เรื่องย่อ
โคชูเรสามารถสอบเข้ารับราชการได้ด้วยคะแนนสูงสุดเป็นอันดับที่สาม และได้เข้าทำงานที่วังหลวง สร้างความฮือฮาให้แก่ผู้คน โดยเฉพาะข้าราชการที่ต้องทำงานอยู่ในสถานที่เดียวกัน ทุกคนต่างก็เฉยชาและไม่อยากยุ่งเกี่ยวด้วย แม้แต่คนที่เคยสนิทสนมกันอย่างริโคยูหรือรันชูเอ ชิเซรันก็ไม่อาจยื่นมือเข้าไปเพราะเป็นนายทหารระดับล่าง กระทั่งฮ่องเต้ก็ไม่สามารถออกหน้าช่วยเหลือใดๆ ได้ แต่อย่างน้อยชูเรยังมีโทเอเงซึ เด็กหนุ่มซึ่งสอบเข้ารับราชการได้เป็นอันดับหนึ่งด้วยอายุที่น้อยที่สุดอยู่ด้วยจึงไม่รู้สึกโดดเดี่ยวนัก กระนั้นเหตุผลที่ทุกคนต่างหันหลังให้กับชูเรก็ยังเป็นปริศนาที่จะต้องค้นหา?!
บทนำ
คืนนั้นเป็นคืนที่พระจันทร์งดงามมาก
ฤดูหนาวใกล้จะสิ้นสุดลงแล้ว แต่สายลมในยามค่ำคืนยังหนาวราวกับจะเป็นน้ำแข็ง แม้แต่ลมหายใจของโซไทฟุที่เดินทอดน่องช้าๆ อยู่ในอุทยานยังพ่นออกมาเป็นไอสีขาว
โซไทฟุ แม่ทัพผู้กล้าที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นอดีตนักดาบอันดับหนึ่งของประเทศ แม้แต่ในปัจจุบันเขาก็ยังกล้าหาญ และเลือดร้อนจนนับได้ว่าอาจจะยิ่งกว่าหนุ่มๆ ทั่วไปเลย ทั้งที่เขาเป็น 1 ใน 3 มหาเสนาบดีที่มีตำแหน่งเป็นรองเพียงฮ่องเต้ แต่เขาก็รู้ดีว่าไม่อาจพาใครมาร่วมเดินในยามวิกาลเช่นนี้
?...เร็วจังเลยนะ ตั้งแต่เจ้าจากไป นี่ก็เกือบจะปีหนึ่งแล้วสินะ? โซไทฟุหยุดฝีเท้า แล้วเงยหน้ามองหอสูงแห่งหนึ่ง
แม้ว่ามันอาจจะไม่งดงามเท่ากับตำหนักหรือหออื่นในวัง แต่การที่มันตั้งตระหง่านอยู่ในอุทยานก็ทำให้มันงดงามราวกับดวงจันทร์ในคืนวันเพ็ญ เป็นความสงบในช่วงเวลาที่เนิ่นนานราวกับเป็นนิจนิรันดร์
เคยมีชายผู้หนึ่งที่นิยมชมชอบการขึ้นไปอยู่บนยอดหอสูงนี้ที่สามารถมองมาเห็นภายในวังทั้งวังได้ เพื่อจะมองภาพเมืองทั้งเมือง ชายผู้ซึ่งทอดสายตาออกไปไกล และกำลังครุ่นคิดถึงอนาคตของประเทศและประชาชนเสมอ
?ข้าจะไปให้สูงกว่านี้ ข้าจะยืนอยู่เหนือตระกูลโคและตระกูลรันให้ได้ เพราะอย่างนั้นข้าถึงรับใช้องค์ชายไงล่ะ?
ชายผู้ไม่เคยเอ่ยปากว่าจะทำเพื่อประเทศ แต่พูดเสมอว่าจะทำให้สำเร็จเพื่อตัวเอง แต่ถึงกระนั้นก็ไม่เคยใช้วิธีสกปรกเลยสักครั้ง แม้ว่าเขาจะมาจากตระกูลขุนนางใหญ่ที่เป็นรองเพียงตระกูลของฮ่องเต้ แต่ก็ไม่เคยใช้อิทธิพลของตระกูลซาเลย เขาพยายามแล้วพยายามเล่าจนได้เลื่อนขั้นด้วยความสามารถของตัวเอง โซไทฟุรู้ดีว่าจุดหมายปลายทางที่แท้จริงของสายตานั้นอยู่ที่ใด
?ขนาดเจ้าตัวเองอาจจะยังไม่รู้ก็ได้?
แต่ว่าอย่างน้อยก็มีอดีตฮ่องเต้กับตัวเขาและโชที่รู้
เขาเรียกร้องต้องการตำแหน่ง อำนาจ และเกียรติยศก็จริงอยู่ แต่นั่นเป็นไปเพียงเพื่อประเทศชาติและประชาชนทั่วไป จะหาได้ทำเพื่อตัวเองไม่
การที่เขามักจะมายืนมองประเทศจากหอสูงนี้อยู่เสมอนั้น เขากำลังคิดอะไรอยู่นะ...
?ทั้งที่เจ้าน่าจะพูดออกมาแท้ๆ แต่นั่นก็ไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริงของเจ้าสินะ?
ซาเอนจุน (ชื่อจริงของซาไทโฮะ) ไม่อยู่แล้ว เมื่อ 1 ปีก่อนเขาวางแผนก่อกบฏ แต่แล้วกลับต้องเสียชีวิตลง
ใครเป็นคน ?ฆ่า? เขานั้น ดูปราดเดียวก็รู้ สำหรับโซไทฟุที่เป็นแม่ทัพผู้ผ่านศึกสงครามแห่งความเป็นความตายมามากมายหลายครั้งย่อมไม่มีทางที่จะเชื่อว่า บาดแผลที่หลังของซาไทโฮะจะเป็นสาเหตุการตายของเขา และเขายิ่งแน่ใจตอนที่เพื่อนร่วมงานซึ่งปกติมักจะไม่มีสีหน้าที่เปลี่ยนไปเลย เดินโซเซเข้าห้องของตัวเองด้วยใบหน้าที่ซีดเซียว
?เจ้าน่าจะพูดออกมาแท้ๆ แต่นั่นก็ไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริงของเจ้า...? โซไทฟุพึมพำอีกครั้ง สายตาของเขาดูคมปลาบเมื่อจับจ้องสถานที่ที่สหายรักเสียชีวิต พวกหนุ่มๆ ที่รู้จักเอนจุนตอนที่เขาสูงวัยแล้วย่อมไม่รู้อะไรมากนัก บางทีคนที่รู้ความจริงในเรื่องนั้นอาจจะมีเพียงตัวเขาและโชเท่านั้น แม้แต่โชกะก็คงไม่รู้เช่นกัน
?ตั้งแต่ตอนนั้นก็ผ่านมา 1 ปีแล้ว บ้านเมืองกำลังขับเคลื่อนไปทีละนิด มันอาจจะผิดจากสิ่งที่เจ้าคาดเอาไว้อยู่บ้าง แต่ว่า...จนป่านนี้แล้ว เจ้าคงไม่หมกมุ่นอยู่กับความเสียดายหรอกนะ?
ชายผู้ได้ทำเรื่องที่ควรจะทำทั้งหมดแล้ว ชายผู้ใช้ความพยายามอย่างเต็มที่และเข้มงวดกับตัวเองมากจนถึงขั้นมากเกินไป ไม่มีอะไรจะต้องเสียใจหรือเสียดายอีกแล้ว
?ได้ยินว่ามีวิญญาณชายคนหนึ่งอยู่ที่หอนี้?
สายตาของโซไทฟุจับจ้องอยู่ที่ชั้นบนสุดของหอ... แสงสว่างจากดวงจันทร์ส่องร่างของชายคนหนึ่งที่ยืนอยู่ที่นั่น เป็นชายหนุ่มที่ดูอายุราวยี่สิบปลายๆ ใบหน้านั้นคมเข้มจนทำให้นึกภาพชายแก่ท่าทางใจดีไม่ออกเลย ชายผู้นั้นกำลังขมวดคิ้วและเม้มปากอย่างหงุดหงิด เขามองลงมายังด้านล่าง เหมือนกับกำลังจ้องมองโซไทฟุ เขาเป็นคนที่โซไทฟุรู้จักดีอย่างไม่ต้องสงสัย
เอนจุน... โซไทฟุพึมพำชื่อนั้นออกมาอย่างตกตะลึง
?...แถมยังกลับไปเป็นหนุ่มด้วยเรอะ? สำนวนคำพูดของโซไทฟุกลับไปเหมือนตอนหนุ่มๆ อย่างลืมตัว ที่เหนือหอสูงนั้น ร่างของชายหนุ่มสั่นไหวและหายวับไปราวกับไอหมอกอย่างไม่รับรู้ถึงสายตาของโซไทฟุ
โซไทฟุรู้สึกมึนศีรษะ ?...ทั้งที่พรุ่งนี้จะมีพิธีรายงานตัวแท้ๆ สงสัยเราจะนอนไม่หลับแฮะ?
**********
?เตรียมการเรียบร้อยแล้วใช่ไหม? เมื่อรันชูเอเข้ามาในห้อง ชายหนุ่มที่ห่อหุ้มร่างกายด้วยอาภรณ์สีม่วงทั้งชุดก็มองลงมาจากหน้าต่าง
สีม่วงเป็นสีของตระกูลรัน (สีน้ำเงิน) และตระกูลโค (สีแดง) ที่มีชื่อเสียงมารวมกัน เป็นสีที่มีศักดิ์สูงสุดในประเทศนี้ และผู้ที่จะสามารถสวมใส่สีนั้นได้ก็มีเพียงเชื้อพระวงศ์เท่านั้น
?....ทุกคน คงมากันพร้อมแล้วสินะ?
?พ่ะย่ะค่ะ เกือบแล้วล่ะ?
?แต่คนที่ยังไม่มาก็มีเหมือนกัน?
?...แหม มีด้วยเหรอ ไม่ต้องบอกเหตุผลเราหรอกนะ เพราะถึงบอก เราก็ไม่เข้าใจหรอก? ริวกิยิ้มน้อยๆ แล้วมองออกไปนอกหน้าต่างอีกครั้ง
ท้องฟ้าเป็นสีฟ้า... ความมืดมิดได้ผ่านพ้นไปแล้ว
?วันนี้เป็นวันดีสินะ? เขาพึมพำ แล้วหันหลังกลับ ค่อยๆ เดินไปยังตำหนักที่เป็นเป้าหมาย
**********
?อือ วันนี้เป็นวันดีจริงๆ นะ โคยู?
โคเรชิน เจ้ากรมขุนนางหยุดยืนที่ระเบียง กางพัดออกมาโบกและเงยหน้ามองท้องฟ้าที่แจ่มใส
?สีของท้องฟ้าเหมือนกับวันที่เจ้าสอบผ่านเป็นบันฑิต และต้องวิ่งหนีพวกขุนนางระดับสูงที่ไล่ล่าเจ้าในงานเลี้ยงฉลองเพื่อจะได้เจ้ามาเป็น ?ลูกเขย? นั่นเชียว?
?...ฮึ้ย!? ริโคยูกำหมัดจนสั่นขณะเดินตามหลังเรชินและถูกขุดคุ้ยฝันร้ายที่เขาไม่อยากจะจดจำ ถ้าหากผู้พูดเป็นผู้ที่ต่ำต้อยกว่า เขาคงจะเสียดสีกลับให้เจ็บกว่านี้สามเท่า... แต่เมื่อมองใบหน้าด้านข้างของเรชินแล้ว โคยูก็ลืมความโกรธไปเสียสนิท รอยยิ้มของเรชินด้านหลังพัดนั้นดูแปลกจริงๆ เป็นรอยยิ้มที่ดีใจระคนกับความภูมิใจอย่างปิดไม่อยู่
โคยูรู้ดีว่านั่นเป็นรอยยิ้มที่ให้ใคร
(...ตอนข้าสอบผ่าน เขายิ้มแบบนี้รึเปล่านะ) ความโดดเดี่ยวคืบคลานเข้ามาเกาะกุมใจนิดๆ แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นโคยูก็ยิ้มออกมา เพราะเขาเองก็รู้สึกเช่นเดียวกัน
(...ในที่สุดวันนี้ก็มาถึงแล้ว)
?เจ้ากรมขุนนาง ท่านโคเรชิน รองเจ้ากรมขุนนาง ท่านริโคยูมาแล้ว? เสียงที่ตื่นเต้นของมหาดเล็กประกาศก้องเมื่อเจ้ากรมและรองเจ้ากรมทั้งหกมาถึง
ทั้งสองสวมชุดเต็มยศก้าวเข้ามาในตำหนักโฮเทน
ตำหนักโฮเทนมีความกว้างใหญ่เป็นอันดับหนึ่งในวัง พิธีการต่างๆ มักจะถูกจัดขึ้นที่นี่เสมอ และวันนี้เหล่าขุนนางระดับสูงในเมืองหลวงก็มารวมตัวกันอยู่ที่ตำหนักนี้
?...ฮือฮากันยิ่งกว่าตอนที่พวกรองเจ้ากรมริสอบผ่านซะอีกนะ? เจ้ากรมหน้ากากพึมพำอย่างรำคาญ วันนี้เจ้ากรมขุนนาง โค้วคิจินก็ยังคงไม่ต่างจากที่เคย มีแต่เขาที่เข้าร่วมพิธีโดยไม่มัดผมและไม่เปิดเผยใบหน้าอย่างไม่สะทกสะท้านแม้จะเป็นงานพิธีใหญ่ก็ตาม
เคยูริ รองเจ้ากรมคลังที่ยืนอยู่ด้านหลังเขาได้ยินเสียงของเจ้านายที่อยู่ภายใต้หน้ากากชัดเจน
?ก็นั่นน่ะสิ แล้วที่สำคัญก็คือ สามคนที่ได้ตำแหน่งสูงสุดนี่สิ? ตัวรองเจ้ากรมเคพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่แสดงอาการแปลกใจ ขณะที่มองดูด้านหน้าอุทยานของตำหนักโฮเทน
ผู้ที่เดินเรียงแถวเข้ามาอย่างสง่างามแต่ก็มีความอ่อนน้อมคือเหล่าบัณฑิตผู้สอบผ่านการคัดเลือกเข้ามาใหม่โดยเรียงตามอันดับที่สอบได้ แต่ที่สามแถวที่อยู่ด้านหน้าสุดนั้น สายตาและเสียงที่ฮือฮาของเหล่าขุนนางระดับสูงมุ่งตรงไปยังคนคนหนึ่งในนั้น
รองเจ้ากรมเคซึ่งปกติแล้วเป็นคนสุภาพอ่อนโยน แต่ตั้งแต่รู้ว่าผู้สอบผ่านการคัดเลือกที่เป็นหญิงสาวเพียงคนเดียวนั้นเป็นใครก็ทำให้เขากลายเป็นคนที่กล้าต่อปากต่อคำกับผู้เป็นนายมากขึ้น แต่ดูเหมือนว่าวันนี้จะมีเรื่องที่ทำให้เขาสนใจมากกว่าการต่อปากต่อคำอย่างช่วยไม่ได้
รองเจ้ากรมเคมองดูที่นั่งที่ 3 แล้วยิ้มอย่างอ่อนโยน
?...ต่อไปนี้ พวกเขาคงต้องลำบากหน่อยนะ?
?พวกเขาคงเตรียมพร้อมอยู่แล้วล่ะ?
?ถึงจะเป็นอย่างนั้น ความเป็นจริงมันอาจจะโหดร้ายกว่าที่คาดคิดไว้ ท่านเองก็น่าจะทราบเรื่องนั้นดีไม่ใช่หรือ? รองเจ้ากรมเคมองเจ้านายเหมือนจะแย้ง แต่เจ้ากรมโค้วกลับไม่แสดงความเห็นด้วยเลยแม้แต่นิด
?แล้วยังไงล่ะ? เรื่องนั้นก็รู้อยู่แล้วเหมือนกันไม่ใช่เหรอ ไม่ว่าจะเป็นหญิงหรือชาย คนที่พ่ายก็ย่อมพ่าย คนที่ร่วงก็ย่อมร่วง...คนที่รอดก็ย่อมรอด?
เย็นชาซะจริงนะ... รองเจ้ากรมเคเกือบจะหลุดปากออกมาแต่ก็ยั้งไว้ได้ทัน ก่อนจะหันไปดูสองคนที่เข้ามาใหม่จากทางด้านหลัง
?พวกเราคงได้แต่รอ ให้เด็กคนนั้นไต่มาจนถึง ?จุดนี้? ใช่ไหมล่ะ เรชิน? คิจินพูดโดยไม่เหลียวไปมอง
ชายที่ยืนอยู่บนขั้นที่สูงกว่าเขาหนึ่งขั้นยกมุมปากนิดๆ ?ใช่ ถูกต้องแล้วล่ะ?
ตอนนี้ จากตำหนักที่ห่างไกล ในที่สุดก็ถึงเวลาที่ใกล้จะมายืนเคียงบัลลังก์แล้ว
บางทีนั่นอาจจะเป็นอนาคตที่อยู่ไม่ไกลก็เป็นได้
**********
?ไม่คิดเลยนะว่า สถิติของท่านริโคยูที่อายุน้อยที่สุดที่เคยสอบได้จะถูกทำลายอย่างง่ายดาย? โชไทชิที่ยืนอยู่ด้านซ้ายของบัลลังก์ที่ยังว่างเปล่าอยู่มองดูที่นั่งบัณฑิตที่สอบได้ 3 อันดับแรกอย่างชื่นชม
?ยิ่งกว่านั้นผู้หญิงยังได้นั่งแถวหน้าสุดด้วย แต่ก็มีคนเส้นใหญ่ที่ไม่ใส่ใจงานมอบตำแหน่งเหมือนกันนะ?
?...คนที่ไม่ใส่ใจ หมายถึงน้องชายของรันชูเอน่ะเหรอ? โซไทฟุที่ยืนอยู่ด้านขวาของบัลลังก์ ไม่รู้ทำไมจึงมีใต้ตาดำคล้ำเป็นหมีแพนด้า ที่นั่งกลางของแถวหน้าที่เขามองไปนั้นว่างเปล่า นั่นเป็นที่นั่งของคนที่สอบเข้าได้เป็นอันดับ 2
?...ในที่สุดก็จะเริ่มแล้วสินะ? โซไทฟุพึมพำ ทำให้โชไทชิหรี่ตาแล้วมองบัลลังก์ที่ว่างเปล่า
เมื่อปีที่แล้วไม่มีการจัดการสอบเข้า โดยอ้างว่าอยู่ในช่วงไว้ทุกข์ให้แก่ฮ่องเต้พระองค์ก่อน แต่ในความเป็นจริงแล้ว ที่หยุดไปเพราะฮ่องเต้องค์ใหม่ไม่ให้ความสนใจกับงานบ้านเมือง เอาแต่เก็บตัวอยู่ในเขตพระราชฐานชั้นในมากกว่า
แต่ว่า ปีนี้...
?เฮ้อ ในที่สุดก็จะเริ่มแล้ว?
บันฑิตใหม่เหล่านี้ผ่านการคัดเลือกมาด้วยสายตาของฮ่องเต้เอง ...ใช่ ต่อไปนี้จะเริ่มต้นจริงๆ แล้ว
?หวังว่าเราคงจะได้เห็นยุคใหม่ที่สร้างด้วยคนหนุ่มสาวนะ?
แล้วก็มีเสียงประกาศก้องเมื่อคนสุดท้ายที่เข้ามาในตำหนักมาถึง โชไทชิและโซไทฟุคุกเข่าลงพร้อมกันเพื่อต้อนรับการมาถึงของฮ่องเต้
**********
?ผู้ที่ได้ที่ 1 ประจำปีนี้ ได้แก่...โจเง็น โทเอเงซึ? ขุนนางกรมพิธีการที่จัดสอบประกาศรายชื่อผู้สอบเข้ารับราชการได้ในปีนี้ตามลำดับ
?...ครับ?
เสียงประกาศนั้นดูเหมือนยังเด็กและเจือด้วยความตื่นเต้น และคนที่นำขบวนมาก็เป็นเด็กชายที่เด็กพอๆ กับเสียงเช่นกัน
?ที่ 2 ...โบเง็น รัน...ริวเรน?
ที่เสียงนั้นตะกุกตะกักไปก็เพราะไม่มีใครตอบรับเสียงประกาศนั้น กรมพิธีการไม่คิดว่าจะมีใครเพิกเฉยต่องานพิธีรายงานตัว แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่เห็นแม้เงาของ ?โบเง็น? จนขุนนางกรมพิธีการผู้รับผิดชอบการดำเนินงานหน้าซีด นึกแผนรับมือไม่ออก ถึงกระนั้นก็ต้องพยายามให้งานผ่านไปให้ได้... แม้จะใจคอไม่ดีและอ้ำอึ้งไปพักใหญ่ สุดท้ายจึงต้องกระแอมแก้ขัด ก่อนจะรีบอ่านรายชื่อผู้ที่สอบเข้าได้รายต่อไป
?ที่ 3 ...ทันกะ โคชูเร?
บรรยากาศตึงเครียดขึ้นมาทันตา ทุกสายตาต่างจับจ้องไปยังผู้สอบผ่านการคัดเลือกที่ถูกประกาศชื่อนั้นอย่างพร้อมเพรียงกัน
?ค่ะ?
เสียงใสๆ นั้นเป็นของเด็กสาวคนหนึ่งที่ผ่านการสอบคัดเลือกเข้ารับราชการระดับประเทศ เธอเงยหน้าตรงราวกับจะท้าทายสายตานับร้อยที่มองเหมือนกับจะทิ่มแทงทั่วร่าง
อย่างกับดอกไม้ป่าเชียวนะ ...ฮ่องเต้ที่ประทับบนบัลลังก์คิดแล้วเผลอยิ้มออกมา
?ต่อไปเป็นการขานชื่อผู้ที่สอบเข้าได้ในสามอันดับแรก?
ผู้สอบเข้ารับราชการได้เป็นสามอันดับแรกในปีที่ 3 ของรัชกาลปัจจุบัน
ที่ 1 ตำแหน่งโจเง็น* ...โทเอเงซึ อายุ 13 ปี เพศชาย
ที่ 2 ตำแหน่งโบเง็น** ...รันริวเรน อายุ 18 ปี เพศชาย
ที่ 3 ตำหน่งทันกะ***...โคชูเร อายุ 17 ปี เพศหญิง
นั่นเป็นการถือกำเนิดของเหล่าผู้สอบผ่านการคัดเลือกที่เด็กเหลือเกิน และเด็กยิ่งกว่าตอนที่ริโคยูสอบเข้ารับราชการได้เสียอีก
ตอนที่ 1 สิ่งที่อยู่ในฝ่ามือนั้น
กลางดึกคืนหนึ่ง ...เด็กหนุ่มคนหนึ่งถูกอันธพาลหลายคนรุมล้อมอยู่ ณ มุมหนึ่งในเมืองหลวงคิโย เด็กชายที่ดูเหมือนจะมีอายุพ้นสิบขวบมาได้ไม่กี่ปีกับอันธพาลซึ่งมีรูปร่างที่แตกต่างกันเหมือนเด็กกับผู้ใหญ่
แม้จะอยู่ในสภาพที่จนตรอกอย่างเห็นได้ชัด แต่เด็กหนุ่มที่ไร้กำลังจะสู้กลับสงบนิ่ง เพียงแต่ปัดผมด้านหน้าที่ยาวปรกหน้าผากอย่างรำคาญ
?...เลิกทำบ้าๆ ซะทีเถอะ ตามอยู่ได้ น่ารำคาญ ทำให้ข้าไม่มีที่พักจะค้างคืนเลย?
พวกหนุ่มๆ เหล่านั้นพากันยิ้มดูถูกคำพูดของเด็กชาย
?เอ๊ะ ว่าไงนะ ไอ้หนู?
?เจ้าจะเป็นยังไง พวกเราไม่สนหรอกนะ แต่ว่าเจ้านายของพวกเราโมโหมากที่โดนเจ้าดูถูก เหอะ แล้วจะบอกให้นะว่าที่เจ้าหาที่พักไม่ได้ก็เพราะฝีมือของเจ้านายพวกเราไงล่ะ?
เด็กหนุ่มถอนหายใจ
?ผู้ที่ปฏิเสธที่จะดื่มในงานเลี้ยง และบอกปัดเรื่องการแต่งงานกับลูกสาวของเขา ต่อหน้าสาธารณชนไม่ใช่ข้าสักหน่อย ...แต่ว่าตื๊อไม่เลิกเพราะเรื่องแค่นั้นเนี่ยนะ ความจริงเรื่องเหล้ายังไม่เท่าไหร่หรอก แต่เรื่องแต่งงานนั่น ต่อให้เป็นข้าก็คงหัวเราะขึ้นจมูกเหมือนกัน?
?...ถ้าเจ้าพูดอย่างนั้น ก็คงต้องมีการเจ็บตัวกันบ้างแล้วล่ะมั้ง?
พวกอันธพาลดีดนิ้วพลางย่างสามขุมเข้ามา แต่พริบตาต่อมาร่างของเด็กหนุ่มคนนั้นก็หายไป อันธพาลคนหนึ่งโดนตีจากทางด้านหลัง ได้ยินเสียงกระดูกหักตามมา ก่อนที่จะกระอักเลือดและสลบไป
?อะ... อะไรกันน่ะ!?? อันธพาลอีกคนที่หันไปหันมาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นก็ถูกโจมตีเข้าที่ท้ายทอย อีกคนโดนต่อยเข้าที่ท้องน้อยจนเข่าอ่อนหมดสติ และคนสุดท้ายก็ถูกเตะตัดขา และถูกศอกกระทุ้งเข้าที่ท้องตามมาจนสลบไปด้วยความเจ็บปวด ทั้งที่ยังจับต้นชนปลายไม่ถูก
ตรงกันข้ามกับเด็กหนุ่มที่จัดการกับเหล่าอันธพาลพวกนั้นจนหมอบภายในชั่วพริบตาโดยไม่มีอาการเหนื่อยหอบเลยสักนิด
?...ไม่เจียมตัวซะบ้างเลย ว่าแต่ จะไปซื้อเหล้าดีไหมเนี่ย เป็นเพราะเจ้าบ้าเอเงซึส่งเงินไปจนหมดแท้ๆ? ว่าแล้วก็ควานเข้าไปในเสื้อผ้าของพวกอันธพาลที่ล้มระเนระนาด จนเจอกล่องเล็กๆ สีขาวพร้อมกับกระเป๋าเงินในกระเป๋ากางเกงของอันธพาลคนหนึ่ง เมื่อมองดูสิ่งที่อยู่ข้างใน เด็กชายก็ยิ้มหน้าบาน
?ท่าทางจะพอค่าเหล้าแล้ว? เด็กหนุ่มโยนถุงใส่สตางค์ในมือเล่น ก่อนจะแฝงตัวหายไปในคืนเดือนมืด
**********
ผู้คนในเมืองที่คุ้นเคยกลับมองชูเรอยู่ไกลๆ เมื่อก่อนพวกเขามักจะทักทายชูเรอย่างอารมณ์ดีเสมอ แต่ตอนนี้สีหน้าของพวกเขาดูสับสน เมื่อสบตาก็รีบหลบตาและผละไปอย่างรวดเร็ว ต่อให้มีธุระก็จะพูดให้สั้นที่สุดด้วยน้ำเสียงห้วนๆ ก้มหน้าก้มตาทำท่าเหมือนจะรีบไปที่ไหนสักแห่ง เรียกง่ายๆ ว่าท่าทางดูเย็นชา ตั้งแต่ชูเรสอบเข้ารับราชการระดับประเทศได้ ชูเรก็แทบจะไม่ได้เห็นรอยยิ้มจริงใจจากพวกเขาเลย แม้แต่เด็กๆ ที่เคยมาเรียนหนังสือ ก็ไม่มาให้เห็น
?ขอโทษทีนะ...ชูเรจัง อย่ามาที่นี่สักระยะจะได้ไหม? เคยมีผู้หญิงคนหนึ่งพูดตรงๆ แบบนั้น นับว่าเป็นความกล้าอย่างล้นเหลือ สำหรับคนที่ใช้ชีวิตอยู่ในกรอบมาตลอด เธอคือผู้หญิงที่น่านับถือ เคยเป็นคนที่ให้ความเอ็นดูชูเรมาก และเคยแสดงความยินดีเมื่อรู้ว่าชูเรสอบผ่านด้วย ...ชูเรคิดว่าเธอคงจะรักชูเรไม่น้อย มีแต่ผู้หญิงคนนี้เท่านั้นที่ไม่เปลี่ยนไป แต่ถึงกระนั้นชูเรก็ยังไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไรดี
ชูเรถอนใจ อันที่จริงแล้วชูเรไม่ได้คิดมาก่อนเลยว่าเรื่องจะกลายเป็นแบบนี้ หรือถ้าจะพูดให้ถูก คงต้องบอกว่าไม่อยากจะคิดมากกว่า มันคงเหมือนกับสำนวนที่ว่า ได้อย่างเสียอย่าง นี่คงเป็นการแลกเปลี่ยนกับสิ่งที่ได้มา ในเวลาที่ดีใจที่สุดในชีวิต...แต่อีกครึ่งหนึ่งในหัวใจกลับรู้สึกเศร้าและโดดเดี่ยว
ชูเรที่ทำท่าจะก้มหน้าลงกลับเงยหน้าขึ้น เพราะนี่คือสิ่งที่ชูเรหวังและเลือกด้วยตัวเอง ชูเรจึงตัดสินใจว่าจะไม่เสียใจ เพราะฉะนั้นเมื่อชูเรสบตากับชาวเมืองก็จะยิ้มให้เหมือนที่เคย ถึงแม้ว่าใครๆ จะก้มหน้าก้มตาหรือเดินหนีไป แต่นั่นก็เป็นสิ่งเดียวที่ชูเรสามารถจะทำได้ในขณะนี้
แต่แล้วชูเรก็รู้สึกถึงเงาเล็กๆ ที่กำลังเดินโซเซอยู่ตรงหน้า ร่างนั้นผอมบางและมอมแมมมาก ดูเผินๆ น่าจะเป็นพวกคนจรจัด เมื่อชูเรเห็นหน้าก็รู้สึกสลดใจอยู่วูบหนึ่ง แต่แล้วความรู้สึกนั้นก็หายวับไป ชูเรวิ่งเข้าไปหาเด็กหนุ่มที่นั่งอยู่ตรงหน้าต้นหญ้าที่งอกอยู่ริมทางและกำลังทำท่าเหมือนคิดอย่างจริงจังว่า ?นี่มันจะกินได้รึเปล่านะ?
ชูเรคว้าคอเสื้อด้านหลังนั้นไว้ ?หยุดเดี๋ยวนี้นะ!!?
?อ๊ะ?? เด็กหนุ่มที่น่าจะอายุเพิ่งพ้นสิบขวบมาไม่กี่ปีไม่สนใจเสียงตะโกน
รูปหน้านั้นดูท่าทางเหมือนคนอารมณ์ดี และรู้สึกเหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน
?อ๊ะ อ้าว...ท่าน?
?...อ้าวอะไรกันล่ะ ถ้าอยากจะกินข้าวก็มาที่บ้านฉัน เข้าใจไหม!??
?อ๊ะ แต่ว่าไม่ต้องลำบากขนาดนั้นก็ได้ครับ คุณชูเร?
?ไม่ลำบากหรอกน่ะ! เพราะว่าเธอเป็นคนที่สอบเป็นโจเง็นได้โดยที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ จะมานั่งกินหญ้าข้างทางอย่างนี้เนี่ยนะ!??
?อ๊ะ ยอดไปเลย ทำไมถึงรู้ด้วยล่ะ?
?ตามมาเดี๋ยวนี้?
เด็กหนุ่ม...โทเอเงซึพยักหน้ารับชูเรที่กำลังทำตาคว่ำ
ขณะที่เด็กสาวลากเด็กหนุ่มคนหนึ่งไปตามทางที่จะกลับบ้านนั้นอยู่ มีชายคนหนึ่งกำลังจ้องมองอยู่ไกลๆ เขามองดูเหตุการณ์ตั้งแต่ต้นจนจบโดยไม่ทำให้เป็นที่ผิดสังเกต ชายผู้นั้นเป็นหนุ่มฉกรรจ์อายุประมาณ 30 กว่าปีและดูเผินก็รู้ว่าน่าจะมาจากตระกูลขุนนางใหญ่
?...นั่นมันโคชูเรนี่? น้ำเสียงนั้นเย็นชาเหมือนไร้ความรู้สึก และสายตาที่เย็นยะเยือกพอกันนั้นยังถูกส่งมาจากทั่วทุกมุมในเมือง และเมื่อเห็นพวกผู้ชายที่หน้าตาดูร้ายกาจเริ่มเดินตามชูเร เขาก็มองตามอย่างหงุดหงิดเล็กน้อยแล้วถอนหายใจออกมา
ดูเหมือนว่าเขาจะเริ่มเข้าใจแล้ว เขาส่งสายตามองตามหลังเด็กสาวที่จากไป โดยที่สีหน้าไม่เปลี่ยนแปลงไปเลยแม้แต่น้อย
**********
โทเอเงซึถูกบังคับให้เข้ามาอยู่ในบ้านของโชกะ และผลที่สุดก็ถูกโชกะและชูเรเกลี้ยกล่อมแกมบังคับให้อาศัยอยู่ที่บ้านโชกะสักระยะ
?ไม่ไหวเลยนะ ถ้าหากไม่มีที่พัก ทำไมไม่รีบมาที่บ้านฉันแต่แรกล่ะ?? ชูเรถอนหายใจขณะที่ทำอาหารเย็นไปด้วย ส่วนโทเอเงซึที่เป็นลูกมืออยู่ก็พยักหน้ารับ
?...การที่ไม่มีเงินก็เพราะทำตัวเองไม่ใช่หรือ เธอไม่น่าจะต้องทำตัวน่าสงสารขนาดนั้นเลยนี่นา?
?สอบเข้าได้เป็นที่ 1 ก็มีเงินเดือนตั้ง 80 เหรียญเงินอยู่แล้วไม่ใช่หรือไง?
เมื่อเซรันที่เป็นข้ารับใช้และคอยช่วยเป็นลูกมือให้ชูเรอยู่ข้างๆ เอียงคอถาม ก็ทำให้เอเงซึหน้าแดงขึ้นมา
?เงินนั่นข้าส่งกลับไปที่บ้านเกิดในวันนั้นแล้วล่ะ?
?...ทั้งหมดเลยหรือ??
?ใช่ครับ?
แบบนี้จะเรียกว่าใจกว้าง ใจเร็ว ...หรือไม่รู้จักคิดกันแน่นะ
?เดี๋ยวก่อนสิ เอเงซึ ส่งจดหมายแจ้งข่าวเรื่องสอบผ่านไปที่บ้านเกิดแล้วใช่ไหม??
?เปล่าหรอกครับ กรมพิธีการส่งม้าเร็วไป ข้าจึงฝากเงินนั้นไปกับม้าเร็วด้วย แต่ข้ายังไม่รู้จะเขียนอะไรเลย เงินที่เหลือก็ไม่พอแม้แต่จะซื้อกระดาษด้วยซ้ำ?
ชูเรกับเซรันอึ้งจนพูดไม่ออก
โทเอเงซึ เด็กที่อายุน้อยที่สุดที่สอบเข้ารับราชการส่วนกลางได้ในปีนี้จนเป็นที่ฮือฮาพอๆ กับชูเร ช่างเป็นเด็กที่ทำอะไรสุดโต่งจริงๆ ชูเรคิดว่านี่เป็นเพราะเขามาจากมณฑลโคคุจึงไม่คุ้นเคยกับเมืองหลวง หรือเพราะนิสัยของเขาเป็นอย่างนี้ตั้งแต่แรกอยู่แล้วก็ไม่รู้
คงด้วยดวงชะตาที่สมพงศ์กันอย่างน่าแปลก ทำให้ชูเรกับเอเงซึเคยพบกันมาตั้งแต่ก่อนสอบแล้ว ตอนนั้นเอเงซึก็ถูกพวกอันธพาลในเมืองไถเงินค่าผ่านทางไปจนหมด
ไม่รู้ว่าเอเงซึเป็นคนเฉยๆ หรือสบายๆ จนเกินไป จึงทำให้รู้สึกเหมือนกับว่าเขาเป็นโชกะฉบับย่อส่วน เป็นคนที่ชูเรเห็นแล้วยิ่งอยากจะช่วย
เขาได้ชื่อว่าเป็นอัจฉริยะในประเทศที่สามารถสอบเข้ารับราชการในส่วนกลางได้เป็นอันดับ 1 ด้วยวัยเพียง 13 ปี ย่อมมีความเป็นอัจฉริยะเหนือกว่าริโคยูที่เคยสอบเข้าได้เป็นอันดับ 1 ตอนอายุ 16 แต่ตอนนี้ดูไม่ออกเลยว่าเขาจะเป็นอย่างนั้น เพราะดูท่าทางภายนอกแล้วเขาเหมือนคนที่จะตกเป็นเหยื่อได้ง่าย และดูท่าทางเป็นมิตร แต่ภายในนั้นขัดแย้งกับสิ่งที่เห็นจากภายนอก
สิ่งที่ต่างจากโชกะก็คือ แม้ว่าท่าทางเขาจะดูซื่อๆ แต่มีพลังชีวิตอย่างล้นเหลือทีเดียว แม้แต่ในขณะที่กำลังช่วยทำอาหารเย็นอยู่นี้ ถึงจะค่อยๆ ทำช้าๆ แต่เขาก็ทำของที่กินได้จริงๆ
ชูเรไม่คิดเลยว่าเด็กหนุ่มอย่างนี้จะเป็นคนที่สอบเข้ารับราชการ ตอนแรกที่รู้ชูเรก็รู้สึกทึ่งอยู่เหมือนกัน เพราะสนิทสนมกันมาจากเรื่องราววุ่นวายก่อนที่จะมีการสอบ เมื่อพบกันอีกครั้งในหอพักสำหรับผู้มาสอบเข้า อีกทั้งยังอยู่ห้องข้างๆ กันด้วย ยิ่งทำให้ชูเรแปลกใจในดวงที่สมพงศ์กัน ...ด้วยอายุของเอเงซึและเพศของชูเรทำให้ถูกคนรอบข้างมองด้วยสายตาประหลาดใจจนทำให้ทั้งสองต้องโดดเดี่ยว ที่สำคัญก็คือชูเรรู้สึกว่าการที่เขาอยู่ด้วยในระหว่างที่สอบนั้นช่วยชูเรได้มากทีเดียว
?การที่เอเงซึสอบได้ที่ 1 ก็ช่วยได้เยอะจริงๆ นะ?
?เอ๊ะ??
?ผู้ชายที่หนีไปในพิธีรายงานตัวไงล่ะ? ชูเรใช้ไม้ทำเส้นบะหมี่รีดก้อนแป้งที่ปั้นเป็นก้อนกลมพลางยิ้มขึ้นมานิดๆ
?บอกตรงๆ นะว่า ถ้าชายคนนั้นสอบได้ที่ 1 ฉันคงรู้สึกผิดหวังกับความโหดร้ายของโลกนี้แน่ ที่สำคัญก็คือ ชายคนนั้นทำให้ฉันพูดอะไรไม่ออก เพราะขนาดอยู่ในหอพักสำหรับผู้มาสอบเข้า เขาก็ยังเอาแต่นอน ตื่นขึ้นมาเฉพาะเวลากิน กินเสร็จแล้วก็นอนต่ออีก พอตื่นก็ลุกขึ้นมาเป่าขลุ่ยหน้าตาเฉย! ในขณะที่คนอื่นคร่ำเคร่งกับตำราอยู่บนโต๊ะ เขากลับตะโกนว่า ?เจ้าจะบ้ารึไง!? หรือไม่ก็บ่นพึมพำว่า ?การสอนเรื่องความเป็นผู้ดีให้คนชั้นล่างก็เป็นหน้าที่ของขุนนางใหญ่โต? หนำซ้ำเขายังสอบอยู่ห้องข้างๆ ฉันด้วย!!? ชูเรนวดแป้งทำเส้นบะหมี่เสียงดังเหมือนจะระบายอารมณ์ แล้วนำเส้นบะหมี่มายืดให้เส้นบางลงด้วยความชำนาญไม่แพ้พ่อครัวมืออาชีพ
?...เอ่อ เขาเป็นคนที่น่าทึ่งหลายอย่างนะ... ทั้งเรื่องของภายนอกและภายในเลย?
รันริวเรนนั่งอยู่ทางซ้ายของชูเร ส่วนเอเงซึอยู่ทางขวา ไม่รู้ว่าด้วยเหตุนี้หรือไม่ที่ทำให้ทั้งสามมีชะตาที่ต้องอยู่ด้วยกันบ่อยๆ การที่รันริวเรนถูกผู้คุมตำหนิย่อมเป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้ว แต่หลายครั้งที่ชูเรและเอเงซึก็พลอยถูกตำหนิไปด้วย ดังนั้นเอเงซึจึงคิดว่าการที่พวกเขามายุ่งเกี่ยวกันไม่ใช่เรื่องเลวร้ายถึงขนาดที่ชูเรพูด
?ตอนที่เขาทำหน้าจริงจังพูดกับฉันว่า ?ถึงรูปร่างหน้าตาภายนอกของเจ้าจะธรรมดาๆ หรือต่อให้เจ้าเป็นคนจนไม่มีเงินทอง ข้าก็ไม่ถือสาหรอก ถ้าหากเจ้าเลยวัยที่จะแต่งงาน ข้าจะจ้างเจ้าเป็นแม่ครัวส่วนตัวของข้า? ฉันอยากจะเอาเห็ดพิษใส่ไปในหม้อให้เขากินซะจริงๆ นี่เห็นว่าเป็นน้องชายของท่านแม่ทัพรันหรอกนะ ถึงได้อดทนไว้?
?...ถ้าเป็นอย่างนั้น ข้าคงต้องขอบคุณเหมือนกัน เพราะข้าเองก็ต้องฟังเรื่องน้องชายตัวเองจนหูชาแล้ว? ชูเรและเอเงซึหันไปตามเสียงที่ดังขึ้นอย่างไม่ทันได้ตั้งตัวนั้น เซรันก็หันกลับไปด้วย
รันชูเอที่มากับโชกะยืนอยู่ตรงประตูด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยดีนัก ข้างๆ กันนั้นเป็นริโคยูที่กำลังส่งสายตาเย็นชามาให้เพื่อนร่วมงานที่มีความสัมพันธ์แบบตัดไม่ตายขายไม่ขาด และทั้งสองก็ถือวัตถุดิบในการทำอาหารมาจนพะรุงพะรังทั้งสองมือเหมือนอย่างที่เคย
?อ๊ะ มาแล้วหรือ เร็วจังเลย งั้นรอก่อนนะคะ? ชูเรส่งยิ้มต้อนรับแขก แล้วรีบลงมือทำเกี๊ยวซ่าทันที
?...ไม่ไหวเลย น้องชายเจ้านี่มันจริงๆ เลยนะ!?
?สมกับที่เป็นน้องชายของแม่ทัพรันสินะ ไม่เข้าร่วมพิธีรายงานตัว และหลังจากนั้นก็ยังหายไปอีก?
เมื่อเห็นโคยูโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ เซรันก็คีบเกี๊ยวซ่ายิ้มๆ
คราวนี้แม้แต่ชูเอก็หาช่องที่จะโต้เถียงแทบไม่ได้
?...เรื่องนั้นมันอยู่นอกเหนือความควบคุมของข้านะ พวกพี่ชายของข้าน่ะสิ บังคับให้เขามาสอบ ทั้งที่ข้าคิดอยู่แล้วว่าสักวันเขาจะต้องหนีไป เพียงแต่ไม่นึกว่าจะเร็วขนาดนี้...?
?ถ้างั้นก็ตัดทิ้งไปเลยแล้วกัน!?
ชูเอส่ายหน้าอย่างเศร้าใจกับความคิดเห็นที่ตรงไปตรงมาของโคยู
?น้องชายข้าปกติเป็นคนเรื่อยเปื่อยก็จริง แต่บอกได้อย่างหนึ่งว่า เวลาลุกขึ้นมาทำอะไรสักอย่าง เขาก็จะทำอย่างสุดกำลัง ...ถ้าไม่อย่างนั้นเขาคงหนีไปตั้งแต่ตอนก่อนสอบแล้วล่ะ?
?นั่นน่ะหรือสุดกำลัง...? สีหน้าของชูเรบ่งบอกให้รู้ว่ายังเห็นแต่ภาพตอนที่เขานอนหลับในระหว่างช่วงสอบอยู่ดี
?พอกันทั้งพี่ทั้งน้องนั่นแหละ! บ้าๆ บอๆ ทั้งคู่เลย!?
โชกะที่นิ่งเงียบมาตลอดยิ้มเจื่อนๆ เมื่อเห็นโคยูโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง
?แต่ว่าน่าเสียดายจริงๆ นะ ทั้งที่คิดว่าลูกชายของตระกูลรันจะได้เข้าวังในฐานะขุนนางวิชาการบ้างน่ะ? คำพูดนั้นทำให้แววตาของชูเอและโคยูเป็นประกายคมปลาบ นับตั้งแต่ตอนที่ชูเอสอบเข้าได้เป็นอันดับที่ 2 ก็เป็นที่ฮือฮากับการที่ตระกูลรันได้กลับมาอยู่ในส่วนกลาง การที่ผู้สืบสายเลือดของตระกูลรันที่มีชื่อเสียงเหนือกว่าตระกูลโคจะได้มาอยู่หรือไม่ได้มาอยู่ในส่วนกลางนั้นมีความแตกต่างกันในทางการเมืองอย่างมาก จนถึงขนาดว่ากันว่านั่นจะเป็นตัวตัดสินรัชสมัยนั้นทีเดียว ไม่ว่าตระกูลรันจะยอมรับเรื่องนี้หรือไม่ก็ตาม ยิ่งกว่านั้นตอนที่ชูเอเข้าวังมาในฐานะขุนนางวิชาการเมื่อ 7 ปีก่อนซึ่งเป็นช่วงที่ยังมีความวุ่นวายเรื่องรัชทายาทอยู่นั้น ตระกูลรันตั้งใจจะสนับสนุนฮ่องเต้และประเทศที่กำลังตกอยู่ในสภาวะสับสนวุ่นวาย เขาจึงถูกคาดหวังมาก แต่ไม่กี่ปีต่อมาชูเอกลับย้ายไปเป็นขุนนางทหาร ทั้งที่เขาเป็นขุนนางวิชาการที่ยอดเยี่ยมมาก
?เจ้าเป็นขุนนางวิชาการ ส่วนข้าเป็นขุนนางทหารก็ดีแล้วนี่ บุคลากรที่ยอดเยี่ยมจะมาอยู่ที่เดียวกัน มันน่าเสียดายไม่ใช่หรือ??
โคยูเคยคิดว่าชูเอบ้าที่พูดง่ายๆ อย่างนี้ เหมือนไม่รู้ว่าภายในวังรู้สึกเสียดายกันแค่ไหนที่เขาทำเช่นนั้น
...แต่ว่า ถึงตอนนี้โคยูก็ยังอ่านเจตนาที่แท้จริงของตระกูลรันไม่ออกจริงๆ
ชูเอเพียงแต่ส่งยิ้มให้กับสายตาค้นหาที่มองมาแล้วเปลี่ยนเรื่องพูด
?ว่าแต่เอเงซึนี่เป็นม้ามืดนะ คิดว่าน่าจะเข้าได้ แต่ก็ไม่คิดว่าจะสอบเข้าได้เป็นที่ 1 เลย แถมยังทำลายสถิติเดิมของโคยูด้วยใช่ไหมล่ะ?
เอเงซึหน้าแดงก้มหน้าเมื่อถูกเปลี่ยนหัวข้อมาพูดเรื่องของตัวเอง เขาส่ายหน้าปฏิเสธอย่างถ่อมตัว
?ที่จริง ถึงจะบอกว่าไม่จำกัดอายุ ...แต่อายุแค่นี้ก็ไม่น่า... แถมยังไม่มีตระกูลขุนนางหนุนหลังด้วย?
?นั่นสิ น่าทึ่งจริงๆ แต่ว่าทำไมถึงไม่ติดต่อไปด้วยตัวเองนะ? ว่าแล้วชูเรก็ยื่นม้วนกระดาษให้เอเงซึ
?เอ้า เอานี่ไปเขียนจดหมายให้เสร็จภายในวันนี้นะ?
?เอ๊ะ แต่ว่า?
?ไม่มีแต่แล้ว เพื่อความปลอดภัยของเงิน เจ้าต้องเขียนรู้ไหม?
?งะ...เงิน...??
?ใช่ เจ้าน่ะซื่อบื้อจริงๆ เลย! ส่งเงิน 80 เหรียญเงินไปพร้อมกันในคราวเดียวได้ยังไง ถึงจะบอกว่าเป็นม้าเร็วของกรมพิธีการ แต่กว่าเงินนั่นจะไปถึงมือผู้รับอาจจะหายไปครึ่งหนึ่งแล้วก็ได้ อย่างน้อยก็น่าจะแบ่งออกมาก่อน แทนที่จะส่งไปมากมายจนน่าขโมยอย่างนั้น?
?เอ๊ะ อ๊ะ จะ...จริงด้วยสินะ? เอเงซึเพิ่งจะนึกขึ้นมาได้ว่ามันอาจจะเป็นเช่นนั้น
ชูเรถอนใจอย่างเหนื่อยหน่าย ทั้งที่เคยได้ยินว่าเอเงซึเติบโตมาอย่างยากจน ต้องไปอาศัยอยู่ที่วัด และเป็นผู้มีความเชี่ยวชาญด้านการใช้ชีวิตด้วยข้าวสาลีมานานเหมือนกับตนเอง แต่ชูเรก็ยังแปลกใจว่าทำไมเอเงซึถึงได้ไม่ใส่ใจเรื่องเงินทองถึงเพียงนี้
?นี่ ควรจะเขียนจดหมายไปที่วัดที่บ้านเกิดของเจ้าด้วยนะ ถ้าบอกเขาว่าเจ้าสอบผ่านได้ก็ดี เดี๋ยวฉันจะจัดการส่งไปให้เอง ส่วนเรื่องค่าม้าเร็วฉันได้ราคาถูกเป็นพิเศษ ไม่ต้องเป็นห่วงนะ?
เอเงซึกะพริบตายิ้มอย่างดีใจกับคำพูดของชูเร ทำให้คนอื่นๆ พลอยอมยิ้มไปด้วย
?จริงด้วยสินะ ถึงจะมีม้าเร็วจากกรมพิธีการไปบอกข่าวแล้ว แต่ตัวเอเงซึเองก็ควรจะเขียนไปบอกด้วย คนที่รออยู่จะต้องดีใจมากแน่ๆ เลยใช่ไหมล่ะ?
เอเงซึพยักหน้ารับคำตักเตือนที่อ่อนโยนของโชกะ
?ว่าแต่คุณหนูเถอะครับ ผมเคยบอกแล้วนะว่าอย่าออกไปข้างนอกคนเดียวแบบนั้น?
ชูเรรู้สึกเกร็งเมื่อถูกเซรันจ้องมอง เพราะถ้าเซรันที่ไปรับชูเรไม่เข้าไปจัดการกับพวกอันธพาลที่เข้ามายุ่งเกี่ยวระหว่างทาง ป่านนี้ชูเรและเอเงซึคงถูกแทงจนพรุนไปแล้วกระมัง
?อะ...เอ่อ แต่ว่าฉันแค่จะไปซื้อเกลือเท่านั้นเอง?
?ไปไม่ได้หรอกครับ ตั้งแต่สอบเข้ารับราชการได้ ?เวลาไปเดินในเมืองจะมีอันธพาลเข้ามาหาเรื่อง? ไม่ใช่หรือครับ ดีนะที่วันนี้ไม่เป็นอะไรน่ะ...?
ชูเรไม่รู้ว่าเซรันจัดการกับอันธพาลเหล่านั้นยังไง แต่ระยะนี้ รอบข้างของชูเรมีแต่เรื่องอันตรายจริงๆ
?จริงสิ ชูเร ควรจะรู้ตัวไว้บ้างนะว่าตอนนี้เจ้าถูกมองว่าเป็นแหล่งหาเงินทองที่ดีไปแล้ว?
?อือ ควรจะระวังด้วยนะ การออกไปข้างนอกคนเดียวมันอันตรายจริงๆ?
ไม่ใช่แค่เซรันที่บ่นเกี่ยวกับเรื่องนี้ โคยูและชูเอก็เสริมเรื่องนั้นด้วย ทำเอาชูเรพูดไม่ออก
คนที่สอบผ่านการสอบเข้ารับราชการระดับประเทศ...นอกจากจะได้รับเงินเดือนแล้ว ยังได้รับสิทธิพิเศษอีกหลายอย่าง รวมทั้งได้รับของกำนัลมากมายจากบรรดาขุนนางที่หวังจะสร้างสัมพันธ์เพื่ออนาคต ...แต่การเป็นขุนนางหญิง ไม่รู้ว่าต่อไปจะเป็นเช่นไร จึงไม่มีขุนนางคนไหนที่ต้องการเสี่ยงในการผูกสัมพันธ์กับชูเร พวกอันธพาลที่เข้ามาข้องเกี่ยวคงประเมินผิดไปมากโข
เมื่อเห็นว่าได้เวลาสมควรแล้ว โชกะก็นำขวดสุราออกมาขัดจังหวะช่วยชีวิตชูเร
?เอ่อ เอเงซึ นี่เป็นการฉลองที่เจ้าสอบเข้าได้จากข้านะ มันเป็นสุราหวาน ไม่ค่อยแรงหรอก ถ้าจิบแค่นิดเดียวนะ?
ฉับพลันนั้นบรรยากาศในห้องก็เย็นลง ทุกคนหันไปมองโชกะแล้วอึ้ง
เรื่องความสัมพันธ์ของเอเงซึกับสุรานั้น ในที่นี้คงมีแต่โชกะคนเดียวที่ไม่รู้ เรื่องวุ่นๆ ที่เกิดขึ้นก่อนสอบทำให้คนอื่นๆ ทราบดี แต่ไม่กล้าบอก
?อ๊ะ เอ่อ ผมซาบซึ้งในน้ำใจของท่านมาก แต่ผมไม่ค่อยถูกกับเหล้าน่ะครับ? เอเงซึลำบากใจ รีบลุกจากเก้าอี้ หนีห่างจากขวดสุรา
?แต่นี่มันเบาจริงๆ นะ ลองดื่มดูแล้วจะรู้?
มีแต่ผู้พูดเท่านั้นที่ไม่รู้ว่าคำพูดนี้มันอันตรายแค่ไหน
?มะ...ไม่ล่ะครับ เพราะแค่ได้กลิ่นผมก็จะเมาแล้วล่ะครับ?
?งั้นหรือ? น่าเสียดายนะ แต่ว่างั้นไม่ต้องฝืนก็ได้? โชกะเห็นเอเงซึส่ายหน้าก็ได้แต่เก็บขวดสุราอย่างเสียดาย
ทุกคนถอนใจอย่างโล่งอก มีแต่โชกะเท่านั้นที่พูดต่อไปโดยไม่รู้ถึงบรรยากาศในที่นั้นเลย
?...จริงสิ แล้วการทดสอบของกรมขุนนางจะมีเมื่อไหร่ล่ะ ท่านโคยู?
การทดสอบของกรมขุนนางที่ว่าเป็นการสอบคัดเลือกเพื่อตัดสินว่าบัณฑิตที่สอบผ่านเข้ามาได้นั้นควรจะไปอยู่ในสังกัดใด จะเรียกว่าการดูรายบุคคลก็ว่าได้ ถ้าหากไม่ผ่านในด่านนี้ก็จะไม่สามารถทำงานในฐานะขุนนางได้
การสอบเข้ารับราชการระดับประเทศอยู่ในความดูแลของกรมพิธีการ แต่การทดสอบในขั้นตอนนี้จะเป็นหน้าที่ของกรมขุนนางตามชื่อกรม กรมขุนนางเป็น 1 ใน 6 กรม ที่จะตัดสินอนาคตของผู้ที่สอบผ่าน และมีสิทธิ์ที่จะดูแลเรื่องบุคลากรภายในวังได้อย่างอิสระ กรมทั้งหกนั้นแต่ละกรมก็มีเจ้ากรมและรองเจ้ากรม แต่รองเจ้ากรมขุนนาง ...สรุปก็คือ ริโคยูมีตำแหน่งสูงกว่ารองเจ้ากรมทั้งห้าที่เหลือ แค่นั้นก็เป็นที่รู้กันดีถึงขอบเขตอำนาจที่ใหญ่โตของกรมขุนนางแล้ว
?ยังไม่มีจดหมายแจ้งมาเลยครับ ...แต่ปีนี้คงจะช้ากว่าทุกปีเล็กน้อย?
?อือ....?
โคยูตอบไม่เต็มปากเต็มคำ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะมีหน้าที่ต้องรักษาความลับหรือไม่ แต่ดูเหมือนจะไม่ใช่แค่นั้น
?บางที อาจจะเป็นเหมือนปีของพวกเราก็ได้นะ โคยู?
?คงงั้นมั้ง วันนี้เจ้านายข้าก็ถูกฮ่องเต้เรียกไป ก็คงต้องเลือกให้เหมาะสมหน่อยล่ะ? โคยูเหลือบมองรุ่นน้องทั้งสอง โชกะกับเซรันดูเหมือนจะเข้าใจความหมายขึ้นมาทันที แต่ชูเรกับเอเงซึได้แต่เอียงคออย่างสงสัย
?...หมายความว่ายังไงหรือ? ท่านโคยู?
?เดี๋ยวก็ต้องมีจดหมายแจ้งมา รอจนกว่าจะถึงตอนนั้นเถอะ? ชูเอยิ้มๆ มองโคยู
?อารมณ์เสียสินะที่ฮ่องเต้เรียกเจ้านายเจ้าไปพบโดยไม่ปรึกษาเจ้าซึ่งก็เป็นรองเจ้ากรมขุนนางอยู่น่ะ? หรือว่าเป็นเพราะเจ้านายเจ้าไปพบฮ่องเต้โดยไม่บอกอะไรเจ้าเลย? เอ...ไม่สิ น่าจะทั้งสองอย่างมากกว่า เพราะเจ้าก็คงจะถามทั้งคู่แล้วด้วย?
คิดว่าทุกคนที่อยู่ในที่นั้นต่างก็ได้ยินเสียงความอดทนของโคยูขาดผึง
?...ปากที่ชอบพูดจาไร้สาระของเจ้านี่น่าจะเย็บให้ติดกันซะดีกว่านะ ชูเร ไปเอาเข็มกับด้ายมาที!?
New Release : บุปผาคู่บัลลังก์ ตอน บุปผาบานสะพรั่งในวังม่วง
Re: New Release : บุปผาคู่บัลลังก์ ตอน บุปผาบานสะพรั่งในวังม
**********
?...เพราะอย่างนั้น 20 อันดับต้นของบัณฑิตใหม่ในปีนี้จึงไม่ได้ทำงานในกรมขุนนาง แต่ต้องเก็บตัวอยู่ในวังดูหน่วยก้านไปก่อนสินะ?
ริวกิ ฮ่องเต้ของประเทศไซอุนไม่ตอบรับคำพูดของโคเรชินผู้เป็นเจ้ากรมขุนนางในทันที เขาจ้องมองเมืองที่อยู่รอบปราสาทจากทางหน้าต่าง
แสงไฟลอยอยู่ลิบๆ ในความมืด คืนนี้ในเมืองมีแสงสีระยิบระยับ แม้มองจากในห้องทรงพระอักษรก็ยังเห็นได้ เหล่าบัณฑิตใหม่ที่ได้รับเงินแล้วต่างก็ออกไปท่องย่านราตรี ดื่มฉลองตามที่ต่างๆ
?เราเคยได้ยินว่ายุคของเสด็จพ่อก็มีอย่างนั้นเหมือนกัน?
?ใช่พ่ะย่ะค่ะ สมัยกระหม่อม สมัยโคยูก็เคยทำอย่างนั้น เป็นขั้นตอนที่มีขึ้นมาเพื่อจะใช้สำหรับผู้มีความสามารถที่ไม่รู้ว่าควรจะให้ไปอยู่ในสังกัดใดดี แหม แต่ว่ามันเหมาะสมแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ ถึงจะบอกว่าเป็นการดูตามความเหมาะสม แต่ว่าพวกเขา...โดยเฉพาะโทเอเงซึกับโคชูเร แค่ขั้นตอนปกติในการทดสอบที่กรมขุนนางจัดขึ้นก็สามารถตัดสินได้แล้วว่าควรจะไปอยู่ที่ใด แต่ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าสอบ จนกลายเป็นว่าไม่ได้ใช้ความสามารถที่มีนั้นมันก็น่าเสียดายนะ?
นัยน์ตาของริวกิเป็นประกายโชติช่วงขึ้นมาแวบหนึ่งกับคำว่า ?เสียดาย? ของเจ้ากรมผู้เป็นเจ้าของฉายา ?เจ้ากรมน้ำแข็ง?
?ถ้าหากเป็นท่าน คนที่มีความสามารถแต่ไม่ได้ใช้ถือว่ามีดีแต่ภายนอก ควรจะตัดทิ้งไปเลยสินะ?
?แน่นอนอยู่แล้ว พวกที่จะถูกคัดทิ้งก็คือพวกที่ถูกจัดให้อยู่ในที่ทางที่เหมาะสมแล้ว แต่กลับไม่สามารถแสดงความสามารถออกมาได้จึงสมควรถูกคัดทิ้ง ข้าไม่ชอบคนอ่อนแอ คนที่ถูกตามใจจนเสียคน คนโง่... รวมทั้งฝ่าบาทในสมัยก่อนด้วย เพียงแต่ในกรณีนี้ เงื่อนไขมันเลวร้ายเกินไป มันเหมือนกับการที่อยู่ๆ ก็ขว้างดอกไม้ที่กำลังผลิบานลงในน้ำ ถ้าหากไม่ช่วยให้ได้อยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสมก็ถือว่าทำให้เสียของโดยไม่เกี่ยวกับความพยายามของเจ้าตัวเลย?
ริวกิหันขวับมาทางเรชินอย่างประหลาดใจ แม้ว่าจะพูดตรงไปตรงมาพอกับโคยู แต่เรชินมีพื้นฐานที่ต่างกัน ตรงที่เขาไม่เคยสาบานว่าจะจงรักภักดีต่อริวกิ
?...เพราะกระหม่อมมีคนที่จะคุกเข่าให้อยู่แล้วไงล่ะ? เมื่อก่อนรันชูเอเคยมอบคำพูดนี้ให้ริวกิ แต่ในที่สุดเขาก็ยอมคุกเข่าต่อหน้าริวกิแล้ว
เรชินพูดกึ่งประชด ?กระหม่อมมีคนที่จะคุกเข่าให้อยู่แล้ว ข้าถึงอยู่ที่นี่เพื่อคนคนนั้น แม้กระหม่อมจะไม่ได้สาบานว่าจะจงรักภักดีต่อฝ่าบาทก็จริง แต่ไม่ต้องทรงกังวลไปหรอก เพราะกระหม่อมจะปฏิบัติต่อฝ่าบาทเช่นเดียวกับฮ่องเต้องค์ก่อน ยิ่งกว่านั้น การที่ไม่ทรงพิโรธที่กระหม่อมพูดถึงขนาดนี้ก็นับว่าทรงผ่านการประเมินระดับหนึ่งแล้ว?
นี่นับเป็นวาจาที่ไม่น่าเชื่อว่าจะใช้พูดกับกษัตริย์ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเขาเป็นพี่น้องสายเลือดเดียวกับโชกะหรือไม่ แต่สมแล้วที่เขาถือเป็นสิ่งมหัศจรรย์หนึ่งในเจ็ดของวังนี้
?ถึงจะเป็นอย่างนั้น ท่านก็ยังอยู่ในวังนี้ ในฐานะข้ารับใช้ของเรา แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว?
?ถ้าหากทิ้งฝ่าบาทไปได้ กระหม่อมคงเต็มใจจะกลับไปอยู่เงียบๆ ที่มณฑลโคมากกว่า?
?เหมือนอย่างพวกประมุขของตระกูลโคสินะ?
?ใช่?
แต่ริวกิส่ายหน้าช้าๆ
?ท่านไม่ทำแบบนั้นหรอก ตราบใดที่มีโชกะ...และโคยูอยู่เคียงข้างเรา ถ้าไม่อย่างนั้นท่านคงไปอยู่เงียบๆ ตั้งแต่ตอนที่เราขึ้นครองบัลลังก์แล้ว ตราบใดที่ท่านยังมีความเป็นห่วงว่าสองคนนั้นอาจจะโดนประกายไฟ ยังไงท่านก็จะต้องอยู่รับใช้เรา ไม่ว่าจะมีใจภักดีหรือไม่ก็ตาม เพราะอย่างนั้นนั่นแหละ โชไทชิถึงได้ดึงลูกบุญธรรมของท่านมาอยู่ใกล้ๆ เรา ใช่ไหมล่ะ??
เรชินยิ้มเย็นชา ขณะที่คิดว่าตนเองคิดไม่ผิดจริงๆ ที่เคยคิดว่าฮ่องเต้องค์นี้มีสิ่งที่น่าสนใจ แต่การที่เรชินไม่ใส่ใจว่าประเทศนี้หรือฮ่องเต้องค์นี้จะเป็นเช่นไร เป็นเพราะเขาคิดว่าฮ่องเต้มีขุนนางที่มีความสามารถมากมายคอยรับใช้อยู่แล้ว ไม่ใช่เพราะตัวเขาเป็นขุนนางทรยศหรือไร้ความภักดี
?กระหม่อมไม่สนใจว่าไทชิจะว่ายังไงหรอก แต่ถ้าพี่ใหญ่ไม่ขอร้อง กระหม่อมคงไม่ส่งโคยูมาอยู่ใกล้ๆ ฝ่าบาทแน่?
?ท่านเสียใจอยู่งั้นหรือ??
?เสียใจ? ในพจนานุกรมของกระหม่อมไม่มีคำแบบนั้นหรอก แต่ถ้าสุดท้ายฝ่าบาททำให้กระหม่อมเสียใจเพราะเรื่องนั้น กระหม่อมก็กะว่าจะบั่นคอฝ่าบาททันที?
น้ำเสียงนั้นฟังดูเรียบง่ายคล้ายกับกำลังพูดเรื่องดินฟ้าอากาศในวันพรุ่งนี้ แต่ริวกิก็เข้าใจดี การที่เรชินข่มขู่และแสดงความเย็นชาเป็นเพียงเครื่องมืออย่างหนึ่งทางการเมือง เพราะถ้าหากเขาใช้เล่ห์เพทุบายที่มีอยู่จริง เขาคงเอาชีวิตของริวกิอย่างที่พูดไปแล้ว แต่ก็เพราะเหตุนี้ทำให้การอยู่ของเขามีค่ายิ่งนัก
?อือ ฝากด้วยนะ? ริวกิยิ้มแล้วพยักหน้า
เรชินทำเสียงขึ้นจมูกเหมือนจะบอกว่าช่างปะไร
?เรื่องเมื่อครู่นี้นอกจากจะต้องเขียนจดหมายแจ้งให้เสร็จภายในวันนี้แล้ว ต้องส่งไปให้แต่ละคนด้วย ทรงมีระยะเวลาสักเท่าไหร่ล่ะ??
?ก็จัดการให้เสร็จภายในช่วงประกาศตำแหน่งตอนฤดูใบไม้ผลิก็แล้วกัน?
?เข้าใจแล้ว ถ้างั้นกระหม่อมขอตัวก่อน?
?...เจ้ากรมโค? ริวกิเรียกเรชินที่ย่อตัวทำท่าจะออกไปเอาไว้
?ขอบคุณนะที่รับเป็นผู้อุปถัมภ์ให้ชูเร?
เรชินยิ้มอย่างเหนือกว่า เป็นรอยยิ้มของเจ้ากรมขุนนางที่ว่ากันว่าทำให้เสียวสันหลังวาบได้เลยทีเดียว ?ไม่เป็นไร กระหม่อมไม่ได้ทำเพื่อฝ่าบาทหรอก?
?ได้ยินว่าคอยซุ่มดูอยู่ว่าชูเรมีคนคอยอุปถัมภ์แล้วหรือยังสินะ?
?กรุณาอย่ายุ่งเรื่องส่วนตัวของกระหม่อมเลยพ่ะย่ะค่ะ?
กับขุนนางที่เอาใจยาก ริวกิก็ไม่คิดจะเอาใจเช่นกัน
?เพราะว่าร่วมฉลองที่ชูเรสอบผ่านด้วยไม่ได้ เลยอารมณ์เสียขนาดนั้นเชียวหรือ?
?มันมีต้นเหตุอื่นอีก เพราะเดิมทีข้าก็ไม่ค่อยจะชอบท่านอยู่แล้วล่ะ?
เรชินคิดว่าทั้งที่ฮ่องเต้ถือว่าอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดี เพราะมีโชกะ พี่ชายที่เคารพของเขาคอยอยู่เคียงข้างเป็นเวลานาน (ในขณะที่เรชินไม่มีโอกาสได้ใกล้ชิดพี่ชาย) และได้รับความรู้ที่ดี แต่นอกจากฮ่องเต้จะไม่รับรู้เรื่องนั้นแล้ว ยังแกล้งทำเป็นคนโง่เง่าเป็นเด็กนิสัยเสีย ที่พลอยทำให้พี่ชายของเขาต้องเดือดร้อนและต้องเป็นห่วง และที่ร้ายที่สุดก็คือ ฮ่องเต้มีโอกาสได้หลานสาวที่น่ารักของเขาไปเป็นมเหสีอยู่ระยะเวลาหนึ่ง (ในขณะที่หลานสาวของเขากลับไม่รู้ว่าเขามีตัวตนอยู่ด้วยซ้ำ) และตอนนี้ฮ่องเต้ก็ทำให้รอบข้างปั่นป่วนไปหมด เรชินคิดว่าถ้าหากริวกิไม่ใช่ฮ่องเต้ ป่านนี้เรชินคงกำจัดเขาให้พ้นหูพ้นตาไปแล้ว
และการที่ไม่สามารถแสดงออกได้ทำให้ความโกรธของเรชินฝังลึกจนเก็บอาการไม่อยู่
?...ที่จริง เราชอบท่านมากทีเดียวนะ? ริวกิสารภาพออกมาตรงๆ โดยไม่รับรู้ถึงอาการโกรธจนแทบจะระเบิดของอีกฝ่าย แต่ว่าเรชินไม่ใจอ่อนง่ายๆ เหมือนพวกเด็กหนุ่ม
?คิดจะพาข้าขึ้นเตียง มันยังเร็วไปอีก 100 ปีน่ะ เอาไว้ชาติหน้าดีกว่า?
ริวกิกุมขมับอย่างลำบากใจกับบริวารที่ออกไปจากห้อง ทิ้งไว้เพียงรอยยิ้มที่เย็นชาดุจน้ำแข็ง
?ทั้งที่ข้าตั้งใจพูดด้วยใจบริสุทธิ์แท้ๆ เลยนะ?
เมื่อริวกิมองออกไปเบื้องล่างก็เห็นเมืองกว้างใหญ่ที่อยู่ใกล้ปราสาทสว่างไสวด้วยแสงไฟในยามค่ำคืน
(.....ชูเร)
ชูเรคงอยู่ที่ไหนสักแห่งในแสงไฟนั้น มีแต่ความคิดนี้เท่านั้นที่ปลอบประโลมใจของริวกิได้
การอดเปรี้ยวไว้กินหวานอาจจะดีก็ได้ ถึงจะเป็นอย่างนั้น ริวกิก็อดทนมาได้ อย่างน้อย...ก็จนถึงตอนนี้ (ถึงแม้ชูเรจะออกไปจากเขตพระราชฐานชั้นในแล้ว แต่ชูเรก็ยังคงเป็น ?ชูเร?)
ริวกินึกถึงวันที่มีพิธีรายงานตัว สาวน้อยที่มาเข้าเฝ้าฯ อยู่ไกลๆ ถึงแม้จะเป็นผู้สอบเข้าได้เป็นอันดับที่ 3 แต่ที่นั่งของผู้มารายงานตัวก็อยู่ไกลจากบัลลังก์ฮ่องเต้ เป็นระยะที่ไกลจนไม่เห็นแม้กระทั่งใบหน้าด้วยซ้ำ แต่ต่อไปนี้นี่แหละที่จะทำให้เป็นจริง
1 ปีที่ผ่านมานี้ ริวกิคิดซ้ำๆ มาตลอดว่ามันอาจจะเป็นไปได้
ริวกิก้มลงมองฝ่ามือ เมื่อ 1 ปีก่อน รอยยิ้มของชูเรยังอยู่ในฝ่ามือของฮ่องเต้อยู่เลย แต่ว่าต่อไปนี้รอยยิ้มนั้นอาจจะหลุดรอดมือนี้ไปเพื่อแลกเปลี่ยนกับตำแหน่งขุนนาง
รอยยิ้มของชูเร...ไม่สิ ทุกสีหน้าของชูเรที่มีมากมายหลายอารมณ์ได้ฝังอยู่ในความทรงจำของริวกิ
ริวกิเคยสัญญากับชูเรว่าจะเป็นฮ่องเต้ที่ดี และถึงตอนนี้เรื่องนั้นก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง ริวกิเคยเตรียมใจที่จะรอ เหมือนกับที่เคยรอคอยพี่ชายมากว่าสิบปี ไม่ว่าจะนานแสนนานแค่ไหนก็ตาม
แต่ว่าตอนนี้เขาอดจะร้อนใจขึ้นมาไม่ได้ ที่ผ่านมาริวกิแทบจะไม่รู้จักอารมณ์ที่เรียกว่า ?หงุดหงิด? ด้วยซ้ำไป ในฐานะฮ่องเต้ ริวกิไม่คิดว่าการอนุญาตให้ผู้หญิงสอบเข้ารับราชการได้จะเป็นสิ่งที่ผิด รวมทั้งเรื่องการที่ให้ชูเรได้เป็นขุนนางก็เช่นกัน เรื่องนั้นเป็นเพราะชูเรมีความสามารถไม่ผิดแน่ แต่ในความเป็นริวกินั้น เขาร่ำร้องว่ามันผิด เขาไม่เสียใจสักนิดจริงๆ น่ะหรือ.....
(เราจะ...ไม่เสียใจ)
ความรู้สึกนั้นแวบขึ้นมาในสมอง ทำให้ริวกิต้องใช้ความพยายามในการทำให้มันสงบลง
เราจะไม่เสียใจ ไม่ว่าจะมีอะไรรออยู่ในอนาคตก็ตาม เราจะเป็นฮ่องเต้ต่อไป ตราบใดที่ชูเรเป็นขุนนาง ชูเรก็จะได้อยู่เคียงข้างเรา
ถ้าทำให้ชูเรยิ้มได้ แค่นั้นก็พอแล้ว
ตอนนี้ริวกิคิดอย่างนั้น แต่ว่า...บางที...
(...สักวันเราอาจจะใช้อำนาจทำเพื่อตัวเองก็ได้)
เพื่อให้คำอธิษฐานเพียงหนึ่งเดียวมาอยู่ในมือนี้
ริวกิกำมือแน่น เขาเดินไปยังห้องบรรทมเพียงลำพัง ปีหนึ่งมานี้ก็เป็นเช่นนั้น วันนี้ก็เช่นกัน ถึงตอนนี้เขตพระราชฐานชั้นในก็ยังคงไม่มีนางกำนัลหรือพระสนม
-----------
ลุ้นกับริวกิเหลือเกินว่าในเล่มนี้จะทำอะไรคืบหน้าไปบ้าง เป็นที่คาดหวังจริงๆ ค่ะ และสำหรับเล่มนี้ก็มีเงื่อนงำมาให้ติดตามอีกเช่นเคย ตามสไตล์ของบุปผาคู่บัลลังก์ และก็ทำให้อ่านแล้ววางไม่ลงเหมือนเล่มก่อนๆ ติดตามกับการเดินเรื่องที่จับต้นชนปลายไม่ถูกจนกว่าจะอ่านจบทั้งเล่มในบุปผาคู่บัลลังก์ ตอน บุปผาบานสะพรั่งในวังม่วง ที่ร้านหนังสือชั้นนำทั่วไป หรือทางเว็บไซต์ http://www.bongkoch.com/catalog/product ... ts_id=6803 นะคะ