New Release : Be My 1004 ภารกิจพิชิตใจยัยนางร้าย

อัพเดทข่าวบงกชบุ๊คส์ ความเคลื่อนไหว และกิจกรรมพิเศษ ตลอดจนร่วมสนุกชิงรางวัลพร้อมของรางวัลมากมาย

Moderator: P'Bly, Gals, พี่บี

ตอบกลับโพส
Gals
โพสต์: 1073
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 13 ก.พ. 2009 3:47 pm

New Release : Be My 1004 ภารกิจพิชิตใจยัยนางร้าย

โพสต์ โดย Gals »

เรื่องย่อ
แฟร์แฟร์พร้อมจะทำลายทุกคนที่มายุ่งเกี่ยวกับคนที่เธอชอบ ไม่ว่าจะเป็นใครหน้าไหน และเพราะความเป็นนางร้ายที่ร้ายกาจมากเกินไป ทำให้เทวดาดาเรนต้องพนันกับยมทูตว่าจะเปลี่ยนเธอให้กลายเป็นคนดีให้ได้ ทว่ามันไม่ได้ง่ายเลยเพราะเจ้าตัวไม่คิดจะร่วมมือสักนิด แม้ว่าจะเหมือนมีอะไรบางอย่างเล่นตลกกับชีวิตเธอจนต้องเสี่ยงตายมาหลายต่อหลายครั้ง หนำซ้ำยังดูเหมือนว่าเธอจะทำให้เทวดาที่แสนบริสุทธิ์อย่างเขาต้องแปดเปื้อนไปด้วยอีกต่างหาก!?















บทนำ





เด็กสาวผมดำขลับยืนกระวนกระวายด้วยความตื่นเต้นอยู่ที่หน้าประตูห้องกิจกรรม คนที่เธอรอคอยใกล้จะออกมาจากห้องนั้นแล้ว มือเรียวบางและเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อประคองกล่องเค้กเล็กๆ สีขาวไว้แน่นขณะที่จับจ้องไปยังประตูไม่วางตา


?...ฉันกลัว? ปากเรียวของคนถือกล่องพูด ?พี่นาวีจะกินเค้กของฉันมั้ยอ่ะ?


?เธอจะกลัวอะไร เค้กนี่น่ากินสุดๆ แล้ว แถมยังทำสุดฝีมือแบบนี้ ใครไม่รับก็บ้าแล้ว? เพื่อนสาวที่อยู่ข้างๆ ลูบแขนเบาๆ อย่างให้กำลังใจ


ทันทีที่สิ้นเสียงปลอบประโลมของเพื่อนสาว ประตูห้องก็เปิดออกเผยให้เห็นชายหนุ่มผมสีดำ หน้าตาดีและผิวขาวจัด สูงสง่าในชุดนักเรียน ที่แขนมีปลอกแขนเป็นสัญลักษณ์ของประธานนักเรียน เขายิ้มอย่างสบายใจเพราะการประชุมวันนี้ลุล่วงไปด้วยดี ขณะที่กำลังจะเดินจากไปนั้น จู่ๆ ก็ถูกเรียกจากด้านหลัง


?พี่นาวีคะ!!? เด็กสาวร้องเรียกเสียงดัง ส่งผลให้เขาหันไปมองอย่างสงสัย รอยยิ้มปรากฏที่หน้าเมื่อเห็นเด็กสาวรุ่นน้องวิ่งท่าทางตลกๆ มาหาพร้อมกล่องอะไรบางอย่าง


?ครับ?? เขาขานรับเสียงเรียกนั้นด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล


เสียงนั้นทำให้เด็กสาวรุ่นน้องใบหน้าขึ้นสีระเรื่อได้ แต่เธอก็ยังใช้ความกล้าพูดต่อไป


?เค้กนี่ฉันทำเองค่ะ ฉันให้พี่นะคะ?


เธอก้มหน้า พลางยื่นเค้กออกไปให้ ในใจภาวนาว่าเขาจะรับไป


ชายหนุ่มยิ้มอย่างมีมารยาท รับกล่องเล็กๆ นั่นมาอยู่ในมือ


?ขอบคุณนะครับ ^^? เขาเว้นช่วงมองหน้าเด็กสาวที่ดูเหมือนจะเขินจนช็อกไปแล้ว ?เอ่อ...พี่ไปก่อนนะครับ?


?อ๊ะ...เอ่อ...ค่ะ? หล่อนพยักหน้ารับหากแต่ชายหนุ่มเดินไปไกลแล้ว เพื่อนสาววิ่งเข้ามาจับบ่าอย่างยินดีพลางหัวเราะ


?เธอทำได้!! เขารับเค้กของเธอไปแล้ว!!?


เด็กสาวยิ้มอย่างดีใจ พยายามกลั้นไม่ให้น้ำตาแห่งความปีติยินดีไหลรินออกมา ตลอดเวลา 3 เดือนที่เธอเรียนทำขนมเพียงเพื่อจะนำมาให้เขาได้ชิมดู ในที่สุดความฝันของเธอก็เป็นจริงจนได้


เสียงหัวเราะร่าของทั้งสองคนดังก้องกังวานไปทั่วทางเดิน หากแต่ใครเลยจะรู้ว่ามีเงาหนึ่งซ่อนตัวอยู่หลังล็อกเกอร์ที่ห่างออกไป คอยดูเหตุการณ์มาตั้งแต่ต้น ปากเรียวงามแสยะยิ้มอย่างน่าสยองขวัญและพึมพำกับตัวเอง


?นังบ้า...แกยุ่งกับพี่นาวีของฉัน...แกตายแน่?


ความอาฆาตมาดร้ายในดวงตาคู่นั้นปิดไม่มิดเลยทีเดียว...





เพียะ! เพียะ! เพียะ!


เสียงฝ่ามือตบลงบนผิวหน้านวลของ ?เหยื่อ? ตรงหน้าอย่างสุดแรงนับครั้งไม่ถ้วน ใบหน้าเรียบร้อยนั่นเต็มไปด้วยบาดแผลและรอยเลือดมากมายจากแรงตบ ร่างกายที่ผอมบางเหมือนขี้โรคนั้นเต็มไปด้วยรอยแดงๆ จากการโดนกระชาก


?แฟร์แฟร์...? น้ำตาคลอหน่วงในดวงตาสับสนคู่นั้น ?เธอตบฉันทำไม ฉันไปทำอะไรให้เธอ?


ฉันไม่ตอบคำถามนั้นก่อนที่จะผลักยัยเด็กโง่นั่นล้มลงที่พื้น


?โง่!! แค่นี้ยังไม่รู้อีก! ก็แกมายุ่งกับพี่นาวีของฉันนี่!?


เด็กนั่นอึ้งไป สีหน้าเหมือนเห็นผีกลางวันแสกๆ ก่อนที่จะส่ายหน้าราวกับไม่เชื่อ


?พี่นาวีไม่มีแฟน...พี่นาวีไม่ใช่ของเธอ?


คำพูดนั้นสะกิดลงกลางใจฉัน ทำให้ความอดทนหมดลง ฉันใช้มือหยิบกล่องเค้กเล็กๆ กล่องหนึ่งขึ้นมาก่อนที่จะโปะลงใส่หน้ายัยนั่นอย่างรวดเร็วและแรงโดยไม่สนใจแม้แต่เสียงกรีดร้องของหล่อน


?หยุดพูดมากแล้วกินเค้กของโง่ๆ ของแกไปซะ!! โง่จนไม่รู้เลยรึไงว่าพี่นาวีเป็นนักกีฬา เขาไม่กินของหวานที่ทำให้เสียสุขภาพหรอก!!?


รสชาติหวานเลี่ยนและกลิ่นหอมเนยฟุ้งไปทั่ว น้ำตาไหลออกมาจากสองตาของเด็กสาวตรงหน้าฉัน หล่อนมองฉันด้วยความรู้สึกหลายอย่างแต่ฉันไม่สนใจอะไร


ก็แน่ล่ะ...ยัยนี่ก็เหมือนผู้หญิงคนอื่นที่จ้องจะอ่อยพี่นาวีไปวันๆ เท่านั้นเอง หึ!


?รู้สึกยังไงบ้างล่ะ เค้กปัญญาอ่อนของแก รสชาติไม่ได้เรื่องเลยใช่มั้ย! ทำมาเป็นแอ๊บแบ๊วเหมือนนางเอกการ์ตูนญี่ปุ่น น่าหมั่นไส้เป็นบ้า จำใส่กบาลโง่ๆ ของแกไว้เลยนะ? ฉันก้มลงใช้นิ้วชี้จิ้มกระหม่อมบางๆ ของยัยนั่นแรงๆ ด้วยความเกลียด ?...ว่าพี่นาวีของฉันไม่แลผู้หญิงเน่าๆ แบบแกหรอก เลิกยุ่งกับเขาซะ?


ฉันเหยียบอย่างเต็มแรงลงไปที่ตัวงอๆ เหมือนไส้เดือนขี้โรคของยัยนั่น เตะซ้ำแล้วซ้ำเล่าอีกเป็นสิบๆ ครั้งก่อนที่คนถูกทำร้ายจะไม่มีแรงพูดอะไรอีกต่อไป มีเพียงเสียงสะอื้นดังเบาๆ ให้รำคาญ ฉันสะบัดผมหนึ่งทีแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด


?อย่าโง่ไปบอกใครล่ะ ไม่งั้นแกจะพบอะไรที่ร้ายแรงกว่านี้อีกหลายพันเท่าแน่ๆ?


สายตาของฉันไม่มีแม้แต่เสี้ยวของคำว่าล้อเล่น ฉันมองน้ำมูกน้ำตาที่ไหลออกมาไม่ขาดสายปะปนกับครีมเค้กอย่างขยะแขยงก่อนที่จะกระแทกหัวยัยนั่นลงกับพื้นปูนแล้วเดินจากไปอย่างไม่ใส่ใจอีกเลย


ฉันคือนางมารร้าย คือคนใจร้ายที่ทำได้ทุกอย่าง...เพื่อเขา


พี่คะ...ฉันรักพี่ค่ะ










1




บางครั้งฉันก็ไม่เข้าใจว่าทำไมคนเราขี้อิจฉาจัง มันก็เป็นธรรมดาที่คนเราจะเหนือกว่า ก็ในเมื่อฉันมีมากกว่า ฉันสวยกว่า ฉันรวยกว่า ไม่เห็นจำเป็นต้องพยายามจะกุข่าวลือมาทำลายกันเลยนี่


ฉันนั่งมองพวกผู้หญิงที่จับกลุ่มกันซุบซิบฉันพลางคิดอะไรเรื่อยเปื่อย เพราะพวกหล่อนโง่ถึงบังอาจมานั่งนินทาให้เจ้าตัวฟังแบบนี้ ฉันพยายามทำหูทวนลมไม่สนใจ เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีคนมานั่งนินทาฉันแบบนี้


ถึงฉันจะเป็นผู้หญิงใจร้าย นิสัยเสีย ตีสองหน้าแบบที่พวกนั้นว่าจริงๆ ก็เถอะ...


ความคิดมากมายของฉันหยุดลงเมื่อใครบางคนร้องทักฉัน...


?อ้าว แฟร์แฟร์ มาทำอะไรตรงนี้น่ะ?


ชายหนุ่มสมบูรณ์แบบ...พี่นาวีของฉันยิ้มเห็นเขี้ยวขาวและร้องทักอย่างร่าเริงเมื่อพบฉันนั่งรออยู่ที่ห้องทำงานของเขา


?มารอพี่นาวีไงคะ ^^ ไหนว่าจะติวเลขให้แฟร์ไง? ฉันตอบอย่างอารมณ์ดี การได้เห็นพี่นาวีทำให้ฉันรู้สึกมีความสุขอยู่เสมอ พี่นาวีของฉันพยักหน้าก่อนจะบอก


?งั้นรอพี่ตรงนี้แป๊บนึงนะ พี่ต้องประชุมกรรมการนักเรียนก่อน...? พี่นาวีมองฉันแล้วหยุดไปก่อนจะถาม ?กินอะไรมารึยัง หิวรึเปล่า...จำได้ว่ามีคนเอาเค้กมาให้นี่นา อยู่ไหนน้า...?


เมื่อฉันมองพี่นาวีที่ค้นโต๊ะทำงานในห้องกรรมการนักเรียนของตัวเองเพื่อหาเค้กกล่องเล็กนั่นให้ฉันแล้วอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา


?มีคนเอาไปกินแล้วรึเปล่าคะ แฟร์ว่าเด็กๆ ในสภากรรมการนักเรียนของพี่อาจจะหิวแล้วเอาไปกินกันแล้วก็ได้ ^^?


ฉันไม่มีวันบอกเขาหรอกว่าฉันนี่แหละคือคนเอามันไป...


พี่นาวีมองฉันแล้วยิ้มเหมือนเห็นด้วย


?อืม คงจะใช่แหละ เสียดายจริงๆ?


...ใช่ เสียดายจริงๆ ที่ฉันไม่ได้แต่งเรื่องบอกยัยนั่นไปว่าพี่นาวีฝากมาคืน ไม่งั้นฉันคงได้เห็นสีหน้าเจ็บปวดของยัยเโง่นั่นมากกว่านี้


?แฟร์ไม่หิวหรอกค่ะ? ฉันยิ้มอย่างนางฟ้าแล้วพูดให้พี่นาวีเลิกกังวลใจ ?พี่นาวีจะประชุมใช่มั้ยคะ งั้นเดี๋ยวแฟร์ออกไปรอข้างนอกนะ?


?ครับ ^^ รอแป๊บนึงนะ แป๊บเดียว?


พี่นาวีผลักหัวฉันเบาๆ อย่างเอ็นดูก่อนที่จะง่วนอยู่กับเอกสารสารพัดของเขาต่อ ไม่ทันที่ฉันจะได้ก้าวขาออกไปก็มีเสียงโหวกเหวกดังขึ้นที่หน้าห้อง เมื่อฉันหันไปมองก็พบกลุ่มกรรมการนักเรียนกลุ่มใหญ่กำลังโห่ร้อง บางคนก็ผิวปาก ตรงกลางของคนพวกนั้นมีผู้หญิงตัวเล็กคนหนึ่งอยู่ตรงกลาง เธอสวมแว่นหนาเตอะ ถักเปียเรียบร้อยแต่ก็ดูน่ารักน่าทะนุถนอม ฉันคุ้นๆ ว่าเธอเป็นกรรมการนักเรียนฝ่ายวิชาการ เธอกำลังก้มหน้านิ่งราวกับเขินอายอะไรสักอย่าง ฉันกอดอกมองภาพนั้น ในใจพอจะรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ขณะที่ผู้หญิงคนนั้นเดินเข้ามาใกล้พี่นาวีมากขึ้น เธอก็หันไปถามกองเชียร์ด้านหลังด้วยสีหน้าไม่มั่นใจ


?จะดีเหรอ...น้องแฟร์แฟร์ก็อยู่ด้วยนะ?


?ดีสิแก น้องแฟร์เค้าเป็นแค่น้องสาวที่รู้จักกัน ไม่ได้เป็นแฟนนาวีซะหน่อย เค้าไม่ว่าอะไรหรอก บอกไปเลย? พี่กะเทยร่างใหญ่คนหนึ่งที่ฉันจำได้ว่าเป็นเพื่อนสนิทของพี่ผู้หญิงคนนั้นบอก


คำว่า ?เป็นแค่น้องสาว? นั่นทำให้ฉันเคืองแค้นอยู่ในใจ ฉันกำมือแน่นจนเล็บจิกเข้าไปในกำปั้น ในใจอยากจะกระโจนไปตบกะเทยนั่นสักทีแต่ก็ต้องอดทนไว้เพราะอยู่ต่อหน้าพี่นาวี


?คะ...คือนาวี?


?อะไรเหรอ? พี่นาวีตอบรับ ฉันรู้ว่าพี่นาวีต้องรู้แน่ๆ ว่ายัยนี่จะสารภาพรัก แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไรออกมามากกว่านี้


?เรา...เราชอบนาวีน่ะ?


สิ้นเสียงนั้น ทั้งห้องก็เต็มไปด้วยเสียงแซวเสียงโห่เสียงของพวกกรรมการนักเรียน พี่นาวียิ้มเขินๆ และคงจะปฏิเสธไปเหมือนเคย...ฉันรู้ เพราะฉันรู้จักพี่นาวีของฉันดีที่สุด


ท่ามกลางเสียงหัวเราะ เสียงโห่ร้อง และเสียงแซวที่ดังอื้ออึง มีสายตาคู่นี้ของฉันกำลังจ้องมองอย่างอาฆาตมาดร้าย


ฉันเกลียดเธอ...ยัยแว่นโง่






พี่นาวีเห็นฉันเป็นแค่น้องสาว...ความจริงข้อนี้ฉันรู้ดี แต่ฉันไม่ได้เห็นเขาเป็นพี่ชาย ฉันเห็นเขาเป็นผู้ชายคนหนึ่งที่ฉันรักมากและต้องการให้เขามีความสุขเท่านั้นเอง...


?จัดการยัยกรรมการนักเรียนนั่นให้เรียบร้อยล่ะ ...เออ...เอาให้อายจนไม่อยากเป็นคนอีกเลย แล้วอย่าให้อะไรสาวมาถึงตัวฉันได้แล้วกัน...แค่นี้นะ?


ฉันกดวางสายหลังจากที่คุยจบแล้วโยนโทรศัพท์มือถือราคาสองหมื่นของตัวเองไปที่มุมหนึ่งของเตียงอย่างไม่ใส่ใจ สายตาจ้องมองไปที่ทีวีพลาสมาจอยักษ์ในห้องนอนขณะที่สวมถุงเท้าไปด้วย ภาพในจอกำลังฉายเหยื่ออีกรายหนึ่งของฉันพอดี


?เมื่อคืนวาน เวลาประมาณ 23.45 น. นางสาวมาริ อากิฮิโตะ อายุ 17 ปี เด็กนักเรียนสาวลูกครึ่งญี่ปุ่นจากโรงเรียนนานาชาติชื่อดังแห่งหนึ่งก่อเหตุสลด พยายามจะกระโดดตึกยี่สิบห้าชั้นฆ่าตัวตายกลางกรุง แต่เคราะห์ดีที่มีผู้พบเห็นช่วยเรียกหน่วยกู้ภัยไว้ได้ทัน พ่อแม่เปิดเผยทั้งน้ำตาว่าบุตรของตนเป็นเด็กเรียนดีมีพฤติกรรมเรียบร้อย มีมนุษยสัมพันธ์ดี จนกระทั่งเมื่อประมาณสามเดือนก่อน ถูกเพื่อนๆ ที่โรงเรียนรังแกจนเป็นโรคซึมเศร้า กินไม่ได้นอนไม่ได้ บ่นว่าอยากตายทุกวัน...?


?หน้าตาน่ารักนะคะ ไม่น่าพยายามคิดสั้นเลย?


?ครับ...อันตรายจริงๆ ผมว่า...ขอให้น้องเขาไม่คิดจะทำอีกแล้วกัน...?


ฉันกดปิดทีวีเมื่อถึงตรงนั้นด้วยความเบื่อที่จะฟังพิธีกรบ่นพล่ามก่อนที่จะสะพายกระเป๋าไปโรงเรียน ยิ้มที่มุมปากปรากฏขึ้นด้วยความสะใจขณะที่เปิดประตูห้องนอนออกไป


ในที่สุดยัยเด็กลูกครึ่งที่มาอ่อยพี่นาวีเมื่อหลายเดือนก่อนก็โดนกำจัดไปได้เสียที ป่านนี้คงโดนจับส่งโรงพยาบาลบำบัดจิตที่ไหนสักแห่งไปแล้ว ต้องขอบคุณพวกเพื่อนๆ ของยัยนั่นจริงๆ ที่โง่ยอมเชื่อข่าวในเว็บบอร์ดโรงเรียนที่ฉันปล่อยไว้จนเกลียดยัยญี่ปุ่นนั่นกันหมด น่าสมเพชจริงๆ ที่โดนรังแกขนาดนั้น แต่ก็ช่วยไม่ได้...พี่นาวีของฉันห้ามใครแตะต้องทั้งนั้น


ฉันย่ำพรมสีแดงสดลงบันไดไปอย่างเชื่องช้าสู่ห้องอาหารที่ตกแต่งสไตล์หลุยส์ แชนเดอเลียร์ช่อใหญ่แขวนอยู่บนเพดานโอ่โถงที่เพ้นท์เป็นรูปเทพกรีกหลายองค์ ป้าแม่บ้านยืนอยู่ที่โต๊ะอาหารที่ยาวแสนยาวตัวนั้น เมื่อฉันลงมาถึง หล่อนยิ้มให้ฉันอย่างใจดี


?คุณหนูจะรับอาหารเช้ามั้ยคะ ^^ วันนี้ป้าทำออมเล็ตของโปรดของคุณหนูด้วยนะคะ?


ฉันไม่สนใจออมเล็ตโง่ๆ นั่นแต่ถามกลับไป ?พ่อกับแม่กลับมารึยัง?


เมื่อได้ยินคำถาม ป้าแม่บ้านก็มีสีหน้าเจื่อนลง


?ยังค่ะคุณหนู นายท่านติดประชุม ส่วนคุณหญิงไปออกแคมป์การกุศล พรุ่งนี้ถึงจะกลับค่ะ?


คำพูดของป้าทำให้ฉันยิ้มเยาะออกมาอย่างสมเพชเวทนาตัวเอง


?ดีเนอะ มีเวลาไปทำการกุศลสร้างภาพ แต่ไม่มีแม้แต่เวลาจะมาดูแลลูก ทิ้งให้ลูกสาวอยู่กับป้าแม่บ้านแก่ๆ แบบนี้? ฉันเปรยอย่างเลื่อนลอยก่อนจะหันไปบอกป้าแม่บ้าน ?ฉันขอกาแฟดำสักแก้วก็พอแล้ว?


ป้าแม่บ้านเดินห่อไหล่จากไปอย่างเศร้าสร้อย คิดว่าออมเล็ตพวกนั้นคงเป็นลาภปากของคนใช้ก้นครัวไปเสียแล้ว ฉันนั่งลงที่โต๊ะแล้วเปิดหนังสือพิมพ์อ่านเงียบๆ คนเดียว สายตาจ้องมองไปที่ข่าวของนักธุรกิจชื่อดังเจ้าของธุรกิจในเครือ ?GG Group? ที่ผลิตตั้งแต่สากกะเบือยันเรือรบ เสียงถอนหายใจดังขึ้นท่ามกลางความเงียบงันซึ่งแสนเงียบเหงาที่โอบล้อมตัวบ้าน


...นี่ฉันเห็นพ่อตัวเองในหนังสือพิมพ์บ่อยเสียยิ่งกว่าตัวจริงอีกเหรอเนี่ย


ฉันมัน...น่าสมเพชจริงๆ




วันนี้เป็นวันที่น่าเบื่อเหลือเกิน...

เริ่มจากตอนเช้าที่เด็ก ม.ต้น ที่โรงอาหารทำน้ำหกใส่เสื้อของฉันแต่ก็ไม่อาจจะทำอะไรยัยเด็กนั่นได้เพราะมีคนอยู่เยอะจนฉันต้องสร้างภาพเป็นคนดี ต่อจากนั้นก็ต้องมาเรียนในวิชาที่ฉันเกลียดแสนเกลียดอย่างคณิตศาสตร์โดยมีคนสอนเป็นอาจารย์หน้าโง่ๆ ที่ชอบทำตัวขัดใจฉัน


และที่สำคัญ...วันนี้ทั้งวันฉันยังไม่เจอพี่นาวีเลย


พี่นาวีไม่อยู่ที่โรงเรียนวันนี้เพราะต้องไปแข่งบาสเกตบอลกับโรงเรียนอื่น บางครั้งฉันก็นึกอยากให้พี่นาวีสมบูรณ์แบบน้อยกว่านี้สักหน่อยเพื่อให้ริ้นไรทั้งหลายเลิกตอแยเขาเสียที


เสียงอาจารย์แก่ๆ สร้างความรำคาญให้กับฉันไปทั้งคาบ และในที่สุดมันก็จบลง ฉันตัดสินใจว่าจะโดดเรียนในวันนี้ บางทีไปดูพี่นาวีแข่งบาสฯ หน่อยก็น่าจะดี วิชาต่อไปเป็นวิชาสังคมที่น่าเบื่อเสียยิ่งกว่าเลข ฉันลุกขึ้นยืนและใช้เท้าเตะเก้าอี้อย่างไม่ใส่ใจจะเก็บ สะพายกระเป๋าปราด้าราคาสี่หมื่นแล้วเตรียมตัวจะก้าวออกไป


?แฟร์แฟร์จะไปไหนเหรอจ๊ะ? เด็กผู้หญิงหน้าตาจิ้มลิ้มที่นั่งอยู่ข้างๆ ฉันพูดขึ้น


...เอ ยัยนี่ชื่ออะไรนะ ทั้งๆ ที่นั่งอยู่ข้างฉันทุกวันแต่ฉันก็จำชื่อหล่อนไม่ได้เสียที ยิ่งวันนี้ฉันอารมณ์เสียเกินจะทนไหวจึงยากจะควบคุมอารมณ์ให้ตอบเธอไปดีๆ แววตาใสซื่อของเด็กที่ดูตั้งใจเรียนแบบนั้นทำให้ฉันรู้สึกว่าตัวเองเลวมากที่ตั้งใจจะโดดเรียน มันทำให้ฉันอารมณ์เสียที่สุด!


?มันไม่ใช่เรื่องของเธอ! จะอยากรู้ไปทำไม!!?


ฉันไม่รู้ว่ายัยโง่นั่นจะทำหน้ายังไงและไม่สนใจด้วย ก็เป็นแบบนี้แหละตัวฉัน รับไม่ได้ก็อย่ามายุ่ง!





ฉันขับรถวนอยู่ซอยเดิมๆ มาสามรอบแล้วด้วยความที่ไม่มีอะไรจะทำ โรงเรียนที่พี่นาวีไปแข่งบาสฯ ไม่เปิดให้คนภายนอกเข้า ฉันก็เลยไม่ได้เข้าไปดูแม้ในใจจะอยากดูมากก็ตาม ฉันถอนหายใจและคิดว่าต่อให้วีนแตกกับยามไปก็ไม่มีประโยชน์ และถ้าทำอย่างนั้นแล้วพี่นาวีมาเห็นจะแย่เอา...


สิ่งที่สำคัญที่สุดคือฉันไม่อยากให้พี่นาวีเห็นด้านไม่ดีของฉัน...ไม่อยากเลย


ในสายตาของพี่นาวี ฉันอยากจะเป็นน้องสาวที่น่ารักและนิสัยดี พี่นาวีเป็นคนเดียวบนโลกที่ฉันจะแคร์ความรู้สึก เป็นคนเดียวบนโลกที่ฉันจะยอมทำทุกอย่างให้มากขนาดนี้...


เพราะพี่นาวีคือจักรวาลของฉัน ฉันจะรักใครไปมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว


รถมินิคูเปอร์สีขาวของฉันยังคงแล่นไปตามซอยแคบๆ ที่ดูสกปรกและทำให้ฉันที่จิตไม่ค่อยสมดุลอารมณ์เสียขึ้นมาอย่างไม่ค่อยมีเหตุผล ฉันจึงตัดสินใจว่าจะไปช้อปปิ้งที่ห้างแถวๆ นี้เสียหน่อย แม้ว่าฉันไม่รู้จะซื้ออะไรก็ตาม...เอ ดอลเช่กาบาน่าจะออกคอลเลคชั่นใหม่รึยังนะ ฉันชักจะเบื่อปราด้าใบนี้แล้วสิ ฉันละสายตาไปมองแผนที่ GPS บนคอนโซลรถยนต์ชั่วขณะก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นมาพบว่ามีใครคนหนึ่งยืนอยู่บนถนน...คนเหรอ? ไม่น่าจะใช่...


ฉันมองสิ่งที่ยืนกีดขวางอยู่ตรงหน้ารถฉันในซอยแคบๆ นี้แล้วเพ่งพิจารณา เขาคือผู้ชาย คาดคะเนดูแล้วน่าจะสูงกว่าฉันหลายเซนติเมตรอยู่ สวมสูทดีไซน์ทันสมัยสีขาวสะอาด ผมสีทองเป็นประกายสวยงามซอยระต้นคอ ดวงตาที่สีเดียวกับผมก็ทอประกายงดงาม ใบหน้าของเขาไม่มีส่วนใดเลยที่เรียกว่าไม่สมบูรณ์แบบ ผิวก็ขาวราวกับจะส่องแสงได้ในความมืด...ไม่สิ เขาส่องแสงได้จริงๆ เหมือนจะมีรังสีบางอย่างที่ทอประกายอย่างเจิดจรัสจนต้องหรี่ตาลง


มีอะไรบางอย่างในคน (หรืออย่างน้อยรูปลักษณ์ภายนอกเขาก็ดูเหมือนจะเป็นคน) คนนี้ที่บอกให้ฉันรู้ว่าเขาไม่ธรรมดา ฉันคิดว่าตัวเองอาจจะตาฝาดไปจึงกะพริบตาถี่ๆ เผื่อภาพที่เห็นจะเปลี่ยนไป แต่เขาก็ยังยืนอยู่ตรงนั้น ส่งยิ้มอบอุ่นเหมือนพระอาทิตย์ยามเช้ามาให้ อีกทั้งดวงตาที่มองฉันนั่นเหมือนกับว่าเขาจะรู้จักฉัน


?นั่นใคร...? เสียงของฉันเปล่งออกมาได้แค่นั้น บางที...ฉันอาจจะถูกผีหลอกเข้าให้กลางวันแสกๆ ก็ได้


ความกลัวเข้ากัดกินจิตใจขณะที่ผู้ชายคนนั้นย่างกรายเข้ามาใกล้ฉันเรื่อยๆ มีอะไรบางอย่างทำให้ฉันขยับไปไหนไม่ได้ ในที่สุดเขาก็เคาะกระจก


?เจ้าเคยคิดอยากจะเป็นคนดีบ้างมั้ย?


เสียงของเขาเหมือนจะดังอยู่ข้างในรถมากกว่าจะเป็นข้างนอกนั่น มันไพเราะมาก...เป็นเสียงที่ถึงแม้จะไม่ชอบใจแต่อดไม่ได้ที่จะต้องยอมรับว่าไพเราะที่สุดเท่าที่ฉันเคยได้ยินมา มันก้องกังวาน...และให้ความรู้สึกดีพอๆ กับเสียงเพลงทั้งๆ ที่เป็นเพียงคำพูดธรรมดา...


ฉันได้สติในที่สุดและสะบัดความคิดทุกอย่างออกไปจากหัวแล้วพูดทันที ?ไม่!!!?


เขาทำให้ฉันขวัญเสีย ฉันรู้สึกกลัวจับใจจึงเหยียบคันเร่งไปอย่างเต็มแรง รถมินิคูเปอร์สีขาวของฉันพุ่งอย่างรวดเร็วออกมาจากซอยนั้น และโดยที่ไม่ทันได้ระวัง มีรถสิบล้อคันหนึ่งพุ่งมาจากถนนใหญ่ด้วยความเร็วสูงเช่นกัน


?กรี๊ดดดดดดดดด?


ปี๊นๆๆๆๆๆ


เสียงร้องของฉันและเสียงบีบแตรของรถสิบล้อดังระงมไปทั่ว ช่วงระยะเวลาสั้นๆ ไม่ถึงสิบวินาทีนั่นกลับดูนานเป็นชั่วโมงสำหรับฉัน ขณะที่ฉันกำลังหลับตาลงรอความตาย เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นจากที่ที่ฉันคิดว่าเป็นเบาะหลัง...


?ขอถามอีกครั้ง เจ้าน่ะ...เคยคิดอยากจะเป็นคนดีบ้างมั้ย?


เมื่อฉันลืมตาขึ้นก็พบ ?เขา? คนเดิมที่เคยยืนอยู่ในซอยนั่น เขากำลังนั่งอยู่ที่เบาะหลังของรถฉัน แย้มรอยยิ้มเหมือนเจอเรื่องสนุก...


เขาเข้ามานั่งตรงนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่กัน!!!







2




?ขอถามอีกครั้ง เจ้าน่ะ...เคยคิดอยากจะเป็นคนดีบ้างมั้ย?


เสียงของเขายังคงดังก้องกังวานอยู่ในหู ชั่วขณะนั้นเหมือนทุกอย่างจะหยุดลง ทั้งรถของฉัน รถสิบล้อ และเสียงแตร มันสงบ...สงบเอามากๆ


?พูดอะไรน่ะ!! จะบ้ารึไง!!? ฉันตวาดอย่างสติแตก นี่มันเรื่องอะไรกัน! ฉันเมาหรือเกิดปัญญาอ่อนฉับพลันกันแน่เนี่ย!

ผู้ชายประหลาดคนนั้นยังนั่งอยู่ที่เดิม คลี่ยิ้มที่สวยงามราวกับเทพบุตร...เขาหล่อ ไม่สิ งดงามจนเกินไป จนทำให้ฉันกลัวในความงดงามจนไม่เหมือนสิ่งมีชีวิตของเขา


?เจ้าไม่อยากจะเป็นคนดีจริงๆ เหรอ?


ผู้ชายที่นั่งอยู่ตรงเบาะหลังถาม เพียงแค่พริบตาเดียว เขาก็มานั่งที่เบาะข้างคนขับของฉันแล้ว สมองของฉันหมุนวนไปมาอย่างบ้าคลั่งเพื่อคิดว่าเหตุการณ์ตรงหน้านี้คืออะไร แต่คิดเท่าไหร่ก็เจอเพียงคำตอบเดียวเท่านั้นนั่นคือ...


ฉันโดนผีหลอก!!!


เหมือนกับว่าผู้ชายคนนั้นจะอ่านความคิดฉันออก


?ฮะๆ ข้าไม่ใช่ผีสักหน่อย...? เสียงที่ไพเราะเกินกว่าเสียงมนุษย์นั่นทำให้ฉันขนลุก ฉันไม่กล้าแม้แต่จะหายใจ นี่ฉันจะโดนรถชนไปพร้อมๆ กับโดนผีหลอกได้ยังไงกันเนี่ย!!


?เอาล่ะ ตอบข้ามาว่าเจ้าอยากจะเป็นคนดีหรือไม่ ถ้ายอมเป็นคนดี ข้าจะช่วยเจ้าไม่ให้ถูกรถคันนั้นชน?


เขาพูดพลางชี้ไปยังรถสิบล้อ ขณะมือไม้ฉันสั่นไปหมด ภาพที่หยุดนิ่งก็เคลื่อนไหวอย่างช้าๆ รถของฉันกำลังเคลื่อนไปข้างหน้าพร้อมๆ กับรถบรรทุกที่สวนมา ความกดดันกอดรัดฉันจนหายใจไม่ออก ฉันรู้สึกเหมือนจะจมน้ำ ในขณะที่วินาทีแห่งความตายคืบคลานเข้ามาเรื่อยฉันก็นึกถึง...พี่นาวี


ถ้าฉันตาย พี่นาวีจะเป็นยังไง จะต้องมีผู้หญิงมายุ่งกับเขาเยอะแน่ๆ และนั่นเป็นสิ่งที่ฉันยอมไม่ได้...


?ตกลง!! นายจะทำอะไรก็ทำ!! แต่ช่วยฉันที ฉันไม่อยากตาย!!!!? ฉันกรีดร้องออกมาแบบนั้นในวินาทีสุดท้าย ทันใดนั้นรถบรรทุกก็จอดนิ่งอย่างน่าอัศจรรย์ในขณะที่รถฉันกำลังหมุนคว้างอย่างบ้าคลั่งด้วยแรงเบรก และในที่สุด...


โครม!!!


รถของฉันชนเข้ากับต้นไม้ใหญ่ข้างถนนเข้าอย่างจัง หัวกระแทกเข้ากับพวงมาลัยรถยนต์ แล้วภาพทั้งหมดก็ดับไป เสียงสุดท้ายที่ได้ยินคือ


?ข้าช่วยชีวิตเจ้าแล้วนะ อย่าลืมล่ะว่าพูดอะไรเอาไว้ คิคิ?


?เอาล่ะแฟร์แฟร์ ไหว้พี่เขาสิ นี่พี่นาวี ลูกชายของพลเอกนาวิน เพื่อนพ่อเอง?


เสียงที่เหมือนจะดังมาจากที่ไกลๆ ก้องอยู่ในความคิดฉัน ฉันรู้สึกเหมือนกำลังหมุนคว้างอยู่ในห้วงอวกาศที่ไม่มีที่สิ้นสุด และสุดท้ายมันก็หยุดลงและปรากฏภาพขึ้นมา...



คฤหาสน์หลังเดิมซึ่งก็คือบ้านของฉันที่ยังตกแต่งสไตล์หรูหราฟู่ฟ่าแบบเดิมๆ หากแต่ต่างจากเดิมตรงที่นี่เป็นภาพเมื่อหลายปีก่อน...ตอนที่ฉันพบพี่นาวีครั้งแรก


พ่อที่แทบจะไม่กลับบ้านเลยเพราะงานยุ่งกลับบ้านมาทานอาหารเย็นในวันนั้นพร้อมกับเพื่อนของพ่อซึ่งเป็นผู้บัญชาการทหารเรือท่าทางภูมิฐาน และลูกชายของเขาซึ่งก็คือพี่นาวี


ฉันยืนกอดอกมองเด็กผู้ชายที่อายุมากกว่าฉันแค่หนึ่งปีตรงหน้าอย่างพิจารณา ฉันจำไม่ได้แล้วว่าตอนนั้นตัวเองคิดอะไรอยู่ แต่ท่าทางมันคงไม่เป็นมิตรสักเท่าไหร่


แต่แล้ว...โลกของฉันก็หยุดลงเมื่อพี่นาวีในวัยเด็กตรงหน้าฉันยิ้มอย่างร่าเริงแล้วพูดว่า


?สวัสดีครับน้องแฟร์แฟร์ พี่ชื่อนาวีนะ เรามาเป็นพี่น้องที่ดีต่อกันเถอะ ^^?


บางทีฉันอาจจะเริ่มหลงรักพี่นาวีตั้งแต่ที่เห็นรอยยิ้มนั้นก็เป็นได้...


ฉันกะพริบตาครั้งหนึ่งแล้วภาพตรงหน้าก็เปลี่ยนไป คราวนี้เป็นตอนที่พี่นาวีอกหักครั้งแรก ตอนนั้นเป็นช่วงที่พี่นาวีของฉันเพิ่งจะขึ้น ม.ปลาย ฉันไม่มีวันลืมวันนั้นเลย...ผู้หญิงชั่วร้ายที่ฉันเคยนับว่าเป็นพี่สาวยืนอยู่ตรงหน้าพี่นาวีพร้อมกับผู้ชายอีกคนที่ดีไม่ถึงเสี้ยวของพี่นาวี


?นี่มันอะไรกัน...? ฉันจำได้ว่าน้ำเสียงของพี่นาวีสั่นแค่ไหนเมื่อเห็นทั้งสองคนเดินเข้ามา แล้วยัยสารเลวนั่นก็บอกเลิกพี่นาวีด้วยเหตุผลโง่ๆ อย่างเหตุผลว่าเธอชอบเพื่อนสนิทของพี่นาวีมากกว่า


?นาวี...เราขอโทษ? ยัยผู้หญิงชั่วร้ายคนนั้นใช้น้ำเสียงราวกับรู้สึกผิดจริงๆ บอกพี่นาวีและสุดท้ายก็เลือกจะเดินจากไป ทิ้งไว้เพียงพี่นาวีที่เจ็บปวด และฉันผู้ซึ่งตอนนั้นไม่รู้เรื่องราวอะไรเลย แต่เมื่อฉันเห็นพี่นาวีของฉัน...ร้องไห้


มันเป็นครั้งแรกที่ฉันเห็นน้ำตาลูกผู้ชายของพี่นาวี ทันทีที่เห็นพี่นาวีเสียใจขนาดนั้นฉันก็โกรธแค้นจนแทบคลั่ง นั่นคงเป็นครั้งแรกที่ฉันอยากจะฆ่าคน ความรู้สึกเหมือนมีสัตว์ป่าตัวหนึ่งคำรามอยู่ในอก ฉันอยากจะจัดการทุกคนที่ทำให้พี่นาวีต้องมีแววตาที่เศร้าสร้อยแบบนั้น อยากจะฉีกกระชากร่างของพวกหล่อนให้ขาดเป็นชิ้นๆ แล้วสาดด้วยน้ำกรด อยากจะทำให้คนพวกนั้นเสียใจกว่าที่พี่นาวีรู้สึกเป็นพันๆ เท่า...


และนั่นคือจุดเริ่มต้นของการเป็นตัวฉันแบบในปัจจุบัน...


มีแรงมหาศาลฉุดฉันออกไปจากภาพตรงนั้น ฉันรู้สึกเหมือนถูกมือใหญ่ๆ ที่มองไม่เห็นกระชากตัวฉันออกไป หัวปวดเหมือนจะแตกเป็นเสี่ยงๆ และทุกอย่างก็ขาวโพลนไปหมด...


ฉันลืมตาขึ้น สิ่งแรกที่ประสาทสัมผัสได้คือแสงสว่างจ้าจนแทบอยากทุบหลอดไฟนั่นทิ้งหากแต่ติดที่ไม่รู้ทำไมถึงไม่มีแรงจะขยับ อาการปวดหัวจากในฝันยังคงติดมาจนถึงตอนตื่น ฉันค่อยๆ ลุกขึ้นพลางเหลือบมองไปรอบๆ อย่างช้าๆ แล้วพบว่าตัวเองอยู่ในห้องพักของโรงพยาบาล


ทำไมจู่ๆ ฉันถึงฝันถึงเรื่องเก่าๆ ได้นะ...


ก่อนที่จะได้คิดอะไรมากกว่านั้นก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้น


?คุณหนูฟื้นแล้วเหรอคะ ยังปวดอะไรรึเปล่า หิวรึเปล่าคะ?


เจ้าของเสียงนั้นคือป้าหัวหน้าแม่บ้านซึ่งเพิ่งเดินออกมาจากห้องน้ำที่มีอยู่ในตัวห้องพักนั่นเอง ฉันหลับตาลงแล้วขมวดคิ้วเป็นปมยุ่ง


?นี่เกิดอะไรขึ้นน่ะ?


จำได้ว่าฉันกำลังขับรถอยู่แถวๆ โรงเรียนที่พี่นาวีไปแข่งบาสฯ แล้วก็มีใครบางคนปรากฏตัวขึ้นมาซึ่งทำให้ฉันตกใจจนขับรถออกไปเกือบจะปะทะกับสิบล้อ และ...และเขาคนนั้น...ไม่ใช่คน!!

ฉันรู้สึกได้ถึงขนแขนที่ลุกชันเมื่อนึกถึงตรงนี้...


?รถของคุณหนูชนเข้ากับต้นไม้น่ะค่ะ แล้วก็ได้รับบาดเจ็บนิดหน่อยก่อนที่จะสลบไปเพราะตกใจน่ะค่ะ? ป้าแม่บ้านเดินมาถึงข้างเตียงแล้วตอบคำถามของฉัน


?ละ...แล้วรถฉันเป็นยังไงบ้าง ตอนที่ตำรวจเจอรถเจอ...อะไร...บ้างมั้ย?


?นอกจากคุณหนูที่สลบอยู่แล้วก็ไม่เจออะไรค่ะ รถเสียหายนิดหน่อย ตอนนี้ส่งไปซ่อมแล้ว?


คำบอกเล่าของป้าแม่บ้านทำให้ฉันเสียวสันหลังวาบ ไม่แน่ใจว่าตัวเองเพิ่งจะเจอกับอะไรไป...ผีงั้นเหรอ...บ้าน่า ฉันพยายามจะไล่ความคิดอื่นๆ ออกไปและปลอบใจตัวเองว่าเรื่องมันผ่านไปแล้ว ฉันคงจะง่วงมากและเห็นภาพไปเอง...ใช่ ต้องใช่แน่ๆ!!


?ป้า แล้วฉันจะออกจากโรงพยาบาลได้รึยัง ไม่มีอะไรแล้วนี่?


?ค่ะ คุณหนูไม่เป็นอะไรมาก แต่หมอขอให้อยู่เพื่อดูว่าบาดเจ็บภายในอะไรบ้างหรือเปล่าน่ะค่ะ อีกไม่นานก็กลับได้แล้วค่ะ ^^?


รอยยิ้มอ่อนโยนบนใบหน้าเหี่ยวย่นนั่นเหมือนจะบอกว่าดีใจที่ฉันไม่เป็นอะไรมาก ฉันรู้สึกพะอืดพะอมกับรอยยิ้มนั่น... ฉันไม่ต้องการมัน คนที่ต้องยิ้มแบบนั้นควรจะเป็นพ่อแม่ผู้ซึ่งไม่รู้ไปอยู่ไหนในเวลาแบบนี้แท้ๆ...แต่นี่มันอะไร ก็แค่คนใช้ชั้นต่ำคนหนึ่งเท่านั้นเอง...หึ!


เมื่อคิดได้แบบนั้นฉันจึงเมินรอยยิ้มนั้นอย่างไม่สนใจและปล่อยให้ป้าแก่ๆ นั่นยิ้มค้างต่อไปก่อนจะโบกมือไล่



?ป้าจะไปไหนก็ไปเถอะ ฉันดูแลตัวเองได้ อยู่ไปก็เกะกะ?


?ค่ะ ต้องการอะไรโทรเรียกป้าได้นะคะ? ป้าแม่บ้านมีสีหน้าเจื่อนๆ เหมือนจะร้องไห้แต่ก็รับคำ แล้วพูดอีกครั้งราวกับนึกขึ้นได้ ?แล้วก็อีกสักพักคุณท่านกับคุณหญิงจะมาที่นี่...เอ่อ พอดีนักข่าวจะมาทำข่าวน่ะค่ะ?


?อะไรนะ!!! แล้วทำไมไม่รีบบอก!!?


ฉันถลึงตาใส่ป้าที่ไม่ได้เรื่อง ทำไมบอกช้าอย่างนี้นะ พ่อน่าจะเลิกจ้างยัยป้าโง่คนนี้เสียที ทำอะไรก็งกๆ เงิ่นๆ จนฉันหงุดหงิด แล้วให้ตายสิ...การที่ลูกสาวนักธุรกิจรายใหญ่มากของประเทศ (และโลก) ขับรถชนต้นไม้มันต้องเป็นเรื่องใหญ่ขนาดนั้นเลยรึไง! พ่อฉันคงจะอยากสร้างภาพผู้ชายรักครอบครัวขึ้นมาล่ะมั้ง ถึงได้เจียดเวลาอันมีค่ามาเยี่ยมลูกสาวอย่างฉัน! เหอะ!


และเมื่อนึกถึงหนังสือพิมพ์ฉันก็รู้สึกร้อนรนขึ้นมา...แย่ล่ะสิ


?ฉันสวยรึยังนะ ถ้าถ่ายรูปออกมาลงในหนังสือพิมพ์โง่ๆ นั่นต้องดูไม่ได้แน่เลย หน้าฉันมีแผลรึเปล่า...นี่ป้า กระจกอยู่ไหนน่ะ เอามาให้หน่อยซิ!!?


ป้าแม่บ้านที่ได้ยินฉันสั่งก็รีบลนลานไปหากระจกให้ทันที เพราะเรื่องนักข่าวที่จะมาทำให้ฉันลืมเรื่องของผู้ชายชุดขาวคนนั้นไปเสียสนิทเลยทีเดียว





?ครับ ผมเป็นห่วงน้องแฟร์มาก ลูกสาวผมมุเรียนมากเกินไปหน่อยเลยทำให้เหนื่อยและเกิดอุบัติเหตุเช่นนี้ ผมเตือนหลายครั้งแล้วว่าการเรียนหนักจนเกินไปทำให้เสียสุขภาพ แต่น้องแฟร์ก็บอกว่าอยากจะทำเกรดดีๆ ให้พ่อแม่ภูมิใจ น่าดีใจจริงๆ ที่ผมมีลูกดีแบบนี้ ผมอยากให้เด็กต่างจังหวัดผู้ยากไร้ทุกคนได้มีโอกาสศึกษาและเป็นความภูมิใจของพ่อแม่เหมือนน้องแฟร์ ตอนนี้ธุรกิจในเครือ GG Group ของเราก็มีโครงการใหม่ ที่หมายมั่นว่าจะให้ทุนการศึกษาเด็กยากไร้ทุกคน โครงการใหญ่ๆ แบบนี้อยากให้ช่วยกันติดตามด้วยนะครับ?


เสียงของท่านประธานธุรกิจในเครือ GG Group ผู้ซึ่งชื่นชอบการเป็นข่าวเป็นชีวิตจิตใจหรือก็คือพ่อของฉันนั่นเองพูดพล่ามให้นักข่าวฟัง ฉันได้แต่ยิ้มจืดชืดเสแสร้งให้กล้องเป็นสิบตัวที่รัวชัตเตอร์ไม่หยุด ขณะเดียวกันนั้นคุณหญิงแม่นักการกุศลตัวยงของวงการไฮโซก็ไม่น้อยหน้า ฉีกยิ้มเป็นประกายพร้อมเอียงหน้าสี่สิบห้าองศาให้ต่างหูเพชรเม็ดโตส่องสะท้อนกับแสงไฟโรงพยาบาลแล้วจีบปากจีบคอพูด


?แต่โชคดีนะคะที่น้องแฟร์ของดิฉันไม่เป็นอะไรมาก ทั้งนี้ก็เพราะมีโรงพยาบาลที่ทันสมัยและคุณหมอผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งคุณนักข่าวรู้อะไรมั้ยคะ...ต่างจังหวัดที่ห่างไกลยังขาดโรงพยาบาลแบบนี้อยู่อีกมากกก ตอนนี้ดิฉันกำลังทำงานอย่างหนักเพื่อให้ผู้คนในชนบทที่ยากจนได้มีโอกาสรักษาชีวิตให้ปลอดภัยอย่างน้องแฟร์ค่ะ โฮะ โฮะ โฮะ?


เสียงหัวเราะหลอนจิตของคุณหญิงแม่ของฉันทำให้ฉันปวดหัวตุบตับราวกับโดนรถสิบล้อชนเข้าจริงๆ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากฉีกยิ้มเสแสร้งเป็นครอบครัวสุขสันต์ต่อไป


นักข่าวสาวท่าทางฉลาดแบบน่ารำคาญคนหนึ่งยกมือขึ้นแล้วถาม


?คือ...ดิฉันอยากจะทราบว่าน้องแฟร์มีใบขับขี่ได้ยังไงคะ เท่าที่ทราบ อายุน่าจะยังไม่ถึง แล้วทำไมน้องแฟร์แฟร์ถึงรถชนในช่วงเวลาเรียนได้ล่ะคะ ในเมื่อเวลานั้นเด็กนักเรียนควรจะเรียนหนังสืออยู่ที่โรงเรียนมากกว่าจะมาขับรถเล่นน่ะค่ะ?


?.....?


ฉับพลัน ห้องทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ ฉันรู้สึกว่าอากาศรอบตัวเหมือนจะเป็นพิษขึ้นมากะทันหัน ท่านประธานที่หลบทุกการตรวจสอบการทุจริตในบริษัทมาอย่างแนบเนียนได้เสมออย่างพ่อยิ้มค้าง คุณหญิงแม่ผู้ซึ่งสามารถหลบทุกข่าวฉาวมาได้ตลอดยิ้มค้าง และฉัน...คุณหนูผู้ดีแฟร์แฟร์...ยิ้มค้างอย่างพูดไม่ออก


ทันใดนั้นเองก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้น


?เจ้าก็บอกพวกเขาไปเสียสิว่าเจ้าโดดเรียนเพื่อไปดูผู้ชายแข่งบาสฯ ถึงได้ไปอยู่แถวนั้น?


เสียงนั้นก้องกังวานเหมือนไม่ใช่เสียงมนุษย์ มันนุ่มทุ้มให้ความรู้สึกอบอุ่นจับใจ ที่สำคัญคือมันเป็นเสียงที่คุ้นหูมากอย่างถึงที่สุด เมื่อมองไปทางด้านประตูห้องฉันก็พบผู้ชายคนนั้นอีกครั้ง!!


เขายังใส่ชุดสีขาวที่ดูสง่างามเหมือนตอนที่ฉันเจอในซอยแคบๆ นั่น เขายังดูดีจนเหมือนไม่มีอยู่จริงบนโลก และเขาเป็นเครื่องตอกย้ำว่าสิ่งที่ฉันเจอในซอยนั้นไม่ใช่ความฝันหรือละเมอ แต่มันคือเรื่องจริง!!!


?กรี๊ดดดดดดดดดดดด!!!!!!?


เสียงกรีดร้องด้วยความกลัวของฉันดังไปทั่วห้องพักแคบๆ นั่นจนทำให้กระจกสั่นสะเทือน ทั้งนักข่าวและพ่อแม่ต่างดูแตกตื่นกับปฏิกิริยาของฉัน


ฉันกลัว!!!!


?เจ้าเป็นอะไรไปน่ะ ร้องซะหนวกหู ดูสิ...เจ้ามนุษย์ตนนี้ถึงกับเสียขวัญเลยนะ?


ไม่พูดเปล่า เขายังชี้ไปที่นักข่าวจากหนังสือพิมพ์ที่กำลังสะดุ้งตกใจเพราะเสียงฉัน ฉันเบิกตาโพลงและเริ่มกรี๊ดอีกครั้ง ไม่ใช่เพราะอะไร แต่เพราะผู้ชายลึกลับคนนั้นกำลังลอยทะลุร่างของทุกคนที่อยู่ตรงนั้นมายืนตรงหน้าฉัน!!!


?กรี๊ดดดดดดดดดดด!!!?






---------
ร้ายกันแบบไร้ขีดจำกัดเลยค่ะ สำหรับนางเอกเรื่องนี้ แต่ว่าตอนนี้เหมือนกับว่ากรรมจะเริ่มตามทันซะแล้ว เพราะว่ามีเทวดาหนุ่มรูปหล่อจะมาดัดนิสัยให้ถึงที่ เรียกได้ว่าเดลิเวอรี่กันเลยทีเดียว แต่ว่าแค่เจอกันครั้งแรกก็ดูท่าว่าแฟร์แฟร์นางเอกที่สวมบทนางร้า้ยได้อย่างเยี่ยมยอดคงจะได้แผลงฤทธิ์ใส่กันบ้างล่ะ แล้วเรื่องราวจะดำเนินต่อไป มาติดตามต่อกันได้ในหนังสือค่ะ หาซื้อได้ที่ร้านหนังสือชั้นนำ 7-11 หรือทางเว็บไซต์ http://www.bongkoch.com/catalog/product ... ts_id=6707 ค่ะ

ตอบกลับโพส

ย้อนกลับไปยัง “Bongkoch Books News & Activities”