New Release : Celebrity Sweetheart สวีทรักเจ้าหญิงมายา

อัพเดทข่าวบงกชบุ๊คส์ ความเคลื่อนไหว และกิจกรรมพิเศษ ตลอดจนร่วมสนุกชิงรางวัลพร้อมของรางวัลมากมาย

Moderator: P'Bly, Gals, พี่บี

ตอบกลับโพส
Gals
โพสต์: 1072
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 13 ก.พ. 2009 3:47 pm

New Release : Celebrity Sweetheart สวีทรักเจ้าหญิงมายา

โพสต์ โดย Gals »

เรื่องย่อ
คิมชอลซู นักศึกษาปริญญาเอกผู้คร่ำเคร่งกับการเรียนและมีความใฝ่ฝันว่าจะเป็นนักเขียนนิยาย เขาอยู่กับแต่หนังสือจนไม่รู้จักแม้กระทั่งอีมารี ดาราสาวผู้โด่งดังไปทั่วทั้งเอเชีย กระทั่งวันหนึ่งเขาต้องรับงานเป็นนักเขียนเงาให้เธอเพราะต้องการเงินไปจ่ายหนี้คนที่เขาไม่สมควรจะติดที่สุดในโลก ทำให้เขาได้รู้จักกับโลกใหม่ๆ ที่สร้างความวุ่นวายให้ไม่รู้จักหยุดหย่อน และเธอไม่ได้สร้างความเดือดร้อนให้กับเขาเพียงแค่นั้น แต่เพราะเธอไม่มีความรู้ใดๆ จนถูกเขาตราหน้าว่าโง่ เขาถึงต้องกลายเป็นติวเตอร์ลับๆ ให้เธอ แต่การปิดบังเพื่อไม่ให้ใครรู้นี่แหละคือสิ่งที่กำลังสร้างปัญหายิ่งใหญ่!






1





?ออกไปให้พ้นนะ! ฉันทนไม่ไหวแล้ว!!?


?ทำไมต้องพูดรุนแรงขนาดนั้นด้วยล่ะ โบยอง?


?ฮือ ออกไป! อย่ามาให้ฉันเห็นหน้าอีกนะ!?


เสียงตะโกนด่าทอดังออกมาจากห้องเล็กๆ ด้านหลังคาเฟ่ ผู้หญิงคนหนึ่งนั่งร้องไห้อยู่หน้ากระจก ส่วนผู้ชายอีกคนที่เป็นคู่สนทนาเดินออกมาจากห้องนั้นพร้อมกับกระเป๋าสีดำขลับในมือ หางตาของเขาเหลือบเห็นร่างเล็กที่แอบอยู่หลังประตู ชายร่างสูงโปร่งมองร่างนั้นก่อนจะทอดถอนหายใจ แล้วเดินเข้าไปหาเด็กน้อยพร้อมกับลูบหัวปลอบประโลม เขายื่นกระเป๋าใส่คีย์บอร์ดที่เป็นของรักของหวงของตัวเองให้กับเด็กผู้ชายคนนั้น


?ลูกมีพรสวรรค์เหมือนพ่อ เอานี่ ลูกจะต้องเล่นมันได้ดีแน่? แล้วผู้ชายคนนั้นก็เดินจากไป เด็กน้อยได้แต่ตะโกนเรียกและเฝ้ามองแผ่นหลังของผู้เป็นพ่อที่ค่อยๆ ห่างออกไปทีละน้อย


?ฉันไม่รู้จริงๆ ว่าทำไมชีวิตฉันต้องทุกข์ทนแบบนี้ ทำไม! ฮือ...ฉันทนอยู่ต่อไปไม่ได้แล้ว!?


?แล้วจะทำยังไง เด็กมันก็เกิดมาแล้ว?


เสียงตะโกนของหญิงสาวทำให้เด็กน้อยกลับไปยืนเกาะประตูและเฝ้ามองผู้เป็นแม่อีกครั้ง เสียงเตาะแตะของฝีเท้าทำให้ทุกคนในห้องหันมา รวมถึงผู้หญิงที่กำลังร้องไห้ เธอกรีดร้อง


?อย่ามาให้ฉันเห็นหน้าอีกนะ!!?


หลังจากวันนั้น เด็กน้อยก็กลัวอยู่ตลอดเวลาว่าแม่จะทิ้งเขาไป เขาคิดว่าถ้าเขาเป็นเด็กดี แม่ก็จะไม่ทิ้งเขา แต่โชคชะตาก็ทำให้เขามาถึงวันนั้น...


?แม่ครับ! แม่! แม่!? เด็กน้อยพยายามร้องเรียกหญิงสาวที่กำลังเดินจากไปพร้อมกับกระเป๋าใบใหญ่ เบื้องหลังของเด็กน้อยคือร่างบอบบางของน้องสาวที่อายุยังไม่พ้นวัยทารก ฝีเท้าของผู้เป็นแม่หยุดชะงัก ก่อนจะหันมามองลูกชายคนโตที่ทำท่าจะร้องไห้อยู่รอมร่อ เธอถอนหายใจและก้มลงขีดเส้นเส้นหนึ่งลงบนพื้น


?ห้ามเดินข้ามเส้นนั้นมานะ? หญิงสาวชี้ไปที่เส้นกั้นระหว่างเธอกับเด็กน้อย เด็กผู้ชายมองเส้นนั้นด้วยดวงตาที่เจ็บปวด


?ชอลซู...เมื่อลูกโตขึ้นแล้วลูกก็จะเข้าใจแม่ ฉะนั้น...? เธอควักธนบัตรออกมาและยัดมันใส่มือของเด็กน้อย ?แม่น่ะ...อยู่ไม่ได้ถ้าปราศจากความรัก แม่รักลูกนะ ลูกแม่ เงินนี่เอาไว้ซื้อหนังสือนะ?


?แม่ครับ!! แม่! แม่! แม่ครับ!! อย่าทิ้งผมไป!?


แล้วแม่ก็เดินจากเขาไป แบบเดียวกับพ่อในวันนั้น เด็กน้อยพยายามที่จะข้ามเส้นที่ผู้หญิงคนนั้นขีดเอาไว้ที่พื้น แต่ไม่ว่าอย่างไร เขาก็ข้ามเส้นนั้นไปไม่ได้ เด็กน้อยจึงได้แต่นั่งอ่านหนังสือ โดยหวังว่าสักวันหนึ่งแม่ของเขาจะกลับมา แต่ถึงเขาจะอ่านหนังสือจบทั้งหมด...แม่ก็ไม่กลับมา


เด็กน้อยเพียรอ่านหนังสือมากมายเพื่อเรียนรู้ที่จะข้ามเส้นนั้นให้ได้ เขาคร่ำเคร่งอ่าน อ่าน อ่าน แล้วก็อ่าน ในที่สุดเขาก็กลายเป็นหญ้าที่หยั่งรากลึกไปเรื่อยๆ จนกลายเป็นกอหญ้าใหญ่ในที่สุด...







?ช่วยเช็คให้อีกทีได้ไหมครับ นักศึกษาปริญญาเอกด้านวรรณคดีเกาหลี คิมชอลซู?


?ถูกต้องค่ะ โอนเข้ามาแล้วค่ะ? พนักงานฝ่ายการเงินตอบเสียงดังฉะฉาน และนั่นยิ่งเพิ่มความงุนงงให้แก่เขาเป็นทวีคูณ คิมชอลซูนอกจากจะเป็นอาจารย์พิเศษในมหาวิทยาลัยแล้ว ตอนนี้เขากำลังเรียนปริญญาเอกด้านภาษาเกาหลีอยู่ที่มหาวิทยาลัยโซล และด้วยฐานะที่ไม่ค่อยดีของเขา ทำให้เขามีปัญหาเรื่องการเงินและค่าใช้จ่ายอย่างรุนแรง


?หมายความว่ามีคนจ่ายค่าเรียนให้ผมหรือครับ??





แครดดด ปึง!


ประตูของบ้านที่ควบกิจการร้านขายไก่ทอดถูกเปิดออกและกระแทกปิดอย่างรุนแรงจากฝีมือของชายหนุ่มที่โผล่พรวดเข้ามาในร้าน เด็กสาวหน้าตาจิ้มลิ้มละสายตาจากงานตรงหน้าและร้องเรียกชายผู้มาใหม่ด้วยรอยยิ้ม


?พี่คะ!?


?ดอกเตอร์คิม!?


?กลับมาแล้วเหรอ? เสียงทักของผู้ใหญ่ที่นั่งรวมกันอยู่ที่โต๊ะไม้ภายในร้านทำเอาชอลซูชะงัก ชายหนุ่มข่มอารมณ์ที่กำลังพลุ่งพล่านและตอบกลับไป


?กลับมาแล้ว?


แล้วเขาก็พุ่งขึ้นไปชั้นบนของร้าน สายตากวาดมองหาใครคนหนึ่งที่จะตอบคำถามของเขาได้ เสียงกุกกักและเงาดำที่ฉายชัดอยู่บนประตูห้องของเขาดึงดูดให้ชอลซูเลื่อนประตูนั้นออกในทันที


?อ๊ะ...โอ๊ย ฉันตกใจหมดเลย? ชายหนุ่มที่กำลังทำปากจู๋พร้อมกับหลับตาพริ้มโวยวายขึ้นทันทีที่เห็นชอลซู เขาถอยห่างออกไปเล็กน้อย หางตาของชอลซูเหลือบเห็นโปสเตอร์รูปผู้หญิงคนหนึ่งถูกแปะอยู่ที่ประตูห้องเขา


?อะไร อ๋อ นี่เหรอ? จอนพยองจุนแสร้งทำเป็นจัดผมม้าของเขาและขยับแว่นเล็กน้อย ?คือไหนๆ ฉันก็จะมาอยู่ห้องนายแล้ว ฉันก็เลยอยากเอารูปนี่มาด้วย?


แต่นั่นไม่ใช่คำตอบที่เขาต้องการ


?ชเวอึนยอง? ชอลซูเอ่ยเสียงห้วน


?อึนยองเหรอ...อึนยองก็ไปเรียนต่อที่ญี่ปุ่นเมื่อเดือนที่แล้วไม่ใช่เหรอ? พยองจุนสะดุ้งเฮือก เขาเอ่ยอ้อมแอ้มและพยายามบ่ายหน้าหลบสายตาจ้องจับผิดคู่นั้น


?งั้นก็พี่?


?เปล่า ฉัน เอ่อ...ฉันแค่เป็นห่วง เห็นนายมัวแต่กังวลเรื่องค่าเรียนนายอยู่ ก็เลย...? ท่าทางและคำพูดของพยองจุนฟ้องว่าสิ่งที่เขาคิดอยู่มันเป็นจริง เปลวเทียนแห่งความโกรธกำลังเต้นเร่าอยู่ในดวงตาของเขา


?เบอร์โทรล่ะ?


?เบอร์โทร...? พยองจุนก้มหน้างุด เขารีบหากระดาษที่จดเบอร์และยัดไว้ที่ใดที่หนึ่งในกระเป๋ากางเกง ไม่นานนักกระดาษแผ่นนั้นก็ถูกยื่นไปให้ชอลซู เขารีบคว้ามัน มือหนึ่งกดเบอร์ใส่โทรศัพท์มือถือและวิ่งออกมานอกบ้านทันที


?ชอลซู! ชอลซู!?


เสียงรอสายเคล้าไปกับเสียงตะโกนของพยองจุน ไม่นานนักปลายสายก็กดรับ


[ฮัลโหล]


?นี่ฉันนะ เธอจ่ายค่าเรียนให้ฉันใช่ไหม? ชอลซูกรอกคำพูดลงไปอย่างรวดเร็ว ปลายสายเงียบไป ดูเหมือนเธอจะไม่คาดคิดว่าคนที่โทรไปจะเป็นเขา


[พี่เป็นไงบ้าง] เสียงหวานดังขึ้นอีกครั้ง แต่ดูเหมือนความโกรธของชอลซูจะบดบังความรู้สึกของเขาจนมองไม่เห็นความห่วงใยที่แฝงมากับประโยคนั้น


?เงินนั้นที่พยองจุนให้และก่อนหน้านั้น ทั้งหมดเป็นของเธอหมดเลยใช่ไหม?


[...พี่พยองจุนพยายามห้ามฉันแล้ว แต่ฉันยืนยันให้เขารับไว้เอง ฉะนั้นอย่าทำให้เขาต้องลำบากใจเลยนะ] เงียบไปอึดใจหนึ่ง เสียงปลายสายเริ่มสั่นไหว ชอลซูถอนหายใจเฮือกใหญ่ เขายกมือขึ้นเสยผมลวกๆ เพื่อระบายอารมณ์


?ทำไม...ทำไมเธอต้องทำแบบนี้ด้วย!?


[ดีแล้วที่พี่โกรธฉันคนเดียว]


คำพูดนั้นเล่นเอาเขาจุกจนพูดไม่ออก ทั้งๆ ที่เป็นแบบนี้...เธอก็ยังห่วงความรู้สึกของคนอื่น


?เอาล่ะ งั้นฉันจะหาเงินมาใช้คืน?


[ไม่ต้องนะ!]


?ฉันจะหาเงินมาคืนเธอเร็วๆ นี้ รอหน่อยแล้วกัน?


แล้วชอลซูก็กดตัดสายทิ้งอย่างรวดเร็ว ลำแขนยาวตกลงข้างกาย เขาก้มหน้านิ่งเพราะความเหนื่อยล้าผสมกับความเครียดที่มันชักจะมากขึ้นทุกวันๆ และเมื่อเขาหันหลังกลับหมายจะเข้าบ้าน...


?โอ๊ย เท้าฉันเจ็บจัง? พยองจุนยืนอยู่ตรงนั้น และข้างๆ กันก็คือคิมยูริน้องสาวของเขา กับน้าสาวอีกสองคนซึ่งเคยเป็นสาวคาเฟ่ร่วมกับแม่ของเขา แต่มาร่วมหุ้นเปิดร้านขายไก่ทอด พวกเธอสองคนและป้าคนโตอีกหนึ่งคนช่วยกันเลี้ยงเขากับยูริมาตั้งแต่ที่แม่ทิ้งเขาไป


?พี่คะ? ยูริทอดมองเขาด้วยความเป็นห่วง ชอลซูขบริมฝีปากแน่น ก่อนจะแสร้งทำเป็นยิ้มให้น้องสาวทั้งๆ ที่ความเหนื่อยล้ายังเกาะกุมอยู่ทั่วใบหน้าของเขา


?ไม่มีอะไร?


?เดี๋ยว นี่แกยืมเงินเขามาใช่ไหม? เสียงแหลมสูงดังมาก่อนตัว ป้าคนโตหรือคิมอ๊คจาที่เพิ่งกลับมาจากการซื้อของตรงเข้ามาหาชอลซู ชายหนุ่มทอดถอนหายใจ


?ใช่เด็กคนที่มาเยี่ยมเราบ่อยๆ หรือเปล่า เธอชื่ออึนยองใช่ไหม? อีจีซุกหันไปถามยูริ เด็กสาวตอบอย่างไม่เต็มใจนัก


?ค่ะ?


?โอ้...ถ้างั้นเธอก็คือคนที่ให้เงิน?


?งามหน้าไหมล่ะ เงินจากผู้หญิงที่มาหลงแก? คิมอ๊คจาดุ ใบหน้าที่เริ่มเห็นริ้วรอยแห่งวัยถมึงทึง


?คุณป้า...?


?ฉันบอกแกแล้วใช่ไหมว่าให้เรียนกฎหมายหรือไม่ก็ธุรกิจ แต่แกกลับเลือกเรียนวรรณคดี แกต้องรู้ตัวแกดีสิ แล้วมันทำให้แกได้เขียนนิยายอะไรบ้างรึเปล่าล่ะ? เสียงบ่นตามมาเป็นขบวน และมันก็กำลังจะเข้าตามรูปแบบเดิมที่เขาได้ยินมาตลอดหลายปี ตั้งแต่เขาเลือกที่จะเรียนด้านภาษา


?ผมจะขึ้นห้อง? แล้วชอลซูก็เลือกที่จะเดินหนีขึ้นห้องตัวเองไป เมื่อเขากลับมาถึงห้องได้ไม่นาน พยองจุนก็ตามขึ้นมาสมทบ


?นี่ ทำไมนายต้องทำเรื่องให้มันยุ่งยากด้วยฮะ ทุกคนมาเจอกันก็เพื่อทำดีต่อกัน อึนยองเป็นคนดี แถมการศึกษาก็ดี หน้าตาก็ดี ครอบครัวก็ดี นายนี่มันเป็นคนประหลาด เธอชอบนายแล้วก็จ่ายค่าเรียนให้นาย นายก็ควรจะพูดขอบคุณเธอ ถ้าเป็นฉันนะ ฉันจะปฏิบัติต่อเธอให้ดีที่สุดเลย แล้วฉันก็จะ...? พยองจุนพล่ามยาวจนแทบลืมหายใจ และเขาก็คงจะไม่หยุด ถ้าไม่บังเอิญไปสบเข้ากับดวงตาที่แสดงความไม่พอใจอย่างเด่นชัด


?เอ่อ...ใช่ นายก็มีชีวิตส่วนตัวของนายใช่ไหมล่ะ?


เขาหัวเราะแห้งๆ ชอลซูไม่ตอบอะไร เขาจ้องหน้ารุ่นพี่คนสนิทนิ่ง พยองจุนเริ่มรู้สึกว่าสถานการณ์ไม่ค่อยดี เขารีบหาเปลี่ยนเรื่องอย่างเร่งด่วน สายตาเบื้องหลังกรอบแว่นสีดำเหลือบไปเห็นโปสเตอร์ของอีมารีที่เขานำมาติดไว้ นั่นเป็นสิ่งเดียวที่โดดเด่นสะดุดตา ในห้องที่อึมครึมและอุดอู้ไปด้วยตู้หนังสือ พยองจุนไม่รอช้า เขาฉีกยิ้มกว้างและชี้ไปที่โปสเตอร์ของดาราคนโปรดทันที


?นายอยากให้ฉันเอารูปออกไหม ว่ายังไง ฉันจะเอาออกแล้วน้า?


ตกดึก ท้องฟ้าข้างนอกเริ่มมืดครึ้ม ความหนาวเหน็บค่อยๆ โรยตัวลงมาอย่างเชื่องช้า ห้องของชอลซูมืดสนิท มีเพียงแสงรำไรจากโคมไฟอันเล็กๆ เพียงเท่านั้น พยองจุนหลับไปแล้ว แต่ชอลซูยังคงนั่งคิดอะไรอยู่เงียบๆ เพียงคนเดียว เขาหยิบกล่องดำเงาที่ถูกซุกอยู่ใต้โต๊ะขึ้นมา เมื่อเปิดมันออก กล่องที่ดูไร้ค่าก็กลับกลายเป็นคีย์บอร์ดตัวหนึ่ง เจ้าของสิ่งนี้คือสิ่งเดียวที่พ่อทิ้งเอาไว้ให้เขาก่อนจะจากไป แต่นั่นไม่ใช่เรื่องสำคัญ...


ชอลซูไล่นิ้วไปตามลิ่มสีขาวอย่างคุ้นเคย เสียงตัวโน้ตดังขึ้นไม่เป็นจังหวะ...ช้า...เร็ว...ช้า...เร็ว...ขึ้นอยู่กับสติที่พอจะหลงเหลือของเขา เปลือกตาทั้งสองข้างหลุบลงราวกับต้องการจะปิดกั้นอะไรบางอย่าง แต่แล้วชายหนุ่มกลับหลุดเข้าไปในห้วงหนึ่งของความทรงจำ...


เสียงเปียโนอ่อนหวานพลิ้วไหวอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมขนาดเล็ก นิ้วเรียวสวยบรรจงกดลงบนลิ่มสองสี ก่อกำเนิดเป็นเมโลดี้ที่มีท่วงทำนองแสนเศร้า ทว่าแฝงไปด้วยไออุ่นอันอ่อนโยน ดนตรีนั้นยังคงขับขานจวบจนโน้ตบรรทัดสุดท้ายถูกบรรเลงออกไป


?นี่เป็นเพลงโปรดของฉัน? หญิงสาวเจ้าของเสียงเปียโนขยับยิ้ม ชอลซูนั่งอยู่ข้างๆ เธอในตอนนั้น ?ตอนที่ฉันเป็นเด็ก เพลงนี้เป็นเพลงตอนจบของการ์ตูนเรื่องหนึ่ง ตอนตัวละครตาย มันเป็นการ์ตูนเกี่ยวกับเจ้าหญิง แต่ในตอนสุดท้ายเรื่องกลับจบลงอย่างแสนเศร้า ถึงฉันจะชอบเพลงนี้มาก แต่ฉันก็เศร้าทุกครั้งที่ฉันเล่นเพลงนี้?


หญิงสาวละสายตาจากคีย์เปียโนตรงหน้ามายังชายหนุ่มที่นั่งอยู่เคียงคู่กัน ดวงตาของเธอส่องประกายแวววาวและรอยยิ้มที่เปี่ยมไปด้วยความรัก


?มันคงจะดีมากเลย ถ้าคนที่ฉันรักจะเล่นเพลงนี้ให้ฟัง แล้วฉันก็คงจะไม่รู้สึกเศร้าอีกต่อไปเมื่อได้ยินเพลงนี้ ดังนั้น พี่ต้องฝึกซ้อมเยอะๆ นะ? ว่าแล้วหญิงสาวก็โน้มศีรษะลงมาพิงที่ไหล่ของเขา ถึงแม้จะไม่ได้พูดมันออกมา แต่ชอลซูก็รับรู้ได้ถึงความรู้สึกที่เธอมีต่อเขาได้อย่างชัดเจน


หญิงสาวคนนั้นคือ ?ชเวอึนยอง? เธอคือเพื่อนร่วมคณะเดียวกับเขา เธอเป็นดั่งรักแรกและอาจจะเป็นรักสุดท้ายสำหรับชอลซู ถ้าเพียงแต่ว่า...เขาเกิดมามีฐานะที่ดีกว่านี้


?นักเปียโนจางชินมีและนักเขียนนวนิยายอันเลื่องชื่อ ครอบครัวชเวมูซู?


...ทั้งสองคือพ่อและแม่ของอึนยอง...


?พี่! พี่ชอลซู!? อึนยองวิ่งตามชายหนุ่มมาอย่างไม่ลดละ ชอลซูหยิบก้อนหินที่พื้น และก้มลงขีดเส้นคั่นระหว่างเขากับหญิงสาวที่วิ่งตามมา แบบเดียวกับตอนที่แม่เขาทำก่อนจะทิ้งเขาไป


?อย่าข้ามเส้นนี้มานะ? อึนยองหยุดยืนอยู่หลังเส้นนั้น เธอจ้องมองคนที่เธอรักด้วยความไม่เข้าใจ


?เราไม่ได้ถูกลิขิตให้มาคู่กัน มีความสุขมากๆ นะ รักษาตัวเองให้ดี รู้ไหม? และนั่นคือครั้งสุดท้ายที่เขาและเธอได้เจอกัน อึนยองผิดหวังในตัวเขา เธอตัดสินใจบินไปเรียนต่อที่ญี่ปุ่น ส่วนชอลซูก็ยังคงดำเนินชีวิตต่อไปโดยมีอึนยองอยู่เต็มหัวใจ ที่เขาทำแบบนั้นก็เพราะว่าเขาไม่อยากดึงอึนยองลงมา เธอสูงส่งและมีค่าเกินกว่าจะอยู่เคียงข้างผู้ชายที่ไร้อนาคตแบบเขา แต่แล้วเธอก็เข้ามาวุ่นวายกับชีวิตเขาอีกจนได้


?ฉันเอาจริงนะ นี่ ฉันเลี้ยงเองๆ!!? พยองจุนลุกพรวดขึ้นมาโวยวาย ชอลซูหันไปมองเพื่อนรุ่นพี่


?พี่พยองจุน?


?ฮะ! ว่าไง?


?งานพิเศษที่พูดถึงคราวที่แล้วน่ะ?


?งานอะไร?


?นักเขียนเงา? เมื่อพูดถึงคำนั้นชอลซูมีสีหน้าไม่สู้ดีนัก พยองจุนกระเถิบพรวดเข้าไปชิดขอบเตียง


?แต่ไหนนายเคยบอกว่านายจะไม่เป็นนักเขียนเงานี่นา นายบอกว่ามันเป็นการหลอกลวง...?


?ผมคงจะต้องทำ...ยังพอมีงานให้ผมอยู่ไหม?








?ราชินีแห่งวงการภาพยนตร์ ราชินีละครโทรทัศน์ ราชินียอดนักบู๊ มีใครบ้างล่ะที่ไม่รู้จักเธอ เธอคือดารายอดนิยมในเกาหลีและทั่วทั้งเอเชีย อีมารี!!? เสียงโฆษกในโทรทัศน์ยังคงตะโกนอย่างต่อเนื่อง ชอลซูจ้องมองดาราสาวในหน้าจอสี่เหลี่ยมที่กำลังส่งยิ้มหวานด้วยแววตาเฉยเมย


?เธอเปิดตัวในภาพยนตร์เรื่อง Magic Hour เธอปลุกเทรนด์การแต่งตัวแบบสาวห้าว และยังโชว์ความสามารถด้านบทบู๊โดยไม่ใช้ตัวแสดงแทน อีมารีเป็นนักแสดงที่แตกต่างจากนักแสดงคนอื่นๆ เธอได้โชว์ความสามารถในทุกบทที่เธอได้รับทั้งละครและภาพยนตร์ และทำให้ผู้ชมคลั่งไคล้ในตัวเธอในทุกบทที่เธอแสดง ในอินเตอร์เน็ตให้ฉายาเธอว่า ?อัลฟ่า เกิร์ล? เธอคือเม็ก ไรอันแห่งเกาหลี แองเจลีน่า โจลีแห่งเอเชีย...อีมารี!!?


?มาพบท่านประธานซอแทซอกใช่ไหมครับ? ชายหนุ่มในชุดสูทคนหนึ่งเดินเข้ามาทักชอลซูที่นั่งรออยู่บนโซฟาในห้องรับรองอยู่นานแล้ว ชอลซูพยักหน้าตอบเบาๆ โดยยังไม่ละสายตาไปจากโทรทัศน์ตรงหน้า


?สวยใช่ไหมล่ะ?


?ครับ??


?อีมารีไง คุณไม่ชอบเธองั้นเหรอ? มินจางซูทำเสียงขึ้นจมูกน้อยๆ เมื่อชอลซูยังคงนิ่ง สีหน้าของชายหนุ่มไม่มีแม้แต่แววชื่นชมแบบที่ทุกคนจะเป็นเมื่อเอ่ยถึง ?อีมารี?


?เปล่า คือผมไม่รู้จักเธอมากถึงขั้นจะชอบเธอได้น่ะ? ชอลซูตอบเรียบๆ จางซูแสดงสีหน้าไม่พอใจอย่างเด่นชัด ส่งผลให้ประโยคต่อมาห้วนสั้น


?ตามผมมา?


จางซูพาชอลซูขึ้นมาที่ห้องห้องหนึ่ง เขาเคาะประตูเบาๆ ก่อนจะเปิดเข้าไป


?ท่านประธานครับ นักเขียนมาแล้วครับ?


?คุณคิมชอลซูใช่ไหม? ชายวัยกลางคนที่อยู่เบื้องหลังโต๊ะทำงานเอ่ยทักทาย เขาเป็นชายรูปร่างท้วม ชอลซูเคลื่อนตัวเข้าไปในห้องแล้วประตูก็ปิดลง


?อา...คุณยังดูหนุ่มอยู่เลย นั่งสิ? เขาเชื้อเชิญ ชอลซูทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ที่อยู่ตรงข้ามกับประธานซอแทซอก ด้านหลังของชายร่างท้วมคือโปสเตอร์ขนาดใหญ่กว่าคนจริงสามเท่าซึ่งปิดทับผนังห้อง และแน่นอนที่สุดว่าคนในโปสเตอร์นั้นจะเป็นใครอื่นไม่ได้นอกจากอีมารี ดาราสาวที่โด่งดังที่สุดของสังกัด TS Entertainment


?เนื้อหาของหนังสือที่ผมอยากให้คุณเขียนแทนคือ บทความท่องเที่ยวเกี่ยวกับประวัติศาสตร์นาราในประเทศญี่ปุ่น หรือที่เรียกกันว่าอาสึกะ ซึ่งวัฒนธรรมแพคเจของเกาหลีได้เผยแพร่และเฟื่องฟูและเป็นสถานที่ทางวัฒนธรรมด้วย ผมอยากให้คุณไปอยู่ที่ญี่ปุ่นสักหนึ่งเดือนเพื่อศึกษาข้อมูลและเขียนหนังสือ คุณคิดว่ายังไง? ประธานซอแทซอกจ้องหน้าชอลซูนิ่ง และแน่นอนว่าเขาไม่อาจตัดสินใจได้ในทันที


?ผมชอบงานเขียนของคุณ? ซอแทซอกพูดขึ้นมาเสียดื้อๆ แล้วเขาก็หัวเราะ ?โดยเฉพาะที่คุณเข้าใจอารมณ์อ่อนไหวของผู้หญิง ผมเคยอ่านบทความท่องเที่ยวของคุณ ผมประทับใจเนื้อหาทุกตอนเลยทีเดียว แล้วคุณรู้ไหม บทความที่คุณเขียนถึงงานของออสการ์ ไวลด์* ชิ้นนั้นน่ะผมชอบเป็นพิเศษ ผมว่าคุณต้องเขียนหนังสือดีๆ ได้แน่...เอาตราประทับมาด้วยรึเปล่า?


?ก่อนที่เราจะทำสัญญา ผมอยากถามอะไรอย่างหนึ่ง? ชอลซูเอ่ยเสียงเบาราวกับเสียงกระซิบ ดูเหมือนเขายังคงไม่แน่ใจในการตัดสินใจของตัวเอง


?อะไร?


?ใครเป็นเจ้าของหนังสือที่ผมจะเขียนแทน คือ...ผมอยากศึกษาตัวตนเขา จะได้เขียนในมุมมองของเขาได้? เงียบไปอึดใจหนึ่ง ?ผมจะพบเขาได้ไหม?


?ถ้าคุณจะพบเพื่อให้เขียนออก นั่นไม่ได้หมายความว่าคุณไม่มีความสามารถพอที่จะเป็นนักเขียนเงาหรอกเหรอ? ประธานซอเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ มือทั้งสองประสานกันไว้หลวมๆ เขาแสดงออกอย่างชัดเจนว่ามีเจตนาดูหมิ่น แต่ชอลซูไม่ใช่คนที่ยอมแพ้อะไรง่ายๆ


?ถ้าคุณแค่กำลังมองหานักเขียนคนไหนก็ได้ คุณก็คงไม่อ่านบทความของผม? เขาตอบกลับด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ ประธานซอจ้องตรงเข้าไปในดวงตาที่ไม่ยอมลงให้กับใคร แล้วเขาก็หัวเราะอีกครั้ง


?ฮะฮะ คุณนี่น่าสนใจ ผมมีข้อมูลเยอะแยะที่พอจะให้คุณได้ แต่ก็ได้...ถ้าคุณต้องการอย่างนั้น?


?ผมจะได้พบเขาเมื่อไหร่ครับ? ชอลซูไม่สนใจดวงตาที่กำลังกดดันเขา เขายังคงโต้ตอบได้อย่างฉะฉาน


?วันนี้เป็นไง กำลังจะมีปาร์ตี้พอดี?


?ปาร์ตี้??


?นี่เป็นโอกาสเดียวที่คุณจะได้เห็นคนจ้างคุณเป็นการส่วนตัว อืม...แล้วถ้าจะไปพบเขา คุณจะต้องดูดีกว่านี้หน่อยนะ?







สองชั่วโมงถัดมา ประธานซอก็พาชอลซูลงมาที่งานเลี้ยงบริเวณด้านล่างของตึก ที่ตรงนี้เป็นลานกว้างซึ่งปูด้วยไม้ขัดเงาล้อมรอบด้วยบันไดใสที่จะพาขึ้นไปชั้นบน ถ้าเงยหน้าขึ้นจะมองเห็นผู้คนมากหน้าหลายตาที่ยืนคุยกันอยู่ตามชั้นต่างๆ และด้านบนสุดก็คือกระจกสีทึมแต่สามารถมองทะลุออกไปยังท้องฟ้าข้างนอกได้


เมื่อมาถึงประธานซอก็แยกตัวออกไปและทิ้งชายหนุ่มไว้ให้ยืนหลบอยู่ที่มุมหนึ่งของงาน ชอลซูขยับเสื้อผ้าอย่างไม่ค่อยมั่นใจ เขาถูกจับใส่ชุดสูทและทำผมใหม่หมด


?ขอบคุณแขกผู้มีเกียรติทุกๆ ท่านที่ให้เกียรติมาร่วมงานเลี้ยงฉลอง ขอบคุณมากครับ บรรยากาศดีมาก เหมือนผมได้มางานเลี้ยงรุ่นเลย เอาล่ะ เรามาเริ่มงานกันเลยดีกว่า? เสียงประธานซอดังขึ้นทั่วห้องโถงแห่งนี้ เหล่าแขกผู้มีเกียรติต่างหัวเราะกับคำพูดเป็นกันเองของเขา แล้วประธานซอก็ส่งไมค์คืนให้กับพิธีกรในชุดดำ


?ครับ...ขอเชิญทุกท่านต้อนรับนางเอกของงานวันนี้ ขอเสียงปรบมือให้กับเธอด้วยครับ!!? สิ้นเสียงตะโกน เสียงปรบมือก็ดังขึ้นอย่างพร้อมเพรียง ดนตรีหวานหูถูกบรรเลงขึ้นราวกับนัดแนะ ทุกสายตามองตามมือของพิธีกรที่ผายออกไป รวมถึงตัวชอลซูเองด้วย


แสงไฟสาดส่องที่บริเวณนั้น หญิงสาวคนหนึ่งเคลื่อนตัวออกมาอย่างเชื่องช้า เธอโปรยยิ้มอ่อนหวานก่อนจะค่อยๆ ก้าวลงมาจากบันได ชุดเดรสสีดำเลื่อมคล้ายเครื่องทรงของเจ้าหญิงขับผิวขาวของเธอให้ยิ่งผุดผาด เรือนผมเงางามถูกรวบเป็นมวยสูง เผยให้เห็นดวงหน้ารูปไข่และเครื่องหน้าที่งดงามหมดจด ยิ่งกว่าภาพวาดของนางฟ้าบนสรวงสวรรค์ รอยยิ้มละมุนฉกฉวยหัวใจจากผู้พบเห็น ร่างโปร่งบางหยุดยืนอยู่ใต้ซุ้มดอกกุหลาบสีขาวที่จัดขึ้นเพื่อเธอ


?นักแสดงยอดเยี่ยมแห่งยุค คุณอีมารีครับ!!?


?ฮี้ว~ มารี! อีมารี!? เสียงตะโกนโห่ร้องและเสียงปรบมือดังขึ้นยาวนานคล้ายจะชื่นชม หญิงสาวโค้งตัวและโปรยยิ้มแทนคำขอบคุณ ชอลซูมองภาพตรงหน้าด้วยอาการนิ่งค้าง มือทั้งสองที่ยกขึ้นหมายจะปรบกลับหยุดนิ่ง สายตาของชายหนุ่มจดจ่ออยู่เพียงรอยยิ้มปานเทพธิดาของเธอคนนั้น


?นั่นไงผู้ว่าจ้างของนาย? ประธานซอโผล่มายืนข้างๆ ชายหนุ่มโดยที่เขาไม่ทันรู้ตัว มือทั้งสองที่นิ่งค้างกลับมาทำหน้าที่ต่อ ชอลซูปรบมือให้เธอเช่นเดียวกันกับแขกคนอื่นๆ ในห้องนี้


?เขียนให้ดีๆ แล้วก็ไม่ต้องเปิดเผยตัวมาก? ประธานซอกระซิบเบาๆ ก่อนจะหันมาทางเขา ดวงตายิบหยีของท่านประธานกวาดมองชายหนุ่มทั่วทั้งตัว


?ไม่คิดว่านายใส่สูทแล้วจะดูดีขนาดนี้นะ ถือว่าสูทนี่เป็นของขวัญแล้วกัน? ว่าแล้วประธานซอก็ตบไหล่ชอลซูเบาๆ อย่างเป็นกันเอง ก่อนที่เขาจะแยกตัวออกไปอีกครั้ง


?เขียนหนังสือให้อีมารีงั้นเหรอ? ชอลซูพึมพำกับตัวเองอย่างคาดไม่ถึง เสียงปรบมือเริ่มเงียบหายไปแล้ว ดนตรีแผ่วเบาเริ่มบรรเลงเป็นสัญญาณว่างานเลี้ยงได้เริ่มต้นขึ้น แขกผู้มีเกียรติทั้งหลายต่างกระจายตัวกันออกไป เช่นเดียวกันกับดาราสาวเจ้าของงาน เธอเดินเฉิดฉายและทักทายผู้คนด้วยรอยยิ้ม ชอลซูสะบัดหน้าเพื่อไล่ความรู้สึกประหลาดเมื่อเห็นรอยยิ้มนั้น ก่อนที่เขาจะตัดสินใจเดินออกไปจากงานเลี้ยงนี้







ซ่า ซ่า~ เสียงน้ำไหลลงมากระทบกับตัวอ่างสีขาวเป็นจังหวะ ชอลซูวักน้ำใส่หน้าตัวเองสองสามครั้งเพื่อความสดชื่น เขาจ้องมองใบหน้าของตัวเองที่ส่องสะท้านอยู่ในกระจกเงา


?ขอโทษครับ ผมคงรับงานนี้ไม่ได้หรอก ขอโทษครับ งานเขียนนามแฝงนี้ ผมคงเขียนแทนคุณไม่ได้? ชายหนุ่มพูดกับเงาเบื้องหน้าราวกับซักซ้อม เขาพยายามคิดหาถ้อยคำปฏิเสธที่มันพอจะดูดีและใช้ได้ ริมฝีปากบางเม้มแน่น อา...นี่เขาจะทำยังไงดี เขาต้องการเงิน แต่งานนี้มันหนักเกินไป...มันรุนแรงมากเกินไป อีมารีเป็นดาราดัง การที่เขารับงานเป็นนักเขียนเงาให้เธอก็แปลว่าเขาต้องหลอกลวงคนทั้งประเทศ การกระทำในครั้งนี้เท่ากับการเหยียบศักดิ์ศรีของนักเขียนที่เขาเคยยึดถือให้จมดิน


เมื่อตัดสินใจได้แล้ว ชอลซูก็หันไปคว้าชุดสูทที่เขาถอดออกและเปลี่ยนกลับมาเป็นชุดเดิมของเขา ก่อนจะเดินออกจากห้องน้ำชั้นบนสุดที่เขาเลือกขึ้นมาเพราะคิดว่ามันห่างไกลจากงานเลี้ยง แต่แล้วเขาก็ได้รู้ว่าตัวเองคิดผิดอย่างมหันต์ ที่ราวกระจกใส...อีมารียืนอยู่ตรงนั้น หญิงสาวหันหลังให้เขาและก้มหน้าลงไปมองงานเลี้ยงที่จัดอยู่ที่ชั้นล่าง ร่างบอบบางในชุดสีดำพองฟูโยกย้ายไปมาตามจังหวะเพลง มือหนึ่งของเธอกำคอขวดไวน์เอาไว้ ดูเหมือนว่าเธอกำลังสนุกไปกับงานเลี้ยงทั้งๆ ที่ตัวเองยืนอยู่ในที่ห่างไกล


ชอลซูสาวเท้าเข้าไปใกล้แต่ยังคงทิ้งระยะห่างไว้เล็กน้อย เสียงเพลงบรรเลงเอื่อยเฉื่อยก่อนจะเงียบหายและขึ้นเมโลดี้ของเพลงใหม่ บางทีหญิงสาวอาจจะรู้สึกตัวว่าถูกจ้องมอง มารีหันหลังกลับทันที

?เอ่อ...?


หญิงสาวยกนิ้วชี้ขึ้นแตะที่ริมฝีปากเป็นเชิงบอกให้เงียบ คำพูดถูกกลืนหายลงไปในลำคอของชายหนุ่มอย่างรวดเร็ว ดวงตาราวกับเม็ดอัลมอนด์ส่งยิ้มให้เขา เช่นเดียวกับริมฝีปากอวบอิ่มที่คลี่ออก แล้วเธอก็หันหน้ากลับไปอีกครั้ง มารีทำตัวราวกับเด็กตัวน้อยๆ ที่กำลังเล่นซ่อนแอบ


เนื้อผ้าบางเบาพลิ้วไหวไปตามการขยับตัวของหญิงสาว ชอลซูจ้องมองหญิงสาวจากทางด้านหลัง ลำคองามระหง แผ่นหลังเล็กๆ และไหล่ที่ลาดมน เขาไม่แปลกใจเลยที่ใครต่อใครเอาแต่พูดถึงเธอ มารียกขวดไวน์ขึ้นกระดก เธอขยับตัวตามเสียงเพลงอยู่สักพัก ก่อนจะหยุดนิ่งและก้มลงมองขวดไวน์ในมือ


?เอ่อ...ขอบคุณ แต่ผมไม่ดื่มเหล้าจากขวดของคนอื่น? ชอลซูสะดุ้งเฮือก เมื่ออยู่ๆ สาวเจ้าก็หันกลับมาพร้อมกับยื่นขวดไวน์ให้ราวกับเป็นการเสนอ ถึงแม้จะได้รับการปฏิเสธแต่เธอก็ยังคงดึงดัน มารีเอียงคอเล็กน้อย เธอขยับยิ้มสดใส เรียวแขนราวกับลำเทียนยังคงยื่นออกมาข้างหน้าพร้อมกับขวดไวน์


ชอลซูนิ่งงันราวกับต้องมนต์สะกด มารีห่อปากเล็กๆ อย่างน่ารักก่อนจะขยับยิ้มกว้างจนเห็นฟันขาวสะอาดที่เรียงตัวกันอย่างสวยงาม ดวงตาของเธอกำลังเชื้อเชิญเขา


?มารี! มารี เธออยู่ไหน!? เสียงตะโกนดังขึ้นมาจากชั้นล่าง ขวดไวน์ถูกดึงกลับไปพร้อมกับใบหน้างดงามของหญิงสาวที่หันกลับไปมองหาต้นเสียง


?ฉันอยู่นี่ค่ะ ไม่ต้องขึ้นมา เดี๋ยวฉันจะลงไปเอง? เธอว่าพร้อมกับยกมือบอกตำแหน่ง เมื่อประธานซอเห็นเธอ มารีก็หันหลังกลับและวิ่งเข้ามายื่นขวดไวน์ให้เขา ชอลซูเอาแต่ยืนมองขวดไวน์นั้น จนในที่สุดหญิงสาวก็ตัดสินใจยัดมันใส่มือเขา ชอลซูก้มลงมองขวดไวน์ในมือและหันไปมองแผ่นหลังของหญิงสาวที่เริ่มห่างไกลไปทีละนิด มือขาวรวบกระโปรงที่ยาวกรุยกรายขึ้นเล็กน้อยก่อนจะวิ่งลงบันไดไปอย่างรวดเร็ว ท่าทางของเธอเหมือนกับเจ้าหญิงตัวน้อยที่ร่าเริงสดใสและแสนซุกซน ชอลซูไม่เคยคาดคิดเลยว่าดาราที่โด่งดังมากด้วยชื่อเสียงและเกียรติยศอย่างเธอจะมีลักษณะนิสัยราวกับเด็กเช่นนี้








?ตกลงนายต้องเขียนให้ใคร บอกหน่อยสิ ใครกัน...นายไม่เชื่อใจฉันเหรอ? พยองจุนถามชอลซูทั้งๆ ที่อาหารยังเต็มปาก ทันทีที่เขากลับมาบ้านก็โดนเพื่อนคนนี้จับตัวเอาไว้


?ไม่...จะให้ผมเชื่อใจพี่ได้ยังไง?


?เฮ้ๆ ช่างเหอะ ที่ฉันถามน่ะเพราะฉันอยากจะช่วยนาย นายก็รู้ว่าฉันเป็นคนยังไง ฉันจริงใจที่จะช่วยนายจริงๆ นะ อ๊ะ...ป้าครับ ขอเบียร์อีกสองแก้วสิครับ? พยองจุนบ่นยาวยืด ราวกับว่าเขากำลังน้อยใจ


?อีมารีกับนักยิงปืนโซนฮายองเป็นอะไรกันหรอ? ชอลซูตัดสินใจถามเรื่องที่ค้างคาใจออกไป เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เขาได้ยินมาจากนักข่าวที่เขาพบในงานเลี้ยงอีกที


?นี่...นายไม่รู้เหรอว่าอีมารีกับโซนฮายองเขา...เดี๋ยว...อีมารีกับโซนฮายองเหรอ? พยองจุนกำลังจะเล่าอะไรบางอย่าง แต่อยู่ๆ เขาก็หยุดไป


?ใช่?


?นายพูดถึงดารางั้นเหรอ ฮะฮะ ว้าว คิมชอลซูสนใจเรื่องดาราด้วย จริงหรือนี่? น้ำเสียงล้อเลียนทำเอาชอลซูรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาไม่น้อย เขาทำหน้าเหนื่อยหน่ายก่อนจะเอนตัวพิงพนักเก้าอี้


?ช่างเหอะ ผมไม่น่าถามพี่เลย?


?เอาน่า...ฉันรู้ว่าวันนี้ต้องมาถึง นายเป็นผู้ชายนี่นา ฉันคิดเอาไว้แล้วล่ะ ฉันหมายถึงว่าฉันรู้ว่านายต้องอยากรู้อยากเห็นเรื่องอีมารีเข้าสักวัน ฮ่าๆ ชอลซูของเรา...เป็นผู้ชายเหมือนคนทั่วไปแล้ว? พยองจุนลุกขึ้นพร้อมกับเหวี่ยงขวดเบียร์ไปรอบๆ แต่เมื่อเห็นสายตาไม่เล่นด้วยของชอลซูเขาก็นั่งลงกับที่ ?เอาล่ะ เข้าใจแล้ว ชอลซู นายกำลังจะบอกว่าอยากฟังความเห็นจากนักข่าวผู้คร่ำหวอดในวงการจอนพยองจุนคนนี้ใช่ไหม?


?มีเรื่องอะไรน่าสนใจเหรอ? อีจีซุกที่แอบฟังอยู่ห่างๆ รีบลากเก้าอี้และเข้ามาในวงสนทนาโดยเร็ว


?โซนฮายองเป็นนักกีฬาเหรียญทองโอลิมปิกที่คนรู้จักกันทั้งประเทศ ตอนช่วงโอลิมปิกน่ะ เขาเป็นที่รู้จักและโด่งดังถึงขีดสุด นอกจากนั้นเขายังเป็นลูกชายคนเล็กของเอ็มกรุ๊ป ชาติตระกูลดีแถมยังหน้าตาดี หึหึ พวกดาราหญิงต่างจ้องจะจับเขาทุกคน แต่ท้ายที่สุดอีมารีก็เอาชนะใจเขาได้ นี่ล่ะพลังเสน่ห์ของอีมารี?


?ฉันก็ชอบโซนฮายองมากเลยนะ? ยูริที่โผล่เข้ามาร่วมวงสนทนาด้วยโพล่งขึ้นมาอย่างเพ้อฝัน


?อะฮ้า ยูริ...? พยองจุนชี้นิ้วไปทางเด็กสาวหน้าตาจิ้มลิ้ม ?แต่ว่านะ โซนฮายองก็เดทกับอีมารีได้แค่หกสิบสามวันเอง เขาติดอันดับที่ห้าของระยะเวลาที่อีมารีคบผู้ชาย?


?ทำไม??


?อีมารีไม่เคยเดทกับผู้ชายคนไหนเกินร้อยวัน ไม่ว่าจะเป็นใคร ไม่ว่าจะเป็นดารายอดนิยมของเกาหลี ยุนจีฮุน เจ้าของห้างสรรพสินค้ารุ่นที่สอง คิมจูซิก อ๊ะ คนนี้ก็เป็นประเด็นร้อน ตอนที่พวกเขาไปเดทกันครั้งที่สอง เขาพาอีมารีไปที่ห้างของเขา แล้วก็บอกกับเธอว่า อะแฮ่ม...ถ้าคุณชอบของชิ้นไหนก็หยิบเอาไปได้เลย? พยองจุนกระแอมไอและเก๊กเสียงเข้มตอนประโยคสุดท้าย เรียกเสียงฮือฮาจากเหล่าป้าๆ น้าๆ ของชอลซูได้เป็นอย่างดี


?โอ้โห น่าอิจฉาจัง?


?ฮึ มันจะมีประโยชน์อะไร คบกันแค่สองวันเอง แล้วรู้อะไรไหม แม้แต่สุดยอดผู้กำกับของเกาหลี ผู้กำกับระดับโลกอย่างจางหลุยส์! เขาขอเธอแต่งงานด้วยแหวนเพชรวงเบ้อเริ่ม!!?


?โอ้!!?


?ห้าสิบห้าวัน! แค่ห้าสิบห้าวัน แล้วเขาก็ถูกทิ้ง อะแฮ่ม...แล้วคนพวกนั้นจะเป็นยังไงหลังจากถูกอีมารีทิ้ง!!? พยองจุนตบโต๊ะดังปึง! ดูเขาจะใส่อารมณ์กับการเล่าเรื่องของอีมารีเป็นอย่างมาก


?อะไร! อะไร!?


?ยุนจีฮุนเมาแล้วขับจนรถคว่ำตาย คิมจูซิกถูกพ่อซ้อมแล้วไล่ออกนอกประเทศ หลุยส์ฆ่าตัวตาย...?


?พอแล้ว!พอเถอะ ฉันผิดเอง ฉันไม่น่าถามเลย พอเถอะ? ชอลซูแทรกขึ้นมาอย่างหมดความอดทนกับเรื่องบ้าๆ นี่ เขาไม่น่าเสียเวลามานั่งฟังเรื่องไร้สาระ แล้วสุดท้ายเขาก็ลุกขึ้นจากโต๊ะ


?ผมขึ้นไปข้างบนก่อน?


?อ๊ะ เดี๋ยวสิ...นี่ คิมชอลซู! ไปญี่ปุ่นโดยสวัสดิภาพนะ!? เสียงตะโกนของพยองจุนดังไล่หลัง


ชอลซูเดินหนีขึ้นมาชั้นบนและกลับเข้าห้องของเขา สิ่งแรกที่เขาเห็นเมื่อเข้ามาก็คือโปสเตอร์ของอีมารีที่พยองจุนนำมาติดไว้ที่ประตู และเมื่อเขาเปิดโทรทัศน์ อีมารีที่ถือกระป๋องเครื่องดื่มก็กำลังส่งยิ้มให้เขา


?คุณอยากดื่มอะไรหน่อยไหมคะ?


ชายหนุ่มมองรอยยิ้มนั้น ก่อนจะตัดสินใจลุกขึ้นไปหยิบหนังสือเล่มหนึ่งมานั่งอ่าน


?นางเอกของเรื่อง ?มาดมัวแซลล์? เป็นเรื่องแรกที่สามารถตรึงคนดูได้ถึงสิบล้านคนเป็นประวัติการณ์ อีมารีครับ!? เสียงปรบมือดังทะลุออกมาจากโทรทัศน์ และชื่อนั้นทำให้ชอลซูเงยหน้าขึ้นจากหนังสือ ใบหน้าของหญิงสาวเริ่มปรากฏจนชินตา


?ฉันเห็นเธอบ่อยเหลือเกิน? ชอลซูพึมพำกับตัวเองก่อนจะก้มหน้าลงอ่านหนังสืออีกครั้ง ถึงแม้ว่าจิตใจของเขาจะไม่ได้จดจ่ออยู่กับตัวหนังสือตรงหน้าเลยก็ตาม


?รู้สึกเป็นเกียรติมากที่ได้พบคุณ เรามาเริ่มคำถามแรกกับคุณอีมารีกันเลยนะครับ ผมได้ยินมาว่าคุณมักจะชอบตั้งคำถามกับผู้ชายที่คุณสนใจ?


?อ๋อค่ะ มันเป็นคำถามเชิงจิตวิทยาน่ะค่ะ ถ้าคุณเกิดหลงป่า คุณจะเลือกสัตว์อะไรไปด้วย ลิง ม้า สิงโต หรือแกะ คุณจะเลือกอะไรคะ? มารีหันไปถามพิธีกรในชุดสูทสีเทาด้วยรอยยิ้มสวย


?นี่คุณกำลังถามผมเหรอ? เธอยิ้ม ?ว้าว...งั้นหมายความว่าคุณกำลังสนใจผมหรือนี่ ฮะฮะ ถ้าอย่างนั้นผมเลือกลิง? พิธีกรตอบพลางกลั้วหัวเราะ อีมารีขยับยิ้มให้กว้างขึ้นก่อนจะเริ่มอธิบาย


?ลิงหมายถึงเงินตรา ม้าหมายถึงหน้าตา สิงโตหมายถึงชื่อเสียง แกะหมายถึงความรัก มันเป็นการทดสอบว่าอะไรคือสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับชีวิตของเขา ฉันชอบคนที่เห็นคุณค่าของความรัก ก็คือคนที่เลือกแกะ?


?ว้าว! แปะ! แปะ! แปะ!?


?ยังกับเด็กๆ? ชอลซูเปรยเงียบๆ เขาพยายามทำเป็นไม่สนใจรายการที่เปิดเพียงแค่ผ่านหู แต่มันก็ไม่สำเร็จ อีมารีมีแรงดึงดูดมากกว่าที่เขาคิด ชอลซูหันไปมองรอยยิ้มของหญิงสาวตามที่หัวใจเรียกร้อง


?ถ้าเป็นไปได้ คนที่เลือกทุกอย่างน่าจะดีที่สุด ฮะฮะ แล้วคุณมีคำถามอื่นอีกไหมครับ?


?ถ้าให้เลือกดอกกุหลาบหนึ่งร้อยดอก คุณจะให้มีดอกกุหลาบสีแดงกับสีขาวอย่างละเท่าไหร่?


?โอ้...?


?สีแดงหมายถึงว่าคุณอยากเป็นที่รักมากแค่ไหน สีขาวหมายถึงความรักที่คุณจะมอบให้คนอื่น สำหรับฉัน ฉันเลือกกุหลาบสีขาวเก้าสิบเก้าดอกและสีแดงหนึ่งดอก เพราะฉันอยากมอบความรักให้คนอีกเก้าสิบเก้าคน แต่ขอให้มีเพียงคนเดียวที่รักฉัน...หนึ่งเดียวในใจเขา นั่นคือความหมายค่ะ?


?ว้าว ถึงตอนนี้แล้วมีคนตอบคำถามได้อย่างนี้หรือยังครับ?


?น่าเสียดาย...ยังไม่มีเลยค่ะ? หญิงสาวตอบพลางส่งเสียงหัวเราะเบาๆ


?ว้า เอาล่ะครับ มาถึงคำถามที่มีคนให้ความสนใจกันมากแล้วล่ะครับ คุณตั้งเงื่อนไขสำหรับผู้ชายที่คุณรักไว้ว่ายังไงบ้างครับ?


?เงื่อนไขสำหรับคนที่ฉันรักเหรอคะ? หญิงสาวทวนคำถาม เธอนิ่งคิด ?ในหนังเรื่องที่แล้ว มีฉากหนึ่งที่ฉันกำลังนั่งดูคู่รักสูงวัยคู่หนึ่ง ทั้งคู่กำลังนั่งซ่อมเสื้อผ้าของกันและกันอยู่บนม้านั่งในขณะที่พระอาทิตย์กำลังจะตก จริงๆ แล้วฉากแบบนี้อาจดูธรรมดา แต่ก็ทำให้ฉันน้ำตาไหลได้ ฉันแค่อยากมีผู้ชายสักคนที่พร้อมอยู่เคียงข้างฉันนานเท่านาน...ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เขาก็จะไม่หนีหายไป?


?คุณเคยมีประสบการณ์ที่คนรักหนีหายไปไหมครับ? คำถามนั้นทำเอารอยยิ้มสวยที่เคยมีบนใบหน้างดงามมลายหายไป ดวงตายาวรีราวกับเม็ดอัลมอนด์ฉายแววหม่นหมอง เธอหันไปมองทางเหล่าผู้ชมที่กำลังตั้งใจฟังอย่างใจจดใจจ่อ ก่อนจะคลี่ยิ้มอีกครั้ง


?จะเป็นไปได้ยังไง คนที่หายไปคือตัวฉันต่างหากค่ะ?


เสียงโห่ร้องและเสียงปรบมือดังขึ้นทันที ชอลซูจ้องมองรอยยิ้มนั้น เขารู้สึกว่ามันมีอะไรแปลกๆ ไป เธอดูเศร้าหมองมากกว่าจะยิ้มแย้มแจ่มใสอย่างที่เธอแสดงออก


งานนักเขียนนามแฝงหรือนักเขียนเงา...เขาอยากจะปฏิเสธงานนี้เพราะอีมารี และเขาก็อยากรับทำงานนี้เพราะอีมารีอีกเช่นกัน เธอเป็นดาราดัง แต่เสน่ห์ที่ดึงดูดและอะไรบางอย่างที่เธอพยายามจะปิดบังเอาไว้ทำให้ชอลซูรู้สึกอยากจะรู้จักเธอให้มากขึ้น ดังนั้น เขาตัดสินใจแล้ว....





10:00 AM ญี่ปุ่น


ชอลซูก้มลงมองกระดาษที่มีข้อมูลที่อยู่ที่ประธานซอเขียนให้ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองบ้านหลังใหญ่โตราวกับคฤหาสน์เบื้องหน้า ทันทีที่เขาเดินทางมาถึงหน้าบ้าน ประตูรั้วสีขาวสลักลายเทาก็เปิดออกโดยอัตโนมัติ ชอลซูลากกระเป๋าเสื้อผ้าเดินเข้าไปตามทางซีเมนต์ที่ลาดยาว เหล่าเด็กสาวในชุดสาวใช้ละสายตาจากงานสวนตรงหน้ามายังชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งที่กำลังเดินเข้ามาในตัวบ้านอย่างงุนงง เขากำลังสงสัยว่าเขามาผิดที่หรือเปล่า


?คุณคงเป็นแขกของท่านประธานซอแทซอกใช่ไหมครับ ยินดีต้อนรับครับ!? ชายชราในชุดที่คล้ายพ่อบ้านเอ่ยทักทายเขาเป็นภาษาญี่ปุ่น ชอลซูจ้องมองใบหน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอยเหี่ยวย่น ผมสีขาวโพลนที่ถูกหวีจนเรียบแปล้และเคราขนาดย่อมตรงคาง


?เชิญทางนี้ครับ? เขาว่าโดยไม่รอฟังคำตอบ พ่อบ้านชราพาชายหนุ่มเดินเข้าไปในตัวบ้านที่มองภายนอกแล้วดูคล้ายโบสถ์ด้วยศิลปะแบบยุโรป แต่เมื่อเข้ามาข้างในแล้ว ศิลปะแบบญี่ปุ่นผสมตะวันตกก็ปรากฏให้เห็นอย่างเด่นชัด


?ตึกนี้ถูกสร้างขึ้นในปี 1850 และได้มีการบูรณะสองครั้งในปี 1920 และ 1990 จนมีสภาพเหมือนที่เห็นอยู่ในปัจจุบันนี้ ผมได้ยินมาว่าคุณมาอยู่ที่นี่เดือนหนึ่งเพื่อมาเขียนหนังสือใช่ไหมครับ? พ่อบ้านชราพูดรัวเร็ว ชอลซูพยายามจับสำเนียงและคำจากประโยคนั้นแล้วนำมาปะติดปะต่อกันเอาเอง ถึงเขาจะเคยเรียนภาษาญี่ปุ่นมาบ้าง แต่เมื่อมาได้ยินเจ้าของภาษาพูดด้วยความเร็วและยืดยาวขนาดนี้มันก็ต้องมีชะงักกันบ้างล่ะ


?เดือนหนึ่ง...หนังสือ... ใช่ครับ ถูกต้องครับ ผมมาเพื่อเขียนหนังสือ นั่นใช่ที่คุณถามหรือเปล่าครับ? ชอลซูถามกลับไปเป็นภาษาอังกฤษ เขาดูไม่ค่อยแน่ใจกับสิ่งที่เอ่ยออกไป พ่อบ้านส่งยิ้มให้เขาและพาเดินต่อ





?มารี...มารี หลับอยู่เหรอ?


?ครับ พี่เพิ่งหลับไปเมื่อกี้?


?อืม งั้นเธอออกไปก่อนเถอะ?


เสียงบทสนทนาดังแว่วเข้ามาในโสตประสาทของหญิงสาวที่นอนเหยียดกายอยู่บนเตียง ผู้จัดการอีซึงยอนวางกล่องใบหนึ่งที่เต็มไปด้วยจดหมายจากแฟนๆ ลงบนโต๊ะข้างๆ เตียง


?ผู้จัดการเหรอ? เสียงพึมพำเบาๆ เล็ดลอดออกมาจากริมฝีปากได้รูป มือบางยกขึ้นดึงผ้าปิดตาออก


?ตื่นแล้วเหรอ? ซึงยอนส่งยิ้มให้กับร่างบางตรงหน้า เธอขยับยิ้ม


?ฉันเพิ่งฝัน...ฝันว่าฉันเล่นอยู่ที่ชายหาด?


?กับเด็กผู้ชาย?? ซึงยอนต่อประโยคให้ราวกับรู้อยู่แล้ว ครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่มารีบอกว่าเธอฝันแบบนี้


?ฉันคิดว่าคราวนี้จะได้เห็นหน้าเขาแล้วเชียว แต่ว่าฉันดันตื่นขึ้นพอดี เฮ้อ ปวดคอจัง?


?บางทีคราวหน้าเธออาจได้เห็นหน้าเขา ฉันเอาจดหมายแฟนคลับมาให้ นอนต่ออีกสักพักแล้วออกมาแต่งหน้าแล้วกัน เดี๋ยวหน้าจะโทรมหมด?


มารีพยักหน้าตอบรับ ก่อนจะดึงผ้าห่มขึ้นคลุมโปง ซึงยอนยิ้มให้กับความน่ารักของหญิงสาวแล้วเดินออกไป ทันทีที่ลับร่างของผู้จัดการ มารีก็กระเด้งตัวขึ้นโดยอัตโนมัติ หญิงสาวตรงดิ่งเข้าไปหากล่องจดหมายจากแฟนๆ อย่างรวดเร็ว เธอตื่นเต้นและดีใจทุกครั้งที่เห็นของพวกนี้ มันเป็นสิ่งที่แสดงว่าเธอเป็นที่รัก...เธอได้รับความรักจากทุกคน


มารีหยิบจดหมายฉบับหนึ่งขึ้นมาดู มันถูกส่งมาจากญี่ปุ่น เธอแกะมันเพื่อเปิดดูเพราะอยากรู้ว่าแฟนๆ จากประเทศอื่นจะคิดอย่างไรกับเธอ แต่สิ่งที่อยู่ในนั้นมันกลับผิดคาด ความรู้สึกจุกและแน่นหน้าอกแล่นเข้าเกาะกุมที่ขั้วหัวใจ รอยยิ้มสดใสค่อยๆ เลือนหาย เช่นเดียวกับหยาดน้ำตาที่เริ่มไหลริน


สิ่งที่อยู่ในนั้นคือรูปใบหนึ่ง หญิงสาวในรูปกำลังแย้มยิ้มสดใสและยกผ้าห่มขึ้นมาคลุมสูงถึงหน้าอก เผยให้เห็นไหล่ลาดมนและลำแขนที่สวยงาม เธอนั่งอยู่บนเตียงสีขาวสะอาดในห้องมืดๆ ที่มีแสงไฟสลัว กระจกทรงรีบานใหญ่ตั้งอยู่ข้างๆ เตียง และมันส่องสะท้อนภาพชายคนหนึ่งที่ถือกล้องถ่ายรูปเอาไว้ กล้องนั้นใหญ่โตจนปิดหน้าตาของเขาจนมิด


มันเป็นรูปของเธอ...ไม่ใช่รูปจากสตูดิโอ ไม่ใช่รูปที่เธอถ่ายตอนทำงาน แต่เป็นรูปที่ซออูจินถ่ายให้เธอตอนที่เขาและเธออยู่ด้วยกัน ความทรงจำที่ถูกปิดผนึกกำลังรื้นขึ้นมาอีกครั้ง ภาพอีกใบหนึ่งที่ซ้อนอยู่ด้านหลังร่วงหล่น มารีหยิบภาพนั้นขึ้นมาดู หินสีเทาเรียงตัวกันอย่างสวยงามจนเกิดเป็นพื้นที่กว้างๆ รายล้อมด้วยกอหญ้ามากมาย


ที่นี่มัน...


หญิงสาวไม่รอช้า ลุกออกจากเตียงโดยทันที


?ท่านประธานครับ พี่มารีหายไปไหนไม่ทราบครับ? มินจางซูซึ่งเป็นทั้งผู้ช่วยผู้จัดการและบอดี้การ์ดของอีมารีเข้าไปหาเธอในห้องหลังจากนั้นเพียงไม่นาน แต่สิ่งที่พบมีเพียงเตียงนอนสีครีมที่ว่างเปล่า เขาก็รีบวิ่งโร่ไปหาประธานซอทันที ซอแทซอกและอีซึงยอนนิ่งไป คืนวันนี้มารีจะต้องไปงานภาพยนตร์นานาชาติพื่อรับรางวัล แต่เมื่อเธอหายตัวไป...ประธานซอแทซอกรีบคิดหาหนทางแก้ปัญหาโดยทันที






ตกเย็น ชอลซูกลับเข้ามาในบ้านพักหลังจากที่เขาออกไปถ่ายรูปและเก็บข้อมูลเกี่ยวกับสถานที่ตั้งแต่เช้า ภายในตัวบ้านสลัวไปด้วยแสงไฟสีส้มจากโคมไฟระย้าที่ห้อยเรียงรายอยู่ตามทางเดิน


?ขอโทษครับ มีใครอยู่ไหมครับ? ชอลซูตะโกนเบาๆ เพราะเขารู้สึกว่ามันเงียบจนผิดสังเกต ปกติแล้วเขาจะเห็นเหล่าแม่บ้านเดินไปเดินมาในบ้านหลังนี้ และพ่อบ้านชราก็จะเกาะติดเขาเกือบตลอดเวลา ชายหนุ่มออกเดินไปตามทาง ผ่านห้องต่างๆ ก่อนจะสะดุดกึกอยู่ที่หน้าห้องหนึ่ง...


ใครคนหนึ่งนอนอยู่บนโซฟาสีน้ำตาลทอง เขานอนหลับไปทั้งๆ เสื้อกั๊กตัวหลวมและกางเกงสแล็คสีน้ำตาล แถมยังสวมรองเท้าผ้าใบโทรมๆ ชอลซูขยับเข้าไปดูใกล้ๆ และเมื่อร่างนั้นพลิกตัวกลับมา...


?อีมา...!? น้ำเสียงของเขาขาดห้วงไป เมื่อคิ้วโก่งราวคันศรขมวดเข้าหากันน้อยๆ หญิงสาวขยับตัวเข้าหาหมอน ซองจดหมายหนึ่งร่วงหล่นลงมาสู่พื้น ชอลซูก้มลงไปหยิบมันขึ้นมา เขามองรูปสองใบที่อยู่ในนั้น อีมารีในรูปมีรอยยิ้มที่เปี่ยมไปด้วยความสุข ก่อนจะสะดุดตากับเงาของผู้ชายที่อยู่ด้านข้างของรูป


?อืม...? หญิงสาวส่งเสียงครางเบาๆ พร้อมกับขยับตัว ชอลซูรีบเก็บรูปทั้งสองใส่ซองและค่อยๆ สอดมันกลับคืนเข้าไปที่ใต้หมอนของเธอ เขาตัดสินใจจะเดินออกไปจากห้องนี้ แต่แล้วร่างบอบบางที่นอนขดตัวงอก็ทำเอาเขาเปลี่ยนใจ ชายหนุ่มมองหาอะไรบางอย่างก่อนที่เขาจะคว้าผ้าสีครีมผืนหนึ่งที่วางอยู่บนโซฟาตรงข้ามกันขึ้นมา ชอลซูค่อยๆ ย่องเข้าไปใกล้และห่มผ้าให้เธออย่างเบามือ เมื่อรู้สึกได้ถึงไออุ่นร่างเล็กก็เริ่มขยับ มือบางคว้าผ้าที่ชอลซูบรรจงห่มลงไปขึ้นมาแนบอก ชอลซูยืนนิ่งอยู่กับที่ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้มีโอกาสพินิจใบหน้างดงามของหญิงสาวในระยะใกล้ คิ้วโก่งดั่งคันศร แพขนตาหนาสีดำแนบลงตัดกับแก้มขาวผ่องอมชมพู จมูกเล็กรั้นขึ้นน้อยๆ รับกับริมฝีปากอวบอิ่มน่าสัมผัส ชอลซูจ้องมองใบหน้านั้นอย่างหลงใหล ถึงแม้เขาจะสนใจแต่หนังสือ แต่เขาเองก็เป็นผู้ชาย...เมื่อเห็นผู้หญิงที่งดงามปานเทพี หัวใจก็เริ่มเต้นเป็นจังหวะประหลาด


เปลือกตาบางไหวเล็กๆ เช่นเดียวกับเครื่องหน้าได้รูปที่เริ่มขยับ ชอลซูจ้องมองใบหน้านั้นจนกระทั่งเปลือกตาบางทั้งสองข้างเปิดออก เผยให้เห็นดวงตาสีดำขลับที่จ้องตรงมา....




--------------
เรื่องราวชักจะยุ่งยากมากขึ้นไปทุกที เพราะนอกจากจะต้องเป็นนักเขียนเงาให้ดาราชื่อดังแล้ว เธอยังมาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าเสียอีก ติดตามเรื่องราวความรักของหนอนหนังสือและดาราสาวทั้งหมดได้ที่ร้านหนังสือชั้นนำทั่วไปค่ะ


ตอบกลับโพส

ย้อนกลับไปยัง “Bongkoch Books News & Activities”