุณก็คงจะเลือกซื้อผลิตภัณฑ์นี้?


ใบหน้าของมิสเตอร์ลอนนิ่งขึ้นเล็กน้อย


?ผมไม่ต้องการให้ผู้บริโภคทราบเกี่ยวกับแคลอรี่ของผลิตภัณฑ์ ดังนั้นจุดสำคัญของผมตอนนี้คือผมไม่อยากให้แสดงปริมาณแคลอรี่อย่างชัดเจน?


?มิสเตอร์ลอน การลบในส่วนที่เกี่ยวกับแคลอรี่ออก...?


?ไม่มีปัญหาค่ะ? เมื่อเห็นว่าปัญหานี้ดูจะยืดเยื้อลี่ถงจึงเอ่ยขัด ?เราจะนำแนวคิดของคุณมาปรับปรุง ซื่อหลิง ไปต่อส่วนอื่นเถอะ เร็วเข้า จะได้ไม่เสียเวลาของทุกคน?


เพราะคนรักส่งสายตาวิงวอน ชายหนุ่มจึงทำตามอย่างเสียไม่ได้ แม้จะแสดงสีหน้าไม่พอใจเล็กน้อยก็ตาม


?ครับ... สำหรับส่วนต่อไป ผมขอรายงานว่า ?สุดยอดอาหารกล่อง? จะเน้นการประชาสัมพันธ์ กรุณาดูที่ผมกำลังจะนำเสนอ...หืม??


จากคิ้วที่ขมวดหลวมๆ กลับกลายเป็นขมวดมุ่นเมื่อพบว่ากระเป๋าเอกสารของตนที่เปิดออกมานั้นแทนที่จะมีแฟ้มงานของตนกลับกลายเป็นข้าวของเครื่องใช้ของใครก็ไม่รู้ ทั้งสมุดบันทึกเก่าๆ และแผ่นซีดีหนังที่เขาไม่เคยคิดจะดู จางซื่อหลิงจ้องของเหล่านั้นอยู่นานกระทั่งโจวลี่ถงเอ่ยขึ้น


?มีอะไรเหรอ ซื่อหลิง?


?ขออภัยครับ? เขาปิดกระเป๋าและกล่าวประโยคที่ไม่ว่าใครก็คาดไม่ถึง ?ผมคิดว่าคงจะประชุมต่อไปไม่ได้แล้วครับ?


จากนั้นร่างสูงก็ก้าวออกมาจากห้องโดยไม่สนใจเสียงฮือฮาจากคนรอบข้าง เขาหงุดหงิดเกินกว่าจะนำเสนองานต่อ อาจเป็นเพราะช่วงนี้เป็นช่วงอิ่มตัวของงานที่เต็มไปด้วยความกดดัน


เมื่อทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ในห้องทำงานของตนเขาก็พบว่าโจวลี่ถงเดินตามออกมา


?เกิดอะไรขึ้น ทำไมประชุมแค่ครึ่งเดียวก็ออกมาแล้วล่ะ?


?กระเป๋าเอกสารของผมหาย ข้อมูลทั้งหมดอยู่ในนั้น?


?จริงๆ แล้วเป็นเพราะว่ามิสเตอร์ลอนมีปัญหากับคุณ คุณก็เลยโกรธใช่ไหม?


?ก็บอกแล้วไงว่ากระเป๋าเอกสารหาย? ซื่อหลิงบีบมือแน่น เมื่อดูเหมือนว่าคนรักจะคิดมองเขาในแง่นั้น ?ข้อมูลอยู่ในนั้นหมด ถ้าไม่มีข้อมูลพวกนั้นก็จบเห่ ผมไม่อยากให้โอกาสในครั้งนี้มันหลุดลอยไป จะให้พวกนั้นทำตามใจชอบเหรอ ถ้าไม่มีการเตรียมพร้อมและนำเสนอข้อมูลที่ดี สู้ไม่ประชุมซะดีกว่า?


?คุณก็รู้หลักการทำงานของพวกเรานี่ ยังไงลูกค้าก็คือพระเจ้า ฉันว่าคุณ...?


?พอหรือยัง! นี่คืออาชีพผม หยุดสั่งโน่นสั่งนี่ผมสักที ผมอยากคิดเองทำเองได้ยินไหม?


?คุณโทษฉันเหรอ?


กว่าจะรู้ตัวว่าตนเผลอเสียงดังเกินไป ใบหน้าที่สลดลงของลี่ถงก็ปรากฏอยู่ตรงหน้าเสียแล้ว มันทำให้ซื่อหลิงรู้สึกเสียใจอย่างที่สุด เขาเลือกที่จะก้มหน้าเล็กน้อยก่อนถอนหายใจแล้วเริ่มต้นพูด


?ขอโทษ ผมไม่ได้ตั้งใจโมโหใส่คุณ เพียงแต่ตอนนี้รู้สึกว่าอะไรๆ ก็ไม่ใช่ ผมทำอะไรเองไม่ได้เลย แม้จะปฏิเสธก็ยังไม่มีสิทธิ์?


?แต่เรามีเป้าหมายเดียวกันนะ คิดดูสิคะ เมืองนี้มีผู้คนตั้งมากมาย แต่เราโชคดีกว่าคนเหล่านั้นมาก ดังนั้น ไม่ช้าก็เร็วมันก็จะเป็นของเรา?


?แต่ที่ผมจะพูดไม่ใช่เรื่องนี้...?


?ซื่อหลิง ฉันเข้าใจนิสัยของคุณ คุณน่ะบ้างาน อะไรก็ต้องเพอร์เฟกต์ แต่คุณมักปรับตัวเองเข้ากับงานได้ดีนี่ ทำไมครั้งนี้ดูคุณหมดอาลัยตายอยาก หรือเป็นเพราะว่าคุณเหนื่อยแล้ว? ลี่ถงหยุดเล็กน้อยเพื่อให้คู่สนทนาได้ขบคิดแล้วจึงเริ่มพูดต่อ ?เอาอย่างนี้ไหม หยุดพักสักหนึ่งสัปดาห์ ปล่อยวางสบายๆ ชาร์จแบตเตอรี่เสียหน่อยแล้วค่อยมาเริ่มต้นกันใหม่?


?ก็คงดี?


?ตั้งแต่เล็กจนโตคุณเรียนอยู่ต่างประเทศ ลองใช้โอกาสนี้ไปเที่ยวกันให้สนุกเลยดีกว่า ฉันว่านะ ไปที่เกาะไหหลำเป็นไง?


ซื่อหลิงเลิกคิ้วขึ้น ?เกาะไหหลำ??


?ที่นั่นสวย แสงแดดสดใส ความเป็นอยู่ก็ไม่เหมือนกับที่นี่ ฉันว่าคุณต้องได้พักผ่อนเต็มที่แน่เลย?


พักผ่อน...เมื่อไหร่กันนะที่เขาไม่เคยได้เข้าใกล้คำคำนี้


ชายหนุ่มพยักหน้ารับทั้งที่ในใจยังรู้สึกหนักอึ้งเพียงเพื่อให้แฟนสาวของตนพอใจเท่านั้น แม้จะกลับมาถึงบ้านแล้ว แทนที่จะพักผ่อนตามที่ใจต้องการก็กลับรู้สึกสงสัยว่าในกระเป๋าเอกสารมีอะไรอยู่บ้าง ถ้าการคาดเดาของเขาไม่ผิด กระเป๋าเอกสารใบนี้คงจะเป็นของหนุ่มชุดขาวนั่น อาจสลับกันตอนที่รถของเขาเกือบจะชนเอากับเจ้าตัว ครั้นเมื่อเปิดดูแล้วก็เจอแต่สมุดเบอร์โทรศัพท์ผู้หญิง จริงๆ ก็ไม่ได้ผิดคาดเท่าไหร่นัก


ที่น่าสนใจคือรูปภาพใบหนึ่งที่บังเอิญร่วงลงมาจากสมุดบันทึกเล่มนั้น ตัวบ้านสีขาวสลับฟ้าดูทันสมัยและโอ่อ่าซึ่งหลบเร้นอยู่ใต้เงาไม้สีเขียว เบื้องหลังคือท้องฟ้าสีครามที่มีดวงอาทิตย์ทอแสงอบอุ่นอย่างพอเหมาะ เขารู้สึกอิ่มเอมอย่างประหลาด มันทำให้ซื่อหลิงต้องหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อกดโทรหาลี่ถงทันที


?ฮัลโหล ลี่ถงเหรอ เมื่อกี้ที่คุณพูดถึงเรื่องลาหยุด ผมว่าไปเกาะไหหลำก็ไม่เลว...?


เขารู้สึกเหมือนที่นั่นมีอะไรบางอย่างรอเขาอยู่








1



?คุณครับ! รอรถเหรอ?


ขณะนี้จางซื่อหลิงได้มายืนอยู่ที่สนามบินในไหหลำแล้ว เขายังไม่แน่ใจนักว่าต้องไปทางไหน กระทั่งได้ยินเสียงทักจากด้านหลัง เมื่อหันไปก็พบกับชายวัยกลางคนท่าทางเป็นมิตรกำลังยิ้มกว้างรออยู่ ที่จอดอยู่ใกล้ๆ คือรถแท็กซี่ คาดว่าคงต้องการมารอรับลูกค้า


ซื่อหลิงส่งยิ้มกลับแล้วจึงตอบ ?ผมรอคนที่โรงแรมมารับน่ะ?


?ช่วงนี้เป็นฤดูท่องเที่ยว ไม่ว่าโรงแรมไหนลูกค้าก็เต็มไปหมด คุณแค่เพิ่มเงินอีกนิดมานั่งรถของผม รับรองว่าส่งถึงที่ ดีกว่ามายืนรออย่างนี้นะ? พูดพลางก็ทำทีชะโงกหน้าออกไปทางถนน ?ดูสิ รถจะมาหรือเปล่าก็ไม่รู้ หืม ว่าไง?


ได้ยินเช่นนั้นซื่อหลิงก็ชักไม่แน่ใจ เพราะเขารอมาพักใหญ่แล้วแต่รถของทางโรงแรมก็ยังไม่มาสักที เมื่อตรึกตรองแล้วว่าไม่สมควรจะรออีกต่อไป เขาก็ตอบรับ


?ครับ ก็ได้? ซื่อหลิงส่งของให้ชายคนนั้นช่วยยกขึ้นท้ายรถ จากนั้นจึงเดินไปนั่งข้างคนขับ


เขารู้สึกโล่งใจเล็กน้อยเมื่อคิดว่าจะได้ขยับเขยื้อนกายไปไหนสักที และการพักผ่อนครั้งนี้คงผ่านไปได้ด้วยดี กระทั่งจู่ๆ เครื่องยนต์ก็ดับลงหลังจากแล่นออกมาจากสนามบินได้ไม่กี่กิโลเมตร


?เป็นอะไรหรือเปล่า?


?พ่อรูปหล่อ รถของผมดูเหมือนจะมีปัญหาน่ะ? เจ้าของรถยังคงยิ้มหวาน ?ผมคงต้องลงไปเช็คดูสักหน่อย เอ๊ะ ว่าแต่มีโทรศัพท์หรือเปล่า ผมจะโทรให้คนมาช่วยดูรถน่ะ?


ว่ามาถึงตรงนี้ซื่อหลิงก็ขมวดคิ้วด้วยความหงุดหงิด แต่ก็ใช่ว่าเขาจะมองโลกในแง่ร้ายจึงเดินลงมาดูเครื่องยนต์พร้อมกับส่งโทรศัพท์ให้แก่ชายคนนี้ด้วย เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเปิดฝากระโปรงหน้าของรถขึ้นมาครู่หนึ่งแล้วเขาก็ถาม


?ผมรีบนะ ซ่อมเสร็จหรือยัง?


?วางใจเถอะพ่อรูปหล่อ ผมรับผิดชอบส่งคุณถึงโรงแรมแน่นอน เดี๋ยวจะลองสตาร์ทรถนะ?


ซื่อหลิงจำต้องพยักหน้ารับ และเพื่อคลายความหงุดหงิดลงเล็กน้อยจึงเลือกที่จะมองไปรอบๆ ตัวในขณะที่เสียงสตาร์ทเครื่องดังขึ้น เขาไม่ได้สนใจอะไรมากจึงค่อยๆ หันหน้ามาเพื่อไถ่ถามว่าซ่อมเสร็จแล้วใช่ไหม กระทั่งภาพที่ปรากฏสู่สายตาคือท้ายรถที่ค่อยๆ ห่างออกไป เขาถึงกับตาโต


?เฮ้! คุณ! ผมยังไม่ได้ขึ้นรถเลยนะ!? ตะโกนเสร็จก็ยิ่งเจ็บใจเมื่อเจ้าคนขับรถยกมือขึ้นโบกหย็อยๆ ให้ หนำซ้ำยังหันมาตะโกนด่าเขา ซื่อหลิงแทบจะทึ้งหัวตัวเองที่โดนหลอก แต่แล้วก็ยิ่งหงุดหงิดหนักขึ้นเมื่อนึกได้ว่าโทรศัพท์ของตนก็อยู่ที่เจ้าหมอนั่น ไหนจะเสื้อผ้า ไหนจะกระเป๋าเงิน


อะไรวะเนี่ย! เป็นพวกต้มตุ๋นหรอกหรือที่รอเขาอยู่ที่ไหหลำ


จะให้วิ่งตามก็ไม่ทัน จะขอให้คนช่วยก็ไม่รู้ว่าจะเจอแบบนี้อีกรายไหม ซื่อหลิงได้แต่ก่นด่าตัวเองไปพลางเดินออกมาจากถนนใหญ่เพื่อทะลุไปสู่สะพานขนาดใหญ่ที่มองเห็นคลื่นซัดสาดเข้าสู่ชายหาด ชายหนุ่มหยุดยืนมองภาพความงามเหล่านั้นอยู่นานเพื่อค้นหาความสงบ แต่ความร้อนรุ่มในใจก็ทำให้เขาอารมณ์เสียจนต้องเตะกระป๋องน้ำอัดลมลอยไปยังทะเล และแทบจะในทันทีที่กระป๋องกระทบผิวน้ำ เสียงแหลมๆ ก็ดังขึ้น


?คิดว่าเท่มากใช่ไหม ทำอะไรลงไปรู้ตัวหรือเปล่า? เจ้าของเสียงนั้นเป็นผู้หญิงตัวสูงปานกลาง แต่งตัวปอนๆ ด้วยเสื้อยืดกางเกงขายาวธรรมดา ใบหน้าขาวซีดถูกปิดบังเล็กน้อยด้วยหมวกแก๊ปสีหม่น ดวงตากลมโตฉายแววเอาเรื่องมองตรงมาทางเขา ริมฝีปากบางสวยเม้มแน่นก่อนจะเริ่มพูดต่อ ?ฉันล่ะเบื่อนักท่องเที่ยวอย่างคุณจริงๆ อยากทำอะไรก็ทำ ไม่เคยสนใจอย่างอื่น ทำที่นี่ขยะเกลื่อนไปหมด?


?พูดแบบนี้มันเกินไปมั้งคุณ ผมไปเก็บให้ก็ได้!?


?ฮะ เฮ้ย เดี๋ยวสิคุณ!?


น่ารำคาญ...ขนาดเขาเดินหนีออกมาแล้วผู้หญิงคนนนั้นก็ยังตามมา และเพราะทุกอย่างดูเหมือนจะรุมเร้าไม่รู้จักหยุด ซื่อหลิงจึงตัดสินใจกระโดดลงไปในทะเลทันที โมโหเสียจนกระทั่งลืมว่าตนว่ายน้ำไม่เป็น กว่าจะมารู้สึกตัวก็ตอนที่แทบจะไม่เหลืออากาศหายใจและรู้สึกคล้ายกับว่าแรงดันของน้ำสีครามจะบีบเข้าหาร่างกายจากทุกทิศทาง มันทำให้เขารู้สึกเหมือนกับว่า...จะตายแล้วจริงๆ


?โง่จริงๆ เลย!?


อากาศ? พร้อมกับความอุ่นวาบตรงริมฝีปาก หรือว่ายัยนั่น...ไม่มีเวลาคิดนัก ซื่อหลิงรีบหายใจเป็นอย่างแรกเมื่อพบว่าตนขึ้นมาอยู่บนผิวน้ำแล้วด้วยมือบอบบางของใครคนหนึ่ง เสียงแหลมนั้นยังทำให้เขารำคาญแต่เจ้าของเสียงก็ช่วยชีวิตเขาไว้ ตอนนี้ทั้งเธอและเขาเปียกโชกไปทั้งตัว สาวคนนั้นยืนเท้าสะเอวมองเขาในขณะที่เขาได้แต่นั่งพิงโขดหินอย่างหมดแรง


จริงๆ แล้ว วูบหนึ่งเขาก็อยากจะหายไป แต่ว่า...


?อยากตายนักหรือไง ว่ายน้ำไม่เป็นแล้วยังโดดลงไปอีก!?


...ก็ไม่ได้อยากตายเสียทีเดียว


?ใครจะรู้ว่าน้ำมันลึก? ซื่อหลิงเถียงหน้าตาย ก่อนจะต้องทำหน้าบึ้งเมื่อผู้หญิงตรงหน้าหลุดหัวเราะออกมา ?แล้วเธอหัวเราะอะไรไม่ทราบ?


?แถไปเรื่อย?


?พูดมาก ฉันไม่ได้ขอให้ช่วยสักหน่อย?


?เอ๊ะ ฉันช่วยให้คุณไม่จมน้ำแท้ๆ ยังมาพูดแบบนี้อีก? เสียงหัวเราะหายไปแล้ว เหมือนเจ้าตัวก็ชักจะมีน้ำโหขึ้นมาบ้างเล็กน้อย ซื่อหลิงที่เริ่มจะรู้สึกผิดจำต้องถอนหายใจ


?เฮ้อ...โอเค ไม่ต้องพูดแล้ว วันนี้ผมโชคร้ายมามากพอแล้ว!? จู่ๆ เขาก็อยากจะพูดทุกอย่างออกมาไม่ว่าคนตรงหน้าจะเป็นใครก็ตาม ?ถูกคนที่โรงแรมลอยแพ โดนหลอกจนหมดตัว แล้วยังเกือบจมน้ำตายอีก ที่ซุกหัวนอนก็ไม่มี?


?คุณถูกหลอกมาเหรอ...?


?แล้วไงล่ะ! อยากหัวเราะก็เชิญเลย ตามสบาย?


?ฉันเปล่าซะหน่อย แล้วคุณมาเกาะไหหลำทำไมเหรอ?


?ลาพักร้อน? ซื่อหลิงมองออกไปยังขอบท้องฟ้าที่เริ่มจะเป็นสีส้มเข้ม ?รู้สึกว่าที่นี่สวยมาก ผมถึงมาที่นี่ คิดไม่ถึงว่า...?


?บ้านแสงตะวัน ถ้าเป็นที่นี่ล่ะก็ ไม่มีปัญหาหรอก?


ก่อนที่ชายหนุ่มจะพูดอะไรมากไปกว่านี้ เธอก็ขัดขึ้นมาเป็นทางแก้ปัญหาที่เธอคิดว่า...ดีที่สุด


?จริงเหรอ ที่นี่นะ??


?อืม ฉันพาคุณไปได้ แต่ว่าฉันต้องไปรับเพื่อนก่อน ไปด้วยกันไหม?








อาจจะโง่ที่เลือกจะตามคนแปลกหน้าอีกเป็นครั้งที่สอง


แต่เมื่อพบว่าตนมาอยู่ในพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำและกำลังดูการแสดงผ่านตู้กระจกที่มีคนคอยให้อาหารปลาอยู่ด้านใน มันก็ทำให้จางซื่อหลิงต้องลบความคิดนั้นออกไปเพราะสงสัยอย่างอื่นมากกว่า


?คุณบอกว่าจะไปรับเพื่อนคนหนึ่งแล้วทำไมมาดูการแสดงที่นี่ล่ะ?


?คนที่ฉันจะมารับก็คือเขาล่ะ คนที่ให้อาหารปลาคนนั้น? หนีเข่ออี้หรือก็คือผู้หญิงที่ช่วยชีวิตซื่อหลิงไว้อธิบายพลางปรบมือไปพร้อมๆ กับผู้ชมคนอื่นๆ ?เขาพักอยู่ที่บ้านแสงตะวัน พักมาประมาณสองอาทิตย์แล้ว?


?ที่แท้คุณก็ทำงานที่บ้าน เป็นลูกค้าพวกคุณก็ไม่เลวนะ มีบริการมารับอีก?


?ไม่ใช่นะ ฉันก็เป็นลูกค้า แต่เจ้าของฝากให้มารับเขา อ๊ะ การแสดงจบแล้ว ไปพบเขาข้างหลังเถอะ?


เมื่อเข่ออี้ลุกขึ้น ซื่อหลิงก็ลุกบ้าง ก่อนจะเดินตามเธอไปที่ด้านหลัง มีหลายสิ่งที่เขาไม่เข้าใจแต่ก็คงจะได้รู้ในภายหลัง ซื่อหลิงคิดเช่นนั้นไปตลอดทางกระทั่งเข่ออี้มาหยุดอยู่ที่ห้องห้องหนึ่ง


?ไง เข่ออี้! ลมอะไรพัดมาเนี่ย เอ่อ...?


ซื่อหลิงที่ยังกวาดตาดูรอบๆ ห้องของนักแสดงจำต้องหันมามองทางต้นเสียงที่คุ้นหูอย่างไรไม่รู้ แล้วเขาก็ต้องอ้าปากค้างเมื่อพบว่าคนที่อยู่ในชุดดำน้ำนั้นคือตัวการที่ทำให้ชีวิตของเขายุ่งเหยิง เส้นผมสีน้ำตาลทองระใบหน้ากับท่าทางกวนๆ นี่มันทำให้เขาชักจะฉุนขึ้นมาอีกแล้ว


อีกฝ่ายก็ดูเหมือนจะจำเขาได้เช่นกันถึงได้ชะงักไป


?ลุงเฉิงกลัวคุณจะไม่กลับไปกินข้าวเลยให้ฉันมารับคุณกลับ? เข่ออี้ยิ้มให้เขา ไม่รู้สึกถึงสายตาอำมหิตที่แผ่ออกมา ?เขาคือจางซื่อหลิง เราเพิ่งรู้จักกัน ส่วนนี่...?


ซื่อหลิงยกมือขึ้นกอดอกชิงพูดขึ้น ?ผมควรจะเรียกเขาว่ากว้านจงหรือหลี่ฮั่นดีล่ะ?


?หลี่ฮั่นก็ได้? เจ้าของทั้งสองชื่อเอ่ยพลางเชิดหน้า


?รู้จักกันเหรอ?


?รู้จักครับ เคยพบกันครั้งสองครั้ง? ซื่อหลิงยิ้มให้เข่ออี้แต่หันไปถลึงตาใส่อีกคน ?ไม่เจอกันนานนะ?


คนถูกมองก็ใช่ว่ายอมแพ้ เขาส่งสายตากลับเช่นกัน ท่าทีของทั้งสองคนทำให้เข่ออี้ได้แต่มองอย่างงงงวย เธอคิดว่าหากรู้จักกันแล้วบรรยากาศก็คงจะไม่เงียบมากนัก แต่ในความเป็นจริงที่เธอไม่รู้ มันน่าจะหนักยิ่งกว่าเดิมเสียอีก


หลังจากหลี่ฮั่นเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้วเข่ออี้ก็ขับรถพาทั้งคู่ไปสู่บ้านแสงตะวัน ทว่าท่าทีเรียบเฉยของคนอารมณ์ดีอย่างอี้หลี่ฮั่นมันทำให้อดถามไม่ได้เมื่อลงมาจากรถหลังจากถึงจุดหมาย


?ทำไมถึงไม่คุยกันเลยล่ะ รู้จักกันแล้วนี่ หลี่ฮั่น คุณคุยเก่งไม่ใช่เหรอ ทำไมวันนี้เงียบจัง?


?ข้อแรก เราไม่สนิทกัน ข้อสอง ผมเหนื่อยแล้ว ไม่อยากพูด?


?ไม่ต้องแกล้งหรอก? ซื่อหลิงพูดลอยๆ หลี่ฮั่นหันมากำหมัด


?ว่าอะไรนะ!?


?ไม่มีอะไร ผมแค่รู้สึกว่าวิวแถวนี้สวยดี?


?สวยใช่ไหมล่ะ? เข่ออี้เอ่ยอย่างกระตือรือร้น เธอเหม่อมองออกไปยังคลื่นน้ำอีกฝั่ง ฟ้าสีเทาหม่นทอดตัวอยู่ตลอดแนวเคลือบด้วยสีส้มจ้าของดวงอาทิตย์ยามเย็น ?ริมทะเลฝั่งนี้สวยที่สุด น่าเสียดายที่ตอนนี้ไม่มีเวลา ไว้วันหลังค่อยพามาเดินเล่นแล้วกัน ตอนนี้เข้าไปข้างในกันก่อนเถอะ?


?ครับ?


ตัวบ้านภายในตกแต่งด้วยโทนสีขาวเช่นเดียวกับด้านนอก มีต้นไม้ประดับอยู่ตามมุมห้อง ทั้งตัวประตูและหน้าต่างทำด้วยกระจกบานใหญ่จึงค่อนข้างเปิดโล่งทำให้ไม่รู้สึกร้อนมากนัก เข่ออี้พาซื่อหลิงเดินเข้ามาในห้องรับแขกจนพบกับชายวัยกลางคนคนหนึ่งนั่งอยู่บนโซฟาสีครีม


เขามีใบหน้าที่ค่อนข้างเคร่งขรึมแต่ก็ไม่น่ากลัวเท่าใดนัก เข่ออี้แนะนำให้รู้ว่าเขาคือหยางเฉิง เป็นเจ้าของบ้านแสงตะวันแห่งนี้ จากนั้นจึงได้เริ่มเล่าให้ฟังว่าซื่อหลิงมาอยู่ที่นี่ด้วยได้อย่างไร หยางเฉิงเหลือบมองหลี่ฮั่นที่เงียบผิดปกติเล็กน้อยจึงเอ่ยถาม


?สรุปก็คือคุณอยากจะพักฟรีคืนหนึ่งเหรอ?


เข่ออี้ส่ายหน้ารัว ?ลุงเฉิง ไม่ได้พักฟรีนะ?


?เขาเป็นใบ้เหรอ ทำไมไม่พูดเอง?


ซื่อหลิงถึงกับสะอึกเมื่อโดนหลี่ฮั่นว่าเข้าให้ เขาจึงยกมือขึ้นกอดอกตามนิสัยแล้วเอ่ยเสียงห้วนกับหยางเฉิงทั้งที่ตอนแรกก็ใจเย็นลงแล้วแท้ๆ


?เดี๋ยวผมขอยืมโทรศัพท์หน่อย จะให้เพื่อนส่งเงินมาให้?


?ที่นี่ไม่มีโทรศัพท์หรอก?


?เหอะ พวกคนในเมืองนี่นะ มาเจออย่างนี้หน่อย ถึงกับรับไม่ได้เลยนะ?


?หลี่ฮั่น? เข่ออี้เอ่ยปรามเสียงดุ ก่อนจะหันไปขอร้องเจ้าของบ้านพัก ?ลุงเฉินช่วยเขาหน่อยนะคะ?


?ก็ได้ งั้นทำงานพิเศษแลกก็แล้วกัน?


?งานพิเศษ?? ซื่อหลิงและเข่ออี้อุทานออกมาพร้อมกัน ก่อนที่คนต้องทำงานจะเป็นฝ่ายถามต่อ ?งานอะไรครับ?


?ถามมากน่า มาช่วยทำงานก็ถูกแล้ว ไปเตรียมอาหารเย็นเถอะ?


เข่ออี้ตัดบทและดันหลังซื่อหลิงให้เดินเข้าไปในครัวอย่างไม่ทุกข์ร้อน ทั้งที่มันอาจจะเป็นงานลำบากยากเข็ญสำหรับคนอย่างจางซื่อหลิงก็เป็นได้ แต่เธอไม่ทุกข์ร้อนอะไรเลย


?เอ้อ! เข่ออี้ ผมช่วยด้วย!?


แล้วจู่ๆ หลี่ฮั่นก็โพล่งออกมา พร้อมทั้งปรายตามาทางซื่อหลิง


ไอ้กะล่อนนี่ก็จิกตาใส่เขาอยู่ได้


แต่เพราะเข่ออี้ช่วยแท้ๆ ใช้เวลาไม่นานอาหารเย็นจึงถูกเตรียมจนเสร็จ โดยที่ซื่อหลิงไม่ได้ทำอะไรมากนัก จะเหนื่อยหน่อยก็ตรงที่ต้องทนรับสายตาของหลี่ฮั่นแล้วก็ต้องคอยโต้กลับให้สาสม ครั้นเมื่อยกอาหารมาที่โต๊ะอาหารแล้วทุกคนก็นั่งนิ่ง กระทั่งหลี่ฮั่นเป็นคนเอ่ยออกมา


?ลุงเฉิง หยางฉงเหม่ยไม่มาทานข้าวอีกแล้วล่ะ?


ชื่อแปลกหูทำให้ซื่อหลิงฟังอย่างสนใจ แต่หยางเฉิงกลับตีหน้าดุพลางเอ่ยปัด


?ไม่ต้องไปสน ถ้าเธอจะกลับก็กลับ ไม่กลับก็ไม่มีคนสนใจหรอก?


ซื่อหลิงขมวดคิ้ว ทั้งโต๊ะตกอยู่ในความเงียบชั่วครู่ กระทั่งหยางเฉิงพูดขึ้นอีกครั้ง


?ลุกขึ้น!? เขาหันหน้าไปทางซื่อหลิง ?เธอเป็นคนงานพิเศษ ไปหยิบจานกับตะเกียบมาสิ?


?ผมเหรอ??


หลี่ฮั่นยิ้มเยาะแล้วเอ่ยสมทบ ?ได้ยินแล้วนี่ไอ้คนงาน ไปหยิบมาเร็วๆ สิ?


และเพราะท่าทีกระอักกระอ่วนของซื่อหลิงดูน่าสงสารจับใจ เข่ออี้จึงอาสาเป็นคนไปช่วย แม้ว่าหลี่ฮั่นจะพยายามห้ามก็ตามที ซื่อหลิงไม่วายจะหันไปมองหลี่ฮั่นด้วยหางตา อีกฝ่ายก็จ้องกลับเช่นกัน วูบหนึ่งที่ซื่อหลิงรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังทำอะไรเป็นเด็กๆ จึงรีบทำหน้านิ่งๆ แล้วเดินตามเข่ออี้ไปเงียบๆ แทน


?อย่าทำให้ลุงโมโหเชียวล่ะ? เธอกระซิบบอก ?ถ้าโมโหขึ้นมาแล้วเขาน่ากลัวมากนะ รีบเถอะ?







เสียงจานแตกดังสะท้อนในห้องครัว ซื่อหลิงถึงกับยกมือกุมขมับพลางสบถ แล้วก็ต้องหน้าซีดเมื่อพบว่าเข่ออี้เดินเข้ามาดูด้วยสีหน้าไม่ดีนัก เขารู้ว่าไม่ควรขอคนอื่นอาศัยฟรี แต่ให้มาล้างจานหลังทานข้าวเขาก็ไม่ค่อยได้ทำ ยิ่งอารมณ์หงุดหงิดเช่นนี้เขาอยากจะขว้างมันลงพื้นให้รู้แล้วรู้รอด


ราวกับคำขอเป็นจริง จานร่วงลงพื้นอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เป็นฝีมือของหนีเข่ออี้ที่กำลังยิ้มแป้น


?เราเป็นลูกค้ามาพักที่บ้านแสงตะวัน เมื่อได้รับเรื่องสบายใจก็ต้องโยนจานทิ้ง!? แม้คำพูดจะแปลกอยู่บ้างแต่ท่าทางร่าเริงนั้นก็ทำให้เขาไม่อยากจะคิดหาเหตุผล


?วันนี้เราได้เจอกันเป็นเรื่องน่ายินดีมาก เอ้า โยนเลยสิ?


?ผมเหรอ?


?ใช่แล้ว เอ้า? เธอส่งจานให้เขาใบหนึ่ง ?โยนเลย!?


?มองทุกเรื่องให้เป็นด้านบวกใช่ไหมล่ะ!?


หลังจากที่พูดไปอย่างนั้น มหกรรมทำจานแตกก็เริ่มขึ้น ซื่อหลิงจำไม่ได้ว่าทำจานแตกไปกี่ใบ แต่ที่แน่ๆ จำนวนจานที่เข่ออี้ทำแตกต้องมากกว่าเขาแน่นอน เมื่อคิดมาถึงตรงนี้เขาก็ได้แต่อมยิ้ม แม้จะเป็นตอนที่ต้องเก็บกวาดเศษจานเหล่านั้นก็ตาม เข่ออี้เอ่ยราตรีสวัสดิ์แล้วจึงขอแยกตัวไป เขาเองก็คิดว่าจะนอนเช่นกันหากไม่เห็นเงาตะคุ่มๆ อยู่ในห้องของตัวเอง


?จะทำอะไรน่ะ?


?นะ นาย...? หลี่ฮั่นหันมาโดยไม่เกรงกลัวว่าจะถูกว่าตราหน้าว่าไร้มารยาทที่บุกรุกห้องของคนอื่น หนำซ้ำยังทำเสียงแข็งราวกับจะข่มขู่ ?เอาของฉันคืนมานะ?


?ของอะไร??


?นี่ อย่ามาแกล้งโง่ เอากระเป๋าฉันคืนมา?


?คุณก็เอากระเป๋าของผมไป ไม่อย่างนั้นเรื่องทั้งหมดก็ไม่เกิดขึ้นหรอก? ซื่อหลิงกลับมาทำหน้าหงิกอีกหน ?คุณต้องเอากระเป๋าของผมคืนมาก่อนถึงจะถูก...เดี๋ยว? ชายหนุ่มแย่งโปสการ์ดมาจากมือหลี่ฮั่นอย่างรวดเร็ว ?ถือว่าโปสการ์ดนี่เป็นดอกเบี้ยก็แล้วกันนะ?


?ฉันไม่สนเรื่องของแกหรอก ฉันรู้แค่ว่าแกเอาเอกสารที่สำคัญของฉันไป?


?คุณหมายถึงสมุดบันทึกเบอร์สาวๆ และก็วันหมดอายุของถุงยางน่ะเหรอ?


?แก...!?


?ทำไมล่ะ จะหลอกผู้หญิงคนไหนอีกเหรอ?


?ไม่ใช่เรื่องของแก!? หลี่ฮั่นตวาดอย่างโกรธจัด ?ถามหน่อยเถอะ จะไปเมื่อไหร่?


?จะให้ไปไหนล่ะ?


?ฉันไม่สนหรอก แค่ไปให้พ้นๆ หน้าฉันก็พอ! บอกเอาไว้เลยนะ กว่าจะเจอที่ที่เริ่มต้นชีวิตใหม่ของฉันมันลำบากมากเกินกว่าที่แกจะเข้าใจ? ใบหน้าซึ่งมักจะกวนประสาทยามเมื่อเอ่ยประโยคนี้กลับดูสงบนิ่งอย่างประหลาด ?ฉันไม่ปล่อยให้แกทำพังหรอก?


?นี่ คุณหลี่ฮั่น เผื่อคุณจะไม่รู้ ผมมาที่นี่เพื่อพักร้อนเท่านั้น?


?สรุปแล้ว ที่ฉันอยากบอกแกก็คือ พรุ่งนี้ให้ไสหัวไปจากที่นี่ซะ!? พูดจบหลี่ฮั่นก็เดินออกมาจากห้องของซื่อหลิงอย่างรวดเร็ว โดยไม่ทันได้สังเกตว่ามีใครอีกคนยืนอยู่ตรงบันไดห้องด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์


ถ้าอยากให้ไปก็มีวิธีดีๆ อยู่หรอกนะ


หยางฉงเหม่ยคิดไปก็หัวเราะไป









วันนี้โจวลี่ถงและกรรมการผู้จัดการต้องเดินทางมาพบลูกค้านอกสถานที่ด้วยกัน เป็นหนึ่งในไม่กี่ครั้งที่เธอออกไปข้างนอกโดยไม่มีซื่อหลิง ตอนนี้ก็ได้แต่หวังว่าเขาคงจะสบายดี


?ผู้จัดการคะ หลินฮวาจงที่นัดไว้เป็นคนยังไงคะ? ลี่ถงถามขึ้นขณะที่มาถึงโรงแรมซึ่งเป็นสถานที่นัดหมาย


?เขาตำแหน่งใหญ่มาก ฮวาจงเป็นคณะผู้บริหารของฮุ่ยชิงเลยนะ?


?ฮุ่ยชิงอินเตอร์...อ๋อ ที่สั่งซื้อสินค้าตั้งสองร้อยล้านหรือคะ? ชื่อบริษัทที่มีชื่อเสียงเรื่องเงินทุนหนาและมีธุรกิจครบวงจรซึ่งมาติดต่อกับบริษัทของเธอค่อนข้างคุ้นหู แต่เธอก็ไม่เคยได้พบตัวจริง ?ฉันได้ยินคุณเรียกว่าฮวาจง คุณสนิทกับเขาหรือคะ?


?ก็ไม่เชิงหรอก ฉันเคยทำงานให้พ่อเขา เห็นเขามาแต่เล็ก ไม่ได้เจอกันมาตั้งนานแล้ว?


?งั้นที่คุณนัดพบเขาครั้งนี้ก็...?


?ลงทุนไง? เสียงคล้ายจะลุกลี้ลุกลนแปลกๆ ?ฉันจะบอกเธอให้ เขารู้ถึงศักยภาพการตลาดของบริษัทเรา ฉะนั้นฉันเลยจะหาเงินมาลงทุนที่บริษัทเราไง อ๊ะ มาแล้วนั่นไง?


ชายร่างสูงในชุดสูทสีดำราคาแพงเดินเข้ามาในห้องด้วยท่าทีสง่างาม ดวงตากลมโตแต่คมกริบจ้องมาที่ลี่ถงเป็นอันดับแรก ด้วยท่าทางสุขุมและใบหน้าที่หล่อเหลาทำให้ลี่ถงนิ่งไปอยู่พักหนึ่งเช่นกัน กระทั่งผู้จัดการหลินที่ยืนอยู่ข้างๆ เธอเอ่ยขึ้น


?โอ้โห เธอนี่โตแล้วรูปหล่อจริงๆ ขอแนะนำให้รู้จัก นี่คือคุณโจวลี่ถง หัวหน้าที่มากความสามารถของฉัน เอ้า ลี่ถง แนะนำตัวซะสิ?


?สวัสดีค่ะ โจวลี่ถงค่ะ?


?สวัสดีครับ...?


ดวงตาแบบนั้น แม้จะดูดีแค่ไหนก็เจ้าเล่ห์จริงๆ ลี่ถงคิดในใจขณะที่จับมือกับอีกฝ่าย ไม่นานผู้จัดการหลินก็พาทั้งคู่เดินไปนั่งที่โต๊ะอาหาร ลี่ถงและผู้จัดการหลินดื่มให้แก่ฮวาจงหนึ่งแก้วแล้วจึงเริ่มสนทนากันต่อเมื่ออาหารมาถึงแล้ว


?ฮวาจง? ผู้จัดการหลินพูดพลางยิ้มกว้าง ?ลี่ถงเป็นผู้หญิงที่มีความสามารถ เธอมักมีไอเดียดีๆ มาเสนออยู่เรื่อย?


?แค่พบเธอครั้งเดียว ผมก็รู้ว่าเธอต้องเป็นผู้หญิงที่ความสามารถ ผมกำลังเตรียมทำโฆษณาการตลาดในแถบเอเชีย หาผู้ร่วมทุนก่อตั้งบริษัทโฆษณาที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย ถ้าจะทำก็ต้องทำให้ใหญ่ แน่นอนว่าถ้าจะลงทุนก็ต้องเป็นบริษัทของคุณแน่?


ผู้จัดการหลินหัวเราะเสียงดัง ?ฮ่าๆๆ ขอบคุณมากครับ ลี่ถง บริษัทของเรามีหวังแล้วล่ะ?


?ค่ะ? ลี่ถงยิ้มรับ ?นี่เป็นโอกาสที่ดีมาก?


?งั้นก็เริ่มต้นให้เร็วที่สุดก็แล้วกัน? เมื่อฮวาจงรับคำเช่นนี้แล้วผู้จัดการหลินจึงยกแก้วไวน์ขึ้น ?โปรเจ็กต์นี้คงสร้างความกังวลให้กับเธอมาก หวังว่าคงไม่มีปัญหานะ ดื่มกันเถอะครับ?


?ดื่ม...? ฮวาจงยิ้มน้อยๆ ตรงมุมปาก ?เพื่อการลงทุนของพวกเรา!?








?ช่วยด้วย! โอย...โอ๊ย!?


เสียง? ซื่อหลิงขมวดคิ้ว เขากำลังเดินเล่นอยู่ที่ชายหาดเพื่อรับลมเย็นๆ ในตอนกลางคืนแต่กลับได้ยินเสียงผู้หญิงดังมาจากทางมุมมืดมุมหนึ่ง แม้จะน่าสงสัยแต่เขาก็วิ่งไปอย่างไม่ลังเล ก่อนจะพบว่ามีผู้หญิงที่เขาไม่เคยเห็นหน้ามาก่อนงอตัวอยู่ที่พื้น มือกุมท้องด้วยท่าทางเจ็บปวด


?คุณครับ! คุณไม่เป็นไรใช่ไหม คุณไหวหรือเปล่า ผมจะพาไปโรงพยาบาลนะ เอ๊ะ...?


จู่ๆ เด็กสาวที่ร้องความช่วยเหลืออยู่เมื่อครู่ก็ผลักผู้หวังดีด้วยแรงมหาศาล หนำซ้ำยังกระโดดผลุงขึ้นมายืนตะโกนลั่น


?ช่วยด้วยค่ะ! เขาทำอนาจารฉันค่ะ! พวกโรคจิต! ใครก็ได้ช่วยจับโรคจิตที ช่วยด้วย!?


เฮ้ย! ซื่อหลิงอุทานในใจ งงจนไม่สามารถขยับตัว กระทั่งมีผู้ชายท่าทางเอาเรื่องอีกสองคนวิ่งมาทางนี้ ใบหน้าแสยะยิ้มแปลกๆ พลางไถ่ถามหญิงสาวว่าเป็นอะไร


?เขาลวนลามฉัน!?


คำตอบทำเอาซื่อหลิงถึงกับเข่าทรุด รู้ตัวอีกที เด็กหนุ่มสองคนนั้นก็หยิบพลั่วขึ้นมาและตักทรายสาดใส่เขา เข้าทั้งทางหู ทางจมูก และทางปาก มันทำให้ซื่อหลิงยิ่งมึนหนักกว่าเก่า ลืมกระทั่งจะขัดขืน พวกนั้นคนหนึ่งล็อกร่างของเขาให้นอนลงไปกับพื้นแล้วจึงบอกให้อีกคนโกยทรายใส่อย่างรวดเร็ว จนตอนนี้ที่โผล่พ้นออกมามีแต่ศีรษะ!


?เป็นไง? สาวแสบคนเดิมเดินมายืนตรงหน้าเขา ?รสชาติการถูกฝังในทรายแบบนี้?


?พวกเธอเป็นใคร คิดจะทำอะไรกันแน่!?


?พักร้อนหมดลงแล้ว ฉันจะบอกคุณให้ อย่าได้เชื่อใครอีก? เธอเอ่ยเน้นย้ำทีละคำอย่างสะใจ รอยยิ้มร้ายๆ นั่นทำให้ซื่อหลิงเคียดแค้นแต่เขาก็ไม่อาจขยับตัวได้


?ไม่งั้นจะถูกหลอกเอาได้ง่ายๆ นะ?


?น่าสงสารจริงจริ๊ง!?


ว่าแล้วหนึ่งในผู้ชายสองคนนั้นก็จัดการเอามะนาวยัดใส่ปากของซื่อหลิงที่กำลังจะตะโกนเรียกให้คนช่วยไว้ ก่อนทั้งสามคนจะพากันเดินจากไป ไม่วายหันมาโบกมือให้ราวกับเสียใจที่ต้องล่ำลา


อะไรวะ!! ซื่อหลิงพยายามเปล่งเสียงพูดแต่ก็ได้เพียงแค่เสียงอือๆ อาๆ


เขาไม่เข้าใจเลย!





--------------
ดูท่าว่าซื่อหลิงจะไม่เป็นที่ต้องการของบ้านพักแสงตะวันเสียแล้ว แต่ใช่ว่าเขาเองจะต้องการอยู่ที่นั่นเช่นกัน แต่ไม่นานทุกอย่างก็จะเปลี่ยนไป แต่จะเปลี่ยนแปลงอย่างไรเป็นสิ่งที่ต้องติดตามกันต่อในรูปแบบหนังสือค่ะ สามารถหาซื้อได้ตามร้านหนังสือชั้นนำทั่วไปในเดือนธันวาคมนี้ค่ะ


ตอบกลับโพส

ย้อนกลับไปยัง “Bongkoch Books News & Activities”