New Release BLY แปล : โหมดรักไม่โรแมนติก

อัพเดทข่าวบงกชบุ๊คส์ ความเคลื่อนไหว และกิจกรรมพิเศษ ตลอดจนร่วมสนุกชิงรางวัลพร้อมของรางวัลมากมาย

Moderator: P'Bly, Gals, พี่บี

ตอบกลับโพส
Gals
โพสต์: 1101
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 13 ก.พ. 2009 3:47 pm

New Release BLY แปล : โหมดรักไม่โรแมนติก

โพสต์ โดย Gals »

โหมดรักไม่โรแมนติก

1

ร้านเสริมสวยซิตรอน สถานที่ทำงานของมาสุอิ โคไดตั้งอยู่ ณ มุมหนึ่งของย่านที่อยู่อาศัยอันเงียบสงบในชานเมืองซึ่งอยู่ห่างจากตัวเมืองราวสองชั่วโมงโดยรถไฟ
ร้านเสริมสวยอายุสามสิบปีแห่งนี้ไม่ได้เก่าแก่จนถึงขั้นย้อนยุค และแน่นอนว่าไม่ใช่ร้านใหม่เอี่ยม เพียงแต่เมื่อหนึ่งปีก่อนผู้จัดการได้รับสืบทอดร้านนี้มาจากแม่และทำการตกแต่งใหม่อย่างง่ายๆ จนกลายเป็นร้านเสริมสวยหน้าตาเก๋ไก๋ทันสมัย และมีพื้นที่มากพอให้ช่างทำผมหนุ่มสองคนทำงานร่วมกันอย่างลงตัว
“อายุปูนนี้แล้ว ฉันก็คิดนะว่าปล่อยให้ผมมันหงอกตามธรรมชาติไปคงไม่เป็นไรหรอก ยิ่งย้อมผมก็ยิ่งเสีย แถมยังเจ็บหนังหัวด้วย อีกอย่าง ผมสีเทาน่ะ ช่วงนี้กำลังเป็นที่นิยมเลยไม่ใช่เหรอ? มีดาราหญิงสวยๆ ที่ทำผมสีเทาแล้วเหมาะมากอยู่ด้วยนี่เนอะ แต่พอเป็นคุณป้าธรรมดาๆ อย่างฉันแล้ว ไม่ว่ามองยังไงก็ดูแก่ ต้องรอจนกว่ามันจะเปลี่ยนเป็นสีขาวโพลนไปทั้งหัวนั่นแหละ...”
โคไดก้มตัวประสานสายตากับหญิงวัยสามสิบปลายที่ยังลังเลเรื่องการย้อมสีผม และพูดเรื่องเดิมๆ วนไปวนมากว่าสิบนาทีแล้วผ่านทางกระจกเงา จากนั้นก็เอ่ยขึ้นอย่างเห็นอกเห็นใจ
“ผมเข้าใจความรู้สึกนะครับ ผมสีเทาที่ได้รับการดูแลเป็นอย่างดีน่ะสวยมาก แต่จะเข้ากับตัวเองไหม หรือดูไม่เรียบร้อยระหว่างที่รอให้เปลี่ยนเป็นสีเดียวกันทั้งศีรษะหรือเปล่า คุณลูกค้าส่วนใหญ่กังวลใจเรื่องนี้กันครับ”
มีช่างทำผมที่หงุดหงิดกับความลังเลใจของลูกค้าอยู่เหมือนกัน แต่โคไดเป็นช่างที่เข้าใจลูกค้าและยินดีให้คำปรึกษา เขาอยากให้ความสำคัญกับความต้องการของลูกค้ามากกว่ายัดเยียดความคิดเห็นของตัวเอง
โคไดสูงหนึ่งร้อยเจ็ดสิบแปดเซนติเมตรซึ่งอยู่ในเกณฑ์ค่อนข้างสูง แต่ด้วยรูปร่างผอมบางไม่ค่อยมีกล้ามเนื้อและวิธีพูดที่นุ่มนวล ทำให้หลายคนรู้สึกว่าเขาน่ารักน่าเอ็นดู
ระหว่างที่รับฟังเรื่องเดิมซ้ำๆ โคไดก็เริ่มสังเกตได้ว่าใจจริงแล้วลูกค้าหญิงคนนี้ค่อนข้างชัดเจนว่าอยากย้อมสีผมต่อไป
“นี่เป็นเพียงคำแนะนำหนึ่งจากผมนะครับ คุณลูกค้าลองใช้สีย้อมแบบที่ทำร้ายสุขภาพผมน้อยกว่าปกติดูก่อนดีไหมครับ? แต่เฉดสีที่เลือกได้ก็จะน้อยลง นับเป็นข้อเสียอย่างหนึ่ง แต่เรื่องอาการเจ็บหนังศีรษะจะดีกว่าแบบปกติมากเลย”
โคไดอธิบายอย่างสุภาพขณะยื่นแค็ตตาล็อกตัวอย่างสีผมให้ลูกค้าดู และคอยให้คำแนะนำจนกระทั่งลูกค้าพอใจ
เอ็นโด ชินทาโร่ ผู้จัดการร้านที่กำลังดูแลลูกค้าสาวอยู่ข้างๆ โคไดเอ่ยขึ้นอย่างหวังดี ทว่าน้ำเสียงกลับทุ้มต่ำ ฟังดูไม่เป็นมิตร
“คุณโอซากิไม่เหมาะกับผมบ๊อบสั้นหรอกครับ อย่าตัดทรงนั้นเลย”
แม้จะรู้จักมักคุ้นกับเอ็นโดมาประมาณแปดปีแล้ว โคไดก็ยังตกใจทุกครั้งเมื่อเขาพูดอะไรออกมาตามตรงจนเสียมารยาท ทั้งที่เป็นคนหล่อเหลา แต่ใบหน้านั้นกลับเย็นชายิ่งกว่าถ้อยคำไร้อารมณ์เมื่อครู่เสียอีก
“คุณเอ็นโดยังพูดไม่เข้าหูเหมือนเดิมเลยนะคะ”
ลูกค้าสาวผู้โชคดีเอ่ยก่อนทำแก้มป่องเง้างอน เอ็นโดเปิดแค็ตตาล็อกทรงผมแล้วพูดต่อ
“ผมแค่พูดตามความจริงครับ อันดับแรก ด้วยปริมาณเส้นผมของคุณโอซากิมันยากที่จะตัดทรงนี้ เพราะผมบาง ตำแหน่งนี้จึงไม่สามารถจัดทรงช่วงท้ายทอยแบบนี้ได้ครับ”
“ผมบางอะไรกัน โหดร้ายที่สุด ฉันไม่ได้หัวล้านนะคะ”
“ผมไม่ได้บอกว่าหัวล้าน เพียงแต่ผมตรงช่วงท้ายทอยแบบคุณโอซากิเนี่ย เขาเรียกว่าบางครับ”
“จะยังไงก็เถอะ แต่การตอบสนองความต้องการของลูกค้าไม่ได้เป็นจุดเด่นของมืออาชีพหรอกเหรอคะ”
“แน่นอนว่าผมสามารถใช้เทคนิคตัดแต่งจัดทรงให้ใกล้เคียงกับแบบได้ครับ แต่พอคุณโอซากิกลับไปบ้านแล้ว มันแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่คุณจะจัดทรงด้วยตัวเองอีกครั้ง”
“เอ๋...”
“ที่สำคัญคือ ทรงนี้ไม่เหมาะกับคุณครับ”
“ให้ตายสิ ใจร้ายจังเลยนะคะ คุณเอ็นโดเนี่ย”
ถึงจะพูดอย่างนั้นแต่ลูกค้าสาวก็เชื่อมั่นในเซนส์และฝีมือของเอ็นโด สุดท้ายเธอจึงยอมรับคำแนะนำด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
ขณะที่โคไดกำลังเป่าผมให้ลูกค้าในความดูแลเป็นขั้นตอนสุดท้ายหลังจากย้อมและตัดเรียบร้อยแล้ว ลูกค้าในความดูแลของเอ็นโดก็รับบริการเสร็จสิ้นครบถ้วน ทรงผมยาวประบ่าสีเกาลัดดัดลอนอ่อนๆ สามารถดึงเสน่ห์ของลูกค้าสาวคนนั้นออกมาได้อย่างเต็มที่ เจ้าตัวก็ยิ้มอย่างพอใจขณะจ้องมองกระจกถือ
ลูกค้าที่รับบริการจากโคไดมองแผ่นหลังของลูกค้าสาวที่เดินไปจ่ายเงินผ่านเงาสะท้อนในกระจก แล้วพูดเบาๆ ด้วยรอยยิ้ม
“คุณผู้จัดการน่ะ ฉันเคยคิดว่าเขาเป็นคนที่น่ากลัวมากเลย...”
“ขออภัยด้วยครับ ผู้จัดการของเราพูดจาไม่ค่อยเข้าหูเท่าไร”
“แต่เขาเป็นคนมีฝีมือมากเลยนะคะ”
“ใช่ครับ สมัยยังทำงานอยู่ที่ซาลอนในเมือง เขาเคยได้รับรางวัลจากการแข่งขันด้วยครับ”
“ตายจริง นั่นสินะคะ ช่างทำผมที่กล้าบอกลูกค้าอย่างตรงไปตรงมาว่าเหมาะหรือไม่เหมาะกับทรงผมแบบไหนน่ะ คู่ควรกับรางวัลแล้วล่ะเนอะ”
แต่ฉันสบายใจกับช่างทำผมที่อ่อนโยนอย่างคุณมาสุอิมากกว่านะคะ เธอเอ่ยเสริมอย่างแซวๆ
โดยปกติแล้วซิตรอนรับลูกค้าในรูปแบบการจองเป็นหลัก เอ็นโดมักจะได้ดูแลลูกค้าวัยหนุ่มสาว ขณะที่โคไดได้ดูแลลูกค้าสูงอายุมากกว่าอย่างเห็นได้ชัด
มีลูกค้าหลายคนที่จองเวลาเข้ามาใช้บริการช่วงหลังเลิกเรียนหรือเลิกงานก่อนกลับบ้าน หลายครั้งกว่าจะได้ปิดร้านก็เลยสามทุ่มไปแล้ว แต่หากเทียบกับความยุ่งเหยิงตอนทำงานที่ร้านยอดนิยมในเมืองแล้ว การทำงานในร้านที่มีพนักงานเพียงสองคนนี้ให้ความรู้สึกว่าเวลาผ่านไปเนิบช้าและสบายกว่ามาก
หลังเสร็จงานโคไดทำความสะอาดรอบบริเวณเตียงสระผมและแอบมองเอ็นโดที่กำลังปิดรอบแคชเชียร์อยู่เงียบๆ
ตลอดชีวิตยี่สิบแปดปีของโคได เอ็นโดเป็นผู้ชายที่รูปงามที่สุดที่เคยพบเคยเห็น ไม่ใช่แค่ในหมู่คนธรรมดาเท่านั้น แม้แต่ในวงการบันเทิงเขาก็ยังไม่เคยเห็นใครงดงามเท่าเอ็นโด โคไดไม่ได้ตัดสินด้วยความเสน่หาส่วนตัว เพราะในที่ทำงานเก่าใครๆ ต่างก็ยอมรับว่าคะแนนหน้าตาของเอ็นโดนั้นสูงกว่าค่าเฉลี่ย ถึงขั้นเคยมีแมวมองจากสังกัดดาราเข้ามาทาบทามที่ร้านเลยทีเดียว
ดวงตากลมโตถูกตีกรอบด้วยเปลือกตาสองชั้นสวยงามราวกับภาพตัวอย่าง คิ้วเรียงเส้นสมบูรณ์แบบแม้ไม่ต้องจัดแต่งอะไร จมูกเป็นสันเหมือนผลงานศิลปะ ริมฝีปากบางส่งให้ใบหน้าดูหยิ่งเล็กน้อย
พูดง่ายๆ คือสวยงามมาก แม้จะใช้คำว่าสวยก็ไม่ใช่สวยแบบผู้หญิง เอ็นโดสูงหนึ่งร้อยแปดสิบสี่เซนติเมตร แขนขายาวรับกับส่วนสูงช่างดึงดูดสายตา ดูเหมือนเขามีทุกอย่างในอุดมคติที่ผู้ชายทุกคนอยากมี หากพูดถึงความต่างของส่วนสูง โคไดตัวเตี้ยกว่าเอ็นโดแค่หกเซนติเมตร แต่เมื่อไปยืนอยู่ข้างๆ แล้วกลับรู้สึกถึงความต่างอย่างมาก ราวกับว่าเอ็นโดเป็นช้างในขณะที่ตัวเองเป็นมดตัวจิ๋ว
“ฉันจะไปกินข้าวที่ร้านซูซุแล้วค่อยกลับ”
เอ็นโดเอ่ยเสียงเรียบหลังจากล็อกเครื่องคิดเงิน
“อ๊ะ งั้นฉันไปด้วย”
โคไดตอบรับอย่างร่าเริงขณะเก็บอุปกรณ์ทำความสะอาด “หน้าไม่อาย” เอ็นโดสวนกลับด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“ก็เวลานี้ร้านอาหารส่วนใหญ่ปิดหมดแล้วนี่นา”
“นายจะหาว่าบ้านเกิดฉันบ้านนอกมากเลยงั้นสิ”
“ไม่ใช่สักหน่อย ฉันแค่อยากตอบรับคำชวนของเอ็นจังอย่างว่าง่ายเท่านั้นเอง”
“ไม่ได้ชวนเลยสักนิด”
“ออกมาแล้ว พ่อคนซึนเดเระ ”
“หนวกหู”
เสียงของเอ็นโดเยือกเย็นราวกับช่วงกลางฤดูหนาวของขั้วโลกเหนือ โคไดอดขำไม่ได้ แม้จะแซวไปว่าซึนเดเระ เสียงของเอ็นโดกลับไม่ได้ฟังดูซึนเลยสักนิด เขาพูดด้วยความรำคาญจากใจจริง
แต่การต่อล้อต่อเถียงกับคำพูดห้วนๆ แบบนั้นมันสนุกดี
โคไดขึ้นไปนั่งบนรถของเอ็นโดตรงที่นั่งข้างคนขับหน้าตาเฉย เอ็นโดเดาะลิ้นขณะติดเครื่องยนต์
“รีบไปทำใบขับขี่สักที”
“ฉันไม่มีเวลาไปเรียนขับรถหรอกนะ? งั้นฉันถือโอกาสนี้ลางานไปโรงเรียนสอนขับรถเลยได้ไหมล่ะ?”
“ฉันจะไล่นายออกทันที”
“เห็นไหมล่ะ นายใจร้าย”
ระหว่างที่หยอกเย้ากันอย่างขบขัน ภายในใจโคไดกลับเจ็บแปลบ อันที่จริงโคไดมีใบขับขี่อยู่แล้ว แต่เขาเคยถูกรุ่นพี่เผด็จการในที่ทำงานเก่าบังคับให้เป็นคนขับรถไปส่งที่บ้านหลังงานดื่มสังสรรค์จนเดือดร้อนมาก่อน โคไดจึงโกหกไปว่าตัวเองไม่มีใบขับขี่ และผ่านมาจนป่านนี้โดยไม่มีโอกาสได้แก้ไขเรื่องนั้นให้ถูกต้อง ไม่รู้ว่าเป็นโชคดีหรือโชคร้ายเหมือนกัน แต่ก็เพราะเรื่องโกหกนั่นทำให้เขาได้มานั่งอยู่ที่เบาะข้างคนขับของเจ้านายผู้เย็นชาคนนี้
ถ้าโคไดมีรถเป็นของตัวเองละก็ คงไม่มีโอกาสได้ไปไหนมาไหนด้วยกันนอกจากที่ทำงานแน่ เพราะเอ็นโดไม่ชอบออกไปเที่ยวเล่นกับใครเสียด้วย
ซูซุ คือเพื่อนผู้หญิงสมัยเด็กของเอ็นโด ครอบครัวเธอเป็นเจ้าของกิจการคาเฟชื่อ ‘ดอกหอมหมื่นลี้’ หากไม่นับย่านเริงรมย์เล็กๆ กับร้านอาหารสำหรับครอบครัวแถวหน้าสถานี ก็มีอยู่ไม่กี่ร้านในเมืองนี้ที่เปิดให้บริการจนถึงหลังสามทุ่ม
แต่พอพวกโคไดเดินทางไปถึงร้านก็สี่ทุ่มแล้ว โยชิคาวะ ซูซุกำลังเอาป้ายปิดร้านออกมาแขวนหน้าประตูพอดี
เอ็นโดเลี้ยวเข้าไปจอดในลานจอดรถ
“ทันเวลาพอดี”
เขาพูดอย่างไม่แยแส ซูซุจึงหยิบป้ายมาให้ดู
“ไม่ทันจ้า”
ซูซุทำแก้มป่องเล็กน้อย จากนั้นทำท่าจะแขวนป้ายปิดร้านลงตามเดิม แต่เอ็นโดที่ตัวสูงกว่าคว้าป้ายนั้นมาแล้วชูขึ้นฟ้า คนตัวเล็กที่สูงไม่ถึงหนึ่งร้อยห้าสิบเซนติเมตรอย่างซูซุไม่มีทางเอื้อมถึง เธอได้แต่กระโดดโหยงๆ จนผมที่ม้วนเป็นมวยไว้บนหัวกระเด้งตามจังหวะดูน่ารัก
ทุกครั้งที่เห็นสองคนนี้อยู่ด้วยกัน โคไดรู้สึกเหมือนได้เห็นฉากการ์ตูนตาหวานในชีวิตจริง คู่เพื่อนสมัยเด็กที่พระเอกเป็นหนุ่มหล่อจอมเย็นชา ส่วนนางเอกเป็นสาวน้อยตัวเล็กน่ารัก
“ยิ้มกรุ้มกริ่มอะไรของนาย”
พอเอ็นโดว่ามาอย่างนั้น โคไดยิ่งยิ้มกว้างขึ้นกว่าเดิม
“ก็พวกนายดูเหมาะสมกันจะตาย เห็นแล้วจักจี้หัวใจน่ะ”
เอ็นโดไม่ตอบ เพียงแขวนป้ายปิดร้านเอาไว้ที่กระดุมเสื้อเชิ้ตของโคไดแล้วเดินหายเข้าไปในร้านทันที
“ให้ตายสิ! ขอโทษนะมาสุอิคุง”
ซูซุหยิบป้ายออกจากกระดุมเสื้อของโคไดอย่างรู้สึกผิด
“ทางนี้ก็เหมือนกัน ถึงเวลาปิดร้านแล้วแท้ๆ ขอโทษนะ”
หลังจากทั้งคู่ขอโทษขอโพยกันแล้วซูซุก็หลุดขำออกมา
“ทำไมพวกเราถึงต้องมาขอโทษกันด้วยนะ เป็นความผิดของหมอนั่นแต่แรกแท้ๆ เลย”
ซูซุแขวนป้ายปิดร้านไว้ตรงที่ที่มันควรอยู่แล้วเปิดประตู “เชิญค่า” เธอพูดด้วยรอยยิ้มและนำโคไดเข้าไปภายในร้าน
โคมไฟตกแต่งแบบตั้งพื้นภายในร้านถูกปิดหมดแล้ว เอ็นโดนั่งที่เคาน์เตอร์ กำลังดื่มกาแฟเย็นและกินพิซซาอยู่กับมาสเตอร์
“เอ็นจังไม่รอกันเลย”
“เพิ่งอบพิซซาสำหรับมื้อเย็นเสร็จพอดี มาสุอิคุงมากินด้วยกันสิ เพิ่มสปาเก็ตตีคาโบนาราด้วยดีไหม? แม่ ขอสลัดด้วยนะ”
โคไดค้อมศีรษะอย่างเกรงใจเมื่อเห็นซูซุและครอบครัวช่วยกันทำอาหารคนละไม้คนละมือ
“ขอโทษนะครับ ทั้งที่เลยเวลาปิดร้านแล้วแท้ๆ”
“ก็มาเวลานี้ตลอดอยู่แล้วนี่”
มาสเตอร์ตอบกลับเสียงเรียบ ถ้าจัดประเภทว่าใครเป็นผู้ชายแบบไหน พ่อของซูซุกับเอ็นโดถูกจัดไว้ในประเภทเดียวกันแน่นอน เงียบขรึมและนิ่งเฉยแบบชายชาตรี
“ขอโทษจริงๆ ครับ”
“ไม่เป็นไรหรอกมาสุอิคุง เธอคงโดนชินจังลากมาด้วยใช่ไหมล่ะ”
มาดามเสริมคำพูดของสามีด้วยรอยยิ้ม ทว่า
“หมอนี่ตามผมมาเองต่างหาก”
เอ็นโดตอบกลับทันควัน
“นายพูดตรงเกินไปอีกแล้วนะ แต่ก็เป็นจริงอย่างนั้นครับ”
โคไดพูดด้วยน้ำเสียงขี้เล่นแล้วนั่งลงข้างๆ เอ็นโด
“ทำไมต้องนั่งตรงนี้ด้วย”
“เอ๋? ก็มาด้วยกันนี่? มาด้วยกันแต่นั่งแยกกันมันแปลกนะ?”
“น่ารำคาญ”
“เดี๋ยวสิ ทำไมล่ะ?”
ทั้งสองคนเถียงกันไปมาอย่างรวดเร็วเหมือนเคย ทำเอาซูซุหัวเราะออกมา
“ดูสองคนนี้คุยกันแล้วสนุกจริงๆ เลย เพราะพวกนายสนิทกันมากสินะ”
เอ็นโดกำลังจะแบ่งพิซซาใส่จานของโคไดเนื่องจากมาสเตอร์บอกให้ทำ แต่เมื่อได้ยินสิ่งที่ซูซุพูด เขาก็เปลี่ยนใจและกินพิซซาชิ้นนั้นเอง
“เอาอีกแล้ว ทำไมทำแบบนี้!”
โคไดทำเสียงแข็ง มาดามกับซูซุประสานสายตาส่งสัญญาณอย่างรู้กันว่า ‘สนิทกันจริงๆ ด้วยเนอะ’
โคไดยังคงเล่นละครและแกล้งทำเป็นโกรธต่อไป
ลูกค้าของซิตรอนพูดอยู่บ่อยๆ เหมือนกันว่าทั้งสองคนเข้าคู่กันได้ดี
ไม่รู้เหมือนกันว่าเอ็นโดคิดอย่างไร โคไดมองใบหน้าด้านข้างที่กำลังอ่านข่าวในสมาร์ตโฟนอย่างไร้อารมณ์เงียบๆ
โคไดอยู่กับเอ็นโดมาแปดปีแล้ว ทว่าช่วงเจ็ดปีที่ทำงานอยู่ที่เก่า พวกเขาไม่ค่อยได้ออกมาเจอกันเป็นการส่วนตัวสักเท่าไร
พอมาคิดดู การได้รับประทานอาหารเย็นด้วยกันเป็นครั้งคราวอย่างตอนนี้ช่างเป็นเรื่องน่ามหัศจรรย์
คงเพราะโคไดจ้องนานจนลืมตัวไปหน่อย เอ็นโดจึงละสายตาจากสมาร์ตโฟนแล้วจ้องกลับมา
“เอ็นจัง ช่วยหยิบทาบาสโกให้หน่อยได้ไหม?”
โคไดพูดไปอย่างนั้นเพื่อกลบเกลื่อนที่เผลอมองจ้อง เอ็นโดหยิบขวดทาบาสโกด้วยนิ้วมือเรียวยาวแล้ววางลงตรงหน้าโคได จากนั้นเอ่ยขึ้นเบาๆ
“บอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าให้เลิกเรียกแบบนั้น”
ทุกคนในที่ทำงานเก่าต่างก็เรียกเอ็นโดว่าเอ็นจัง แต่พอโคไดเรียกบ้างเจ้าตัวกลับทำหน้าตาไม่พอใจเสียอย่างนั้น ถ้ารังเกียจกันถึงขนาดนั้นแล้วจะจ้างฉันมาทำงานที่ร้านตัวเองทำไมเนี่ย โคไดคิดในใจขณะตอบกลับไปอย่างล้อเลียน
“ขออภัยด้วยครับ ผู้จัดการ”
เอ็นโดจ้องเขาตาเขม็ง
“เรียกชื่อตามปกติสิ”
“คุณเอ็นโด”
“จะเรียก ‘คุณ’ ทำไมเนี่ย”
“ก็คุณเป็นถึงผู้จัดการนี่ครับ”
“น่ารำคาญ”
“แล้วต้องเรียกแบบไหนถึงจะถูกเล่า!”
“เข้าขากันดีจริงๆ” ซูซุที่ยกพาสตามาเสิร์ฟหัวเราะคิกคัก
สายตาของโคไดหยุดลงที่ปลายนิ้วของซูซุซึ่งกำลังวางจานพาสตาลงบนโต๊ะ
“วันนี้สีเล็บน่ารักขึ้นไปอีกขั้นแล้วนะเนี่ย”
“ขอบใจนะ! คราวนี้เป็นธีมเจ้าหญิงล่ะ”
ซูซุเป็นช่างทำเล็บ ช่วงกลางวันจึงทำงานอยู่ที่ร้านทำเล็บในห้างสรรพสินค้า ส่วนหลังเลิกงานและวันหยุดก็มาช่วยงานที่ ‘ดอกหอมหมื่นลี้’
“เป็นธีมที่เหมาะกับซูซุจังมากเลย”
“จริงเหรอ? ดีใจจังเลย อ๊ะ อยากดูเล็บที่ฉันทำให้ลูกค้าวันนี้ไหม? มันออกมาน่ารักมาก เขาดีใจใหญ่เลยล่ะ ออกแบบเป็นธีมตัวละครในอะนิเมะที่ลูกค้าชอบน่ะ”
ซูซุหยิบสมาร์ตโฟนออกจากกระเป๋าผ้ากันเปื้อนแล้วนั่งลงที่เก้าอี้สตูลข้างๆ โคได และเอาภาพถ่ายเล็บมือที่ถูกลงสีอย่างงดงามให้ดู
“โอ้โฮ สุดยอด! นี่ไม่ใช่แค่ธีมแล้วนะ เธอวาดหน้าตัวละครลงไปด้วยเลยนี่นา”
“งานนี้น่ะนะ ลูกค้าออกปากชมใหญ่เลยล่ะว่าวาดออกมาได้เหมือนมาก”
“เล็บนี้ก็สวยนะ ลวดลายละเอียดขนาดนี้ แค่มองก็ปวดตาแทนแล้ว ซูซุจังเก่งมากเลย”
“นั่นก็เพราะฉันเพิ่งซื้อสิ่งนั้นมายังไงล่ะ ใช้ดีมากเลยนะ แว่นขยายแบบแว่นตาอันนั้นไง”
“อ๋อ ที่ในโฆษณาทำแบบนี้แล้วก็ว้าย! นั่นน่ะเหรอ?”
โคไดทำท่าเหมือนถอดแว่นตาอากาศออกมาวางไว้ใต้ก้นแล้วนั่งทับ ซูซุหัวเราะตัวโยน
“อันนั้นแหละ!”
ทั้งสองคนวี้ดว้ายเลียนแบบโฆษณาอยู่สักพักแล้วกลับมาชื่นชมผลงานตกแต่งเล็บในช่วงนี้ของซูซุอีกครั้ง บรรยากาศจึงครึกครื้นไปด้วยเสียงแสดงความคิดเห็นและชมเชยอย่างประทับใจ
โคไดและซูซุเป็นคนคุยเก่ง อัธยาศัยดีทั้งคู่ เวลามาเจอหน้ากันแบบนี้จึงหาเรื่องคุยกันไปได้เรื่อยๆ
“มีเรื่องให้คุยกันได้เยอะแยะขนาดนั้นเชียว”
เอ็นโดพูดด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดทันทีหลังกินอาหารเสร็จเรียบร้อย
“ก็ปกติไม่ใช่เหรอ ชินจังต่างหากที่เงียบเกินไป”
ซูซุแย้ง มาสเตอร์จึงเอ่ยด้วยเสียงทุ้มต่ำ
“ผู้ชายที่เงียบขรึมคือผู้ชายที่จริงใจ”
ดูเหมือนมาสเตอร์จะถูกใจเพื่อนสมัยเด็กของลูกสาวคนนี้เพราะมีนิสัยคล้ายกับตัวเอง เรื่องนั้นโคไดรับรู้ได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่มาที่นี่แล้ว ส่วนมาดามก็เคยบอกไว้ว่า “พ่อเขาคิดว่าถ้าสักวันซูซุแต่งงานกับชินจังแล้วไปเป็นช่างทำเล็บที่ร้านเสริมสวยซะเลยก็คงจะดี”
ทั้งเรื่องที่มาสเตอร์อยากให้เอ็นโดมาเป็นลูกเขย ทั้งความสงสัยว่าคนพูดเก่งเป็นคนไม่จริงใจงั้นหรือ? ได้สร้างรอยแผลเล็กๆ ในหัวใจโคได แต่การตอบกลับด้วยใบหน้ายิ้มแย้มอยู่เสมอไม่ว่าจะมีอะไรเข้ามากระทบนั้นเป็นนิสัยประจำตัวของเขา
“ขอโทษด้วยครับที่เป็นคนพูดมาก ผมจะพยายามเงียบขรึมกว่านี้เพื่อที่มาสเตอร์จะได้บอกว่าผมเป็นคนจริงใจบ้างครับ”
“อย่านะ ฉันตั้งตารอเวลาที่จะได้คุยกับมาสุอิคุงตลอดเลย”
“จริงด้วย ฉันเองก็ชอบเด็กผู้ชายอย่างมาสุอิคุงมากเลยจ้ะ”
มาดามช่วยพูดเสริมให้ด้วย มาดามที่เป็นคนร่าเริงและช่างพูดนั้นคล้ายกับซูซุมาก
“ขอบคุณนะครับ”
สำหรับโคได ผู้คนเหล่านี้ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องทางสายเลือดเลยแท้ๆ แต่พอมาที่ร้านอาหารแห่งนี้ทีไร มันกลับทำให้เขารู้สึกเหมือนได้กลับมาเยี่ยมบ้านเกิดทุกครั้งอย่างน่าประหลาด โคไดไม่มีบ้านเกิดจริงๆ ให้กลับไปอีกแล้ว บรรยากาศแบบนี้จึงอาจทำให้คิดถึงวันเก่าๆ ขึ้นมา
หลังจากกินมื้อเย็นแสนอร่อยในราคาที่แทบจะลดแลกแจกแถมเสร็จเรียบร้อยแล้ว เอ็นโดขับรถไปส่งโคไดที่อะพาร์ตเมนต์
ภายในรถที่เหลือกันแค่สองคน ถ้าโคไดไม่เป็นฝ่ายพูดอะไรสักอย่างอยู่คนเดียวก็จะไม่มีใครพูดอะไรเลย บนถนนแถบชนบทยามค่ำคืนมีรถยนต์ไม่มาก สัญญาณไฟจราจรกะพริบเปลี่ยนสีไปมา
ไม่นานก็เดินทางมาถึงอะพาร์ตเมนต์ของโคได รวดเร็วจนไม่มีเวลารู้สึกอึดอัดกับความเงียบที่เกิดขึ้นด้วยซ้ำ
“ขอบคุณที่มาส่งตลอดเลยนะ”
โคไดว่า
“ไม่ได้มาส่งเพราะอยากมาสักหน่อย”
และได้รับคำตอบกลับอย่างไร้เยื่อใยตามคาด
พอโคไดลงจากรถแล้วเอ็นโดก็ขับรถจากไปโดยไม่รีรอ
“อยากให้ไฟเบรกกะพริบสักห้าครั้ง จังเลยน้า”
โคไดยิ้มพลางพึมพำอยู่คนเดียว จากนั้นก็ฮัมเพลงเก่าจากวงดรีมคัมทรูเบาๆ ระหว่างเดินขึ้นบันไดอะพาร์ตเมนต์ไป

โคไดแอบรักเอ็นโดข้างเดียวมานานแล้ว


++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ฉันรักนาย มาตั้งนานแล้ว

ช่างทำผมโคไดมีคนที่แอบชอบอยู่ อีกฝ่ายเป็นหนุ่มหล่อถึงขั้นมีแมวมองจากสังกัดดารามาทาบทาม แถมมีความสามารถ แต่สีหน้าท่าทางกลับไม่เป็นมิตรสุดๆ นั่นคือเอ็นโด ชินทาโร่ เพื่อนร่วมงานที่มักพูดจาทำร้ายจิตใจ ผู้คนรอบข้างมองว่าโคไดร่าเริงและเป็นตัวสร้างบรรยากาศอยู่เสมอ ทว่าความจริงแล้วเขามีอีกด้านที่เปราะบางและขี้ขลาด เขาเลยไม่เคยคิดที่จะสารภาพรักกับเอ็นโด และคิดว่าแค่ได้อยู่ในฐานะเพื่อนร่วมงานที่สนิทที่สุดอย่างตอนนี้ก็พอแล้ว ทั้งที่เป็นอย่างนั้นเอ็นโดกลับต้องย้ายไปอยู่ที่บ้านเกิด โคไดจึงตามไปทำงานที่ร้านเสริมสวยของเอ็นโดด้วย!?

เปิดฉากรักล้นใจของหนุ่มหน้านิ่งพูดน้อย x หนุ่มอ่อนไหวผู้เก็บซ่อนความลับ!


รูปภาพ

ตอบกลับโพส

ย้อนกลับไปยัง “Bongkoch Books News & Activities”