ตนติดนิสัยแกล้งหลับที่โต๊ะโคทัตสึพลางมองไปยังห้องครัว เพราะเมื่อคนคนนั้นเริ่มลงมือทำอาหารจะไม่หันกลับมาทางนี้แน่นอน จึงสามารถมองเขาได้ตามใจปรารถนา
ครั้งหนึ่งสัญญาณเตือนเพลิงไหม้ของห้องข้างๆ แจ้งเตือนผิดพลาด เขายังก้มหน้าก้มตาทำอาหารต่อไปโดยไม่ได้สนใจเสียงแจ้งเตือนที่ดังสนั่น นั่นทำให้ตนประหลาดใจเป็นอย่างมาก หากคนคนนั้นมีสมาธิกับสิ่งใด จะจดจ่ออยู่แต่กับสิ่งนั้นจนกว่าจะเสร็จสมบูรณ์
อยู่รอดมาจนถึงตอนนี้ได้อย่างไรเนี่ย แม้จะประหลาดใจ แต่ตนก็ต้องยิ้มเฝื่อนว่าก็อยู่รอดมาได้แล้วแหละ ทว่าไม่รู้ทำไมเหมือนกัน เงาลึกที่ซ่อนอยู่ในดวงตาทั้งสองข้างนั้นกลับทำให้หัวใจบีบรัดทุกครั้งที่จ้องมอง
เขาใช้มีดหั่นฉึกๆ ด้วยท่าทีงุ่มง่าม แผ่นหลังนั้นทำให้ระบบประสาทที่ตึงเครียดผ่อนคลายลง ทั้งที่สมัยเด็กตนเคยกลัวแม่เวลาถือมีดเสียขนาดนั้น เพราะทุกครั้งที่โดนผู้ชายทิ้ง แม่จะกวัดแกว่งมีดทำครัววิ่งไล่พร้อมตะโกนก้องว่าทั้งหมดเป็นความผิดของแก
มีหลายครั้งที่เคยคิดว่าตอนนั้นไม่น่าวิ่งหนี น่าจะปล่อยให้แม่แทงให้ตายๆ ไปซะ แต่หากไม่หนีก็จะไม่ได้เจอเขาคนนี้ และไม่ได้อยู่ด้วยกันแบบตอนนี้
เสียงหัวเราะสนุกสนานของเด็กๆ ละแวกบ้านที่เล่นกันอย่างเพลิดเพลิน เสียงมอเตอร์ไซค์แล่นผ่านมาส่งหนังสือพิมพ์ฉบับเย็น เสียงสุนัขเห่าเริงร่าที่เจ้านายพาออกไปเดินเล่น
ขนาดปิดหน้าต่างแล้วสารพัดเสียงข้างนอกยังทะลุผนังบางๆ ของอะพาร์ตเมนต์โทรมๆ เข้ามาข้างในได้อยู่ดี เสียงของชีวิตประจำวัน ปกติตนคงรำคาญใจ แต่พออยู่ในห้องนี้กลับสบายใจอย่างบอกไม่ถูก น่ามหัศจรรย์เหลือเกิน
ตนเริ่มง่วงเล็กน้อยจึงพลิกตัวนอน
ราวกับอาการตาแข็งนอนไม่หลับที่เกิดขึ้นประจำเวลาอยู่ในห้องตัวเองเป็นเพียงเรื่องโกหก แม้ยานอนหลับมหาศาลจะช่วยให้หลับได้ในที่สุด แต่ฝันร้ายก็คอยหลอกหลอนให้ร้องครวญครางตลอดทั้งคืนจนเหมือนไม่ได้หลับ ทว่าเวลาอยู่ในห้องนี้ ตนนอนหลับสนิทโดยไม่ฝันอะไรเลย นั่นช่วยให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อย แถมผิวพรรณยังผ่องใสขึ้นด้วย
‘นายมีผู้ชายคนใหม่งั้นเหรอ?’
ผู้ชายเจ้ากรรมนายเวรคนนั้นหวาดระแวงต่างๆ นานา แต่ตนก็ไม่รู้คำตอบ เราไม่เคยแนบกายกัน ไม่เคยออกไปไหนข้างนอกด้วยกัน กระทั่งคุยยังแทบไม่ได้คุยเลย เราแค่ใช้เวลาอยู่ด้วยกันเท่านั้น
ความสัมพันธ์แบบนี้เรียกว่าอะไร ตนคนหนึ่งแหละที่ไม่รู้...และไม่มีใครบอกให้รู้ด้วย
กลิ่นน้ำซุปกับผักต้มลอยอบอวลเตะจมูก ‘ของเหลือ’ วันนี้คืออะไรนะ ระหว่างครุ่นคิดอยู่นั้นตนก็ค่อยๆ เข้าสู่ห้วงนิทราอย่างสงบ
แดดร้อนจัดที่แผดเผาผิวหนังเมื่อประมาณครึ่งเดือนก่อนอ่อนกำลังลงไปมากแล้ว คุรุมิซาวะ มิโคโตะหยุดมือที่กำลังขยับดินสอ เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยเมฆอัลโตคิวมูลัส
...เข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วงแล้วสินะ
แม้มองไม่เห็นทิวเขาที่เปลี่ยนเป็นสีแดง ไม่มีลำธารใสที่จุ่มขาแล้วเย็นเฉียบจนต้องสะดุ้ง ทว่าฤดูกาลของที่นี่กับบ้านเก่าต่างก็เปลี่ยนไป...แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าจะทำให้เขาคุ้นชินกับที่นี่
กินซ่า หนึ่งในย่านการค้าใจกลางเมืองที่รวบรวมเฉพาะสินค้าชั้นนำเป็นเมืองของผู้ใหญ่ระดับไฮเอนด์ เนืองแน่นไปด้วยร้านค้าเก่าแก่มากมาย ทั้งยังเป็นต้นกำเนิดเทรนด์ต่างๆ อีกด้วย ร้านค้าซึ่งเรียงรายตามถนนสายหลักต่างแข่งกันเปล่งประกายจนมิโคโตะไม่กล้าเดินเข้าไปคนเดียว ผู้คนที่เดินขวักไขว่ไปมาต่างสดใสมีชีวิตชีวาและเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเจิดจ้าในสายตามิโคโตะผู้เติบโตมาในชนบท
...แต่ก็มีบางอย่างที่รู้สึกคุ้นเคยเป็นอย่างมาก
มิโคโตะยืนพิงกำแพงของธนาคารตรงสี่แยก สายตาเพ่งไปยังต้นโอ๊กซึ่งเรียงรายเลียบไปกับถนน ซามูไรวัยฉกรรจ์สวมฮาโอริกับฮากามะ เหน็บดาบเล็กใหญ่ไว้ข้างลำตัวกำลังยืนนิ่งอยู่ใต้ร่มไม้นั้น
หากซามูไรปรากฏตัวกลางเมืองต้องดึงดูดความสนใจผู้คนที่กำลังเดินขวักไขว่อยู่แน่ ทว่ากลับไม่มีใครส่งเสียงเอะอะโวยวายสักคน ยิ่งไปกว่านั้นไม่มีใครสังเกตเห็นซามูไรคนนั้นด้วยซ้ำ เพราะอันที่จริงเขาไม่ควรจะอยู่บนโลกนี้...เขาคือโครงร่างของคนตาย มีเพียงมิโคโตะเท่านั้นที่มองเห็น
“มิโคโตะ”
มิโคโตะตั้งท่าจะขยับดินสอวาดโครงร่างที่เหมือนหมอกควันนั้นต่อ จังหวะนั้นใครบางคนก็ตบไหล่เบาๆ จากด้านหลัง
เขาหันไปมอง ชายที่ผลิยิ้มบนใบหน้าแสนงดงามอยู่นี้ คือโอคุสึกิ เซนริ...คนรักและผู้อุปถัมภ์ของมิโคโตะ
“วาดภาพอยู่นี่เอง”
เซนริมองสมุดสเกตช์ภาพข้ามไหล่มิโคโตะ รอยยิ้มเบ่งบานกว่าเดิม แม้มิโคโตะกำลังวาดสิ่งที่ไม่มีในโลกความเป็นจริง สิ่งที่ไม่สะท้อนผ่านดวงตาของเซนริ แต่คนรักที่อายุมากกว่าก็ไม่เคยมีท่าทีรังเกียจสักครั้ง มีแต่คำชื่นชมอย่างบริสุทธิ์ใจ ทำให้มิโคโตะสบายใจที่จะพยักหน้าตอบ
“ครับ...ขอโทษนะครับ ผมอดใจวาดไม่ได้จริงๆ”
ทั้งสองคนออกมากินอาหารกลางวันด้วยกัน เซนริขอแวะธนาคาร มิโคโตะจึงเข้ามาด้วยและรออยู่แถวประตูทางเข้า ระหว่างมองโน่นนี่ไปเรื่อยเปื่อยเขาสังเกตเห็นโครงร่างบางอย่างสั่นไหวอยู่ใต้ร่มไม้ริมถนน จึงอดใจไม่ไหวเดินออกมาข้างนอก ถึงออกมาแค่ด้านหน้าที่สามารถมองเห็นได้จากข้างในธนาคารก็เถอะ แต่จู่ๆ หายตัวไปแบบนี้ เซนริน่าจะตกใจไม่น้อย
“ไม่เป็นไรหรอก ฉันไม่มีทางตำหนิแรงบันดาลใจของจิตรกรอยู่แล้ว...นี่คือซามูไรเหรอ?”
“น่าจะเป็นแบบนั้นครับ ผมเห็นเขาหันซ้ายแลขวาเหมือนตามหาอะไรอยู่...อ๊ะ”
“เกิดอะไรขึ้น?”
“มีบางอย่างขนปุกปุยโผล่มา...”
มิโคโตะรีบขยับดินสอบนสมุดสเกตช์ภาพ วาดสิ่งมีชีวิตอ้วนกลมขนสีน้ำตาลตรงเท้าซามูไร ตาของมันบ๊องแบ๊ว มีสีดำรอบๆ...ทานูกินั่นเอง ซามูไรใต้เงาต้นโอ๊กนั่งยองๆ ลูบหัวทานูกิ ส่วนทานูกิก็ยอมให้ทำอย่างนั้นโดยไม่วิ่งหนี
มิโคโตะอธิบายภาพที่เห็น เซนริได้ยินดังนั้นก็หัวเราะสนุกสนาน
“บางทีตอนยังมีชีวิตอยู่ ซามูไรคนนี้อาจเคยอาศัยอยู่แถวนี้ ทานูกิป่าเลยคุ้นเคยกับเขาก็เป็นได้”
“...ใจกลางเมืองแบบนี้มีทานูกิด้วยเหรอครับ?”
“โตเกียวในสมัยเอโดะน่ะ อุดมไปด้วยธรรมชาติแตกต่างจากตอนนี้ลิบลับ อย่างชิบุยะกับอิเคะบุคุโระ ในอดีตก็เคยเป็นหมู่บ้านเกษตรกรรม”
เซนริเล่าว่าสมัยปู่ทวดของตัวเองยังเด็กเคยเจอทานูกิกับหมูป่าตัวเป็นๆ ด้วย ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะเห็นทานูกิโผล่มากลางกินซ่าในสมัยเอโดะ...
“...คิกๆ”
แล้วซามูไรผู้ขึงขังจริงจังคนนั้นมาผูกพันกับทานูกิตัวนี้ได้อย่างไร มิโคโตะอดยิ้มออกมาไม่ได้ พนักงานออฟฟิศหนุ่มที่เดินผ่านมาพอดีหันมามองเขาแล้วใบหน้าแดงก่ำ...
“...เราไปกันเถอะ มิโคโตะ อากาศเริ่มเย็นลงแล้ว ถ้าไม่รีบกลับเข้าห้องเดี๋ยวจะหนาวแย่”
เซนริขมวดคิ้วเล็กน้อยขณะโอบแขนรอบเอวมิโคโตะ ประคบประหงมเกินไปแล้ว มิโคโตะยิ้มเฝื่อนแต่ก็ยอมทำตามแต่โดยดี เขาปิดสมุดสเกตช์ภาพและกอดไว้แนบอก
...ประมาณเก้าเดือนก่อนหน้านี้มิโคโตะอาศัยอยู่ในหมู่บ้านลึกบนภูเขา หากจะเดินทางไปที่นั่นต้องขับรถจากใจกลางเมืองถึงสามชั่วโมงทีเดียว
เขาเกิดและเติบโตในโตเกียวก็จริง แต่ย้ายไปอยู่กับทัตสึโกโร่ผู้เป็นปู่หลังเรียนจบชั้นประถมศึกษา สาเหตุเกิดจากความสามารถพิเศษที่มิโคโตะได้รับสืบทอดมาจากย่าของทัตสึโกโร่...ย่าเทียดของมิโคโตะ ตัวเขาไม่เพียงสืบทอดความงามอันโดดเด่นมาจากย่าเทียดเท่านั้น แต่ยังสืบทอดความสามารถพิเศษมาจากเธอด้วย
ย่าเทียดของมิโคโตะเคยเป็นมิโกะ ประจำศาลเจ้าเก่าแก่ เธอมองเห็นสิ่งที่คนอื่นมองไม่เห็น ได้ยินสิ่งที่คนอื่นไม่ได้ยิน มิโคโตะก็เช่นกัน นับตั้งแต่จำความได้เขาก็มองเห็นสิ่งที่ไม่ควรมีอยู่บนโลกนี้แล้ว...โครงร่างของคนตาย และความคิดที่พวกเขาหลงเหลือไว้
มิโคโตะหมกมุ่นอยู่กับการวาดภาพพวกเขา แม่จึงรับไม่ได้และปฏิเสธเขาอย่างสิ้นเชิง ปู่ซึ่งรักและเทิดทูนย่าเทียดเลยรับมิโคโตะมาดูแลแทน ปู่เลี้ยงดูมิโคโตะเป็นอย่างดีจนเขาอายุสิบแปดปี
มิโคโตะวาดได้แค่ภาพของพวกเขาที่ตายไปแล้วเท่านั้น เขาสามารถวาดทิวทัศน์ธรรมชาติหรือสิ่งไม่มีชีวิตได้อย่างไร้ปัญหา แต่ไม่ว่าพยายามเท่าไรก็ไม่สามารถวาดมนุษย์ที่ยังมีชีวิตได้เลย
ตั้งแต่ย้ายมาอาศัยอยู่กับปู่ มิโคโตะวาดภาพพวกเขามาเรื่อยๆ ตลอด จนวันหนึ่งเหตุการณ์บางอย่างทำให้เซนริที่ทำงานบริหารแกลเลอรีในโตเกียวบังเอิญเห็นภาพวาดของมิโคโตะ เซนริจึงดั้นด้นมาหาถึงที่และเสนอตัวเป็นผู้อุปถัมภ์ของมิโคโตะ
นั่นเป็นสาเหตุให้มิโคโตะตัดสินใจย้ายมาอาศัยอยู่กับเซนริ ตอนนี้กำลังศึกษาเรื่องการวาดภาพโดยมีเซนริซึ่งอายุมากกว่าสิบปีคอยดูแลทั้งในฐานะคนรักและผู้อุปถัมภ์ ดูแลดีจนออกจะประคบประหงมเกินเหตุหน่อยๆ และถ้ามิโคโตะมีเวลาจะไปช่วยงานแกลเลอรี ‘เอลิวซิส’ ที่เซนริเพิ่งเปิดใหม่ในย่านกินซ่าด้วย นอกจากนั้นความสามารถพิเศษที่มีติดตัวมาตั้งแต่เกิดนี้ยังลากให้มิโคโตะให้เข้าไปพัวพันกับคดีต่างๆ เป็นครั้งคราว
หลังกวาดชานพักบันไดเสร็จและกำลังจะกวาดบันไดให้สะอาดไปจนถึงชั้นหนึ่ง ประตูซึ่งติดแผ่นป้าย ‘แกลเลอรีเอลิวซิส’ ก็เปิดออก
“มิโคโตะ เข้ามาข้างในได้แล้ว”
เซนริโผล่ออกมาพร้อมกวักมือเรียกหน้านิ่วคิ้วขมวด มิโคโตะอาศัยจังหวะที่เซนริคุยโทรศัพท์กับลูกค้าแอบออกมาทำความสะอาดข้างนอก นั่นทำให้อีกฝ่ายเป็นห่วง
“ขอโทษครับ เซนริซัง ผมอยากทำความสะอาดบันไดด้วย...”
“เรื่องทำความสะอาดน่ะ ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของบริษัทดูแลอาคารเถอะ เธอเพิ่งหายป่วย ถ้าออกกำลังเยอะๆ แล้วไข้กลับขึ้นมาอีกจะทำยังไง”
เมื่อวานซืน...หลังวันนั้นที่วาดภาพซามูไรกับทานูกิ จู่ๆ อากาศก็เย็นลงจนทำให้มิโคโตะเป็นหวัด เมื่อวานเลยพักผ่อนอยู่แมนชันทั้งวัน เขามีไข้ก็จริง แต่แค่ไข้อ่อนๆ หากเป็นตอนอาศัยอยู่กับปู่ มิโคโตะคงเคลื่อนไหวร่างกายทำโน่นนี่ตามปกติ แต่เซนริเป็นห่วงมาก ถึงขนาดขังเขาไว้ในห้องนอน ไม่ยอมให้ลุกจากเตียง
ทั้งคู่อาศัยอยู่ด้วยกันในฐานะคู่รักและผู้อุปถัมภ์มาได้ระยะหนึ่งแล้ว แต่อาการประคบประหงมจนเกินเหตุของเซนริมีแต่จะหนักมากขึ้นเรื่อยๆ
จริงอยู่ว่าในสายตาของชายหนุ่มผู้ประสบความสำเร็จ เปิดแกลเลอรีในทำเลทองใจกลางเมืองตั้งแต่อายุยังน้อย สามารถดูแลลูกค้าจำนวนมากได้อย่างคล่องแคล่วและเป็นมืออาชีพ อาจเห็นมิโคโตะซึ่งเติบโตในชนบทเป็นเหมือนลูกเจี๊ยบอ่อนแอทำอะไรไม่เป็น
แต่มิโคโตะเริ่มคุ้นชินกับความวุ่นวายในเมืองใหญ่แล้ว หากเทียบกับการตะลอนวาดภาพภูเขาและทุ่งนาสมัยอาศัยอยู่บ้านเก่า แค่กวาดบันได มันจิ๊บจ๊อยมากจนเรียกว่าออกกำลังไม่ได้ด้วยซ้ำ
“วันนี้ก่อนออกจากบ้านเธอสัญญาแล้วใช่ไหม ว่าจะไม่ออกมานอกแกลเลอรี จะทำตัวให้อุ่นตลอดเวลา ถ้าไม่รักษาสัญญาก็ต้องกลับแมนชัน”
เซนริรับรู้ได้ว่ามิโคโตะเริ่มไม่พอใจ จึงยื่นคำขาดพร้อมเลิกคิ้วงดงามได้รูป
แย่แล้วสิ มิโคโตะหวาดหวั่น นี่คือสีหน้าตอนสวิตช์ประคบประหงมเกินเหตุกำลังจะเปิด ถ้าสวิตช์ถูกเปิด เขาจะถูกพาตัวกลับแมนชันโดยไม่ฟังคำแก้ตัวอะไรทั้งนั้น
มิโคโตะไม่อยากโดนจับขังอยู่บนเตียง ไม่ได้รับอนุญาตให้ทำอะไรนอกจากกินกับนอน
“ขะ ขอโทษครับ...”
“...แกลเลอรี ‘เอลิวซิส’ คือที่นี่เหรอ?”
สถานการณ์แบบนี้ต้องยอมขอโทษแต่โดยดี แต่จังหวะที่มิโคโตะเอ่ยปากขอโทษ เสียงทุ้มต่ำก็ดังมาจากข้างหลัง เขาหันไปมอง เห็นชายร่างใหญ่ย้อมผมสีทองสว่างเดินขึ้นบันไดมา
...ไม่ใช่ลูกค้าที่นัดเอาไว้ล่วงหน้า
ขนาดมิโคโตะมาช่วยงานแกลเลอรีนิดๆ หน่อยๆ ได้เพียงครึ่งปียังมองออกตั้งแต่แวบแรก โดยพื้นฐานแล้วลูกค้าที่มาเยือน ‘เอลิวซิส’ จะจองล่วงหน้าเท่านั้น อีกทั้งยังมีแต่ลูกค้ากลุ่มชั้นชนสูงดูเป็นผู้ลากมากดี
ทว่าชายหนุ่มซึ่งหรี่ตาแหงนมองมิโคโตะอยู่คนนี้ตรงข้ามกับกลุ่มลูกค้าที่เคยพบอย่างเห็นได้ชัด ใบหน้าชวนให้นึกถึงสัตว์ร้ายหิวโหย เสื้อผ้าหลุดลุ่ยไร้ระเบียบ บรรยากาศของความรุนแรงและไม่ยั้งคิดลอยฟุ้ง
ไหล่ของชายคนนั้นทั้งกว้างและบึกบึน คงฝึกศิลปะการต่อสู้อะไรสักอย่างเป็นแน่ เมื่อลองสังเกตดีๆ ก็พบว่าข้างหลังแผ่นไหล่กว้างนั้นยังมีชายอีกหนึ่งคน
เป็นเด็กหนุ่มรูปร่างผอมบางตรงข้ามกับชายคนแรก ใบหน้าขาวผ่องดูอ่อนเยาว์เปี่ยมด้วยเสน่ห์เย้ายวน ดวงตาทั้งสองข้างชี้ขึ้นด้วยความประหม่า ชวนให้นึกถึงแมวจรจัดที่ไม่เชื่องกับมนุษย์
“ใช่ครับ ...ไม่ทราบว่าลูกค้าจองไว้แล้วใช่ไหมครับ?”
เซนริแปะรอยยิ้มธุรกิจบนใบหน้าขณะก้าวขามาแทรกกลางระหว่างมิโคโตะกับชายคนนั้นอย่างรวดเร็ว ชายหนุ่มยักไหล่ทำหน้าเบ้
“จองเจิงอะไร ไม่มีหรอก”
“ถ้าอย่างนั้นต้องขอประทานโทษด้วยครับ หากจะมาเยี่ยมชมแกลเลอรีของเรา จำเป็นต้องจองล่วงหน้าครับ”
“หา? แกลเลอรีก็แค่โชว์ภาพวาดที่แขวนๆ อยู่ไม่ใช่เหรอ ทำไมต้องจองล่วงหน้าด้วย”
“อะ อากิโตะ...!”
เด็กหนุ่มดึงแขนล่ำของชายที่ส่งเสียงกระโชกโฮกฮากด้วยท่าทียำเกรง
“กลับกันเถอะ ช่วยไม่ได้นี่ ก็พวกเรามากะทันหัน”
“หนวกหูน่า เคย์ หุบปากซะ”
พอโดนจ้องเขม็ง เด็กหนุ่มที่ชื่อเคย์ก็หน้าซีดเผือดและเงียบทันที
ชายคนนั้น...อากิโตะพ่นลมทางจมูกด้วยท่าทีหยิ่งผยอง ก่อนหันมาทางเซนริอีกครั้ง
ดวงตาแดงเถือกของอากิโตะมองข้ามไหล่ของเซนริพุ่งตรงมายังมิโคโตะ ทำเอามิโคโตะเสียวสันหลังวาบ รีบซ่อนตัวหลังแผ่นหลังสวมชุดสูทเข้ารูปทันที ไหล่ของเซนริกระตุกเล็กน้อย
“ได้ยินลุงที่แกลเลอรีอาเคโบโนะบอกว่า ที่นี่มีภาพวาดของซากุราบะ เร็นทาโร่ ฉันแค่จะมาดู ช่วยบอกหน่อยว่ามันราคาเท่าไร”
ว่าไงล่ะ? อากิโตะแสยะยิ้มร้ายกาจขณะล้วงมือทั้งสองข้างในกระเป๋ากางเกงและโน้มใบหน้าเข้าใกล้เซนริ คนธรรมดาเจอแบบนั้นคงเข่าทรุดไปแล้ว ทว่ารอยยิ้มธุรกิจยังไม่เลือนหายไปจากใบหน้าของเซนริ
“ขอประทานโทษด้วยครับ ทางเรารับเฉพาะลูกค้าจองล่วงหน้า ไม่มีข้อยกเว้น”
ความจริงหากเป็นลูกค้าที่มีกำลังซื้อหรือเป็นลูกค้าใหม่ที่ได้รับการแนะนำมา ก็สามารถเข้าเยี่ยมชมได้โดยไม่จำเป็นต้องจองล่วงหน้า
ทว่าอากิโตะดูไม่ใช่ทั้งสองอย่าง อีกทั้งเซนริเหมือนไม่คิดจะต้อนรับด้วย น้ำเสียงสงบนิ่งจึงแฝงคำปฏิเสธอย่างเด็ดขาด
“อึก...”
อากิโตะสะดุ้ง แต่รอยยิ้มน่ารังเกียจก็ผลิบานทันที สายตายังคงไล่ตามเกาะติดมิโคโตะที่กำลังตัวสั่นสะท้าน
“...ไม่ต้องเป็นนายก็ได้ ให้คนสวยคนนั้นช่วยแนะนำฉันแทนสิ”
“ขอประทานโทษด้วยครับ ผมไม่เข้าใจว่าคุณหมายความว่าอย่างไร”
“ฉันบอกว่าให้คนสวยที่ซ่อนอยู่ข้างหลังพาฉันเข้าไปข้างในแทนนาย...อึก โอ๊ย เจ็บๆๆๆๆๆๆ!?”
อากิโตะตั้งท่าจะเดินอ้อมมาข้างหลัง เซนริคว้าข้อมือของอีกฝ่ายโดยที่ยังมองตรงข้างหน้าเหมือนเดิม เขากำมันแน่นและบิดข้อมือขึ้นอย่างไร้ความปรานี
“...ปะ...อึก ปล่อย ปล่อยเซ่!”
“ขอโทษที่เสียมารยาทครับ แต่ดูเหมือนคุณจะไม่เข้าใจว่าตัวเองพูดอะไรอยู่ ทางเราขอแนะนำให้กลับบ้านไปพักรักษาตัวโดยเร็วที่สุดครับ มิฉะนั้น...”
รอยยิ้มธุรกิจแฝงแววข่มขู่ เซนริเขยิบริมฝีปากเข้าใกล้ใบหูของอากิโตะซึ่งตั้งท่าจะตะโกนโหวกเหวก
“...ฉะ...ฉันเข้าใจ ฉันเข้าใจ...!”
มิโคโตะไม่ได้ยินว่าเซนริกระซิบอะไร แต่อากิโตะทำหน้าเหมือนจะร้องไห้และรีบพยักหน้าหงึกๆ ทันที พอเซนริยอมปล่อยมือ อากิโตะกุมข้อมือที่เจ็บจี๊ดและหันมามองค้อนเซนริ
“หน็อย... แล้วนายจะต้องเสียใจ!”
“อ๊ะ... รอด้วย...!”
เคย์ไล่ตามอากิโตะที่ปึงปังจากไปด้วยอารมณ์เดือดดาล ใบหน้าซีดเผือดนั้นดูโล่งใจเล็กน้อย แต่ไม่รู้ว่ามิโคโตะคิดไปเองหรือเปล่า
“...มิโคโตะ ไม่เป็นไรใช่ไหม?”
หลังทั้งคู่จากไปเซนริหันมาจับไหล่ทั้งสองข้างของมิโคโตะ แล้วโน้มร่างสูงโปร่งลงมามองมิโคโตะชัดๆ
สายตาของทั้งสองสบกัน มิโคโตะพยักหน้า
“ครับ ผมไม่เป็นไรเพราะเซนริซัง ...ขอโทษด้วยครับ ผมทำอะไรไม่ได้เลย...”
“เธอไม่จำเป็นต้องทำอะไรทั้งนั้น เธอเป็นจิตรกร...และเป็นคนรักคนสำคัญของฉัน แค่วาดรูปตามใจปรารถนาอยู่ในอ้อมแขนของฉันอย่างเดียวก็พอ การปกป้องเธอเป็นสิทธิพิเศษของฉันนะ”
“เซนริซัง...”
ความอบอุ่นของเซนริทะลุผ่านเนื้อผ้า พออารมณ์ตึงเครียดผ่อนคลายลง ความหวาดกลัวก็โผล่ออกมาเอาป่านนี้
เซนริคงมองออกว่าตนอยากให้กอดไว้แน่นๆ เลยอ้อมแขนยาวโอบรอบแผ่นหลังของมิโคโตะแล้วดึงเข้าไปแนบชิดอย่างอ่อนโยน
“...สองคนเมื่อกี้เป็นใครเหรอครับ? ได้ยินเขาพูดว่า คนที่แกลเลอรีอาเคโบโนะบอกว่าที่นี่มีภาพวาดของซากุราบะ เร็นทาโร่...”
แกลเลอรีอาเคโบโนะเป็นแกลเลอรีที่กำลังมาแรงในย่านชินบาชิ เจ้าของเป็นชายวัยเดียวกับเซนริ ทั้งยังรู้จักมักคุ้นกับเซนริมานานแล้ว
เจ้าของแกลเลอรีแห่งนั้นมาเยี่ยมเยียน ‘เอลิวซิส’ เป็นครั้งคราว มิโคโตะก็คุ้นหน้าคุ้นตาเป็นอย่างดี เขาเป็นชายหนุ่มนิสัยเป็นกันเอง ชอบพูดติดตลกว่าอยากให้มิโคโตะไปเป็นนายแบบให้จิตรกรรุ่นเยาว์ในสังกัดของเขา
ทว่ามิโคโตะไม่เคยได้ยินชื่อซากุราบะ เร็นทาโร่มาก่อน ทั้งที่เซนริมักจะแนะนำจิตรกรเจ้าของผลงานที่จัดแสดงใน ‘เอลิวซิส’ ให้รู้จัก แต่เขาไม่คุ้นชื่อซากุราบะเลย
“ฉันเองก็ไม่รู้ บางที...”
เซนริยังตอบไม่ทันจบ โทรศัพท์แอนทิคตรงเคาน์เตอร์ต้อนรับก็ส่งเสียงเรียกเข้าสไตล์เรโทรขึ้นมาก่อน เขาหันขวับไปทางประตูที่เปิดค้างอยู่
เซนริกลับเข้ามาในร้านโดยที่แขนข้างหนึ่งยังโอบไหล่มิโคโตะอยู่อย่างนั้น เมื่อเซนริรับสาย เสียงคุ้นเคยก็ดังขึ้นทันที...เจ้าของแกลเลอรีอาเคโบโนะนั่นเอง
‘โอ...โอคุสึกิซัง ปลอดภัยดีใช่ไหมครับ!?’
“อาเคโบโนะซัง...? ใจเย็นๆ ก่อน มีอะไรหรือเปล่าครับ”
มิโคโตะซบแผ่นอกของเซนริเงี่ยหูฟังบทสนทนาระหว่างทั้งสอง ตอนแรกน้ำเสียงเจ้าของแกลเลอรีฟังดูตื่นตระหนกมาก แต่พอเซนริปลอบประโลมก็ค่อยๆ สงบสติอารมณ์ได้ และอธิบายสถานการณ์ให้ฟัง
เจ้าของแกลเลอรีเล่าว่า อากิโตะกับเคย์ไปเยี่ยมชมแกลเลอรีอาเคโบโนะเมื่อราวหนึ่งชั่วโมงก่อนหน้านี้
แกลเลอรีอาเคโบโนะต่างจาก ‘เอลิวซิส’ สินค้าที่จัดแสดงส่วนมากเป็นงานศิลปะร่วมสมัย ราคาเข้าถึงง่าย ทั้งยังยินดีต้อนรับลูกค้าวอล์กอิน ไม่จำเป็นต้องจองล่วงหน้า วันนี้เจ้าของแกลเลอรีอยู่ที่ร้านพอดีจึงออกมาดูแลลูกค้าด้วยตัวเอง อากิโตะเดินเข้ามาถามว่าที่นี่มีผลงานของซากุราบะ เร็นทาโร่ไหม
‘พอบอกว่าแกลเลอรีของเราไม่มี เขาก็โมโหขึ้นมาเลย ตะโกนข่มขู่เสียงดังว่าแถวนี้มีแกลเลอรีไหนบ้าง บอกมาให้หมด ผมกลัวว่าถ้าปฏิเสธต้องโดนต่อยแน่...เลยเผลอบอกชื่อแกลเลอรีของโอคุสึกิซังไป...’
สุดท้ายอากิโตะชกหน้าเจ้าของแกลเลอรีส่งท้ายก่อนกลับจนเจ้าของแกลเลอรีถูกหามส่งโรงพยาบาล เพิ่งรักษาเสร็จเมื่อครู่ เลยรีบติดต่อมาทันทีเพื่อสอบถามว่าเซนริกับมิโคโตะยังปลอดภัยดีไหม ตอนเซนริเล่าว่าพวกอากิโตะมาเยือน ‘เอลิวซิส’ จริงๆ เจ้าของแกลเลอรีร้องเสียงหลงจะเป็นจะตาย แต่พอบอกว่า จัดการไล่กลับไปได้อย่างไม่มีปัญหา อีกฝ่ายก็พ่นลมหายใจด้วยความโล่งอก
‘ค่อยยังชั่ว...ผมอยู่ไม่สุขเลย กังวลว่าถ้าใบหน้าของคุรุมิซาวะคุงเกิดรอยขีดข่วนขึ้นมาจะทำยังไง’
“......”
เจ้าของแกลเลอรียืนกรานว่าจะมาขอโทษด้วยตัวเองในภายหลัง แต่เซนริปฏิเสธเสียงแข็งก่อนวางสายไปพร้อมทำหน้าบูดเบี้ยวเหมือนเคี้ยวแมลงขมๆ แล้วรีบพามิโคโตะที่กำลังสับสนเข้าไปหลังร้าน นั่งลงบนโซฟาตัวยาวสำหรับสองคน
“เซนริซัง... ไม่เป็นไรใช่ไหมครับ?”
มิโคโตะจับมือเซนริที่นั่งอยู่ข้างๆ ด้วยความเป็นห่วง เพราะเห็นเซนริถอนหายใจอย่างเหนื่อยล้า ทั้งที่เมื่อครู่ดูไม่หวาดหวั่นต่ออากิโตะท่าทีอันธพาลคนนั้นเลย
แม้เซนริดูเย็นชา แต่ความจริงเป็นคนจิตใจอ่อนโยน พอรู้ว่าเพื่อนร่วมวงการที่สนิทชิดเชื้อโดนทำร้ายร่างกายคงเจ็บปวดใจมากเป็นแน่ แถมผู้ก่อเหตุยังเป็นคนที่เพิ่งเจอเมื่อครู่อีก
“มิโคโตะ เธอ...”
“...?”
“...เปล่า ไม่มีอะไร”
เซนริจ้องมิโคโตะสักพัก และในที่สุดก็เผยรอยยิ้มขมขื่น จากนั้นประสานนิ้วของตัวเองเข้ากับนิ้วของมิโคโตะและยกมือขึ้น ค่อยๆ ประทับริมฝีปากลงบนหลังมือนั้น
“ก่อนจะห่วงฉัน เป็นห่วงตัวเองเถอะ เธอน่ะ...”
“เพราะผมเพิ่งหายป่วยเหรอครับ?”
ได้ยินประโยคนี้จนเบื่อแล้ว มิโคโตะทำปากยื่นไม่พอใจ ซบไหล่ของเซนริ เพราะรับรู้ได้ว่าชายหนุ่มซึ่งอายุมากกว่าสิบปีปรารถนาให้ทำเช่นนั้น
“สำหรับผมแล้ว เซนริซังคือคนสำคัญที่สุดในโลก สำคัญยิ่งกว่าตัวผมเสียอีก”
“...มิโคโตะ...”
“เพราะงั้นห้ามผมเป็นห่วงไม่ได้หรอกครับ”
มือที่ลูบหลังมิโคโตะเลื่อนขึ้นมาโอบรอบไหล่เรียวเล็ก มิโคโตะทิ้งน้ำหนักขณะค่อยๆ ปิดเปลือกตาลงด้วยความรู้สึกผ่อนคลาย
...ตอนอาศัยอยู่กับปู่ ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าอ้อมกอดอบอุ่นจากใครสักคนชวนให้รู้สึกดีขนาดนี้
เพียงสัมผัสกัน อารมณ์หวาดกลัวและขนลุกขนพองที่โดนสายตาหยาบโลนของอากิโตะโลมเลียเมื่อครู่ก็หายวับไปในพริบตา แม้ผ่อนคลายแต่หัวใจยังคงเต้นระรัว เซนริเป็นคนแรกที่สอนให้มิโคโตะรู้จักความรู้สึกนี้
“คิกๆ...”
มิโคโตะหัวเราะเบาๆ มีอะไรเหรอ เซนริเอ่ยถามขณะค่อยๆ ลากนิ้วลูบไล้คางของมิโคโตะอย่างอ่อนโยน
“ผมคิดว่ามหัศจรรย์จริงๆ ทั้งที่เมื่อกี้แค่โดนคนคนนั้นมอง ผมก็รู้สึกขยะแขยงไปทั้งตัว แต่พอเป็นเซนริซัง ผมกลับอยากให้คุณสัมผัสมาก...ยิ่งขึ้น...”
ยังพูดไม่ทันจบ คางของมิโคโตะก็ถูกเชยขึ้น มิโคโตะหลับตาลง หัวใจเต้นระรัวด้วยความคาดหวัง แล้วก็สมดังใจปรารถนา สัมผัสนุ่มนวลแตะริมฝีปาก ริมฝีปากที่ลากมิโคโตะไปสู่ห้วงหฤหรรษ์ในยามค่ำคืน และมอบความรู้สึกปลอดภัยกับความอบอุ่นไม่รู้จบให้ยามอยู่นอกเตียง
“...ซากุราบะ เร็นทาโร่ซัง เป็นจิตรกรแบบไหนเหรอครับ?”
หลังจิตใจสงบลงแล้วมิโคโตะก็เอ่ยถาม
อากิโตะคนนั้นกับเคย์ที่ดูไม่น่าจะสนใจงานศิลปะถึงขนาดตระเวนตามหาผลงานตามแกลเลอรีต่างๆ น่าจะเป็นจิตรกรชื่อดัง แต่ทำไมเขาถึงไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อน
“...ซากุราบะซังเป็นจิตรกรวาดภาพสไตล์ตะวันตกที่เคยมีผลงานเมื่อเกือบยี่สิบปีก่อน เขาเคยเป็นที่สนใจของสื่ออยู่พักหนึ่ง แต่เธออาศัยอยู่กับปู่มานาน ไม่แปลกหรอกที่จะไม่รู้จัก”
“ยี่สิบปีก่อน...”
มิโคโตะประหลาดใจ เป็นศิลปินยุคปัจจุบันผิดคาด เพราะผลงานศิลปะที่เซนริดูแลส่วนใหญ่มีอายุมากกว่าหนึ่งร้อยหรือสองร้อยปี พอถามว่าจิตรกรที่ชื่อซากุราบะนี้ยังมีชีวิตอยู่ใช่ไหม เซนริก็พยักหน้าตอบว่าน่าจะเป็นอย่างนั้น
“ถ้าเขายังสบายดี ตอนนี้น่าจะอายุรุ่นราวคราวเดียวกับพ่อแม่เธอละมั้ง เขามีแฟนตัวยงที่คอยติดตามผลงานอยู่เยอะมาก แต่เหมือนตอนนี้ไม่ได้สร้างสรรค์ผลงานต่อแล้ว ฉันไม่ได้สนิทสนมกับเขาเป็นการส่วนตัว ส่วนผลงานที่ทางเรารับฝากขายก็มีเพียงชิ้นเดียว เป็นมรดกตกทอดของลูกค้าที่รู้จักกันมานาน...”
เซนริลุกขึ้น หันไปดึงหนังสือสองเล่มออกจากชั้นหนังสือด้านหลัง เล่มหนึ่งเป็นแค็ตตาล็อกเรซนเน...หนังสือรวบรวมผลงานของซากุราบะ เร็นทาโร่
รูปเล่มหนังสืองดงามตระการตา แต่น่าจะหนาไม่ถึงห้ามิลลิเมตร แม้เป็นจิตรกรที่ยังมีชีวิตอยู่ แต่เหมือนไม่ค่อยมีผลงานเท่าไรนัก
“ชิ้นนี้แหละ ผลงานที่อยู่ในความดูแลของเรา”
“...อึก...”
เซนริเปิดหน้าประมาณกลางๆ เล่ม วินาทีที่ภาพบนหน้ากระดาษนั้นสะท้อนสู่สายตา มิโคโตะรู้สึกเสียวสันหลังวาบ
ภาพนั้นถูกตั้งชื่อว่า ‘ฝันร้ายสีนิล’ เป็นภาพวาดม้าขนสีดำขลับยืนอยู่กลางน้ำพุสีฟ้าใส เอียงศีรษะเล็กน้อย สายตาจับจ้องมาทางนี้
ดวงตาของม้าส่องแสงสลัว ระลอกคลื่นบิดเบี้ยวกระจายไปทั่วน้ำพุ น้ำค้างยามเช้าชวนให้นึกถึงลมหายใจของยมทูตล่องลอยไปทั่ว องค์ประกอบของภาพเต็มไปด้วยความลึกลับ เห็นแล้วชวนขนลุกบอกไม่ถูก
หากม้าที่ปิดปากอยู่ตัวนี้ส่งเสียงร้องออกมา คงเป็นเสียงโหยหวนประหนึ่งวาระสุดท้ายของชีวิตที่พร้อมฉีกสติสัมปชัญญะให้ขาดสะบั้น ใต้น้ำพุที่ม้ายืนอยู่อาจเชื่อมต่อกับยมโลกก็เป็นได้
ถ้าใช้ความบ้าคลั่งเป็นสี ระบายลงผืนผ้าใบที่เรียกว่าความหวาดกลัว จะได้ภาพออกมาแบบนี้อย่างนั้นหรือ
มันคือฝันร้ายจริงๆ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าที่นี่ในตอนนี้คือโลกความเป็นจริง หรือหลงอยู่ในความฝันกันแน่ แค่มองเฉยๆ ความรู้สึกไม่สบายก็ปั่นป่วนไปหมดแล้ว ถึงอย่างนั้นกลับไม่อาจละสายตาไปได้...
“ลูกค้าขอให้ฉันอย่าเพิ่งขายภาพนี้จนกว่าจะพ้นช่วงไว้ทุกข์ แต่มีคนติดต่อมาหาหลายคนเลยว่าอยากจะซื้อภาพนี้ทันที และยินดีจ่ายเป็นสองเท่าของราคาเดิม”
“...อย่างนั้นเหรอครับ...”
++++++++++++++++++++++++++++++++++
‘จิตรกรภูติสวรรค์’ ซึ่งเป็นไวรัลในอินเทอร์เน็ตและไม่เคยเผยตัวกลับปรากฏตัวต่อหน้าสาธารณชน!! แถมได้รับมอบหมายงานอย่างเป็นทางการให้วาดภาพประดับโรงแรมหรูที่จะเปิดใหม่ด้วย!? มิโคโตะตกใจกับการปรากฏตัวของตัวปลอมที่เลียนแบบลายเส้นได้เหมือนเปี๊ยบ ทว่าเซนริ นักธุรกิจค้างานศิลปะและคนรักผู้ชอบ ประคบประหงมและประเมินค่าพรสวรรค์ของมิโคโตะไว้สูงกลับโกรธจัด! เพื่อเปิดโปงตัวปลอม เซนริตัดสินใจเข้าร่วมงานเปิดตัวโรงแรมพร้อมกับมิโคโตะ... อีกด้านหนึ่งมิโคโตะระริกระรี้กับการท่องเที่ยวครั้งแรก แต่ขณะเดียวกันก็ถึงเวลาต้องตัดสินใจแล้วว่า เส้นทางจิตรกรในอนาคตจะเป็นอย่างไร!?
