New Release เหลียนฮวา : มารกระบี่ขอรัก ชุดห้องหออลวน

อัพเดทข่าวบงกชบุ๊คส์ ความเคลื่อนไหว และกิจกรรมพิเศษ ตลอดจนร่วมสนุกชิงรางวัลพร้อมของรางวัลมากมาย

Moderator: P'Bly, Gals, พี่บี

ตอบกลับโพส
Gals
โพสต์: 1101
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 13 ก.พ. 2009 3:47 pm

New Release เหลียนฮวา : มารกระบี่ขอรัก ชุดห้องหออลวน

โพสต์ โดย Gals »

บทที่หนึ่ง

บุกรุกเขตหวงห้าม ตาย!
บนแผ่นหินสลักด้วยตัวอักษรเปื้อนเลือดขนาดใหญ่ บริเวณโดยรอบล้วนเป็นซากศพและโครงกระดูก มีกลิ่นเหม็นเน่าของซากศพลอยคลุ้งในอากาศราวกับอยู่ในนรก
เมื่อเซียวเฟยเห็นสภาพเช่นนี้กลับทำให้ยิ่งแน่ใจมากขึ้น
โม่เฟยจะต้องอยู่ที่นี่แน่
ขอเพียงได้ตัวโม่เฟยมา คัมภีร์ลับวิทยายุทธ์ของเขาก็เป็นของนางแล้ว
เซียวเฟยตั้งปณิธานแน่วแน่ ก้าวเท้าเข้าไปในเขตหวงห้ามที่อยู่ด้านหลังแผ่นหิน ทำให้กลไกป้องกันถูกเปิด
ฝนลูกธนูบินว่อนไปทั่วทุกทิศ นางมีร่างกายที่อ่อนช้อย การเคลื่อนไหวว่องไวจึงหลบหลีกอาวุธลับได้อย่างคล่องแคล่ว บุกตรงเข้าไปในถ้ำได้โดยไร้ร่องรอยบาดแผลใดๆ
ราวกับจะตอบรับการบุกรุกของนาง ลมเย็นยะเยือกเริ่มพัดกระโชก ในความมืดมิดมีดวงไฟวิญญาณส่องสว่างขึ้นมาหลายดวง นั่นคือดวงตาของศัตรู จำนวนมากมายมหาศาลกำลังล้อมตัวนางเอาไว้ตรงกลาง
“ฮ่าๆๆ มีคนมารนหาที่ตายอีกแล้ว”
“นางหอมเสียจริง ดูน่ากินนัก”
“เนื้อให้พวกเจ้า ข้าจองเลือดของนาง”
เซียวเฟยแค่นหัวเราะเสียงเย็น ใครจะอยู่ใครจะตายก็ยังไม่แน่เลย
นางวาดมือออกไป มีเปลวไฟพุ่งทะลุความมืด ไฟเริ่มแผดเผาน้ำมันศพที่อยู่บนพื้น ลุกลามไปทั่วสารทิศ ทำให้ภายในถ้ำสว่างไสวขึ้นมา และยังสะท้อนให้เห็นเงาของศัตรูจำนวนมากอีกด้วย
ภายในถ้ำมีลิงจำนวนมหาศาลยืนถือขวานอยู่ในมือ
เซียวเฟยเห็นดังนั้นก็เข้าใจสถานการณ์ขึ้นมาทันที
“ข้าก็ว่าใครกัน ที่แท้พวกพรรคขวานโง่นี่เอง”
มีไอสังหารพุ่งตรงมาจากด้านหลัง นางกระโดดหมุนตัวหนึ่งทีเพื่อหลบการลอบโจมตี แรงระเบิดทำให้เกิดหลุมขนาดใหญ่บนพื้น ฝุ่นกระจายฟุ้ง เมื่อฝุ่นจางลงเซียวเฟยจึงมองเห็นหน้าคนที่ลอบโจมตีนางอย่างชัดเจน
ก็ยังเป็นลิงตัวหนึ่ง
เพียงแต่ลิงตัวนี้ค่อนข้างแข็งแรง มีพลังมากกว่า ขวานที่ถืออยู่ก็มีขนาดใหญ่มากเป็นพิเศษ ทั้งยังเป็นสีทอง
“กล้าดูถูกพรรคขวาน อยากตายรึ!”
แล้วอีกอย่าง เสียงก็ดังมากด้วย
เซียวเฟยมองเขาอย่างพิจารณา “ลูกพี่พรรคขวาน อวี๋หย่ง?”
อวี๋หย่งดึงขวานขนาดยักษ์ที่ปักลงไปในพื้นหินออกมาด้วยมือเดียว ยกขึ้นมาพาดไว้บนบ่าแล้วทุบอกหนึ่งที “ใช่แล้ว ข้าเอง กลัวแล้วละสิ!”
เซียวเฟยแสร้งย่อตัวลงน้อยๆ “ได้ยินชื่อเสียงมานาน พบกันครั้งแรกช่างสมคำเล่าลือ บำเพ็ญมาแล้วหลายพันปี ไม่กลายเป็นร่างมนุษย์แต่กลับเป็นลิง แม้แต่คนกับลิงยังแยกไม่ออก นอกจากพรรคขวานของพวกเจ้าแล้วก็คงไม่มีใครอีก”
เมื่ออวี๋หย่งฟังนางพูดจบก็ชะงักไปครู่หนึ่ง ถามอย่างข้องใจว่า “ลิงไม่ใช่คนหรือ?”
เซียวเฟยยิ้มอย่างไร้พิษสง แต่คำพูดของนางโหดร้ายยิ่ง “ลิงเป็นสัตว์เดรัจฉาน เจ้าโง่”
อวี๋หย่งราวกับถูกสายฟ้าผ่าลงมากลางกระหม่อม รู้สึกเหลือเชื่อ หมายความว่าพวกเขาใช้เวลากว่าหนึ่งหมื่นปี ลำบากยากเข็ญกว่าจะกลายร่างได้ สุดท้ายกลับกลายเป็นเสียแรงเปล่า
ร่างมนุษย์นั้นได้มายาก การที่สิ่งสิ่งหนึ่งจะบำเพ็ญจนกลายเป็นร่างมนุษย์ได้ยิ่งยากขึ้นไปอีก
หากวิญญาณสิ่งของอยากกลายเป็นร่างมนุษย์ถือเป็นก้าวใหญ่ของการบำเพ็ญตบะ หากก้าวแรกก้าวผิด หลังจากนั้นก็จะผิดหมดทุกก้าว
อวี๋หย่งกับเหล่าลูกน้องตกตะลึงไปตามๆ กัน เซียวเฟยพลิกฝ่ามือหนึ่งทีก็มีเถาวัลย์หนามพุ่งออกมาจากพื้นดิน พันธนาการลิงทั้งหลายไว้ในพริบตา รวบตัวพวกเขาได้หมดทุกตัวในคราวเดียว
นางเดินมาตรงหน้าอวี๋หย่ง ตีสีหน้าเคร่งขรึม “โม่เฟยอยู่ที่ไหน? ถ้าไม่ยอมพูดจะฆ่าเจ้าทิ้งซะ”
อวี๋หย่งที่ไม่เหลือคราบความแข็งกร้าวเมื่อครู่อยู่แล้วเงยหน้าขึ้นมาอย่างไร้เรี่ยวแรง
“เจ้าอยากฆ่าก็ฆ่าเถอะ คนอย่างข้าไม่อยากมีชีวิตต่อแล้ว” รู้ว่าตัวเองกลายเป็นเดรัจฉาน เขาแทบอยากจะฆ่าตัวตายเองเสียด้วยซ้ำ
ล้อเล่นหรือเปล่า นางยังอยากจะได้เบาะแสของโม่เฟยจากปากเขา ไม่ยอมปล่อยให้เขาตายหรอก
เห็นว่าเขาอยู่ในสภาพหมดอาลัยตายอยาก เซียวเฟยก็ควักยาลูกกลอนออกมาเม็ดหนึ่ง จับขากรรไกรของเขาเอาไว้อย่างรวดเร็วและยัดมันเข้าไปในปาก
อวี๋หย่งกลืนยาลูกกลอนลงไป ไม่นานก็รู้สึกเจ็บปวดไปทั้งตัวราวถูกไฟเผา อวัยวะภายในคล้ายกำลังถูกฉีกออกเป็นส่วนๆ ทำให้เขาเจ็บปวดเกินจะทน
“เดิมข้าก็ไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้ว ถึงเจ้าบังคับให้ข้ากลืนยาพิษก็ไม่มีประโยชน์”
“วางใจเถอะ ไม่ตายหรอก”
เซียวเฟยมองเขาถูกทรมานอย่างยิ้มๆ รอจนยาออกฤทธิ์แล้วก็หยิบคันฉ่องขึ้นมาให้เขาส่องดู
“เอ้า ถือว่าเจ้าโชคดีที่มาเจอข้า เจ้าลองดูเอาเองแล้วกัน”
อวี๋หย่งในคันฉ่องไม่ได้อยู่ในสภาพขนเต็มหน้า แต่มีใบหน้าได้รูป ร่างสูง คิ้วบางโค้งมน ดวงตาแวววาว นี่มันบุรุษรูปงามที่หนึ่งพันปีก็พบได้ยากชัดๆ
อวี๋หย่งกับเหล่าลูกน้องลิงตะลึงอีกครั้ง เซียวเฟยยิ้มเจ้าเล่ห์ เขย่าขวดในมือของตนเบาๆ
“นี่คือยาเปลี่ยนรูป ต่อให้มีทองพันตำลึงหรือหมื่นตำลึงก็หาซื้อได้ยาก”
ยาลูกกลอนที่แพงที่สุดในตลาดปีศาจ นอกจากยาคงรูปโฉมให้เป็นหนุ่มสาวแล้ว ก็คือยาเปลี่ยนรูปนั่นเอง นางไม่เชื่อว่าอวี๋หย่งจะไม่อยากได้ ดูลูกตาของเขาแทบจะถลนออกมาจากเบ้าแล้ว
“ให้ตายเถอะ! อย่าคิดว่าแค่เปลี่ยนข้าเป็นเดรัจฉานหน้าตาอัปลักษณ์ ข้าจะต้องกลัวเจ้า”
“.....”
พรรคขวานไม่เพียงซื่อบื้อ ยังแยกความงดงามกับความอัปลักษณ์ไม่ออกด้วย!
เซียวเฟยไม่อยากโต้เถียงกับคนซื่อบื้อ นางเก็บขวดกลับมา ไม่สนใจเสียงก่นด่าของเจ้าขวานซื่อบื้อ นางต้องหาเบาะแสของโม่เฟยให้เจอก่อนคนอื่นๆ ไม่มีเวลามาทะเลาะกับเขา
นางหันไปมองรอบๆ อย่างพิจารณา ทันใดนั้นก็พูดขึ้นว่า “โม่เฟย ข้ารู้ว่าเจ้าอยู่ที่นี่” นางวาดนิ้วเสกคาถาปีศาจ เถาวัลย์หนามเลื้อยออกมาประหนึ่งงูวิเศษ ปกคลุมไปทั่วบริเวณถ้ำเพื่อเสาะหาเบาะแสที่หลงเหลืออยู่
“เหล่าปีศาจและมารทั้งสองแดนล้วนอยากได้ตัวเจ้า เจ้าก็เห็นแล้ว แม้พรรคขวานจะมีสมาชิกจำนวนมาก แต่สมองกลับใช้การได้ไม่ดีนัก อาศัยให้พวกมันคุ้มครองจะต้องเกิดเรื่องสักวัน มิสู้มาทำสัญญากับข้าดีกว่า ข้ายินดีรับหน้าที่ปกป้องเจ้าเอง”
เดิมคิดว่าต้องเปลืองแรงมากกว่านี้ถึงหลอกล่อให้โม่เฟยเปล่งเสียงได้ ไม่คิดว่านางเพิ่งจะพูดจบก็มีลมเย็นพัดขึ้นภายในถ้ำ และเสียงแหบแห้งดังตามมา
“อาศัยพลังของเจ้าเพียงคนเดียว? กล่าวคำโตเสียจริง”
เสียงดังมาจากด้านล่าง
เซียวเฟยก้มหน้าลง หนูตัวหนึ่งกำลังพูดกับนาง
โม่เฟยเป็นวิญญาณภูตวัตถุโบราณ มีความรู้กว้างขวางลึกซึ้ง แน่นอนว่าไม่มีทางกลายร่างเป็นหนูตัวหนึ่งได้
นางหรี่ตาลง ถ่ายทอดเสียงผ่านสิ่งอื่นหรือ?
“ใช่ อาศัยข้าเพียงคนเดียวก็ทำให้พรรคขวานกลายเป็นผู้พ่ายแพ้ได้”
“เจ้าคือปีศาจงู?”
เสียงดังมาจากด้านบนศีรษะ แมงมุมตัวหนึ่งกำลังโหนตัวลงมากับใยแมงมุม ดวงตาสีดำกลอกไปมาส่องประกายวิบวับ
“ไม่ใช่”
“เหตุใดบนตัวเจ้าถึงมีกลิ่นปีศาจงูติดอยู่ เจ้าเป็นใครกันแน่?”
เซียวเฟยยิ้มมุมปากออกมาอย่างมั่นใจ เฉลยตัวตนของตนเองออกมา
“ข้าชื่อเซียวเฟย”
นางเป็นภูตแส้ ร่างจริงคือแส้หนึ่งเส้น ไม่ใช่ว่านางชมตัวเอง แต่ในแดนปีศาจและแดนมารสองแดนนี้ ชื่อเซียวเฟยนับว่าโด่งดังไม่น้อย อย่างน้อยนางก็อันดับสิบในรายนามศัสตราวุธเชียวนะ
อาวุธของทั้งสี่ทะเลแปดดินแดน ในสามแดน มีจำนวนมหาศาลขนาดไหน นับแค่อาวุธที่บำเพ็ญเพียรจนกลายเป็นภูตที่มีสติสัมปชัญญะได้ก็มีถึงหกสิบสามล้านเล่ม
ส่วนอาวุธที่กลายเป็นร่างมนุษย์ได้มีหนึ่งล้านเล่ม และในอาวุธจำนวนมหาศาลนี้ยังสามารถกลายมาเป็นผู้โดดเด่นเหนือใครได้ หลังการฆ่าฟันอาวุธที่ถูกบันทึกเข้าเป็นหนึ่งในร้อยอันดับแรกของรายนามศัสตราวุธนั้นยิ่งหาได้ยาก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงอาวุธที่ฝ่าเข้าไปเป็นสิบอันดับแรกเลย นั่นจะต้องผ่านการบำเพ็ญเพียรเป็นเวลานานเพียงใด จึงจะกลายเป็นอาวุธเทพที่ทำให้สามแดนต้องสั่นสะเทือนได้
อาวุธที่กลายเป็นภูตจะอยากได้อะไรมากที่สุด? วิชายุทธ์ไร้เทียมทาน
ในมือโม่เฟยมีคัมภีร์ลับวิทยายุทธ์โบราณเมื่อหมื่นปีก่อน ไม่ว่าจะเป็นปีศาจ มาร ผี อสุรกาย หรือเทพเซียนล้วนอยากได้มาครอบครอง แม้แต่เซียวเฟยก็ไม่ยกเว้น
นางเชื่อว่าถ้าเปิดเผยฐานะออกมาจะต้องได้รับความไว้ใจจากโม่เฟยแน่ เพราะถ้าเทียบกับพรรคขวานโง่แล้ว ความสามารถของนางแข็งแกร่งกว่าเยอะ
“ข้าขอปฏิเสธ”
สีหน้าของเซียวเฟยเปลี่ยนไปเล็กน้อย
“เพราะเหตุใด?”
“นอกจากมารกระบี่อินเจ๋อที่เป็นอันดับหนึ่งแล้ว ข้าไม่สนใจใครทั้งนั้น”

คนเราเกลียดอะไรมากที่สุด? เกลียดการเปรียบเทียบ
เซียวเฟยกำเนิดมาจากคลังศัสตราวุธของราชวงศ์ ถูกสร้างขึ้นโดยช่างฝีมือขั้นสูง ใช้หนังงูเป็นแกนหลัก กรรมวิธีประณีต ทำมาเพื่อให้ราชนิกุลหญิงใช้โดยเฉพาะ
ชาติกำเนิดที่สูงส่งทำให้นางมีกลิ่นอายของราชนิกุลชั้นสูงติดตัวมาด้วย เวลาผ่านไปหลายหมื่นปีทำให้ตอนที่นางกลายเป็นภูตมนุษย์มีกายมนุษย์ที่งดงามกว่าอาวุธอื่นๆ
นางเอวเป็นเอว ก้นเป็นก้น เครื่องหน้าได้รูป นับว่าเป็นหญิงสาวที่งดงามมากคนหนึ่ง แต่มีแค่รูปลักษณ์ที่งดงามยังไม่พอ นี่เป็นโลกที่วัดกันด้วยความสามารถในการต่อสู้ มีเพียงทำให้ตนเองแข็งแกร่งขึ้นคนอื่นถึงจะไม่กล้ามารังแกบนหัวเจ้า
ความน่าเชื่อถือของการจัดอันดับรายนามศัสตราวุธก็มีน้ำหนักเช่นเดียวกับการจัดอันดับจอมยุทธ์ในยุทธภพ วิญญาณอาวุธที่มีชื่อในหนึ่งร้อยอันดับแรกได้ล้วนแต่ต่อสู้ฝ่าฟันมาด้วยเลือดเนื้อกันทั้งนั้น
หลายร้อยปีมานี้ไม่ว่าเซียวเฟยจะตั้งใจบำเพ็ญเพียรมากเท่าใด อันดับก็ยังหยุดอยู่ที่สิบมาตลอด ขึ้นไปไม่ได้อีกเลย
เพื่อก้าวข้ามจุดอิ่มตัวนี้ไป นางต้องการคัมภีร์ลับวิทยายุทธ์ที่อยู่ในมือโม่เฟย แต่อีกฝ่ายไม่สนใจนาง ไม่เพียงไม่สนใจ ยังเอานางไปเปรียบเทียบกับอินเจ๋อ
นี่มันจะเทียบกันได้อย่างไร?
อาวุธที่สำเร็จเป็นภูตได้อาศัยการซึมซับปราณมนุษย์ ดูดซับพลังจากตะวันและจันทรา ที่อาวุธตระกูลดาบและกระบี่มีจำนวนสมาชิกมากขนาดนั้นก็เพราะในสงครามของมนุษย์บนโลกมนุษย์ล้วนชอบใช้กระบี่และดาบ ดังนั้นจึงทำให้มีโอกาสฝึกจนกลายเป็นภูตกระบี่และดาบ
ส่วนแส้ไม่ได้โชคดีขนาดนั้น ในหมื่นปีที่ผ่านมานี้มีเพียงนางเส้นเดียวที่กลายเป็นภูตสำเร็จ และยังไม่มีภูตแส้ตนที่สองอีก
โม่เฟยเปรียบเทียบนางกับอินเจ๋อก็ชัดอยู่แล้วว่าจงใจกลั่นแกล้งนาง ถ้าครั้งนี้ปล่อยให้เขาหนีไปได้ ครั้งหน้าจะจับเขาคงจะยากกว่าเดิมแล้ว
เซียวเฟยเดินหน้าบูดบึ้งไปตลอดทาง ในตอนนี้ใครที่ไม่อยากตายต่างพากันหลบหน้าหนีไปอย่างเฉลียวฉลาด แต่ก็ยังมีคนพวกหนึ่งเข้ามาหาเรื่องนางในตอนนี้ ตั้งใจรนหาที่ตาย
นางหยุดฝีเท้ากะทันหัน หันหน้ากลับไปด้วยสีหน้. “ตามข้ามาทำไมกัน?”
เจ้าลิงโง่พวกนั้น ตั้งแต่ที่นางออกมาจากเขตหวงห้ามก็เดินตามนางมาอย่างหลบๆ ซ่อนๆ
ในเมื่อถูกพบตัวแล้วอวี๋หย่งจึงไม่แอบอีกต่อไป เดินออกมาอย่างเปิดเผย “เจ้าทำให้ข้าถูกโม่เฟยยกเลิกสัญญา”
ถ้าเซียวเฟยเป็นเขาจะแอบไปหลบมุมสำนึกผิดอยู่ในรังตัวเอง เสียงานไปก็แสดงว่าความสามารถสู้นางไม่ได้ ในเมื่อแพ้แล้วก็ควรรู้จักอาย แต่พวกเขากลับมาหาเรื่องนางเพื่อแก้แค้น
ตอนนี้นางกำลังโมโหไม่รู้จะระบายที่ไหนพอดี คันไม้คันมือยิ่งนัก
“อยากมีเรื่อง? ข้ายินดี”
“ข้าไม่อยากมีเรื่อง ข้าจะติดตามเจ้า”
นางชะงัก ขมวดคิ้ว “หมายความว่าอย่างไร?”
“หมายความว่าข้าจะกรีดเลือดสาบาน คำนับฟ้าดินกับเจ้า”
เซียวเฟยถลึงตาใส่เขา แต่ดวงตาของเขาโตกว่านางมาก เซียวเฟยยืนจ้องตากับเขาอยู่นานก่อนจะถามอย่างสงสัย “เจ้าหมายถึงอยากจะทำสัญญาเลือดกับข้า?”
“ถูกต้อง!”
ชิ! นางนึกว่าเจ้าขวานโง่นี่อยากจะกราบไหว้ฟ้าดินเป็นคู่ชีวิตกับนางเสียอีก
อวี๋หย่งเห็นสีหน้ารังเกียจของนาง คิดว่านางไม่สมัครใจจึงรีบพูดข่มขู่นางว่า “หากเจ้าไม่รับปาก ข้าจะตามตื๊อเจ้าไปร้อยปีพันปี เจ้าจะไม่มีวันสงบสุขอีกเลย”
มีคนมาขอร้องคนอื่นด้วยท่าทางอวดดีขนาดนี้หรือ? สู้นางไม่ได้ก็มาขู่นางแทน? พรรคขวานยังไม่สาบสูญไปทั้งตระกูลนับว่าสวรรค์ไม่มีตาจริงๆ
เดิมเซียวเฟยอยากจะลงมือสั่งสอนพวกเขา แต่ต่อมาก็คิดได้ว่าแม้พรรคขวานจะซื่อบื้อ ทว่ามีสมาชิกเยอะ สายข่าวกว้างไกล ถึงจะไม่ค่อยมีสมองแต่ควบคุมได้ง่าย ถ้าเป็นพวกที่ฉลาดเจ้าเล่ห์ นางยังต้องเปลืองแรงมาระแวดระวังว่าอีกฝ่ายจะมีแผนร้ายอะไรหรือไม่
รับพวกเขาไว้อย่างไรก็ไม่เสียหาย ในเมื่อมีเหยื่อมาให้ถึงที่ ไม่รับไว้ก็เสียเปล่า
คิดได้เช่นนี้นางจึงรับปากทันที หยดเลือดสาบานในวันนี้เลย
พรรคขวานมีเจ้านายใหม่แล้ว ทุกคนล้วนดีใจกันมาก อวี๋หย่งโบกมือหนึ่งที ฝูงลิงจำนวนมหาศาลก็ไม่หลบๆ ซ่อนๆ กันอีกต่อไป พากันเดินออกมายืนเรียงแถว รอรับคำสั่งจากหัวหน้าของพวกเขา
“ตั้งแต่วันนี้ข้ากับเซียวเฟยคำนับฟ้าดินกันแล้ว ต่อไปนางก็คือคนกันเอง”
“ขอรับ หัวหน้า!”
มุมปากเซียวเฟยกระตุกเล็กน้อย เดิมอยากจะแก้คำพูดเขาว่าคือทำสัญญาเลือด ไม่ใช่คำนับฟ้าดิน แต่เห็นว่าฝูงลิงของพรรคขวานคุกเข่าลงทำความเคารพนาง ยกย่องบูชานางในฐานะเจ้านายคนหนึ่งไปแล้วจึงกลืนคำพูดกลับลงไป
“เอาละ ลุกขึ้นเถอะ”
“ขอบคุณ นายท่านเซียวเฟย!”
นางเผลอยืดตัวขึ้นตรงโดยไม่รู้ตัว ถูกเรียกว่า ‘นายท่าน’ รู้สึกไม่เลวจริงๆ
“นายท่านเซียวเฟย ตอนนี้เราจะไปกินข้าวกันที่ไหนดี?”
เซียวเฟยชะงักไป มองอวี๋หย่งยิ้มแฉ่งพลางถูมือไปมาด้วยท่าทีรอคำสั่ง
“พี่น้องทุกคนหิวมาเป็นเดือนแล้ว ต้องให้ทุกคนกินอิ่มกันก่อนถึงจะมีแรงทำงาน ท่านว่าจริงหรือไม่?”
เซียวเฟยมองอวี๋หย่งและฝูงลูกน้องลิง ดวงตาเป็นประกายเต็มไปด้วยความคาดหวังหลายคู่กำลังจ้องมองมาที่นาง นางจึงเริ่มเข้าใจขึ้นมา
หรือว่าที่พวกเขามาติดตามนางเพราะอับจนไม่มีอันจะกิน แล้วยังเสียงานอีก ถึงได้มาขอพึ่งนางแทน
เซียวเฟยรู้สึกว่าตัวเองติดกับเข้าให้แล้ว จู่ๆ ก็รับขอทานมาโขยงหนึ่งโดยไม่ได้ตั้งใจ เริ่มสงสัยว่าที่เจ้าโม่เฟยยกเลิกสัญญาจ้าง ต้องเป็นเพราะเลี้ยงไม่ไหวแน่ๆ
ยังดีที่หลายปีมานี้นางเก็บสะสมหินวิญญาณเอาไว้ไม่น้อย เพื่อรักษาหน้าในฐานะเจ้านายเอาไว้จึงได้แต่สละหินวิญญาณจำนวนหนึ่งให้พวกเขาไปอย่างเจ็บปวดเป็นที่สุด
เมื่อเหล่าขอทานพวกนี้อิ่มหนำจนพึงพอใจแล้วเซียวเฟยก็เดินทางลงจากเขาต่อ แน่นอนว่าอวี๋หย่งติดตามนางไปด้วย
ภายในเวลาไม่ถึงครึ่งวันเซียวเฟยก็เสียใจในการตัดสินใจครั้งนี้แล้ว
“เจ้าต้องสอนพวกข้าว่าจะกลายเป็นร่างมนุษย์ได้อย่างไร”
“ยาเปลี่ยนรูปนี้มีฤทธิ์นานเพียงใด เจ้ายังมียาเปลี่ยนรูปอยู่อีกเท่าไร?”
“ไม่มีขนนี่ปกติหรือไม่ ทำไมบนตัวข้านอกจากบนหัวกับด้านล่างที่มีขนแล้ว ที่อื่นโล้นไปหมด?”
“ต้องใส่เสื้อผ้าด้วยหรือ? ข้าอยู่แบบเปลือยๆ ไม่ได้หรือ?”
หนวกหูที่สุด!
เซียวเฟยหน้าบูดบึ้ง แค่เคยได้ยินว่าพรรคขวานซื่อบื้อ ไม่เคยได้ยินว่าเจ้าขวานโง่นี่พูดมากขนาดนี้ หากรู้ว่าพวกเขาหนวกหูเช่นนี้ นางไม่มีทางกรีดเลือดสาบานกับอวี๋หย่งเด็ดขาด
“นี่! ทำไมหางที่ก้นข้ามาอยู่ข้างหน้าได้ล่ะ แถมยังสั้นลงอีก?”
เซียวเฟยชะงัก หันกลับไปถลึงตาใส่เขา
เจ้าขวานโง่กำลังเอามือจับสิ่งนั้นซึ่งอยู่ระหว่างขาสองข้างเอาไว้พลางถามนางด้วยสีหน้ากลัดกลุ้มใจ
“นั่นไม่ใช่หาง”
“ไม่ใช่หาง เช่นนั้นคืออะไร?”
“เจ้าไม่รู้จริงหรือ?”
“ชิ! ก็เพราะข้าไม่รู้ถึงได้ถามเจ้านี่แหละ!”
จู่ๆ นางก็หัวเราะออกมาอย่างประสงค์ร้าย พูดด้วยน้ำเสียงมีเลิศนัย “ถ้าเจ้าคิดว่าเกะกะก็ตัดมันทิ้งไปซะ”
อวี๋หย่งกลับเริ่มครุ่นคิดอย่างจริงจังจริงๆ จับหางนั่นเอาไว้ในมือ บีบไปบีบมาจู่ๆ เขาก็มีความรู้สึกแปลกๆ เป็นความรู้สึกที่แปลกประหลาดมาก เขาบีบอยู่หลายทีจนเริ่มรูดขึ้นลงเองโดยไม่ต้องรอให้ใครบอก กระทั่งกลายเป็นการช่วยตัวเองด้วยสีหน้าแดงก่ำพลางหอบหายใจแรง
ให้ตายเถอะ!
เซียวเฟยแจกลูกถีบให้เขาหนึ่งที โจมตีเข้ากลางเป้าพอดี พอได้ยินเสียงร้องโหยหวนประหนึ่งหมูถูกเชือด นางค่อยอารมณ์ดีขึ้นมา
“อยากจะเป็นคน บทเรียนแรกที่ต้องรู้ก็คือ อะไรที่เรียกว่าแก่นชีวิตของบุรุษ” ทิ้งคำพูดนี้ไว้นางก็แค่นหัวเราะเบาๆ และเดินจากไป
อวี๋หย่งใช้เวลากว่าครึ่งชั่วยาม ในการนอนกลิ้งไปมาพลางน้ำลายฟูมปาก ทั้งยังนั่งสมาธิถ่ายพลังรักษาตัวต่ออีกกว่าครึ่งชั่วยาม และจดจำความเจ็บนี้ไปตลอดชีวิต
สิ่งที่อยู่ด้านหน้าก้นไม่ใช่หาง เรียกว่าแก่นชีวิต ทำให้บุรุษขึ้นสวรรค์ได้ แต่ก็ทำให้บุรุษลงนรกได้เช่นกัน เป็นสิ่งที่คนเราต้องปกป้องไว้ด้วยชีวิต
ระหว่างทางต่อมาอวี๋หย่งรักษาระยะห่างจากนางไว้อย่างน้อยสิบก้าวอย่างรู้งาน ในที่สุดเซียวเฟยก็สบายหูสักที นางพึงพอใจมาก
สถานที่ที่นางจะไปคือเมืองว่านเป่ย ที่นี่เป็นตลาดปีศาจที่การค้าขายเจริญรุ่งเรืองมาก ไม่ว่ามองหาของสิ่งใดหรืออยากสืบข่าวอะไร แค่มาที่เมืองว่านเป่ยก็พอ
ก่อนจะเข้าเมืองว่านเป่ยเซียวเฟยหันไปส่งสายตาตักเตือนอวี๋หย่ง เห็นได้ว่าดวงตาของเขากำลังส่องประกาย สีหน้าตื่นเต้น อยากจะถามแต่ก็ไม่กล้าถาม หน้าแดงก่ำอย่างอดทนอดกลั้น
เซียวเฟยประหลาดใจ “ดีใจขนาดนั้นเชียว?”
“ข้าไม่เคยมา”
“เพราะเหตุใด?”
“จน”
“.....”
นางถามเสียแรงเปล่าจริงๆ ตอนเข้าเมืองว่านเป่ยต้องจ่ายค่าผ่านทาง เพราะความซื่อบื้อพรรคขวานจึงเอาตัวรอดในแดนปีศาจได้ไม่ค่อยดีนัก ยังต้องเลี้ยงดูสมาชิกจำนวนมากอีก แน่นอนว่าพวกเขาต้องยากจนอยู่แล้ว แค่ค่าเข้าเมืองก็ไม่มีจ่าย
เห็นแก่ที่ระหว่างทางมานี้เขายังนับได้ว่าเชื่อฟัง เซียวเฟยเลยตัดสินใจพาเขาเข้าไปด้วย
“ตามข้ามา ห้ามก่อเรื่อง” นางพูดเตือน
อวี๋หย่งยิ้มแยกเขี้ยวพลางพยักหน้าอย่างเอาใจ
เซียวเฟยไม่สนใจเขาอีก ก่อนเข้าเมืองนางต้องเปลี่ยนใบหน้าใหม่ก่อน
เมืองว่านเป่ยเป็นอาณาเขตของรัชทายาทหมาป่าเยี่ยหลี เพื่อหลบหลีกสายข่าวของเผ่าหมาป่า นางเปลี่ยนไปเป็นอีกใบหน้าหนึ่ง ตอนที่อวี๋หย่งเห็นหน้าตาของนางก็ตกใจจนคางแทบหล่นลงมากองที่พื้น
นางกลายเป็นยายแก่มีริ้วรอยเต็มใบหน้า รูจมูกบาน หน้าตาอัปลักษณ์ ตัวโก่งหลังค่อม ดูแล้วเหมือนอายุหลายร้อยปี
เซียวเฟยนอกจากฝึกวิชายุทธ์เพื่อความก้าวหน้าแล้ว ยังพากเพียรฝึกวิชาอาคม ดังนั้นนางจึงมั่นใจในวิชาแปลงกายของตนมากมาตลอด
การกลายเป็นร่างมนุษย์สำหรับอวี๋หย่งถือเป็นเรื่องยากมากแล้ว ไม่ต้องพูดถึงการกลายร่างไปเรื่อยตามใจชอบเลย
สีหน้าตกตะลึงของอวี๋หย่งทำให้เซียวเฟยพึงพอใจมาก
เซียวเฟยภาคภูมิใจอยู่ในใจ จะทำให้เขารู้ว่าได้กลายมาเป็นลูกน้องของนางเซียวเฟยนับเป็นบุญที่สั่งสมมาหลายพันปีของพวกเขา
อวี๋หย่งกำหมัดอย่างตื่นเต้น “รีบบอกข้าที เจ้ากลายร่างเป็นวานรใหญ่ได้อย่างไรกัน!”
เซียวเฟยมีสีหน้าบึ้งตึงทันที คำตอบของนางคือการยกเท้าขึ้นมาถีบเจ้าขวานโง่ที่แยกคนกับเดรัจฉานไม่ออกจนกระเด็นไป

นี่เป็นโลกที่ผู้แข็งแกร่งข่มผู้อ่อนแอ ปีศาจกินปีศาจ
เซียวเฟยเกิดมางดงาม ทั้งยังเป็นอาวุธหญิงงามเพียงหนึ่งเดียวในสิบอันดับแรกของรายนามศัสตราวุธ ในสายตาผู้อื่นตัวนางมีค่าไม่ธรรมดา
รัชทายาทหมาป่าเยี่ยหลีอยากจะรับวิญญาณอาวุธอย่างนางมาเป็นอาวุธของตนมาตลอด แต่เซียวเฟยสามารถหลบหลีกเงื้อมมือเผ่าหมาป่าที่มีพละกำลังแข็งแกร่งมาได้โดยการอาศัยวิชาแปลงกายในการซ่อนตัว
หลังจากถูกถีบจนกระเด็นอวี๋หย่งก็ตะกายลุกขึ้นมาอย่างรวดเร็ว บนไหล่ของเขาแบกรับอนาคตของทั้งพรรคขวานเอาไว้ ดังนั้นแค่ลูกถีบลูกเดียวไม่สามารถทำลายความมุ่งมั่นของเขาให้พังทลายได้
เขาเดินตามหลังเซียวเฟยไปอย่างประจบประแจง
เขาอยากถามเซียวเฟยเกี่ยวกับวิชาแปลงกาย ทว่ากำลังจะอ้าปากถามก็เห็นเซียวเฟยหันมาถลึงตาใส่เขาหนึ่งที เขาจึงปิดปากเงียบอย่างเชื่อฟัง อดทนไว้อย่างอึดอัดใจไปหมด
มีวรยุทธ์ มียาเปลี่ยนรูป เป็นวิชาแปลงกาย มีหินวิญญาณ ทั้งยังใจกว้างอีก....อวี๋หย่งแอบกำหมัดแน่นอยู่เงียบๆ การคำนับฟ้าดินกับนางเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องที่สุด
รอเขาบำเพ็ญจนกลายเป็นร่างมนุษย์ เรียนวิชาแปลงกายสำเร็จ ทำให้พรรคขวานมีชื่อเสียงเกรียงไกร ถึงตอนนั้นใครจะกล้ามาเยาะเย้ยว่าพวกเขาเป็นพรรคขวานที่ทั้งจนทั้งซื่อบื้ออีก?
เซียวเฟยโยนหินวิญญาณให้ยามเฝ้าประตูสองก้อน แล้วเดินเข้าไปในเมืองว่านเป่ยพร้อมกับอวี๋หย่ง
มีเป้าหมายก็มีความหวัง อวี๋หย่งอารมณ์ดีมาก ตลอดทางเขาคอยปรนนิบัติรับใช้ทุกอย่างพลางยิ้มประจบประแจง ดวงตาที่ส่องประกายยกย่องนับถือนั่นแสดงถึงความชื่นชมอย่างกระตือรือร้นของเขา ทำให้เซียวเฟยพึงพอใจมาก
อย่างไรเสียก็เป็นลูกน้องที่เพิ่งรับเข้ามา ต้องแสดงความสามารถในฐานะเจ้านายบ้างเป็นครั้งคราว
“ถ้าเจ้าทำตัวดี มีเวลาข้าจะสอนเจ้า”
อวี๋หย่งแยกเขี้ยวยิ้มกว้างออกมาทันที “ข้าจะทำตัวดีแน่นอน”
เซียวเฟยเห็นว่าเขาดูเข้าตาขึ้นมาหน่อยจึงมีอารมณ์สอนเขาขึ้นมาบ้าง
“ในเมืองปีศาจมีคนจากหลากหลายเผ่าพันธุ์มารวมตัวกันอยู่ คนที่ฉลาดล้วนรู้ว่าควรเลี่ยงการเป็นจุดสนใจ ในทุกที่และทุกสถานการณ์ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือเก็บออมแรงเอาไว้ อย่างที่เขาพูดกันว่าตั๊กแตนจับจักจั่น นกขมิ้นอยู่ข้างหลัง ”
“เข้าใจล่ะ! พวกเราไม่กินจักจั่น เรากินนกขมิ้น!” อวี๋หย่งลูบท้องที่กำลังร้องโครกคราก ถามนางว่า “เราจะกินนกย่างเพื่อเก็บออมแรงใช่หรือไม่” พูดพลางหันไปจ้องดูร้านแผงลอยข้างทางอย่างหิวโหย
เซียวเฟยพยายามอดทนแล้วอดทนอีก อดกลั้นความอยากต่อยเขาเอาไว้ กับคนที่สมองไม่ดีเช่นเขา เดิมก็ไม่ควรจะพูดให้เปลืองน้ำลายอยู่แล้ว
นางรำคาญเสียงท้องร้องของเขาจึงซื้อไก่ย่างตัวหนึ่งแล้วโยนไปให้
อวี๋หย่งเขมือบไก่ย่างเข้าท้องไปอย่างรวดเร็วจนเหลือแต่กระดูก สีหน้าอิ่มเอม แม้จะสามารถดูดพลังจากหินวิญญาณมาเสริมพลังวิญญาณได้ ถึงอย่างไรอาหารก็มีรสชาติล้ำเลิศที่สุด
เซียวเฟยไม่อยากจะจู้จี้กับเขานัก คิดในแง่ดี คนที่พึงพอใจกับไก่ย่างแค่ตัวเดียวก็ไม่ยุ่งยากดี
นางมาที่เมืองว่านเป่ยครั้งนี้ หลักๆ แล้วคือมาสืบข่าว
“ดูสิ หล่อเหลาจริงๆ”
“ดูจากหน้าตาและรูปร่างของเขา จะต้องเป็นผู้มีวรยุทธ์สูงส่งจากที่ไหนสักแห่งแน่”
“ข้าชอบเขายิ่งนัก! ไม่รู้ว่าเป็นคุณชายบ้านไหน”
เหล่าหญิงสาวข้างถนนคุยซุบซิบกันเสียงเบา มองอวี๋หย่งด้วยสายตาตกตะลึง
“คนพวกนั้นจ้องข้าทำไมกัน” อวี๋หย่งยื่นหน้าเข้าไปใกล้นาง กดเสียงต่ำถาม
เซียวเฟยหูดี แน่นอนว่าต้องได้ยินเสียงคุยซุบซิบของหญิงสาวพวกนั้น ล้วนแต่หลงใหลในความหล่อเหลาของอวี๋หย่ง
เพราะนางเลินเล่อเอง อวี๋หย่งที่กินยาเปลี่ยนรูปเข้าไปมีรูปโฉมหล่อเหลามาก ต้องดึงดูดความสนใจของเหล่าหญิงสาวอยู่แล้ว นางคิดแต่ตัวนางต้องเลี่ยงการเป็นจุดสนใจ แต่กลับลืมสั่งให้เขาหลบซ่อนตัวด้วย
ยาเปลี่ยนรูปมีฤทธิ์อยู่ประมาณหนึ่งเดือน ในตอนนี้จะเปลี่ยนรูปกลับไปเป็นลิงก็ไม่ได้แล้ว
เซียวเฟยเห็นว่าเขามีสีหน้าหวาดระแวง แววตาไม่เป็นมิตร มือหนึ่งกำด้ามขวานไว้แน่น ตั้งท่าเตรียมพร้อมต่อสู้ทุกเมื่อ
ชิ แม้แต่สายตาชื่นชอบของสตรียังมองไม่ออก
เซียวเฟยกลอกตาใส่เขาในใจไปหนึ่งรอบ ก่อนจะแสดงท่าทีของผู้มีประสบการณ์มาก่อนออกมา
“นี่คือเหตุผลที่ข้าถึงต้องแปลงโฉม ไม่ให้คนอื่นมาสนใจข้า นี่เรียกว่าลดความเป็นจุดสนใจ เข้าใจหรือไม่?”
ไม่เข้าใจ
หากอวี๋หย่งสามารถแยกแยะได้คงไม่บำเพ็ญจนกลายเป็นร่างลิงแล้ว เขารู้แค่ว่าการเอาแต่จ้องมองใครสักคนเช่นนี้คือการท้าทาย
เขาเดินตามเซียวเฟยไปติดๆ เพื่อป้องกันหญิงสาวพวกนั้น แต่ไม่รู้เลยว่าการที่เข้าเดินเข้าไปใกล้เซียวเฟย ในสายตาของพวกนางกลับเป็นการแสดงถึงความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดแนบแน่น
“ยายแก่หน้าตาอัปลักษณ์ผู้นั้นเป็นใครกัน คงไม่ใช่มารดาเขาหรอกนะ?”
“เป็นไปได้อย่างไร นั่นต้องเป็นปีศาจเฒ่าที่กลายร่างผิดพลาดตัวไหนสักตัวแน่”
“นางเกาะคุณชายผู้หล่อเหลาเอาไว้ทำไมกัน น่าเกลียดเสียจริง”
“หรือนางใช้วิธีอะไรสักอย่างควบคุมคุณชาย พวกเราไปช่วยเขากันดีหรือไม่”
หญิงสาวหน้าเหม็นพวกนี้นี่ เซียวเฟยกวาดตาที่แฝงไปด้วยแววอันตรายมองไปรอบๆ
อวี๋หย่งเตือนนางด้วยความหวังดีว่า “พวกนางจ้องเจ้าอยู่แน่ะ เจ้าแน่ใจหรือว่าเจ้าลดความเป็นจุดสนใจแล้ว”
เซียวเฟยหันไปค้อนเขา อวี๋หย่งก็กระโดดถอยออกมาหนึ่งก้าวทันใด กุมน้องชายตนไว้โดยสัญชาตญาณพลางมองนางอย่างงุนงง ไม่เข้าใจว่าตนพูดอะไรออกไปถึงทำให้นางหันมาถลึงตาใส่เขาด้วยสายตาอาฆาตแค้นเช่นนั้น
ทันใดนั้นเซียวเฟยกระทืบเท้าหนึ่งทีและเหาะจากไป
“เอ๋? เจ้าไปไหน รอข้าด้วยสิ!”
เซียวเฟยไม่สนใจเขา จากไปอย่างรวดเร็ว อวี๋หย่งตกใจมากจึงรีบตามไปทันที
“เจ้าอย่าคิดจะสะบัดข้าทิ้งไปเชียว! สัญญากันแล้วว่าไม่ว่าเป็นหรือตายก็ไม่ทอดทิ้งกันไม่ใช่หรือ”
เหลวไหล! พวกเขาแค่สาบานเป็นพันธมิตรกัน ไม่ใช่สาบานรักนิรันดร์ ภาษาคนยังฟังไม่รู้เรื่อง นางไม่ควรพาเจ้าโง่นี่เข้าเมืองว่านเป่ย รู้สึกว่าคนยังสนใจกันไม่พอหรือไร? ควรจะอุดปากเขาไว้จริงๆ!
วรยุทธ์ของเซียวเฟยสูงกว่าอวี๋หย่งมาก นางทิ้งระยะห่างไปกว่าสิบช่วงถนนและหายเข้าไปในร้านอาหารซื่อฟาง
ในเมืองว่านเป่ยมีที่มาของข่าวสารสองช่องทาง ช่องทางแรกคือไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย ช่องทางที่สองคือใช้หินวิญญาณซื้อ ร้านอาหารซื่อฟางเป็นสถานที่ที่สามารถสอบถามข่าวสารได้โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย
การจัดอันดับรายนามศัสตราวุธจะมีการเปลี่ยนแปลง?
หลังสงครามระหว่างเผ่าหมาป่าและเผ่าเสือ ทั้งสองฝ่ายสูญเสียกองกำลังไปเท่าไร?
จอมมารรับสนมมาเพิ่มอีกหลายคน?
ทหารของแดนเซียนลงมาแสดงวิชาอาคมที่แดนปีศาจและแดนมารอีกแล้ว?
นั่งอยู่ในร้านอาหารซื่อฟางที่มีคนไปๆ มาๆ เพียงครึ่งชั่วยามก็ได้ยินข่าวพวกนี้มาไม่น้อย
หลังเซียวเฟยดื่มสุราหมดหนึ่งกา กินกับแกล้มหมดไปหนึ่งจาน ก็ฟังมาพอสมควรแล้ว จึงหมุนตัวเดินไปทางเถ้าแก่ร้าน โยนหินวิญญาณระดับสูงให้เขาหนึ่งก้อน
เมื่อเถ้าแก่เห็นหินวิญญาณสีม่วงก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นลูกค้าใหญ่ ต้องต้อนรับอย่างดี ดังนั้นจึงนำนางไปที่ห้องส่วนตัวบนชั้นสอง
แน่นอนว่าห้องส่วนตัวจะต้องหรูหรากว่าชั้นล่างอยู่แล้ว แม้แต่สุราและกับแกล้มที่นำมาตั้งโต๊ะยังดีขึ้นหลายระดับ พนักงานต้อนรับล้วนเป็นชายหนุ่มและหญิงสาวรูปงาม
“ข้าต้องการเบาะแสของโม่เฟย”
ฟางลิ่วหลางรินสุราให้นางด้วยตัวเอง ดวงตาดอกท้อคู่นั้นหรี่ลงเล็กน้อย
“คนที่อยากหาตัวโม่เฟยมีเยอะมาก การต่อสู้ของแส้เกล็ดงูและพรรคขวานก็เพื่อจับเขานั่นแหละ”
เซียวเฟยลอบตกใจเล็กน้อย เหตุการณ์เพิ่งเกิดขึ้นไม่กี่ชั่วยามก่อน ร้านอาหารซื่อฟางกลับได้ข่าวแล้วหรือ?
นางจงใจถามขึ้นว่า “โม่เฟยถูกเซียวเฟยจับไปแล้วหรือ?”
“ไม่ เกือบไปแล้ว พูดถึงเซียวเฟยผู้นี้ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ ซ้อมคนของพรรคขวานที่คุ้มกันโม่เฟยอยู่จนแพ้ราบคาบ สมกับเป็นแส้เกล็ดงูอันดับสิบ...”
ฟังฟางลิ่วหลางเล่าถึงวีรกรรมอันเก่งกาจและกล้าหาญของตน เซียวเฟยลอบยินดีในใจ แม้ครั้งนี้จะจับตัวโม่เฟยไม่ได้ แต่อาศัยการป่าวประกาศของร้านอาหารซื่อฟาง วีรกรรมอันกล้าหาญของตนในวงการอาวุธก็เพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งเรื่อง มีส่วนช่วยให้ชื่อเสียงของนางโด่งดังขึ้นก็นับว่าได้อะไรมาบ้าง
เสียงกระพือปีกดังลอยมา อีกาสองตัวร่อนตัวลงมาบนหน้าต่าง ฟางลิ่วหลางเดินเข้าไป ไม่รู้ว่าอีกานำข่าวอะไรมาส่งถึงทำให้ฟางลิ่วหลางส่งเสียงอุทานออกมา เขาเดินกลับมา ถอนหายใจหนึ่งที จู่ๆ ก็เอาหินวิญญาณสีม่วงคืนมาให้นาง
“หมายความว่าอย่างไร”
“เกรงว่าแม่นางคงต้องผิดหวังแล้ว สายข่าวของเรารายงานมาว่าหาเบาะแสของโม่เฟยไม่พบ”
สีหน้าของเซียวเฟยเคร่งเครียดขึ้นมาทันที สายข่าวของร้านอาหารซื่อฟางกระจายอยู่ทั่วสารทิศ แทบไม่มีคนที่พวกเขาตามหาไม่พบ หากพวกเขายังสืบไม่พบ เช่นนั้นคนอื่นก็คงยากที่จะพบแล้ว
เดินออกมาจากร้านอาหารซื่อฟาง การเดินทางครั้งนี้ไม่บรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ทำให้นางหงุดหงิดมากเลยไม่ทันสังเกตว่าตนตกเป็นเป้าหมายเสียแล้ว
บนถนนนี่เหตุใดจึงเงียบเช่นนี้?
นางเงยหน้าขึ้นมา ตอนที่เห็นคนผู้นั้นนางก็กลั้นหายใจเอาไว้เช่นเดียวกับคนอื่นๆ
คนผู้นั้นสวมชุดคลุมสีดำสนิท มีกระบี่ยาวห้อยไว้ที่เอว แผ่พลังข่มขู่คุกคาม กดดันผู้คนให้หนาวสะท้าน
อินเจ๋อ ราชันกระบี่ มารกระบี่ผู้เป็นอันดับหนึ่งในรายนามศัสตราวุธมาเมืองว่านเป่ยอย่างไม่คาดคิด
สายตาทะมึนและเฉียบคมของเขากำลังจ้องมองมาที่นาง



++++++++++++++++++++++++++++++++++++
อินเจ๋อ ราชันแห่งกระบี่ วิญญาณอาวุธของเซียนกระบี่ที่บำเพ็ญเพียรจนมีร่างมนุษย์นั้นหยิ่งผยองไม่เห็นใครอยู่ในสายตา กลับสนใจในเซียวเฟย แส้เกล็ดงู วิญญาณอาวุธที่บำเพ็ญเพียรจนมีร่างมนุษย์เช่นกัน แต่ในสายตาเซียวเฟย นางต้องการเพียงความแข็งแกร่ง ต่อให้อินเจ๋อรังควานนางลับๆ อย่างไรก็ไม่แล

จนกระทั่งเขามาพูดกับนางตรงๆ ว่าต้องการตัวนาง นางจึงยอมตกลงโดยมีเงื่อนไข ทว่าเจ้านี่ดันเป็นกระบี่ที่คมกับศัตรูทื่อกับความรัก ปรนนิบัติคนไม่เป็น เห็นนางเป็นฝักกระบี่ มีดีแค่ให้นางดูดพลังจากเขามาเพื่อเพิ่มพลังยุทธ์ ในเมื่อสิ่งเดียวที่นางหวังคือเลื่อนอันดับตนในรายนามศัสตราวุธและเอาชนะอันดับหนึ่งอย่างเขาให้ได้ ดังนั้นถ้าเขาอยากได้ร่างงดงามนี้ก็เอาไป วิญญาณอาวุธอย่างพวกนางแค่กลายเป็นร่างมนุษย์ก็ยากแล้ว ไม่ต้องพูดถึงความรู้สึกรัก ทว่าเหตุใดไปๆ มาๆ จึงคล้ายกับว่าเป็นนางที่เสียเปรียบกัน?


รูปภาพ

ตอบกลับโพส

ย้อนกลับไปยัง “Bongkoch Books News & Activities”