New Release เหลียนฮวา : สตรีเช่นนี้หาใดเหมือน

อัพเดทข่าวบงกชบุ๊คส์ ความเคลื่อนไหว และกิจกรรมพิเศษ ตลอดจนร่วมสนุกชิงรางวัลพร้อมของรางวัลมากมาย

Moderator: P'Bly, Gals, พี่บี

ตอบกลับโพส
Gals
โพสต์: 1068
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 13 ก.พ. 2009 3:47 pm

New Release เหลียนฮวา : สตรีเช่นนี้หาใดเหมือน

โพสต์ โดย Gals »

บทนำ
บุญคุณเลี้ยงดูเหนือกว่าบุญคุณให้กำเนิด

ภายใต้แสงเทียนที่มืดสลัว บุรุษรูปร่างผอมบางคนหนึ่งนอนอยู่บนเตียง แก้มทั้งสองข้างตอบซูบจนกระทั่งมองไม่เห็นเนื้อใดๆ หญิงสาวอายุราวสิบเจ็ดสิบแปดนั่งอยู่ริมเตียง นางใช้มือขาวเนียนคู่นั้นจับมือแห้งกร้านของบุรุษบนเตียงไว้แน่น
“ท่านพ่อ...” เสวียนหลิงเฟยน้ำตาคลอเบ้า ใบหน้าเล็กๆ นั้นเต็มไปด้วยรอยน้ำตา
เสวียนเสวียเส้าลืมตาขึ้นมองนางอย่างยากลำบาก ฝืนยิ้มอย่างอ่อนแรง “อย่าร้องไห้เลย เกิดแก่เจ็บตายเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับมนุษย์ ข้าก็แค่ไปก่อนพวกเจ้าเท่านั้นเอง อย่าร้องไปเชียว”
เสวียนหลิงเฟยไม่เอ่ยคำใด แต่น้ำตายังไหลรินอย่างไม่หยุดหย่อนจนเปียกปอนไปทั่วเตียง
เสวียนเสวียเส้าถอนหายใจ มือที่สั่นคลอนค่อยๆ เอื้อมไปยังศีรษะนาง เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเอ็นดู “เวลาผ่านไปราวชั่วพริบตา ลูกเฟยของข้าก็โตเป็นสาวเช่นนี้แล้ว แต่เสียดายที่พ่ออยู่ถึงวันที่เจ้าแต่งงานไม่ได้...”
เมื่อเขาพูดเช่นนี้น้ำตาเสวียนหลิงเฟยยิ่งทะลักออกมามากขึ้น “ท่านพ่อ ข้าเชิญท่านหมอลู่มาอีกรอบดีหรือไม่”
นางไม่อยากยอมแพ้ ท่านพ่อเป็นคนเดียวบนโลกที่ดีกับนางที่สุด เป็นครอบครัวของนาง นางไม่อยากเสียเขาไป
แต่เสวียนเสวียเส้ากลับส่ายหัว “ไม่มีประโยชน์อันใดหรอก ร่างกายของข้า ข้ารู้ดี อย่าเสียเวลาไปเลย”
คำพูดเหล่านี้ทำให้เสวียนหลิงเฟยทนไม่ได้อีกต่อไป นางก้มหัวลงและกัดริมฝีปากไว้แน่น มิเช่นนั้นคงไม่อาจกลั้นเสียงร้องไห้ของตัวเองไว้ได้
ท่าทางเช่นนั้นของนางทำให้เสวียนเสวียเส้ารู้สึกเจ็บปวดใจเป็นอย่างยิ่ง เขาก็เป็นห่วงนางไม่น้อยเช่นกัน แต่เขารู้ตัวว่าตนเองมีเวลาเหลืออีกไม่มากแล้ว จึงชี้ไปทางกล่องที่อยู่บนตู้ เอ่ยด้วยเสียงแตกพร่า “ในกล่องนั้นล้วนเป็นสิ่งของที่เกี่ยวกับความเป็นมาของเจ้า เมื่อพ่อจากไปแล้ว เจ้านำมันกลับไปเมืองเสวียนเยว่ด้วย เข้าใจหรือไม่”
เสวียนหลิงเฟยไม่ใช่ลูกสาวแท้ๆ ของเขา
วันที่เก็บเสวียนหลิงเฟยได้เป็นวันที่เขากลับเมืองหลวง ขณะนั้นภรรยาของเขาตั้งครรภ์ได้สิบเดือนแล้ว ที่ผ่านมาราบรื่นตลอดทาง ทว่าน้ำคร่ำกลับแตกตอนถึงประตูเมือง จวนเสวียนอยู่ฝั่งตะวันออกของเมือง จากประตูเมืองต้องใช้เวลาอย่างน้อยครึ่งชั่วยาม อีกทั้งผู้คนยังพลุกพล่านเดินทางลำบาก แต่ใบหน้าของภรรยาขาวซีดไร้สีเลือดแล้ว ยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะทำคลอดบนรถม้า พวกเขาไม่มีทางเลือกจึงทำได้เพียงพักที่บ้านพักฝั่งเหนือชั่วคราว
สองสามีภรรยาคู่นี้แต่งงานกันมาหลายปี ไม่มีลูกด้วยกันสักที ท่านหมอเคยบอกไว้ว่าสภาพร่างกายของภรรยาอ่อนแอไม่ง่ายต่อการมีลูก หากโชคดีมีลูกก็ถือว่าเป็นเรื่องอันตรายสำหรับสภาพร่างกายอย่างนาง นี่เป็นเหตุผลที่เขาไม่ยอมให้ภรรยาคลอดลูกบนรถม้า
ตอนแรกเขาคิดว่าฝีมือทางการแพทย์ของท่านหมอในเมืองหลวงเป็นเลิศ เป็นไปได้ที่จะทำให้ภรรยาคลอดลูกได้อย่างปลอดภัย แต่ยังไม่ทันถึงไหนภรรยาก็จะคลอดเสียแล้ว ไม่ว่าเขาจะพยายามเพียงใด ภรรยาก็จากไปขณะคลอดบุตร หนึ่งศพสองชีวิต เขาเสียทั้งภรรยาและลูกรักในท้องที่เพิ่งให้กำเนิดไป เจ็บร้าวเจียนตาย แต่ในขณะนั้นเองเขาก็ได้พบกับเสวียนหลิงเฟย
บริเวณใกล้ๆ บ้านพักที่พวกเขาแวะพักอยู่นั้นเกิดไฟไหม้อย่างไม่รู้สาเหตุ เขาอุ้มศพของลูกและภรรยาออกมาด้วยความเร่งรีบ ในขณะที่เพิ่งนำศพลูกสาวออกมา บ้านหลังนั้นก็ถูกเปลวไฟลุกลามไปทั่วทันที ในช่วงเวลาเดียวกันมีผู้ชายคนหนึ่งถูกไฟคลอกเต็มหลังพุ่งออกมาจากกองไฟ พอเหลือบไปเห็นทารกหญิงไร้วี่แววชีวิตข้างๆ แล้วก็ราวกับค้นพบอะไรบางอย่าง จึงรีบยัดทารกหญิงในมือที่กำลังร้องไห้อุแว้ๆ ให้เขาอย่างรีบร้อน
เห็นใบหน้าเล็กๆ ที่ร้องไห้จนแดงก่ำ เสวียนเสวียเส้าเผลอนึกถึงลูกสาวที่ตายจากไปทั้งที่ยังไม่ทันลืมตามองโลกของตน ถึงแม้รู้ว่าความเป็นมาของทารกหญิงคนนี้จะนำพามาซึ่งความเดือดร้อนให้ตน แต่เขาก็ทิ้งนางไม่ลงอยู่ดี เขาจึงพานางกลับไปด้วย
สำหรับลูกสาวที่ไม่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดคนนี้ เขาเอ็นดูนางอย่างแท้จริง และอบรมสั่งสอนนางด้วยความละเอียดรอบคอบ ดูแลนางเป็นอย่างดีราวกับเป็นลูกแท้ๆ
หากว่าเขาดูแลนางได้ตลอดชีวิต ต่อให้ไม่ได้กลับไปเมืองหลวงเขาก็ยอม เพราะเมื่อเขากลับไปแล้วจะเกิดเรื่องดีหรือร้ายก็ไม่อาจรู้ได้ แต่บังเอิญว่าเขาป่วย อีกทั้งยังป่วยเกินเยียวยาเสียด้วย
สิ่งเดียวที่เขาทำได้ก่อนจากโลกนี้ไปคือจัดการเส้นทางชีวิตของนางให้ดี มิเช่นนั้นเขาจะจากไปพร้อมกับความเป็นห่วงมหาศาล
เสวียนหลิงเฟยหันไปมองกล่องที่ให้สัมผัสเกลี้ยงเกลา จากนั้นพยักหน้าด้วยความเจ็บปวด
ท่านพ่อเล่าทุกอย่างให้นางฟังขณะป่วยหนัก นางถึงได้รู้ว่าตัวเองไม่ใช่ลูกสาวแท้ๆ ของเขา
เรื่องนี้มาอย่างกะทันหันเกินไป นางตะลึงงันไม่อยากจะเชื่อ เมื่อสงบนิ่งไปพักหนึ่งแล้วสุดท้ายนางถึงยอมรับ
นางไม่ได้ร้องไห้เสียใจเพราะความเป็นมาของตน แต่เสียใจเพราะว่าตนไม่ใช่ลูกสาวแท้ๆ ของเขา
เสวียนเสวียเส้าดูแลนางราวกับเลือดเนื้อเชื้อไขของตัวเอง รักและเอ็นดูด้วยความจริงใจ นางเป็นลูกสาวของเขา สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ไม่มีวันเปลี่ยนไป
นางไม่อยากตามหาครอบครัวตัวเอง เพราะในใจนางมีเพียงท่านพ่อผู้เป็นครอบครัวของนาง ไม่ว่าบิดามารดาผู้ให้กำเนิดนางมีเหตุผลเช่นไร เมื่อทิ้งนางแล้วก็คือทิ้ง ในเมื่อทิ้งนางแล้วนางยังมีความสุขอยู่ได้ เหตุใดต้องไปตามหาพวกเขาอีก
นางรู้ตัวเป็นอย่างดี ต่อให้นางหาครอบครัวแท้ๆ ของตนเจอ พวกเขาคงไม่รับนางไว้ ด้วยเหตุนี้นางจึงเคยปฏิเสธไป แต่เสวียนเสวียเส้ายืนกรานกระทั่งพูดถึงเรื่องนี้อีกครั้งในช่วงเวลาใกล้สิ้นลมหายใจ ยิ่งตอกย้ำให้เสวียนหลิงเฟยเศร้าสลดมากยิ่งขึ้น เพราะนางรู้ว่าเวลาของท่านพ่อเหลืออีกไม่เยอะแล้ว...
ด้วยเหตุนี้นางจึงพยักหน้า ถึงแม้ใจนางไม่อยากตามหาครอบครัวที่ว่านั้นก็ตาม
ครั้นเห็นนางพยักหน้าตอบ เสวียนเสวียเส้าเผยยิ้มออกมาอย่างสบายใจ จากนั้นเอ่ยเรียกหาคนเข้ามา “จื่อม่อ เสี่ยวเจา...”
สิ้นเสียง เงาสองเงาที่เฝ้าอยู่หน้าประตูรีบพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว
เสวียนจื่อม่อเป็นใบ้พูดไม่ได้ แต่ดวงตาที่แดงก่ำแสดงความรู้สึกของเขาออกมาทั้งหมด
ส่วนเสวียนเสี่ยวเจาร้องไห้จนหน้าเปื้อนเปียกด้วยน้ำตา “นายท่าน...”
สายตาเสวียนเสวียเส้าจ้องมองไปยังหญิงชายคู่นี้ ประกายในนัยน์ตาเริ่มเลือนรางลง เขาเอ่ยเสียงเบาจนแทบไม่ได้ยิน “ปกป้องคุณหนูดีๆ เมื่อข้าจากไปแล้วพาคุณหนูกลับไปที่จวนเสวียนและมอบจดหมายฉบับนั้นให้เหล่าไท่จวิน ”
“ท่านพ่อ” เสวียนหลิงเฟยเงยหน้าด้วยความประหลาดใจ
“เชื่อฟังนะลูก...”
เสวียนเสวียเส้าไร้เรี่ยวแรงที่จะพูดต่อ แต่ความมุ่งมั่นในแววตานั้นทำให้เสวียนหลิงเฟยรู้ว่านางไม่สามารถปฏิเสธได้
สุดท้ายเสวียนหลิงเฟยก็ยังปฏิเสธไม่ลง หลังนางตกลงเสวียนเสวียเส้าถึงวางใจ ค่อยๆ หลับตาที่ไร้ประกายคู่นั้นลง
“ท่านพ่อ...”
เสวียนหลิงเฟยร่ำไห้อย่างทุกข์ทรมาน แต่ก็ไม่อาจเรียกคนในครอบครัวคนเดียวบนโลกใบนี้ของนางกลับคืนมาได้


บทที่หนึ่ง
ไขคดีซอยอู๋ถง

ราชวงศ์เสวียนเยว่อยู่ทางทิศใต้ของแผ่นดินใหญ่ อากาศสบายคล้ายฤดูใบไม้ผลิตลอดทั้งปี เป็นแคว้นที่มีทรัพยากรอุดมสมบูรณ์ ประชาชนใช้ชีวิตอย่างมั่งคั่งและสงบสุข เสวียนหลิงเฟยและบ่าวของนางรวมสามคนเดินทางอย่างไม่หยุดหย่อนหลายเดือน ในที่สุดก็เดินทางมาถึงเมืองหลวงของแคว้นเสวียนเยว่...เมืองเสวียนเยว่
ภายนอกของเมืองเสวียนเยว่แลดูยิ่งใหญ่อลังการเป็นอย่างยิ่ง ก่อสร้างด้วยหินอัคนีที่แข็งแกร่งทนทาน ถึงแม้จะไม่หรูหราโอ่อ่าเท่าไรแต่วิจิตรสง่างามยิ่งนัก อีกทั้งมีความเก่าแก่ดูน่าอัศจรรย์แอบแฝงอยู่ ด้วยลักษณะภูมิประเทศที่สูงทำให้มีครึ่งปีที่เมืองถูกปกคลุมอยู่ภายใต้เมฆหมอก ส่งผลให้เมืองเสวียนเยว่มีกลิ่นอายลึกลับบางอย่าง
แต่ภาพในกำแพงเมืองกลับแตกต่างไปจากภาพลักษณ์ภายนอกอย่างสิ้นเชิง หลังจากต่อแถวฝูงผู้คนยาวเหยียดรอคอยอยู่เกือบครึ่งชั่วยาม นายบ่าวทั้งสามคนก็ได้เข้ามาในเมือง และถูกภาพบรรยากาศคึกคักตรงหน้าดึงดูดไปในชั่วพริบตาเดียว เสวียนเสี่ยวเจาที่มีนิสัยร่าเริงร้องโหวกเหวกด้วยความตื่นเต้น
“ที่นี่คึกคักยิ่งนักเจ้าค่ะ” เสวียนเสี่ยวเจาเบิกตากลมกว้าง ทอดตามองความเจริญรุ่งเรืองของเมืองอย่างไม่กะพริบตา ราวกับจะเก็บทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ในที่นี้เข้าไปในตาให้หมด
สมควรแล้วที่เมืองเสวียนเยว่เป็นเมืองหลวงของแคว้นเสวียนเยว่ ร้านค้าทั้งสองข้างถนนนั้นเต็มไปด้วยผู้คน ไม่ว่าที่ใดล้วนมีผู้คนพลุกพล่านไปทั่ว ราวกับกำลังสังสรรค์ในงานเทศกาลอยู่ สนุกสนานคึกคักยิ่งนัก
เด็กน้อยกลุ่มหนึ่งวิ่งเล่นบนถนนอย่างสนุกสนาน กระซุบกระซิบ เสียงหัวเราะดังก้องเสนาะหู แลดูมีความสุขเป็นอย่างยิ่ง บนถนนมีร้านค้าตั้งอยู่เต็มไปทั่ว เสียงโห่เรียกเชิญชวนซื้อของไล่เรียงกันดังขึ้นอย่างไม่ขาดสาย อีกทั้งมีรถม้าและเกี้ยวของคุณหนูคุณชายจากตระกูลขุนนางต่างๆ เมื่อรวมกับกลุ่มผู้คนมากมายมหาศาล ทำให้เมืองเสวียนเยว่แออัดจนยากต่อการสัญจร
เสวียนเสี่ยวเจากวาดตามองไปทั่ว ทุกสิ่งตรงหน้าล้วนเต็มไปด้วยความแปลกใหม่ ไม่ว่าจะเห็นอะไรก็ทำให้นางตกตะลึงได้ทั้งสิ้น
แม้นเสวียนจื่อม่อที่อยู่ข้างนางจะสีหน้าเรียบนิ่ง แต่ดวงตาดำสนิททั้งคู่กลับเมียงมองไปทั่วอย่างแนบเนียน แสดงให้เห็นว่าในใจเขาไม่สงบเหมือนที่เห็น
ส่วนเสวียนหลิงเฟยที่เดินนำทั้งสองคนนั้น นอกจากความราบเรียบที่อยู่ในนัยน์ตาสีอ่อนคู่นั้นแล้วก็เหลือเพียงแต่ความเลื่อนลอย ราวกับความวุ่นวายทุกสิ่งตรงหน้าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับนาง บุคลิกท่าทางของนางเสมือนกับสามารถตัดขาดความชุลมุนรอบกาย มีตัวเองเพียงลำพัง ทำให้แม้อยากมองแต่ก็ไม่กล้าที่จะเข้าใกล้
บุคลิกท่าทางของนายบ่าวทั้งสามคนแตกต่างจากผู้คนโดยรอบอย่างสะดุดตา เสวียนเสี่ยวเจาหน้าตากระจุ๋มกระจิ๋มน่าเอ็นดู ดวงตาคู่นั้นแฝงยิ้มไว้เสมอทำให้คนรู้สึกดียิ่งนัก เพิ่งเดินมาได้ไม่นานก็มีพ่อค้าจำนวนไม่น้อยทักทายนางตลอดทาง
เสวียนจื่อม่อนั้นมีหน้าตาหล่อเหลา ถึงแม้มีท่าทางเย็นชาแต่ด้วยรูปร่างเพรียวและหน้าตาที่โดดเด่นจึงดึงดูดสายตาหญิงสาวจำนวนไม่น้อย สตรีทั้งหลายต่างส่งสายตาทอดสะพานให้เขาไม่หยุดหย่อน
เสวียนหลิงเฟยสวมชุดกันลมมีหมวกคลุมสีเข้ม เรือนร่างสูงโปร่งกว่าหญิงสาววัยเดียวกันของนางถูกปกปิดไว้อย่างมิดชิด เผยเพียงหน้าผาก ส่วนใบหน้าปิดด้วยผ้าคลุมหน้า ทำให้ผู้คนมองหน้าตาของนางได้ไม่ชัด นอกจากให้ความรู้สึกลึกลับแล้วยังสร้างระยะห่างที่ไม่สามารถอธิบายได้อีกด้วย
เจ้านายและบ่าวรับใช้ทั้งสามคนที่ดูแปลกหูแปลกตากลายเป็นที่จับตามองของผู้คน แต่แขกจากแดนอื่นไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับชาวบ้านนัก เหลือบมองสักครู่แล้วก็เริ่มทำธุระของตัวเองต่อ ไม่สนใจใดๆ อีก
“คุณหนูเจ้าคะ ตอนนี้พวกเราจะไปที่ใดกันหรือ จวนเสวียนหรือเจ้าคะ” เสวียนเสี่ยวเจาที่ทอดตามองอย่างเพลิดเพลินสำราญใจถามขึ้นพร้อมกับเปลี่ยนทิศทางสายตาไปยังเสวียนหลิงเฟยที่เดินมุ่งหน้าไปอย่างไม่หยุดหย่อน
เมื่อเสวียนหลิงเฟยได้ยินชื่อจวนเสวียน คิ้วงามคู่นั้นขมวดเล็กน้อยเป็นนัยปฏิเสธ “ไม่ต้องรีบร้อน หาโรงเตี๊ยมพักก่อนแล้วค่อยว่ากันเถอะ”
“แต่นายท่าน...” เสวียนเสี่ยวเจากำลังจะเอ่ยคำพูดฝากฝังจากนายท่านก่อนจากไป แต่กลับถูกเสวียนจื่อม่อที่อยู่ข้างๆ ใช้สายตาสั่งให้หยุด
เสวียนจื่อม่อมักจะถือว่าคำพูดของเสวียนหลิงเฟยเป็นดั่งราชโองการ คุณหนูว่าอย่างไรก็อย่างนั้น
เมื่อถูกจ้องเช่นนั้นเสวียนเสี่ยวเจาก็โมโหจนแก้มป่อง แต่มิได้พูดอะไรต่อ
นายบ่าวทั้งสามคนค่อยๆ เดินกันไป ขณะเดินมาถึงทางเลี้ยวก็พบกับกลุ่มคนที่สวมชุดไว้ทุกข์ คนกลุ่มนั้นครึ่งหนึ่งเป็นเด็กหนุ่มเด็กสาวอายุราวสิบเจ็ดสิบแปด อีกครึ่งเป็นเด็กกึ่งเล็กกึ่งโต จำนวนประมาณสี่สิบถึงห้าสิบคน แต่ละคนเดินออกไปทางนอกเมืองด้วยสีหน้าเจ็บปวดเศร้าหมอง
“พวกนี้เป็นเด็กกำพร้าของโรงเลี้ยงฉืออันใช่ไหม นี่จะไปไว้อาลัยองค์หญิงจุยอวิ๋นกันหรือ” หญิงวัยกลางคนกดเสียงต่ำถามผู้คนรอบข้าง
“คงจะเป็นเช่นนั้นล่ะ! พูดถึงองค์หญิงจุยอวิ๋น...เฮ้อ!” สตรีอีกคนก็เผยสีหน้าเศร้าสร้อย
เสวียนเสี่ยวเจาได้ยินคำพูดเหล่านี้โดยบังเอิญจึงเข้าไปถามไถ่ด้วยความสงสัย “ท่านป้า เมื่อครู่พวกท่านพูดถึงเรื่องอะไรหรือ”
แม้นพวกเขาจะอาศัยอยู่บนเขาเป็นเวลานาน แต่ก็รู้ว่าฮ่องเต้ซุ่นชางมีธิดาหนึ่งคน ทว่ายังไม่ได้รับการแต่งตั้ง
สตรีแต่งงานแล้วผู้นี้เองก็มีนิสัยชอบซุบซิบ เมื่อมีคนถามขึ้นมาจึงอดที่จะพูดไม่ได้ “องค์หญิงจุยอวิ๋นเป็นพระธิดาองค์เดียวของฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน เห็นว่าจากไปเพราะโรคร้าย นิสัยขององค์หญิงจุยอวิ๋นนั้นแสนดี ไม่ถือตัว ทุกปีจะสั่งให้คนแจกอาหารและเสื้อผ้าที่โรงเลี้ยงฉืออันเพื่อช่วยเหลือเด็กกำพร้าที่นั่น คนดีเช่นนี้อยู่ดีๆ ก็ล่วงลับไปเสียได้ นั่นน่ะ คนจากโรงเลี้ยงฉืออัน...”
โรงเลี้ยงฉืออันนั้นเป็นสถานที่พักพิงของเด็กกำพร้าที่ไร้ที่พึ่งพาในเมืองเสวียนเยว่ ทุกคนเข้าใจว่าราชสำนักลงทุนก่อสร้าง ทว่าความจริงโรงเลี้ยงฉืออันแห่งนี้เป็นแนวคิดขององค์หญิงจุยอวิ๋นหรือเหยียนโหรวเสวี้ยน
เหยียนโหรวเสวี้ยนนิสัยเมตตาเป็นมิตร ในฤดูหนาวที่แสนจะหนาวเหน็บปีหนึ่งนางเดินทางไปหลบหนาวที่หมู่บ้านบนเขาปี้เสียนอกเมืองพร้อมฮองเฮา บังเอิญได้พบกับพี่น้องขอทานคู่หนึ่งเที่ยวขอทานผู้คนที่สัญจรไปมา ภายใต้อากาศเลวร้ายที่หิมะโปรยปรายเช่นนี้กลับไม่มีผู้ใดเมตตา ทำให้นางหลั่งน้ำตาทันที จึงอ้อนวอนฮองเฮาให้รับเด็กขอทานสองพี่น้องนี้ไว้
ฮองเฮาหรือจะเก็บคนที่ไม่มีที่มาที่ไปเช่นนี้ไว้ แน่นอนว่าไม่อนุญาต แต่กลับต้านทานคำอ้อนวอนของเหยียนโหรวเสวี้ยนไม่ได้ สุดท้ายจึงยินยอมและตั้งโรงเลี้ยงฉืออันเพื่อให้เด็กขอทานสองพี่น้องมีที่พักพิง รวมถึงเด็กกำพร้าคนอื่น ที่ไม่มีที่พึ่งพาอาศัยเหมือนกับพี่น้องคู่นั้น
ตลอดเวลาที่ผ่านมาโรงเลี้ยงฉืออันจากที่มีคนไม่กี่คนกลายเป็นที่พึ่งพิงอาศัยของเด็กกำพร้านับร้อยคน นอกจากอาหารและของใช้ต่างๆ ที่ต้องมีแล้ว เหยียนโหรวเสวี้ยนยังสร้างสำนักศึกษาให้เด็กๆ ในนั้นเรียนหนังสือและวรยุทธ์ได้ หลายปีที่ผ่านมานี้ก็บ่มเพาะเด็กๆ ที่มีความสามารถจำนวนไม่น้อย
เหยียนโหรวเสวี้ยนใส่ใจโรงเลี้ยงฉืออันสม่ำเสมอ แต่ด้วยฐานะสูงส่งจึงไม่อาจออกจากวังได้ตามอำเภอใจ เลยสั่งให้คนไปตรวจตราโรงเลี้ยงฉืออันทุกปี และแน่นอนว่าไม่ใช่เพียงโรงเลี้ยงฉืออัน นางยังเป็นผู้นำในการจัดงานกุศลของราชสำนัก นางเป็นเชื้อพระวงศ์ที่ใส่ใจประชาชนอย่างแท้จริง แต่แล้วสตรีที่มีจิตใจเมตตาดีงามเช่นนี้กลับต้องจากไปทั้งที่ยังเยาว์วัย ทำให้ผู้คนเสียดายอย่างยิ่ง
ตามธรรมเนียมแต่งตั้งของราชวงศ์เสวียนเยว่นั้น พระธิดาที่ยังไม่สมรสไม่สามารถรับการแต่งตั้งได้ เหยียนโหรวเสวี้ยนเสียชีวิตเพราะโรคร้ายจึงยังไม่ทันสมรส แน่นอนว่าไม่ได้รับการแต่งตั้ง ทว่าเหยียนโหรวเสวี้ยนเป็นธิดาคนเดียวของฮ่องเต้ซุ่นชาง รวมถึงการกระทำของนางได้รับความชื่นชมจากประชาชนเป็นอย่างมาก กระทั่งมีฐานะในใจของประชาชนสูงกว่ารัชทายาทด้วยซ้ำ ด้วยเหตุนี้ประชาชนทั้งหลายจึงเขียนจดหมายแสดงความอาลัยรักและถวายร่มหมื่นราษฎรเป็นการพิเศษ ขอให้ฮ่องเต้ซุ่นชางโปรดแต่งตั้งองค์หญิงเหยียนโหรวเสวี้ยน
ผู้ที่ล่วงลับไปคือธิดาเพียงคนเดียวของฮ่องเต้ซุ่นชาง รวมถึงมีคำขอร้องจากประชาชน แน่นอนว่าเขาย่อมไม่ปฏิเสธ ดังนั้นจึงแต่งตั้งเหยียนโหรวเสวี้ยนให้เป็นองค์หญิงจุยอวิ๋น ตามคำเรียกร้องของประชาชน หวังว่านางที่อยู่บนสวรรค์จะวิ่งไล่ตามก้อนเมฆได้เช่นวัยเด็กอย่างมีความสุข
หลังฟังที่สตรีผู้นั้นเล่าแล้ว เสวียนเสี่ยวเจาถอนหายใจด้วยความเสียดาย “หญิงงามอาภัพจริงๆ”
เสวียนหลิงเฟยมองเข้าไปในหมู่คนที่เดินโปรยกระดาษเงินกระดาษทองแล้วถอนสายตากลับ “ไปเถิด”
ขณะที่นางถูกพาออกจากเมืองเสวียนเยว่นั้นยังเยาว์วัย ความทรงจำต่อเมืองอันรุ่งเรืองตรงหน้านี้แสนจะเลือนราง นางจึงหาโรงเตี๊ยมที่ดูสะอาดเรียบง่ายแห่งหนึ่ง วางแผนว่าทำความรู้จักสภาพแวดล้อมละแวกนี้เสียก่อนค่อยตัดสินใจอีกครั้ง
“ท่านลูกค้า เชิญเข้ามาก่อนขอรับ มิทราบว่าจะรับประทานอาหารหรือพักแรมขอรับ” เสี่ยวเอ้อร์เห็นแขกเข้ามาก็รีบทักทายต้อนรับอย่างกระตือรือร้น
“สองห้อง จัดเตรียมอาหารง่ายๆ ให้ด้วย” เสวียนหลิงเฟยไม่คิดจะกลับจวนเสวียนในเร็ววัน จึงสั่งให้เสวียนจื่อม่อให้ค่าห้องสิบวันเต็มไป พร้อมทั้งให้เงินพิเศษเสี่ยวเอ้อร์ไปด้วย
“อ้อ! ท่านลูกค้าเชิญด้านในเลยขอรับ เดี๋ยวข้าน้อยจะช่วยจัดเตรียมให้ขอรับ” เมื่อเสี่ยวเอ้อร์รับเงินแล้วก็ยิ้มเริงร่า ท่าทางกระปรี้กระเปร่ามากกว่าเดิม นำทางพวกเขาไปยังห้องที่ดีที่สุดของชั้นสอง “ท่านลูกค้าว่าห้องนี้ใช้ได้หรือไม่”
แม้นจะจัดเตรียมห้องที่สะอาดที่สุดในโรงเตี๊ยมแห่งนี้ให้เสวียนหลิงเฟย แต่เมื่อเปิดประตูออกแล้วยังคงได้กลิ่นอับชื้น อีกทั้งสีบนของตกแต่งภายในห้องก็เริ่มจะหลุดร่อนตามกาลเวลา ทว่าโดยรวมแล้วยังถือว่าสะอาด ผ้าห่มใหม่ถูกพับเก็บไว้อย่างเรียบร้อย ไม่มีจุดใดน่าติเตียน รวมทั้งเสวียนหลิงเฟยเองก็ไม่ใช่เจ้านายที่จู้จี้จุกจิกเท่าไรนัก
“ใช้ได้” เสวียนหลิงเฟยพยักหน้า
ดูท่าทางแล้วเหมือนจะเป็นแขกที่คุยง่าย ยิ่งทำให้เสี่ยวเอ้อร์ยิ้มแป้นกว่าเดิม เมื่อนำแขกมาถึงที่แล้วก็ขอตัวไปก่อน “พวกท่านเชิญพักผ่อนให้สบายนะขอรับ เดี๋ยวสักครู่อาหารมื้อกลางวันจะมาส่งให้พวกท่าน ถ้าต้องการอะไรเพิ่มแจ้งได้เลยนะขอรับ ข้าน้อยอยู่ข้างล่างตลอด”
ไม่นานมานี้มีโรงเตี๊ยมใหม่มาเปิดอยู่ทางตะวันออกของถนนใหญ่ แย่งลูกค้าของเขาไปไม่น้อย ถ้าไม่ใช่เพราะอาหารที่รสชาติจัดว่าใช้ได้ ราคาก็รับได้ ไม่แน่อาจไม่มีแม้แต่แมลงวันสักตัวบินเฉียดเข้ามาแน่ แม้นคนที่มาทานอาหารยังพอมี แต่คนที่เข้าพักแรมนั้นไม่มีเลยจริงๆ ในเมื่อราคาต่างกันไม่กี่เฉียน เป็นธรรมดาที่ผู้คนจะเลือกเข้าพักในห้องพักใหม่ที่ทันสมัยและสะอาดกว่า ผู้ใดจะมาโรงเตี๊ยมเก่าโทรมเช่นนี้ นายบ่าวสามคนตรงหน้านี้เป็นผู้เข้าพักเจ้าเดียวตลอดหนึ่งเดือนนี้ ไม่เพียงแต่จ่ายเงินค่าห้องสิบวันให้ ยังแถมเงินให้เขาอีกด้วย เห็นลูกค้าที่ใจกว้างเช่นนี้ ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ต้องต้อนรับเป็นอย่างดี
“มีเรื่องขอคำแนะจำจากพี่เสี่ยวเอ้อร์จริงๆ นั่นแหละ!” เสวียนเสี่ยวเจากระโดดออกมาพูดกับเสี่ยวเอ้อร์ด้วยท่าทางยิ้มๆ
เสี่ยวเอ้อร์โดนแม่นางน้อยผู้น่ารักเช่นนี้เรียกว่าพี่ ใบหน้าอันดำเมี่ยมก็แดงขึ้นมาทันที ปากที่ช่างพูดช่างจานั้นแทบจะพูดต่อไม่ถูก “ขอคำ...คำแนะนำก็เกินไปขอรับ มิทราบว่าแม่นางมีเรื่องอันใดหรือ”
“มิใช่เรื่องใหญ่อันใดหรอก พวกเราสามคนไม่ได้กลับมาเมืองเสวียนเยว่เป็นเวลานาน ไม่ค่อยรู้เรื่องที่นี่เท่าไรนัก ต้องขอให้พี่ชายช่วยเล่าเรื่องราวคร่าวๆ ในเมืองเสวียนเยว่นี้ให้พวกเราฟังหน่อย มีเรื่องสนุกๆ หรือที่ควรใส่ใจเป็นพิเศษหรือไม่ เผื่อเราจะประสบปัญหาจากการที่ไม่รู้เรื่องเหล่านั้น”
เมื่อเสี่ยวเอ้อร์ได้ยินนางถามถึงเรื่องเช่นนี้ เขาเผยยิ้มออกมา “แม่นางถามได้ถูกคนมากขอรับ”
เขาเป็นเสี่ยวเอ้อร์อยู่ที่นี่มาเกือบห้าปีแล้ว ในโรงเตี๊ยมแห่งนี้ไม่มีอะไรนอกจากเบาะแสต่างๆ ต่อให้เขาไม่อยากรับรู้ก็คงยาก เขาจึงเล่าเรื่องราวสนุกๆ ที่เกิดขึ้นในเมืองช่วงที่ผ่านมานี้ให้ฟัง ทำให้เสวียนเสี่ยวเจาหัวเราะไม่หยุด
เสวียนหลิงเฟยที่อยู่ข้างๆ มิได้สนใจกับเรื่องเหล่านี้ ส่วนเสวียนจื่อม่อเองก็หลับตาพักผ่อนไปแล้ว ผ่านไปไม่นานอาหารกลางวันก็มาส่ง ทั้งสามคนกินไปด้วยฟังไปด้วยแลดูสนุกไปอีกแบบ
เสี่ยวเอ้อร์พูดน้ำไหลไฟดับจนน้ำชาหมดไปแล้วสองกา นี่ถึงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในเมืองหลวงหมดไปรอบหนึ่งอย่างคร่าวๆ
“พี่เสี่ยวเอ้อร์เก่งจังเลย มีอันใดที่ท่านไม่รู้บ้างหรือไม่” เสวียนเสี่ยวเจามองเขาด้วยสายตานับถือ
เมื่อนางชมเขาเช่นนี้ เสี่ยวเอ้อร์รู้สึกได้อกได้ใจทันที ตบอกตัวเองแล้วพูดขึ้น “อย่าหาว่าโม้เลย ข้าเอ้อร์หูจื่อขึ้นชื่อเรื่องสอดแนมหาข้อมูลในละแวกนี้ ถ้าพวกท่านอยากรู้เรื่องอันใด ถามข้าได้เลย!”
ได้ยินเช่นนั้นเสวียนเสี่ยวเจารีบพูดขึ้น “พี่เอ้อร์หู่รู้ทุกเรื่องเลยหรือ ถ้าเช่นนั้นช่วยเล่าเรื่องบ้านที่ปลูกต้นพุทราจีนในซอยอู๋ถงให้ฟังหน่อยได้ไหม”
“ท่านหมายถึงบ้านตระกูลเซี่ยใต้ต้นพุทราจีนที่ซอยอู๋ถงนะหรือ” สีหน้าเอ้อร์หูจื่อเปลี่ยนไปเล็กน้อย กดเสียงลงต่ำแล้วเอ่ยว่า “ข้ารู้จริงๆ นะ แต่ข้าขอเตือนพวกท่านว่าอย่าไปเลย ไม่มีผู้ใดอาศัยอยู่ที่นั่นแล้ว ได้ข่าวว่าเมื่อสิบกว่าปีที่แล้วเกิดเหตุไฟไหม้กลางดึก หลายคนยังหลับอยู่ไม่ทันได้หนี ทำให้พรากชีวิตคนไปไม่น้อย เป็นเหตุให้บ้านหลังนั้นกลายเป็นบ้านเฮี้ยน ไม่มีผู้ใดกล้าพักอยู่หรอก อีกทั้งช่วงนี้มีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้นที่ซอยอู๋ถงด้วย ไปไม่ได้หรอกขอรับ”
“เกิดเรื่องใด?” เสวียนเสี่ยวเจาขมวดคิ้วถามขึ้น เป้าหมายที่พวกเขามาครั้งนี้ก็คือซอยอู๋ถง เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่ไป จึงต้องถามที่มาที่ไปให้ชัดเจนก่อน
เอ้อร์หูจื่อมองซ้ายมองขวาแล้วถึงกระซิบบอก “ที่นั่นน่ะ...มีผี”
“มีผี?” เสวียนเสี่ยวเจาหยุดชะงักไป
“ใช่! ที่ซอยอู๋ถงมีร้านเต้าหู้ชื่อดังร้านหนึ่ง เต้าหู้ที่คั้นออกมานั้นทั้งหอมทั้งลื่น นุ่มนิ่มละมุนลิ้น แต่สิ่งที่มีชื่อเสียงในร้านเต้าหู้นั้นกลับไม่ใช่เต้าหู้ แต่เป็นแม่ค้าเต้าหู้ต่างหาก
แม่ค้าเต้าหู้นั้นแม้นอายุเกินสามสิบ แต่หน้าตาและเรือนร่างยังคงเหมือนสาววัยยี่สิบกว่า สวยสะพรั่งราวดอกไม้ หลังแต่งงานแล้วก็ยังงามไม่น้อย ดึงดูดลูกค้าประจำมากมาย แต่น่าเสียดายที่เมื่อไม่กี่วันนี้แม่ค้าเต้าหู้คนนั้นถูกคนพบว่าเสียชีวิตอยู่ในบ้านด้วยสภาพเสื้อผ้าหลุดลุ่ย ทรัพย์สินในบ้านถูกกวาดไปหมด ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมายามดึกเมื่อใดก็จะได้ยินเสียงผู้หญิงร้องไห้สะอึกสะอื้นดังออกมาจากซอยอู๋ถง เสียงนั้นโหยหวนชวนสยองยิ่งนัก ทำให้ผู้คนที่มีอยู่ไม่กี่บ้านขนของย้ายหนีกันไป มีบ้านก็ไม่กล้ากลับบ้าน ด้วยเหตุนี้ทางการจึงขอปิดซอย และไม่ให้ผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องเข้าออกก่อนจะปิดคดีได้”
“เข้าออกไม่ได้หรือ” เสวียนเสี่ยวเจาขมวดคิ้วแล้วมองไปทางคุณหนูทันที แต่พบว่าคุณหนูกำลังทานข้าวเงียบๆ ราวกับไม่ได้ยิน
“ใช่แล้วขอรับ ข้าน้อยขอเตือนว่าอย่าไปเลยดีกว่า ยิ่งผู้ที่อาศัยอยู่ละแวกนั้นย้ายออกหมดแล้ว พวกท่านตามหาอะไรไม่เจอหรอก”
“พวกข้าทราบแล้ว ขอบคุณพี่เอ้อร์หู่” เมื่อถามในสิ่งที่ควรถามหมดแล้ว เสวียนเสี่ยวเจาควักเงินออกมาอีกพวงหนึ่งยื่นให้เขาอย่างลำบากใจ เพราะเงินพวกเขาเหลือไม่เยอะเสียแล้ว!
“ขอบคุณท่านมากขอรับ” เอ้อร์หูจื่อขอบคุณด้วยความดีใจ “หากท่านอยากรู้เรื่องใดอีกมาถามข้าได้ตลอดเลยนะขอรับ ถ้าเป็นเรื่องที่ข้าเอ้อร์หูจื่อรู้ จะตอบตามความจริงเลยขอรับ”
เมื่อส่งเอ้อร์หูจื่อไปแล้ว รอยยิ้มของเสวียนเสี่ยวเจาจืดจางลง นางเอามือนวดหัวคิ้วเล็กน้อย ฟังเรื่องเล่ามากมายเช่นนี้ในคราวเดียวนางรู้สึกปวดหัวไม่น้อย
ส่วนใบหน้าเรียบนิ่งอันหล่อเหลาของเสวียนจื่อม่อแข็งเกร็งไปนานแล้ว หลังเอ้อร์หูจื่อจากไป เขารีบส่งสัญญาณทางสายตาให้เสวียนเสี่ยวเจา...เจ้าช่างมีความอดทนยิ่งนัก
ฟังเรื่องเล่าอยู่เกือบครึ่งชั่วยาม อีกทั้งยังต้องยิ้มแย้มตอบรับตลอดเวลา เสวียนจื่อม่อขอยอมแพ้ดีกว่า
“ถ้าข้าไม่ออกหน้า เจ้าจะไปได้อย่างนั้นหรือ” อยู่ร่วมกันมานานหลายปีเสวียนเสี่ยวเจารู้ว่าเขาต้องการจะสื่ออะไร จึงเหลือกตาใส่เขาไปหนึ่งที
คิดว่านางขี้สงสัยหรือไร พวกเขาจากเมืองหลวงมาสิบกว่าปีแล้ว ความทรงจำในวัยเด็กล้วนเลือนรางไปหมด อีกทั้งในเมืองหลวงเต็มไปด้วยผู้มีอำนาจ ถ้าหากกระทำความผิดอันใดต่อใครก็จะสร้างความเดือดร้อนให้ตัวเองไม่น้อย จึงต้องถามไถ่เรื่องราวให้ชัดเจนเสียก่อน ถ้าไม่ใช่เพราะเขาเป็นคนไร้อารมณ์ทางสีหน้า ทั้งยังเป็นใบ้ด้วย คิดหรือว่านางอยากออกหน้าจริงๆ
เสวียนจื่อม่อยักไหล่ สื่อว่าไม่เกี่ยวกับเขาแต่อย่างใด
เสวียนเสี่ยวเจามิอยากสนใจเขาต่อจึงหันหน้าไปหาเสวียนหลิงเฟยที่เพิ่งรับประทานอาหารเสร็จและกำลังล้างมืออยู่ “คุณหนู เข้าซอยอู๋ถงไม่ได้ พวกเราควรทำอย่างไรดี”
ตอนแรกคิดว่าคุณหนูของตัวเองฉลาดเหนือคน ต้องมีวิธีอย่างแน่นอน แต่เสวียนหลิงเฟยกลับพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“ไม่ทำอันใด นอนให้พอก่อนสำคัญที่สุด”
เดินทางอย่างยากลำบากมาหลายเดือน เสวียนหลิงเฟยต้องการแค่หลับอย่างเต็มอิ่ม สิ้นประโยคก็ปล่อยสองคนนั้นไว้แล้วเข้าไปนอนในห้องนอน
“คุณ คุณหนู...” เสวียนเสี่ยวเจาชะงัก
เสวียนจื่อม่อหันหลังแล้วเดินจากไปทันที เมื่อคุณหนูบอกว่าให้นอนก็คือต้องนอน เขาทำตามคำสั่งของคุณหนูมาอย่างดีโดยตลอด
เวลาเพียงพริบตาก็เหลือแต่เสวียนเสี่ยวเจาที่กระทืบเท้าอย่างโมโหอยู่กับที่ “แล้วข้าจะทำอันใดล่ะ”
สิ่งที่นางเกลียดที่สุดในชีวิตก็คือการนอน!








+++++++++++++++++++++++++++++
หนิงเย่ลั่วผู้ว่าการศาลต้าหลี่ผู้สูงส่งหล่อเหลา ตามจริงแล้วควรเป็นสามีในฝันของเหล่าสตรีในเมืองหลวง ทว่าเขากลับล้มเหลวในการดูตัวเสมอ เพราะคุณสมบัติในการคัดเลือกภรรยาพิลึกเกินไป...ต้องไม่กลัวเลือด ไม่กลัวศพ และวิเคราะห์คดีได้! มารดาประชดว่าคุณสมบัติแบบนี้ไปหาลูกน้องคงจะง่ายกว่า ให้เขาเตรียมใจครองโสดตลอดไป
แต่เขากลับได้พบหญิงสาวผู้หนึ่งในที่เกิดเหตุหลายครั้ง นางวิเคราะห์ศพได้เก่งกาจกว่าเจ้าหน้าที่เสียอีก อีกทั้งถ้อยคำของนางล้วนทำให้เขาหวั่นไหว เสมือนว่านางรู้จักเขามานานแล้ว ทว่าเหตุใดเขาจึงนึกอันใดเกี่ยวกับนางไม่ออกเลย... นอกจากนั้นนางยังสามารถมองเห็นความทรงจำของผู้ตายในสิ่งของได้ แต่ที่ว่านางถอดผ้าคลุมหน้าออกไม่ได้จนกว่าครอบครัวจะยอมรับนั้นคืออันใดกัน?


รูปภาพ

ตอบกลับโพส

ย้อนกลับไปยัง “Bongkoch Books News & Activities”