New Release : Stardust สตาร์ดัส สัญญารัก ณ ปลายฟ้า

อัพเดทข่าวบงกชบุ๊คส์ ความเคลื่อนไหว และกิจกรรมพิเศษ ตลอดจนร่วมสนุกชิงรางวัลพร้อมของรางวัลมากมาย

Moderator: P'Bly, Gals, พี่บี

ตอบกลับโพส
Gals
โพสต์: 1074
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 13 ก.พ. 2009 3:47 pm

New Release : Stardust สตาร์ดัส สัญญารัก ณ ปลายฟ้า

โพสต์ โดย Gals »

เรื่องย่อ
เฉิงเย่ต้องหมดอนาคตในการเป็นนักเปียโนเพราะได้ช่วยชีวิตเสี่ยวลู่เอาไว้ เขาออกมาจากบ้านและเดินทางไปเรื่อยตามสถานที่ต่างๆ อย่างไม่มีหลักแหล่ง กระทั่งไปอยู่ที่เซี่ยงไฮ้และได้พบกับเสี่ยวลู่อีกครั้ง เขาไม่พอใจที่ตอนเจอกันอีกครั้งเธอแอบถ่ายรูปเขาในงานโรงรียนที่เขาเป็นครูสอนเปียโนอยู่ จึงทำลายรูปในกล้องของเธอทั้งหมด เกิดเป็นเรื่องเป็นราวขึ้นมาจนเขาถูกไล่ออก เสี่ยวลู่ที่จำได้ว่าเขาเป็นผู้มีพระคุณจึงพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อช่วยเขา








ผมเคยเป็น 100% แต่ตอนนี้เหลือแค่ 80% แล้วผมจะยังเป็นผมอยู่ไหม?








1




?เขาฟังแค่ครั้งเดียวก็สามารถเล่นได้ คุณนายเฉิงครับ...พรสวรรค์ของเฉิงเย่ ผมเองเล่นเปียโนมาหลายปียังไม่เคยเห็นมาก่อน?


คำพูดของอาจารย์สอนเปียโนเมื่อหลายปีก่อนยังตรึงอยู่ในหัว ชีวิตของเฉิงเย่ถูกเปลี่ยนตั้งแต่ตอนนั้น แม่ที่ตรากตรำขายบัวลอยของเขาเริ่มมีความหวังขึ้นมาว่าจะสุขสบายได้บ้างจึงส่งเขาเรียนเปียโนอย่างหนัก เฉิงเย่...ชายหนุ่มนักเปียโนอนาคตไกลอย่างเขากว่าจะมาถึงจุดนี้ได้เป็นเรื่องยาก แต่ในที่สุดเขาก็ได้รับจดหมายจากโรงเรียนสอนดนตรีในนิวยอร์กว่ารับเขาเข้าเรียนแล้ว...


เป็นข่าวที่น่ายินดี...จากวันนั้นถึงวันนี้ ผ่านอะไรมามากมาย ในที่สุดก็สำเร็จไปอีกก้าวหนึ่ง...


เฉิงเย่คิดอย่างยินดีขณะที่กำจี้หินสีดำของสร้อยในมือไว้แน่น เดินไปตามถนนสายแคบที่เต็มไปด้วยร้านขายของของเมืองจิ่วเฟิ้นเพื่อจะเลือกซื้อของให้กับเหยียนยุ่ยซาน...หญิงสาวที่เขารัก


เหยียนยุ่ยซานเป็นเพื่อนกับเขามาตั้งแต่เด็ก อีกทั้งยังเป็นนักเชลโล่สาวที่เล่นคู่กับเขามาตลอด ออกแสดงด้วยกันในหลายที่ เป็นข่าวดีที่เธอได้รับการตอบรับจากโรงเรียนสอนเปียโนในนิวยอร์กเช่นเดียวกัน วันนี้เขาตั้งใจจะหาซื้ออะไรให้เธอสักชิ้นเพื่อตอบแทนความดีที่เธอมีให้มาตลอด เธอเป็นคนที่มองเห็นเขา เป็นเพราะเธออยู่ข้างกายเขามาตลอดแววตาของเธอจึงเห็นแต่เขาเพียงคนเดียว


เขาใช้นิ้วโป้งลูบหินสีดำตามความเคยชิน ยุ่ยซานถามเขาเมื่อหลายวันก่อนว่าจะยกหินก้อนนี้ให้เธอได้หรือไม่ ตอนนั้นเขาปฏิเสธไปโดยไม่ได้คิด แต่เมื่อมาคิดดูแล้ว ถ้าเพื่อเธอ...เขาจะยกมันให้ก็ได้


เฉิงเย่เปิดประตูเข้าไปในร้านขายเครื่องประดับที่มีชายคนหนึ่งเป็นพนักงานขาย เขาไม่เคยเลือกซื้อสร้อยหรือเครื่องประดับให้ใครมาก่อน หวังว่ามันจะไม่ยากเท่าไรนัก


?ขอโทษนะครับ มีสร้อยคอแบบใหม่ล่าสุดมั้ยครับ พอดีผมจะซื้อให้เพื่อน?





ขณะเดียวกันในอีกมุมหนึ่งของประเทศเดียวกัน...ไทเป ศูนย์กลางของไต้หวัน เมืองที่รวมทั้งความรุ่งเรืองและวัฒนธรรมเข้าไว้ด้วยกัน ทิวทัศน์ที่สวยงามและความเจริญทางสถาปัตยกรรมตรึงใจผู้คนทุกครั้งที่มาเยือน


ตุ๋งเสี่ยวลู่...ครีเอทีฟสาวไฟแรงจากปักกิ่งกระชับกล้องถ่ายรูปขนาดใหญ่ในมือและจับภาพอาคารบ้านเรือนของเมืองไทเปอย่างชำนิชำนาญ ขณะที่กำลังเล็งภาพบ้านสีเหลืองนวลตาหลังหนึ่ง เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น เธอหยิบโทรศัพท์มือถือสีขาวออกมาจากกระเป๋ากางเกงขายาวของตัวเองแล้วกดรับสาย


?ฮัลโหล ตุ๋งเสี่ยวลู่ค่ะ?


เธอกรอกเสียงลงไปในโทรศัพท์ และปลายสายก็ตอบกลับมา


[ดูมีความสุขจังนะตุ๋งเสี่ยวลู่ อยู่ไต้หวันเธอคงจะสนุกมาก]


ทันทีที่ได้ยินเสียงจากปลายสาย รอยยิ้มก็ปรากฏที่หน้าของเสี่ยวลู่ทันที


?ต๋าหง~ หวัดดี? เธอพูดอย่างร่าเริงก่อนจะยู่หน้าเมื่อนึกถึงประโยคก่อนหน้าของต๋าหงเพื่อนสาวของเธอ ?ทำไมเธอพูดแบบนั้นล่ะ บ่ายนี้ฉันก็กลับปักกิ่งแล้วนะ?


[นี่...อย่าลืมของฝากฉันด้วยล่ะ ได้ยินมั้ย]


ต๋าหงที่อยู่ปลายสายว่าแบบนั้น ตุ๋งเสี่ยวลู่มองวิวทิวทัศน์รอบกายพลางบอก


?อืม...เป็นพวกรูปได้มั้ย?


[หมายความว่าไง]


?มาที่นี่ฉันได้ดูโฆษณาชิ้นนึง วิวสวยมากเลย ฉันถามพวกเขา เขาบอกว่ามันเป็นวิวที่จิ่วเฟิ้น?


ตุ๋งเสี่ยวลู่ทำสีหน้ายินดีมีความสุขเมื่อนึกถึงเรื่องนั้น ขณะที่ต๋าหงพูดเสียงเข้มขึ้นทันที


[เธออย่าบอกนะว่าเธอจะแอบไปที่จิ่วเฟิ้นคนเดียวน่ะ!!]


?นี่ ฉันได้รับอนุญาตแล้วนะ และรูปที่ฉันถ่ายไว้ก็ต้องเอาไปเก็บเข้าแฟ้มของบริษัท? ตุ๋งเสี่ยวลู่เถียงต๋าหงทันทีเช่นกัน


[อีกไม่กี่ชั่วโมงเธอต้องขึ้นเครื่องแล้ว เธอจะมาทันพวกเขาเหรอ] ต๋าหงได้แต่ถามอย่างอ่อนอกอ่อนใจในนิสัยของเพื่อน


ตุ๋งเสี่ยวลู่เดินไปบนท้องถนนเรื่อยๆ พร้อมกับคุยโทรศัพท์ไปด้วย


?แหม ไม่เป็นไรหรอก ไทเปกับจิ่วเฟิ้นใกล้กันนิดเดียวเอง? เธอพูดอย่างไม่รู้สึกรู้สาอะไร ก่อนจะตบท้าย ?นี่ ฉันไม่คุยกับเธอแล้ว เดี๋ยวไม่ทันพวกเขา แค่นี้นะ?


ตุ๋งเสี่ยวลู่กดวางสายและเดินต่อไปอย่างสดชื่นเมื่อนึกถึงวิวทิวทัศน์ของจิ่วเฟิ้นที่เธอกำลังจะเดินทางไป





เฉิงเย่ได้สร้อยที่ต้องการ เขาแขวนจี้หินสีดำไว้กับสร้อยเส้นใหม่และมองดูมันอย่างชื่นชม ในห้วงความคิดคิดเพียงว่าถ้าหากมันไปอยู่บนลำคอระหงของเหยียนยุ่ยซานคงจะสวยมากทีเดียว...


เหยียนยุ่ยซานเป็นผู้หญิงที่สวย ชาติตระกูลดี ใครๆ ก็เห็นถึงความเหมาะสมระหว่างเขากับเธอ นักเปียโนหนุ่มดาวรุ่งกับนักเชลโล่สาวแสนสวย...เหมาะสมกันเหลือเกิน


เฉิงเย่นัดพบกับเหยียนยุ่ยซานที่ชายหาดของจิ่วเฟิ้น ที่นั่นสวยและสงบ ที่สำคัญมันช่างเหมาะเจาะกับการสารภาพรัก...เหยียนยุ่ยซานบอกเขาเมื่อหลายวันก่อนว่าเธอชอบเขา...ถึงเวลาแล้วที่เขาจะบอกเธอว่าเขาเองก็ชอบเธอเหมือนกัน


ระหว่างที่เดินไปตามท้องถนนอันเงียบเชียบใกล้หาดจิ่วเฟิ้น สายตาของเฉิงเย่ก็ปะทะเข้ากับหญิงสาวคนหนึ่ง เธออยู่ชุดเสื้อกับกางเกงขายาวดูทะมัดทะแมง ร่างบางสูงระหงสะพายกล้องอันโตเล็งภาพชายทะเลของจิ่วเฟิ้นอย่างตั้งใจ จะไม่แปลกอะไรเท่าไหร่ถ้าหากเธอไม่ยืนอยู่กลางถนนอย่างไม่คิดจะระวังชีวิตเลยทีเดียว...ใช่แล้ว ผู้หญิงคนนั้นคือตุ๋งเสี่ยวลู่


และก่อนที่เฉิงเย่จะคิดอะไรได้มากกว่านั้น เขาก็เห็นรถบรรทุกขนาดใหญ่คันหนึ่งแล่นมาด้วยความเร็วสูง มันเป็นธรรมดาของต่างจังหวัดที่รถจะแล่นด้วยความเร็วแบบนี้ แต่ที่ไม่ธรรมดาคือหญิงสาวที่อยู่บนถนนอย่างตุ๋งเสี่ยวลู่กลับไม่ได้รู้สึกถึงการมาถึงของรถเลย


?นี่คุณ!!! รถมา!!!?


เฉิงเย่ร้องเตือนทันที เสียงของเขาได้ผล ตุ๋งเสี่ยวลู่ละสายตาจากภาพในเฟรมขึ้นมามองสถานการณ์ปัจจุบัน รถบรรทุกใกล้เข้ามาทุกที แต่จู่ๆ ขาของเธอกลับขยับไม่ได้!!!


ขยับหนีไปซี่!! เจ้าขาบ้า!!


ตุ๋งเสี่ยวลู่ได้แต่ร้องด่าตัวเองในใจ ขณะที่รถคันใหญ่ใกล้เข้ามาและเสียงบีบแตรดังปี๊นๆ ระงมไปทั่วทิศ ใครบางคนก็วิ่งเข้ามาขวางเธอไว้!


โครม!!!!


เฉิงเย่วิ่งเข้ามาโดยสัญชาตญาณเพื่อจะผลักตุ๋งเสี่ยวลู่ออกไปให้พ้นทาง แต่ตัวเขาถูกรถที่เริ่มชะลอลงชนจนเซล้มลง นั่นยังไม่แย่เท่าในวินาทีต่อมา...รถบรรทุกขนาดใหญ่คันนั้นเคลื่อนทับมือของเขา!!!


กร๊อบ...


เสียงกระดูกแตกและเส้นเอ็นขาดดังพอที่จะได้ยิน เฉิงเย่ร้องขึ้นด้วยความเจ็บปวด


?โอ๊ย....?


ความเจ็บปวดเกินจะทานไหวทำให้เฉิงเย่กุมมือข้างที่โดนรถทับแน่น ตุ๋งเสี่ยวลู่ที่ปลอดภัยดีจากการช่วยเหลือของเขาวิ่งเข้ามาดูอย่างเป็นกังวล เลือดแดงฉานอาบไปทั่วมือ เฉิงเย่หลับตาลง...คิดถึงภาพในอดีต...





?มือเคล็ดงั้นเหรอ!!!?


เสียงแม่ตวาดยังดังก้องอยู่ในหู วันนั้นเฉิงเย่กลับมาที่บ้านพร้อมกับมือที่เคล็ดจากการเล่นเบสบอล มือของเขาบวมเป่งและเจ็บมาก แต่แม่กลับพูดว่า


?เธอต้องรู้ว่ามือของเธอสำคัญกับการฝึกเปียโนแค่ไหน!!! แม่ต้องขายบัวลอยกี่ร้อยถ้วยถึงจะซื้อเปียโนให้เธอได้!!!!?


เฉิงเย่จำได้ว่าวันนั้นเขาร้องไห้อย่างหนักเพราะคำตวาดของแม่...ทำไมเขาจะไม่รู้เล่าว่าแม่ต้องลำบากขนาดไหนกว่าจะซื้อเปียโนมาได้ แม่ย้ำเตือนเรื่องนี้ซ้ำๆ กับเขาบ่อยเสียจนเขาจำขึ้นใจแล้ว เขายังรู้ด้วยว่ามือของเขาสำคัญแค่ไหนกับการเล่นเปียโน มันคือชีวิตและจิตวิญญาณ ทั้งยังเป็นความหวังของพวกเขาสองแม่ลูก...


แต่แม่คงไม่รู้...เฉิงเย่ถามตัวเองทุกครั้งที่ถูกตะคอกใส่ว่าตัวเขา...ชอบการเล่นเปียโนจริงๆ หรือ? หรือว่าการกดดันตั้งแต่เด็กของแม่ทำให้เขา ?คิด? ว่าตัวเองชอบเปียโนไปเสียแล้ว...


และที่สำคัญ...ถ้าเขาเล่นเปียโนไม่ได้อีก เขาจะยังเป็นลูกรักของแม่หรือเปล่า?





โรงพยาบาลเป็นสถานที่ที่จอแจ โดยเฉพาะเมื่อมีผู้ป่วยเข้ามาอย่างฉุกเฉิน เฉิงเย่ถูกจับให้นอนลงบนเตียง เขาดิ้นพล่านเพราะความเจ็บปวดจากบาดแผลที่มือ เตียงถูกบรรดาพยาบาลหลายคนช่วยกันเข็นมุ่งสู่ห้องฉุกเฉิน โดยมีตุ๋งเสี่ยวลู่ตามมาติดๆ ด้วยใจที่เต็มไปด้วยความรู้สึกผิดและเป็นกังวล


?โอ๊ย...ดะ...เดี๋ยวก่อน สร้อยผม...สร้อยผมอยู่ไหน? เฉิงเย่ถามอย่างร้อนรน สร้อยของเขามีความสำคัญมาก เขายังไม่ได้ให้มันกับเหยียนยุ่ยซานเลย


?ใช่เส้นนี้มั้ย?!?


ตุ๋งเสี่ยวลู่ที่อยู่ข้างๆ และกำลังสาวเท้าตามเขามาติดๆ ถามพลางชูสร้อยห้อยจี้หินสีดำของเขาขึ้นมา เฉิงเย่ใช้มือข้างที่ไม่บาดเจ็บคว้ามันไว้แล้วกำแน่น ทันใดนั้นเองเสียงโทรศัพท์มือถือของเฉิงเย่ก็ดังมาจากกระเป๋ากางเกง


?มือถือเข้าไม่ได้นะคะ?


พยาบาลคนหนึ่งพูดเมื่อได้ยินเสียง เฉิงเย่ดูทรมานเหลือแสน คิ้วของเขาขมวดมุ่นด้วยความเจ็บปวด เมื่อเห็นดังนั้นตุ๋งเสี่ยวลู่จึงจัดการหยิบโทรศัพท์ของเขามารับสายแทน เฉิงเย่เห็นเธอหยิบโทรศัพท์จากเขาไปจึงรีบสั่ง


?เดี๋ยวก่อน...โอ๊ย...อย่าบอกคนที่บ้านผมนะ ผมไม่อยากให้แม่เป็นห่วง?


ตุ๋งเสี่ยวลู่ได้ยินแล้วจึงพยักหน้ารับ เธอตะโกนทิ้งท้ายก่อนเขาจะถูกเข็นเข้าห้องฉุกเฉินไป


?ไม่ต้องห่วงนะ!!! ฉันจะอยู่รอที่นี่เป็นเพื่อนคุณ!!!?


เธอไม่รู้ว่าเฉิงเย่จะได้ยินมั้ย แต่เธอก็ได้พูดไปแล้ว เมื่อส่งเขาเข้าห้องฉุกเฉินไปเธอจึงกดรับโทรศัพท์


?ฮัลโหลค่ะ? ตุ๋งเสี่ยวลู่กรอกเสียงใสๆ ของเธอใส่โทรศัพท์ของเฉิงเย่ ปลายสายคือเหยียนยุ่ยซานที่เมื่อได้ยินเสียงผู้หญิง ไม่ใช่เสียงของเฉิงเย่จึงรีบพูด


[ขอโทษนะคะ ฉันโทรผิด] เมื่อปลายสายพูดเหมือนจะวาง ตุ๋งเสี่ยวลู่จึงรีบห้าม


?เดี๋ยวค่ะ!! นี่ไม่ใช่มือถือฉัน!!? เธอว่าก่อนจะเหลือบมองชื่อของคู่สนทนาที่โชว์อยู่บนหน้าจอมือถือและพูดต่อ ?คุณชื่อยุ่ยซานใช่มั้ยคะ ไม่ทราบว่าคุณกับเจ้าของมือถือนี้เป็นอะไรกัน?


เหยียนยุ่ยซานได้ยินดังนั้นก็เงียบไปสักพักก่อนจะตอบมา


[คุณหมายถึงเฉิงเย่? ฉันเป็นเพื่อนสนิทเขาค่ะ] เธอตอบ รู้สึกมึนงงอย่างมากกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น [ขอโทษนะคะ ไม่ทราบว่าคุณเป็นใคร ทำไมมือถือเฉิงเย่ถึงอยู่กับคุณ]


เธอพูดอย่างร้อนรน หลังจากที่รอเฉิงเย่อยู่ที่หาดแล้วไม่พบเขา เหยียนยุ่ยซานจึงมาที่บ้านของเฉิงเย่เพื่อรอเขากลับมา แต่เมื่อโทรหากลับมีใครก็ไม่รู้รับโทรศัพท์แทน


?ฉันชื่อตุ๋งเสี่ยวลู่ เอ่อ...คุณยุ่ยซานคุณใจเย็นๆ ฟังฉันพูดก่อน? ตุ๋งเสี่ยวลู่พูดช้าๆ อย่างอดทน เรียบเรียงคำพูดก่อนจะพูดต่อไป ?คือเพื่อนคุณประสบอุบัติเหตุ ตอนนี้อยู่ในห้องฉุกเฉิน?


เหยียนยุ่ยซานได้ยินแล้วนิ่งไปทันที จนคุณนายเฉิงผู้เป็นแม่ของเฉิงเย่ที่อยู่ใกล้ๆ ต้องถามว่ามีอะไรเกิดขึ้น แต่เธอก็ไม่ได้ตอบอะไรไปเพราะตุ๋งเสี่ยวลู่ที่อยู่ในสายพูดขึ้นมาก่อน


?แต่ว่าเรื่องนี้...คุณอย่าบอกใครนะคะ โดยเฉพาะแม่ของเขา?


เหยียนยุ่ยซานรู้สึกสับสนกับเหตุการณ์ทั้งหมด เธอยังนั่งนิ่งขณะที่แม่ของเฉิงเย่ถามซ้ำว่าเฉิงเย่อยู่ที่ไหน สายถูกตัดไปในที่สุด ตุ๋งเสี่ยวลู่มองโทรศัพท์อย่างชั่งใจก่อนที่สมองจะนึกถึงคำเตือนของต๋าหงที่บอกว่าเธอต้องกลับปักกิ่งในอีกไม่กี่ชั่วโมงแล้ว


ตุ๋งเสี่ยวลู่กัดริมฝีปากอย่างใช้ความคิด ก่อนจะตัดสินใจเดินออกมาและฝากจดหมายไว้ให้เฉิงเย่ที่เคาน์เตอร์ของโรงพยาบาล


ขอโทษนะผู้มีพระคุณ...ฉันฝากเบอร์โทรศัพท์ของฉันที่ปักกิ่งไว้ที่เคาน์เตอร์แล้ว ไม่ว่าจะยังไงคุณต้องติดต่อมานะ...


ตุ๋งเสี่ยวลู่ออกจากโรงพยาบาลโดยไม่รู้เลยว่าเธอได้เดินสวนกับเหยียนยุ่ยซานและแม่ของเฉิงเย่





ที่ปักกิ่ง... ทันทีที่ตุ๋งเสี่ยวลู่กลับถึงบ้านเธอก็วิ่งไปหาพ่อทันที


?พ่อคะ หนูกลับมาแล้ว?


คุณตุ๋งพ่อของตุ๋งเสี่ยวลู่เป็นชายร่างท้วมหนวดเคราเฟิ้มที่ปกติแล้วจะร่าเริงอยู่เสมอ แต่วันนี้กลับกำลังนั่งหน้าตาเครียดอยู่ที่โต๊ะกินข้าว เขาจ้องมองกระดาษแผ่นหนึ่งที่วางไว้บนโต๊ะอย่างหนักใจจนผู้เป็นลูกสาวเห็นความผิดปกติและต้องเรียกซ้ำ


?พ่อคะ...?


ตุ๋งเสี่ยวลู่เดินเข้าไปใกล้ก่อนจะหยิบกระดาษแผ่นนั้นขึ้นมา มันเป็นเอกสารการตรวจโรคของเธอเอง ในนั้นมีข้อความที่ทำให้เธอต้องตกใจ...


โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง... เธอเป็นโรคเดียวกับแม่ของเธอที่เสียชีวิตไป


ตุ๋งเสี่ยวลู่...ครีเอทีฟสาวไฟแรงรู้สึกเหมือนโลกดับลง ณ เวลานั้น





?เผ็ดจัง โอ๊ยย เผ็ดมาก?


ตุ๋งเสี่ยวลู่ร้องพลางใช้มือพัดปากขณะกำลังกินหม้อไฟรสเผ็ดอยู่ที่ร้านดังร้านหนึ่งกับถันอี้ซิน แฟนหนุ่มของเธอที่คบกันมาหลายปี ถันอี้ซินมองเธออย่างแปลกใจ


?คบกันมาตั้งนาน ไม่รู้ว่าเธอชอบกินเผ็ดนะเนี่ย?


ตุ๋งเสี่ยวลู่วางถ้วยลงแล้วบอกว่า


?ฉันก็เพิ่งเคยกินครั้งแรกนี่ล่ะ โอ๊ย เผ็ดมากเลย อา...? ตุ๋งเสี่ยวลู่พูดแล้วดื่มน้ำตามอย่างรวดเร็ว ?อาหารที่ไม่เคยกินฉันก็แค่อยากลองกิน ก็เหมือนคนที่ไม่รู้จักก็อยากลองรู้จัก แต่พอกินอิ่มแล้ว คนก็รู้จักแล้ว ก็ไม่มีอะไรพิเศษ?


?พูดจาแปลกๆ แบบนี้ วันนี้มีใครว่าอะไรเหรอ?


ถันอี้ซินมองตุ๋งเสี่ยวลู่ยิ้มๆ แล้วถาม เธอแสร้งยิ้ม


?ที่จริงก็เป็นเธอ...ฉันจะเลิกกับเธอแล้ว!? ตุ๋งเสี่ยวลู่พูดใส่หน้าถันอี้ซินที่งงงวยอยู่ตรงนั้น ?ฮ่าๆ เธอเป็นคนดี หล่อก็หล่อ เอาใจก็เก่ง ตอนแรกที่ฉันคบเธอนะ ตื่นเต้นและเร้าใจมาก แต่ว่าพอผ่านไปนานๆ ก็ไม่มีความรู้สึกแปลกใหม่เลยไม่มีความรู้สึกอะไรต่อเธอแล้ว?


คำพูดที่ออกมาจากปากของตุ๋งเสี่ยวลู่ทำเอาถันอี้ซินจับต้นชนปลายไม่ถูก เขาดูมึนงง มองแฟนสาวของตนที่ซดหม้อไฟรสเผ็ดตรงหน้าแล้วเรียบเรียงคำพูด


?เธอล้อฉันเล่นใช่มั้ยนี่ ที่ผ่านมาเราก็ไม่เคยมีปัญหา...ไม่สิ...ฉันคิดว่าฉันเข้าใจเธอ? ถันอี้ซินพูด สีหน้าเคร่งเครียดเหมือนจะร้องไห้ เขาถามตุ๋งเสี่ยวลู่ ?บอกฉันตามตรงเพราะอะไร ฉันรู้ว่าต้องมีสาเหตุ?


ตุ๋งเสี่ยวลู่ที่กินหม้อไฟรสเผ็ดจนตาแดงพัดปากอย่างไม่สนใจจะตอบ เธอสูดน้ำมูกและปาดน้ำตาที่ไหลออกมาก่อนจะพึมพำ


?หม้อไฟรสเผ็ดไม่เหมาะกับฉัน ฝืนกันไม่ได้? เธอหันไปมองสายตาเว้าวอนของถันอี้ซินเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะพูดว่า ?ไม่เอาน่า อย่าคิดเล่นหน้าด้านตามตื๊อไม่เลิก อย่างน้อยที่เราอยู่ด้วยกันก็เคยมีความสุข เธอก็ให้ฉันเก็บความทรงจำที่ดีไว้ อย่าให้ฉันต้องดูถูกเธอ?


เมื่อพูดจบตุ๋งเสี่ยวลู่ก็เดินออกมาจากตรงนั้น เธอวิ่งออกมาก่อนที่เขาจะรู้ว่าที่เธอร้องไห้ไม่ใช่เพราะหม้อไฟ...แต่เป็นเพราะเธอเสียใจ


แบบนี้แหละดีแล้ว...ถันอี้ซิน ขอโทษด้วยนะ แต่ฉันไม่อยากให้เธอเป็นเหมือนพ่อฉัน...ที่ต้องสูญเสียคนที่ตัวเองรักไปเพราะโรคที่ฉันกำลังเป็น


ตุ๋งเสี่ยวลู่ปาดน้ำตาที่ไหลออกมาด้วยความเศร้า ปากยังคงแสบจากการกินหม้อไฟรสเผ็ดทั้งๆ ที่ปกติเธอไม่กินเผ็ดเลย แต่วันนี้เธอต้องกินเพื่อหาข้ออ้างที่จะร้องไห้ต่อหน้าเขาโดยไม่ดูเศร้ามากนัก


เธอหยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองขึ้นมาและคิดได้ว่าเธอต้องระงับเบอร์ซะเพื่อไม่ให้ถันอี้ซินโทรมาอีก


ลาก่อน...ถันอี้ซิน





หลังการผ่าตัด หมอสั่งให้เฉิงเย่นอนอยู่ที่โรงพยาบาลเพื่อดูอาการ มือของเขาได้รับบาดเจ็บมากจนขยับไม่ได้ เขาได้แต่เฝ้ารอวันที่มือของตัวเองจะหายเป็นปกติ การกินยาและทำกายภาพบำบัดดูจะเป็นความหวังหลักๆ ที่จะทำให้เขากลับไปมีมือที่คล่องแคล่วเหมือนเดิม


?โธ่ ซุปปลาอีกแล้วเหรอ?


เฉิงเย่เบะปากทันทีที่แม่ของเขาตักซุปปลามาป้อนให้ คุณนายเฉิงเป็นหญิงวัยกลางคนที่ดูเหนื่อยอ่อนกับการสู้ชีวิต ยิ่งเวลาที่ลูกชายป่วย เธอยิ่งดูเหนื่อยมากขึ้นไปอีก เธออธิบายกับเฉิงเย่ว่า


?แม่ไม่ได้ทำเพื่อความอร่อย แม่อยากให้เธอดื่มบำรุงร่างกาย?


?แต่ผมหายแล้วนี่ ดูสิ หมอบอกจะตัดไหมวันนี้ รีบเรียกเขามาเลย ผมจะได้กลับบ้าน เร็วๆ? ไม่ว่าเปล่า เฉิงเย่ยังยกมือขึ้นโชว์ให้ดูอีกด้วย คุณนายเฉิงได้ยินดังนั้นจึงอดไม่ได้ที่จะบ่น


?เหอะ...ตอนช่วยคนอื่นน่ะเคยคิดถึงตัวเองบ้างมั้ย จะมารีบร้อนอะไรตอนนี้ เอามือของนักเปียโนไปแลกกับชีวิตคนอื่นคิดว่ามันคุ้มมั้ย?


?ป้าเฉิงคะ?


ตอนนั้นเองที่เหยียนยุ่ยซานเข้ามาในห้อง เธอร้องเรียกคุณนายเฉิงที่กำลังบ่น เมื่อเฉิงเย่เห็นเธอจึงรีบพูด


?มาๆ ยุ่ยซาน นั่งๆๆ แม่บ่นไม่หยุดเลย น่าเบื่อมาก?


คุณนายเฉิงได้แต่แค่นยิ้มออกมาเล็กน้อยเมื่อได้ยินลูกชายตนพูดแบบนั้น ยุ่ยซานนั่งลงที่เก้าอี้ข้างเตียงก่อนจะยื่นอะไรบางอย่างให้เฉิงเย่ มันคือจดหมายและโทรศัพท์มือถือของเขาที่ตุ๋งเสี่ยวลู่ฝากไว้ให้นั่นเอง


?พยาบาลที่เคาน์เตอร์ฝากมาให้คุณ เขาบอกว่าผู้หญิงที่พาคุณมาโรงพยาบาลฝากจดหมายนี้ไว้ เขาไม่ใช่คนไต้หวัน คุณช่วยเขาไว้แต่เขากลับหนีไป แล้วก็...?


เหยียนยุ่ยซานเว้นช่วงตอนท้าย สีหน้าดูไม่สบอารมณ์เท่าไหร่นัก คุณนายเฉิงจึงถามว่า


?แล้วก็อะไร??


?เบอร์ที่เขาทิ้งไว้ในจดหมายน่ะค่ะ เมื่อกี้หนูลองโทรไป เขาบอกว่าระงับการใช้งานแล้ว...?


คุณนายเฉิงกลอกตาทันที เช่นเดียวกับเฉิงเย่ที่รู้สึกผิดหวังเช่นกัน


?ระงับแล้ว...โอ๊ย! ทำไมถึงเป็นคนแบบนี้ เราไม่ได้คิดเรียกร้องเงินกับเขา ทำไมต้องโกหกกันด้วย?


เมื่อเห็นแม่ของตนเริ่มบ่น เฉิงเย่จึงรีบห้าม


?แม่ ไม่เป็นไรหรอก ยังไงต่อไปเราก็ไม่เจอเขา อย่าโมโหเขาเลยครับ?


เขาพูดแบบนั้นแม้ในใจจะรู้สึกไม่สบอารมณ์เลยก็ตาม





เฉิงเย่ทำกายภาพบำบัดมาเป็นเวลาหนึ่งเดือนแล้ว มือของเขายังคงไม่มีแรง ควบคุมลำบาก และไม่คล่องแคล่วเหมือนเดิม


มือคือชีวิตของนักเปียโน แต่ตอนนี้เขากำลังสูญเสียมันไป...เขารู้ คุณนายเฉิงรู้ ยุ่ยซานก็รู้...


?คุณหมอคะ อาเย่ทำกายภาพบำบัดมาหนึ่งเดือนแล้ว เมื่อไหร่เขาจะหายคะ? ยุ่ยซานถามคุณหมอผู้รักษาเฉิงเย่ในวันหนึ่ง เธอรู้สึกเครียดเหลือเกินกับอาการของคนที่เธอรัก ทุกวันเธอได้แต่เฝ้าภาวนาขอพรต่อสวรรค์ให้มือของเฉิงเย่หายเป็นปกติในเร็ววัน


?อาการของเขาดีขึ้น แต่ว่าทำกายภาพบำบัดต้องมีความอดทน คุณต้องใจเย็นๆ ครับ?


คุณหมอพยายามอธิบาย แต่ยุ่ยซานรู้สึกว่าเธอไม่อาจจะทนใจเย็นได้


?แต่เราไม่มีเวลาแล้ว จดหมายเข้าเรียนของสถาบันดนตรีส่งมาแล้ว ถ้าเราไม่ตอบจดหมายตามเวลากำหนดก็เท่ากับสละสิทธิ์?


เมื่อได้ยินแบบนั้น คุณหมอชายวัยกลางคนก็ถอนหายใจ เขาพูดกับยุ่ยซานอย่างใจเย็นที่สุดเท่าที่จะทำได้


?คุณยุ่ยซาน...ชีวิตนี้เฉิงเย่เล่นเปียโนไม่ได้แล้ว คุณต้องช่วยเกลี้ยกล่อมเขาว่าชีวิตไม่ใช่มีแค่เปียโน?


ยุ่ยซานรู้สึกเหมือนเพิ่งถูกค้อนตีหัวเข้าอย่างจัง เธอออกมาจากตรงนั้น ร้องไห้สะอึกสะอื้นจนตัวโยน เธอเข้าใจแล้วว่าการที่ความฝันที่ฝันไว้ไม่กลายเป็นจริงมันเป็นยังไง ทั้งๆ ที่ทุกอย่างพร้อมหมดแล้ว ทั้งๆ ที่เธอตั้งใจจะสยบนิวยอร์ก สยบยุโรป สยบโลกทั้งโลกด้วยเสียงดนตรีไปพร้อมๆ กับเฉิงเย่ แต่เพราะอุบัติเหตุครั้งนี้...เรื่องราวเหล่านั้นมันจะไม่มีอีกต่อไปแล้ว...

?ยุ่ยซาน เป็นอะไร? ซื่อฉวน...เพื่อนของเฉิงเย่ที่บังเอิญผ่านมาคว้าตัวเธอไว้แล้วถาม


ยุ่ยซานที่ร้องไห้สะอึกสะอื้นเอ่ยอย่างละล่ำละลัก


?หมอ...หมอบอกว่าอาเย่เล่นเปียโนไม่ได้แล้ว!! ฮึก...หมอบอกให้ฉันเกลี้ยกล่อมเขาให้เลิกเล่นเปียโน อนาคตของฉันกับอาเย่ไม่มีอะไรเหลือแล้ว!! ไม่มีอะไรเหลือแล้ว!!?


ยุ่ยซานปาดน้ำตาอย่างเจ็บปวด ซื่อฉวนที่ยืนอยู่ตรงหน้าจับไหล่เธอไว้ จ้องตาเธอแล้วพูดช้าๆ


?ยุ่ยซาน ถึงคุณไม่มีความฝัน ไม่มีอาเย่ แต่คุณยังมีผมนะ...?


เมื่อสิ้นคำพูดนั้นซื่อฉวนก็ก้มลงจุมพิตที่ริมฝีปากบางอย่างอ่อนโยน ยุ่ยซานนิ่งอึ้งไปด้วยความตกใจและทำอะไรไม่ถูก


ที่สำคัญ...ทั้งสองไม่รู้เลยว่าเฉิงเย่ยืนอยู่ตรงนั้น มองดูเหตุการณ์มาตั้งแต่ต้น





เฉิงเย่กลับไปที่บ้านด้วยความรู้สึกสับสน เขาเหนื่อยใจกับการทำกายภาพบำบัดที่ไม่ได้ผล หนำซ้ำยังมาเจอภาพเพื่อนสนิทกับคนที่ตัวเองรักจูบกันอีกด้วย เขารู้สึกท้อแท้ หมดกำลังใจ และไร้ซึ่งทุกสิ่งอย่าง


พอกันทีกับที่แห่งนี้ บางทีเขาควรจะไปหาชีวิตใหม่ๆ ทิ้งอดีตอันเจ็บปวดไว้ตรงนี้...


เฉิงเย่เก็บของใส่กระเป๋าอย่างรวดเร็ว ทว่าขณะที่กำลังจะเดินออกไปเขาก็เจอกับคุณนายเฉิง


?อาเย่! นี่ลูกจะไปไหนน่ะ ทำไมวันนี้ถึงไม่ยอมทำกายภาพบำบัด!? คุณนายเฉิงมองกระเป๋าใบโตและมืออีกข้างของเฉิงเย่ที่ถือพาสปอร์ต ?นี่...นี่ลูกจะไปต่างประเทศงั้นเหรอ?


เฉิงเย่ไม่ตอบ เขาวิ่งออกมาอย่างรวดเร็ว คุณนายเฉิงตามเขาไม่ทันจึงโทรหายุ่ยซาน


?ยุ่ยซาน!! ฉันแม่อาเย่นะ อาเย่จะไปต่างประเทศแต่ไม่บอกว่าจะไปที่ไหน ฉันขวางเขาไม่อยู่?


เมื่อยุ่ยซานได้ยินแบบนั้นเธอก็บึ่งรถออกจากบ้านไปตามเฉิงเย่ทันที ในใจก็ได้แต่ภาวนา...ขอให้ทันด้วยเถอะ...ได้โปรด





เฉิงเย่นั่งอยู่บนรถประจำทาง เขากำลังคิดว่าจะไปที่ไหนดี บนโลกที่กว้างใหญ่แห่งนี้เขาไม่เคยได้เผชิญกับอะไรเลย ตั้งแต่เล็กจนโตแม่เลี้ยงเขาอย่างทะนุถนอมที่สุดเพื่อให้เขาเติบโตมาเป็นนักเปียโนที่เก่งกาจ แม้จะลำบากเพียงใดก็ตาม


ตอนนี้ทุกอย่างจบลงแล้ว...ชีวิตที่ไม่มีเปียโนจะเป็นยังไงนะ


ตุบๆๆ!!!!



?อาเย่ รอฉันด้วย!!!? เสียงใครบางคนดังขึ้น ยุ่ยซานนั่นเอง เธอวิ่งตามรถของเฉิงเย่มาไม่ลดละและทุบหน้าต่างกระจกด้านที่เฉิงเย่นั่งอยู่อย่างแรง เฉิงเย่หันไปมองด้วยความตกใจก่อนจะเปิดหน้าต่าง ยุ่ยซานยื่นอะไรบางอย่างมาให้เขา


?รับสิ! ฉันซื้อตอนรอคุณที่ชายหาด มันเป็นนาฬิกาคู่ เรือนหนึ่งให้คุณ อีกเรือนอยู่ที่ฉัน!!?


เฉิงเย่รีบรับมันมา ยุ่ยซานหมดแรงที่จะวิ่งตามแล้ว เธอร้องไห้และชูมือข้างที่ใส่นาฬิกาให้เขาดู กล่องนาฬิกาอยู่ในมือของเฉิงเย่ เขามองมันแล้วได้แต่ตะโกนกลับไปเพียงว่า


?ลาก่อน!!!?


จบลงแล้ว....อดีตของเขา






2 ปีต่อมา ที่เซี่ยงไฮ้


เฉิงเย่เดินทางร่อนเร่ไปหลายที่ ในที่สุดเขาก็มาหยุดที่เซี่ยงไฮ้ เขาเช่าห้องเล็กๆ ที่อยู่ชั้นบนของผับแห่งหนึ่งเพื่ออยู่อาศัย เจ้าของผับแห่งนั้นเป็นชายตัวอ้วนที่มีนิสัยซื่อตรงและเริ่มจะสนิทกับเขา เขาได้งานที่โรงเรียนดนตรีแห่งหนึ่งเป็นครูสอนดนตรีให้เด็กๆ แม้รายได้จะไม่สูงมากนักแต่ก็พออยู่ได้


วันนี้เฉิงเย่มาที่งานแสดงดนตรีของโรงเรียนดนตรีที่เขาทำงานอยู่ งานนี้จัดขึ้นในหอประชุมแห่งหนึ่ง มีผู้ปกครองและเด็กมากมายมาร่วม เฉิงเย่เดินอย่างสบายๆ ดูบรรยากาศรอบงาน ก่อนที่สายตาจะไปปะทะเขากับเด็กชายคนหนึ่งที่ยืนอยู่หน้าประตูเข้างานอย่างเก้ๆ กังๆ เฉิงเย่จำเด็กชายคนนี้ได้ เด็กคนนี้คือนักเรียนของเขานั่นเอง


?อยากดูการแสดงคืนนี้เหรอ? เฉิงเย่ถาม เด็กชายส่ายหน้าและตอบปฏิเสธ


?เปล่าครับ ผมมารอเพื่อน?


?ไม่เป็นไร พี่จะพาเธอเข้านะ? เฉิงเย่ว่าก่อนจะจูงมือเด็กคนนั้นเข้าไปในงานดนตรีอย่างอารมณ์ดี





หลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้นที่ตุ๋งเสี่ยวลู่บอกเลิกกับถันอี้ซิน เธอก็ย้ายมาอยู่ที่เซี่ยงไฮ้ เธอตั้งใจทำงานอย่างเต็มที่และมีต๋าหงเพื่อนสนิทคอยช่วยเหลืออยู่เพราะรู้ดีว่าตุ๋งเสี่ยวลู่เป็นโรคอะไร


บ่อยครั้งที่เธอคิดถึงถันอี้ซิน...แต่อดีตก็จำเป็นต้องปล่อยมันไป


?โชว์เครื่องประดับหน่อยนะคะ ค่ะ ขออีกภาพนะคะ?


ตุ๋งเสี่ยวลู่พูดสั่งนางแบบชื่อดังที่กำลังยืนโพสท่าถ่ายแบบเครื่องประดับอย่างชำนาญ วันนี้เธอมาเป็นตากล้องจำเป็นของบริษัท เพราะตากล้องที่นัดไว้ไม่สบายกะทันหัน ถึงแม้จะเป็นครีเอทีฟ แต่ถ้าได้ทำงานที่ชอบอย่างถ่ายภาพเธอก็ไม่บ่นอะไรอยู่แล้ว


ติดตรงที่เธอต้องไปช่วยงานคุณพ่อเย็นนี้นี่สิ...จะทันมั้ยนะ


ตุ๋งเสี่ยวลู่นัดกับพ่อของเธอไว้ว่าเย็นนี้เธอจะไปช่วยเขาถ่ายภาพที่งานแสดงดนตรีของโรงเรียนสอนดนตรีแห่งหนึ่ง ตอนนี้เหลือเวลาอีกเล็กน้อย...บางทีอาจจะทัน





งานแสดงดนตรีดำเนินไปได้ด้วยดี เสียงดนตรีคลอกับเสียงหัวเราะของทั้งเด็กและผู้ปกครองดังขึ้นบ่อยครั้ง เป็นงานที่อบอวลไปด้วยความสุข เด็กหญิงเด็กชายต่างพากันมาโชว์ความสามารถที่เรียนมาอย่างตั้งใจ มีตั้งแต่การเต้นรำไปจนถึงการแสดงดนตรีพื้นเมือง


ตุ๋งเสี่ยวลู่แอบมองการแสดงจากด้านหลังเวทีตามหน้าที่ที่ตกลงกับพ่อเธอไว้ คุณตุ๋งบอกให้เธอแอบถ่ายอยู่หลังเวที ส่วนตัวเขาจะถ่ายจากด้านหน้า เสี่ยวลู่ถ่ายรูปไปยิ้มไปอย่างอารมณ์ดี การแสดงเครื่องดนตรีพื้นบ้านจบลงแล้ว พิธีกรสาวซึ่งเป็นครูในโรงเรียนดนตรีขึ้นมาพูดบนเวที


?เอาล่ะค่ะ อันดับต่อไปเป็นการแสดงเปียโน ผู้ที่จะแสดงต่อไปคือหนูน้อยอู๋เจี่ยเหวิน ปรบมือต้อนรับเขาหน่อยค่ะ?


เสียงปรบมือดังขึ้น แต่ไม่มีแม้แต่เงาของหนูน้อยอู๋เจี่ยเหวินที่พิธีกรประกาศเลย พิธีกรสาวหน้าเสียไปนิดก่อนจะพูดซ้ำอีกครั้ง


?ผู้ที่จะแสดงต่อไปคือหนูน้อยอู๋เจี่ยเหวิน ปรบมือต้อนรับเขาหน่อยค่ะ?


เด็กชายที่เฉิงเย่พาเข้ามาในงานกระซิบเรียกเพื่อนของตนซึ่งก็คืออู๋เจี่ยเหวินทันที แต่ไม่มีการตอบรับของอู๋เจี่ยเหวินเลย


?นี่...เธอเป็นเพื่อนอู๋เจี่ยเหวินก็ไปเล่นแทนเขาสิ? เฉิงเย่กระซิบกับเด็กคนนั้น ซึ่งได้คำตอบมาทันที


?ไม่ได้ วันนี้ไม่ได้?


เฉิงเย่ไม่ฟังเสียง เขาผลักดันให้เด็กชายที่อยู่กับตนขึ้นไปบนเวทีแล้วจับเด็กชายคนนั้นให้นั่งลงบนเก้าอี้หน้าเปียโนและบอกให้เล่น


เสียงเปียโนดังขึ้น เป็นเพลงที่ไพเราะและถูกบรรเลงมาจากเด็กที่แสดงแทนอู๋เจี่ยเหวินคนนั้น เฉิงเย่มองดูแล้วนึกถึงตัวเองในอดีตอย่างช่วยไม่ได้...ผ่านมา 2 ปีแล้วสินะ


ตุ๋งเสี่ยวลู่ที่กำลังถ่ายภาพอยู่มองเห็นชายคนหนึ่งที่จู่ๆ มายืนบนเวทีด้วยก็รู้สึกคุ้นหน้าอย่างประหลาด เธอกดชัตเตอร์เก็บรูปเขาหลายรูปแล้วนึกได้ว่าเขาคือผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตเธอไว้ที่ไต้หวันนั่นเอง!!


เธอดีใจมากจึงอ้อมไปอีกด้านของเวทีอย่างเงียบเชียบ สะกิดเขาเบาๆ แล้วทักว่า ?นี่ ผู้มีพระคุณ?


เฉิงเย่ที่กำลังยิ้มดูเด็กที่ตนพาขึ้นเวทีเล่นเปียโนหันมามองตุ๋งเสี่ยวลู่เพียงแวบเดียวแล้วถามกลับ


?คุณเป็นใคร?


?ตุ๋งเสี่ยวลู่ไง จำไม่ได้เหรอ? เธอว่าแบบนั้นและฉีกยิ้มอย่างยินดี ก่อนจะชูกล้องที่ถ่ายภาพเฉิงเย่ขึ้นแล้วชี้ให้ดูว่า ?ดูสิ สองปีแล้วคุณก็ยังเหมือนเดิม ใช่คุณแน่เลย ฉันจำไม่ผิดหรอก?


เฉิงเย่นิ่งงันไป เขานึกถึงภาพในอดีต การที่เขาช่วยชีวิตเสี่ยวลู่แล้วต้องสูญเสียอนาคตของตัวเองไป เบอร์ที่เธอทิ้งเอาไว้ก็ติดต่อไม่ได้


?คุณเองเหรอ? เขาถามอย่างรวดเร็ว


ตุ๋งเสี่ยวลู่มีสีหน้าดีใจมากที่เขาจำได้ เธอหัวเราะและพูดอย่างยินดี


?คุณจำได้แล้ว!?


?นี่กล้องคุณเหรอ?


เฉิงเย่ถามพลางชี้ไปที่กล้องของเสี่ยวลู่ด้วยสีหน้าเรียบเฉย ก่อนจะกระชากกล้องมา ตุ๋งเสี่ยวลู่ตกใจพยายามจะกล้องคืนแต่มือก็ไปเกี่ยวกับอะไรบางอย่างและเซล้มลง


โครม!


?คุณทำอะไรน่ะ!!!? ตุ๋งเสี่ยวลู่ถามเสียงหลง เฉิงเย่ตอบไปอย่างรวดเร็ว


?ผมจะลบรูปทิ้ง ผมไม่ให้คุณถ่าย?


เสียงเพลงหยุดลง การแสดงหยุดลง ผู้ชมต่างมองมาทางพวกเขาเลิ่กลั่กอย่างสงสัยว่ามีเรื่องอะไร เฉิงเย่ได้กล้องมาอยู่ในมือ เขากดลบรูปทิ้งพลางพูด


?หวังว่าเจอคุณวันนี้จะเหมือนเมื่อสองปีก่อนที่เป็นแค่อุบัติเหตุ ขอให้ไม่มีครั้งที่สาม!?


เฉิงเย่คว้าตัวเด็กชายที่นั่งงงอยู่บนเก้าอี้หน้าเปียโนแล้วเดินจากไป ทิ้งไว้เพียงตุ๋งเสี่ยวลู่ที่งุนงงอยู่ตรงนั้น ก่อนที่สายตาจะเหลือบไปเห็นสร้อยของเขาที่ตกอยู่ที่พื้น เธอเก็บมันขึ้นมาและเรียบเรียงเหตุการณ์ในใจด้วยความมึนงง






เช้าวันต่อมาเป็นวันที่ยุ่งวุ่นวายมากเมื่อตุ๋งเสี่ยวลู่เปิดกล้องออกมาแล้วพบว่ารูปทั้งหมดหายไป คนที่ลบรูปทั้งหมดนั้นไม่ใช่ใครแต่เป็นเฉิงเย่นั่นเอง เธอไม่รู้สึกโกรธเขาแต่ไม่เข้าใจมากกว่าว่าเขาทำแบบนั้นทำไม เธอเล่าเรื่องทั้งหมดให้ต๋าหง...เพื่อนของเธอฟัง ซึ่งผลที่ได้คือ...


?บอกฉันทีว่ามันไม่จริงใช่มั้ย! ยัยหัวหน้ายมบาลหญิงบอกฉันว่าเช้านี้ต้องเห็นรูป!? ต๋าหงเพื่อนสาวของเสี่ยวลู่เป็นคนพูด เธอดูเครียดมากเพราะงานถ่ายแบบเครื่องประดับที่เสี่ยวลู่ไปถ่ายเมื่อวานได้หายไปด้วย งานนั้นเป็นงานที่เธอรับผิดชอบโดยตรง


?ฉันโทรติดต่อพี่ตงผู้จัดการนางแบบคนนั้นเพื่อขอถ่ายใหม่ แต่พอเขาได้ยินแล้วก็ตัดสายทิ้งไปเลย?


ต๋าหงเริ่มฟิวส์ขาดเมื่อได้ยินที่เสี่ยวลู่พูด เธอโวยวายว่า ?คนคนนั้นเป็นอันธพาลเหรอ หา? แค่ถ่ายรูปเขาไม่กี่ใบ ทำไมต้องโกรธขนาดนั้น เธอต้องไปตามเขากลับมาเอาเรื่องให้ถึงที่สุด เธอต้องให้เขาชดใช้ค่าเสียหายให้เรา! บอกฉันทีว่าเขาเป็นใคร ฉันจะไปตามเขาเอง!! ฉันจะไปฆ่าเขา!!?


เสี่ยวลู่มองสร้อยของเฉิงเย่ที่เก็บได้แล้วตอบต๋าหง


?เขาเป็นผู้มีพระคุณที่ช่วยฉันที่ไต้หวันเมื่อสองปีก่อน?




----------
นอกจากจะทำให้อนาคตของเฉิงเย่ดับวูบแล้ว สองปีให้หลังยังได้พบกันอีกครั้งในลักษณะเช่นนี้อีก ไม่มีวี่แววเลยว่าคนสองคนที่สมควรจะอยู่ห่างไกลกันให้มากที่สุดจะมารักกันได้ แต่อะไรก็เกิดขึ้นได้กับสิ่งที่เรียกว่าความรัก หากได้อ่านเรื่องนี้แล้วจะรู้สึกประทับใจไปกับความรักของคนทั้งคู่ มาติดตามความรักที่งดงามของเฉิงเย่และตุ๋งเสี่ยวลู่กันได้ในหนังสือ Stardust สตาร์ดัส สัญญารัก ณ ปลายฟ้า ค่ะ สามารถหาซื้อได้ที่ร้านหนังสือชั้นนำทั่วไป หรือผ่านทางเว็บไซต์ http://www.bongkoch.com/catalog/product ... ts_id=6627

ตอบกลับโพส

ย้อนกลับไปยัง “Bongkoch Books News & Activities”