New Release BLY แปล : ห้วงรักความคำนึง

อัพเดทข่าวบงกชบุ๊คส์ ความเคลื่อนไหว และกิจกรรมพิเศษ ตลอดจนร่วมสนุกชิงรางวัลพร้อมของรางวัลมากมาย

Moderator: P'Bly, Gals, พี่บี

ตอบกลับโพส
Gals
โพสต์: 1101
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 13 ก.พ. 2009 3:47 pm

New Release BLY แปล : ห้วงรักความคำนึง

โพสต์ โดย Gals »

บทที่ 1

ท่ามกลางแสงแดดแผดเผา
รถม้าคันหนึ่งกำลังพุ่งทะยานไปตามถนนด้วยความเร็ว
ผู้ที่กำลังขับรถม้าคือชายวัยหนุ่มผู้หนึ่ง มองดูแล้วอายุไม่น่าเกินยี่สิบ ดวงตายังหลงเหลือร่องรอยของความเยาว์วัอยู่บ้าง ใบหน้าถูกแดดเผาจนเปลี่ยนเป็นสีแดง เขารีบเร่งเดินทางไม่หยุดหย่อนมาหลายวันแล้ว แม้บัดนี้เขาจะกระหายน้ำและอ่อนล้าสักเพียงใด แต่ก็มิกล้าหยุดพักแม้ครู่เดียว เขาเอี้ยวตัวกลับไปเปิดผ้าม่านขึ้นพร้อมกับชำเลืองมองภายในรถม้าเป็นระยะ
ในนั้นมีคนผู้หนึ่งนอนอยู่
คิ้วคม ปากบาง ใบหน้าหล่อเหลามากทีเดียว
คนผู้นี้แม้จะสลบไสลมิได้สติ ทว่าก็มิอาจปกปิดความน่าเกรงขามไว้ได้ ในมือของเขากำกระบี่ชิวสุ่ยไว้แน่น ไป๋ซวี่รู้ดีว่าหากคนผู้นี้ลืมตาตื่นขึ้น สายตาคู่นั้นคมกริบเฉียบขาดเพียงใด เขาสามารถทำให้ผู้พบเห็นตื่นกลัวได้ด้วยการกวาดสายตาเพียงครั้งเดียว
ไป๋ซวี่เห็นเขาสลบมาทั้งทาง กอปรกับรอยดำบนใบหน้าของเขายิ่งคล้ำลงไปอีก ก็รู้ว่าพิษร้ายกำลังแทรกซึมถึงขั้วหัวใจจึงรีบเร่งปลุกเขา ?จอมยุทธ์เย่ขอรับ!?
?อืม...? เย่จิ้งหงงึมงำออกมาจากลำคอ แต่ยังไม่รู้สึกตัว
ในใจของไป๋ซวี่ร้อนรนมากยิ่งขึ้น ปากยังคงเอ่ยต่อไปว่า ?จากตรงนี้ไปอีกไม่ถึงครึ่งวันพวกเราจะถึงเมืองหยางโจว ข้าได้ข่าวมาว่าท่านโจวเป็นหมอเทวดาที่เก่งกาจมาก สามารถรักษาคนตายให้ฟื้นคืนชีพได้ ข้าคิดว่าเขาต้องรักษาบาดแผลของจอมยุทธ์เย่ได้แน่นอน...?
น้ำเสียงที่พูดแผ่วเบาลงเรื่อยๆ แสดงให้เห็นว่าเขากำลังพูดปลอบใจตัวเองอยู่มากกว่าจะเอ่ยให้เย่จิ้งหงฟัง
ทว่าเย่จิ้งหงกลับลืมตาขึ้นทันควันเมื่อได้ยินคำว่า ?หมอเทวดา? พร้อมเอ่ยด้วยน้ำเสียงดุดันว่า ?ต่อให้ข้าต้องตาย ข้าก็จะไม่ขอพบเจอคนแซ่โจวเด็ดขาด?
พูดจบ เขาก็ไอโลหิตสีดำออกมาอีกระลอก
ไป๋ซวี่ตกใจไม่น้อย ไหนเลยจะกล้าแหย่ให้เขาโกรธอีก จึงนั่งตัวตรง ออกแรงบังคับม้าให้วิ่งเร็วขึ้น พุ่งไปยังทิศทางสู่เมืองหยางโจว
แท้จริงแล้วความฉุนเฉียวของเย่จิ้งหงนี้ไม่เหนือไปจากการคาดเดาของเขาเท่าใดนัก
เพราะท่านหมอเทวดาโจวที่พวกเขากำลังจะไปหาเป็นบุคคลเลื่องชื่อในยุทธภพ...ข่าวลือเล่าว่าท่านหมอเทวดาโจวซือฉีผู้นี้มีนิสัยแปลกประหลาด เขาทั้งไม่ก่อตั้งโรงหมอ และไม่ปลีกวิเวกไปใช้ชีวิตสันโดษดังเช่นหมอเทวดาทั่วไป แต่กลับชอบหาความสำราญท่ามกลางมวลหมู่ดอกไม้อยู่เสมอ ซ้ำยังเป็นแขกประจำของสถานเริงรมย์ทั้งหลาย และสิ่งที่ทำให้ชื่อเสียงของเขามิสู้ดีนักคือ เขามีกฎในการรักษาอยู่ว่า ผู้ที่ต้องการให้เขารักษาจะต้องสรรหาผู้มีใบหน้างดงามจนเป็นที่พึงพอใจของเขาโดยไม่เกี่ยงว่าเป็นชายหรือหญิงมามอบให้เขาแทนเงินค่ารักษา หากคนที่เขาเกิดพึงพอใจเป็นญาติของผู้ป่วยขึ้นมา เขาก็จะเอ่ยวาจาขอตรงๆ หากอีกฝ่ายไม่ยินยอม เขาก็จะปฏิเสธไม่ยอมรักษา แม้อีกฝ่ายจะต้องสิ้นลมไปต่อหน้าเขาก็ตาม
การกระทำเยี่ยงนี้ย่อมเป็นที่รังเกียจของฝ่ายธรรมะในยุทธภพเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นเขาจึงถูกเรียกด้วยอีกชื่อหนึ่งว่าหมอปล้นสวาท และถูกจัดให้อยู่ฝ่ายอธรรม เว้นแต่จะมีสถานการณ์บีบบังคับอย่างหลีกเลี่ยงมิได้ มิเช่นนั้นชาวยุทธ์ที่อ้างว่าตนเองอยู่ฝ่ายธรรมะจะไม่ขอรับความช่วยเหลือจากเขาเป็นอันขาด
ส่วนเย่จิ้งหงคนนี้ นับตั้งแต่วันที่เขาได้รับพิษจนถึงวันนี้ เวลาล่วงเลยมาเกินกว่าเจ็ดวันแล้ว อีกทั้งหมอที่เชิญมาตรวจรักษาต่างพากันส่ายหน้า บอกเป็นเสียงเดียวกันว่าหมดหนทางเยียวยา ไป๋ซวี่จึงตัดสินใจรีบเร่งเดินทางมายังเมืองหยางโจวเพื่อตามหาหมอเทวดาท่านนี้ เขาตั้งมั่นตั้งแต่ก่อนออกเดินทางว่า ไม่ว่าต้องแลกกับอะไร เขาก็จะต้องหาทางช่วยจอมยุทธ์เย่ให้ได้ ต่อให้หมอปล้นสวาทคนนั้นเกิดสนใจในเรือนร่างของเขาขึ้นมาก็ตาม
แสงอาทิตย์ยิ่งร้อนแรงมากขึ้น
ในใจของไป๋ซวี่ร้อนรน เขาจึงไม่แม้แต่หยุดพัก ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงเมืองหยางโจวได้ก่อนฟ้ามืด
ไป๋ซวี่สืบทราบชื่อสถานเริงรมย์ที่พักนี้โจวซือฉีมักจะแวะเวียนไปเที่ยวมาแต่เนิ่นๆ ดังนั้นจึงเร่งรุดเดินทางไปตามหาเขาอย่างไม่ลำบากมากนัก เพียงแต่ว่าเขาอายุยังน้อยและไม่เคยก้าวเท้าเข้าหอนางโลมแห่งใดมาก่อน พอมองเห็นหญิงสาวยั่วยวนยืนต้อนรับอยู่ตรงประตูทางเข้าก็ตื่นเต้นจนทำอะไรไม่ถูก อ้ำอึ้งอยู่พักใหญ่ก็ไม่สามารถบอกได้ว่าตนมาที่นี่เพื่อเหตุอันใด
นางเห็นเขาหน้าบาง หลังจากแกล้งหยอกล้อเขาเล็กน้อยก็ยอมพาเขาเข้าไปหาหมอเทวดาโจว
หอนางโลมแห่งนี้ไม่ใหญ่โตมากนัก แต่ห้องหับแต่ละห้องภายในกลับประดับประดาไว้อย่างประณีตและโอ่อ่า ระหว่างที่ไป๋ซวี่ก้าวเท้าเดินเข้าไป ในหูได้ยินแต่เสียงชวนให้ขัดเขินจนใบหูของเขาร้อนผ่าว สายตาไม่กล้าแม้แต่จะสอดส่องไปยังที่แห่งใดนอกจากบนพื้น
ในที่สุดเขาก็หยุดอยู่ตรงหน้าห้องห้องหนึ่ง หญิงคณิกาที่นำทางเขามายกมือขึ้นเคาะประตู ยิ้มพลางพูดขึ้นว่า ?คุณชายโจวเจ้าคะ วันนี้มีคนมาหาท่านอีกแล้วเจ้าค่ะ?
ในห้องเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะของหญิงสาว
ผ่านไปสักพักจึงได้ยินเสียงจอกเหล้ากระทบกัน มีคนเอ่ยปากขึ้นว่า ?ชายหนุ่มหรือหญิงสาว? หน้าตาใช้ได้หรือไม่?
หญิงคณิกาคนนั้นเหลือบมองไป๋ซวี่แวบหนึ่ง ปิดปากหัวเราะแล้วพูดว่า ?เป็นชายหนุ่มรูปงามเจ้าค่ะ ต้องถูกใจคุณชายเป็นแน่?
?อืม เช่นนั้นให้เขาเข้ามาได้?
น้ำเสียงไม่กังวานนัก แต่กลับลอดผ่านเสียงหัวร่อต่อกระซิกเหล่านั้นมาเข้าหูของไป๋ซวี่อย่างชัดเจน
ไป๋ซวี่กะพริบตาขึ้นลง คิดได้ว่าคนผู้นี้เป็นผู้มีกำลังภายในแก่กล้าจึงยำเกรงมากขึ้น เขายกมือขึ้นเปิดประตูเข้าไปและกวาดสายตามอง เห็นเพียงความวุ่นวายภายในห้อง มีหญิงสาวนางหนึ่งกำลังขับร้องบทเพลงอยู่ตรงมุมห้อง ส่วนคนอื่นๆ กำลังรวมตัวอยู่อีกฟาก ผลักจอกเหล้าไปมา เสียงหัวเราะดังไม่ขาดสาย
เมื่อพวกนางเห็นไป๋ซวี่ก็ยิ่งหัวเราะหนักขึ้น แย่งกันพูดว่า ?โอ้โห ใบหน้างดงามจริงเชียว เห็นทีคืนนี้คุณชายได้อิ่มหนำสำราญเป็นแน่?
ส่วนคนแซ่โจวที่หันหลังให้ไป๋ซวี่อยู่ตลอด ในที่สุดก็ค่อยๆ หันกลับมาพร้อมกับโยกจอกเหล้าในมือไปมาเบาๆ
ไป๋ซวี่ถึงกับหยุดลมหายใจ
ก่อนที่เขาจะมาหยางโจว เขาได้ยินชื่อเสียงของท่านหมอเทวดาโจวอยู่ตลอด ในใจคิดว่าคนผู้นี้มีนิสัยหยาบช้าถึงเพียงนั้น หน้าตาต้องอัปลักษณ์อย่างแน่นอน นึกไม่ถึงว่าเมื่อเห็นใบหน้าที่แท้จริงแล้วกลับกลายเป็นชายหนุ่มที่มีใบหน้าสะอาดสะอ้านและชวนมองเช่นนี้
คนตรงหน้าสวมอาภรณ์สีฟ้า ผมสีดำถูกรวบไว้ด้วยปิ่นหยก ใบหน้าแม้จะไม่ถึงกับโดดเด่นมากนัก แต่ดวงตากลับเป็นประกาย มุมปากอมยิ้มเล็กน้อย ท่าทางสบายๆ ไม่วางท่าทำให้ผู้พบเห็นอยากเข้าไปสนิทสนมด้วย
เมื่อเขาลุกขึ้นมา ท่วงท่าของแขนและการย่างก้าวของขาเหมือนกำลังยั่วยวนผู้คนให้หลงใหล คล้ายกับว่าเป็นหนุ่มเจ้าสำราญที่สวรรค์ทรงสรรค์สร้าง
ในใจของไป๋ซวี่เหมือนร้อนวูบขึ้นมา แอบคิดไม่ได้ว่าคนผู้นี้เพียงแค่กระดิกนิ้วย่อมมีคนมากมายยอมโผเข้าหา ไหนเลยจะต้องอาศัยการบังคับ
เขากลัวเหลือเกินว่าตนเองจะหาผิดคนจึงรีบเอ่ยถามขึ้น ?ท่านคือหมอเทวดาโจวใช่หรือไม่ขอรับ?
?ข้าเป็นเพียงหมอธรรมดาทั่วไปเท่านั้น มิบังอาจใช้คำว่าหมอเทวดา? ดวงตาทั้งคู่ของโจวซือฉีราวกับยิ้มได้ เขามองไป๋ซวี่ขึ้นลงไม่วางตา จากนั้นพูดขึ้นว่า ?เจ้ามาเพื่อขอให้ข้ารักษาเช่นนั้นรึ?
ไป๋ซวี่รีบพยักหน้า ?คนผู้นั้นได้รับพิษร้ายแรง ไม่ทราบว่าท่านจะสามารถช่วย...?
โจวซือฉีปัดมือไปมาแล้วกลับไปนั่งลงตรงโต๊ะ ถามขึ้นว่า ?เจ้ารู้กฎของข้าใช่หรือไม่?
ใบหน้าของไป๋ซวี่พลันแดงซ่าน แต่ยังคงพยักหน้า
โจวซือฉีเห็นแล้วยิ้มบางๆ จากนั้นยกจอกเหล้าขึ้นดื่มจนหมดจอก
เดิมทีท่าทางของเขาถือว่าเป็นเรื่องปกติ แต่ไป๋ซวี่กลับใจเต้นแรงและไม่อาจละสายตาไปได้ ในหูได้ยินเพียงเสียงของโจวซือฉีเอ่ยขึ้นอย่างอารมณ์ดีว่า ?หากจะขอให้ข้าช่วยคน ต้องนอนกับข้าหนึ่งคืนนะ?
คำพูดไร้มารยาทเช่นนี้ทำให้ไป๋ซวี่สะดุ้งไป ตอนนี้ใบหน้าของเขาแดงยิ่งกว่าใบหู กระอักกระอ่วนจนพูดอะไรไม่ออก
โจวซือฉีจึงยกมือขึ้น ไล่หญิงคณิกาในห้องออกไปก่อนรินสุราจนเต็มจอกแล้วยื่นให้กับไป๋ซวี่ ?มา ดื่มเสียหน่อย?
ไปซวี่ยืนแข็งทื่อไม่ขยับ
?ทำไม กลัวว่าข้าจะกินเจ้ารึ? ดวงตาของโจวซือฉีทั้งคู่โค้งขึ้น หัวเราะแล้วพูดว่า ?แม้ข้าจะชื่นชอบคนที่หน้าตา แต่ข้าไม่เคยบังคับใคร ข้าให้เวลาเจ้าคิดทบทวนให้ดีว่าจะขอให้ข้าช่วยคนหรือไม่?
น้ำเสียงของเขาเป็นธรรมชาติ ไม่มีการดูหมิ่นแม้สักนิด กลับทำให้คนฟังรู้สึกสบายใจและรู้สึกว่าเขาเป็นคนใจกว้างเสียมากกว่า
ความระแวงในใจของไป๋ซวี่หายไปกว่าครึ่ง เขาก้าวไปข้างหน้าและพยักหน้าอย่างแรง
?เจ้าจะช่วยใคร พ่อแม่? พี่น้อง? หรือว่าคนรัก??
โจวซือฉีถามทั้งสามคำถามรวดเดียว ไป๋ซวี่ทำได้เพียงส่ายหน้า เมื่อจบแล้วจึงกัดฟันพูดเสียงดังว่า ?เป็นผู้มีพระคุณของข้า?
?อ๋อ มิน่าเล่า?
?จอมยุทธ์เย่ยอมเอาตัวเข้าเสี่ยงเพื่อช่วยชีวิตข้าและครอบครัว ดังนั้นไม่ว่าอย่างไรข้าต้องตอบแทนบุญคุณเขาให้จงได้ ด้วยเหตุนี้...ไม่ว่าท่านจะมีข้อเรียกร้องอะไร...?
พูดไปพูดมา ใบหน้าของเขายิ่งแดงขึ้น ความตึงเครียดก็ยิ่งชัดเจนขึ้น
แต่โจวซือฉีกลับเหมือนไม่ได้ยิน ยังคงหมุนจอกเหล้าในมือไปมาจนเหล้ากระฉอกออกก่อนจะพูดทวนเสียงเบาว่า ?จอมยุทธ์เย่? อืม ที่แท้คือเย่จิ้งหงนี่เอง?
จากนั้นโจวซือฉีก็ชะงักไป ดวงตาของเขาหลุบลงต่ำ หลังจากที่เขาเก็บซ่อนความรู้สึกในสายตาไว้อย่างแยบยลแล้วจึงถามอย่างร่าเริงขึ้นว่า ?ได้ข่าวว่าไม่กี่วันก่อนเขาเพิ่งพ่ายแพ้ให้กับสามยอดฝีมือแห่งเมืองหวูซวงไป เรื่องนี้เป็นความจริงหรือไม่?
ไป๋ซวี่อึ้งไป คาดไม่ถึงว่าท่านหมอจะรู้เรื่องนี้ด้วย แต่ครั้นนึกถึงความโด่งดังของเย่จิ้งหงก็ไม่รู้สึกแปลกใจจึงหัวเราะตอบไป ?เป็นความจริงขอรับ และจอมยุทธ์เย่ก็ได้รับพิษจากครั้งนั้น?
โจวซือฉีพยักหน้า พูดว่า ?พิษของเมืองหวูซวงแม้จะร้ายกาจ แต่ก็ไม่ถึงกับไร้ทางแก้?
เมื่อไป๋ซวี่ได้ยินดังนี้ก็รู้สึกยินดีขึ้นมาทันที เขาดึงมือของโจวซือฉีขึ้นมาอย่างไม่คิด รีบเร่งลากเขาออกไปเพื่อช่วยคน
โจวซือฉีแม้จะยอมลุกขึ้นยืนตามแรงของไป๋ซวี่แต่กลับไม่ยอมก้าวขาตาม กลับดึงไป๋ซวี่เข้ามาในอกอย่างไม่เปลืองแรง จากนั้นยิ้มพูดเสียงต่ำว่า ?เจ้าลืมกฎของข้าแล้วหรือ ข้าไม่เคยรักษาให้ใครเปล่าๆ?
?...ขอรับ? ตอนนี้ตัวของไป๋ซวี่ร้อนเป็นอย่างยิ่ง มือเท้าเหมือนกับอ่อนแรงลงเฉียบพลัน แม้แต่ลำคอยังแหบแห้ง
โจวซือฉีก้มศีรษะลงช้าๆ จนเกือบจะชนกับหน้าผากของเขา แกล้งเป่าลมไปหนึ่งสายแล้วพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงหยอกเย้า ?เจ้าว่าจอมยุทธ์เย่บนเตียง...จะเป็นอย่างไร?
ไป๋ซวี่อึ้งไปครู่หนึ่งถึงเพิ่งเข้าใจความหมาย ใบหน้าของเขาซีดเผือดในทันใด ร่างกายถูกดึงเรี่ยวแรงออกไปจนหมดราวกับกำลังจะทรุดลงกับพื้น
โจวซือฉีกลับยังคงกอดเอวเขาไว้ไม่ปล่อย พูดคนเดียวต่อไปว่า ?จอมยุทธ์เย่ผู้โด่งดังเมื่อถูกกดทับไว้ใต้กายของข้า รสชาตินั้นคงจะดีมากทีเดียว?
ไป๋ซวี่ฟังจนดวงตาทั้งคู่แดงก่ำ หากไม่ใช่เพราะแขนขาถูกพันธนาการไว้ เขาคงชักกระบี่ออกมาห้ำหั่นกับโจวซือฉีไปแล้ว เพื่อช่วยเย่จิ้งหงแล้วเขาไม่เสียดายแม้ชีวิต แต่เขาไม่มีทางยอมปล่อยให้จอมยุทธ์เย่ผู้ห้าวหาญและมีคุณธรรมถูกหยามเกียรติเด็ดขาด ความโกรธพุ่งพรวดขึ้นมาทันที ไป๋ซวี่จึงด่าออกไป ?ชั่วช้าไร้ยางอาย!?
โจวซือฉีหัวเราะเสียงดัง ดูออกว่าคงถูกด่าจนชินชาเสียแล้ว ทว่ายามที่เขากำลังจะเอ่ยปากหยอกเย้าอีกเล็กน้อยกลับได้ยินเสียงโกลาหลจากข้างนอก จากนั้นก็เกิดเสียงดัง ?ปัง? ขึ้น ประตูห้องถูกคนเตะจนเปิดออก
ไปซวี่หันศีรษะกลับไปดูก่อนจะร้อง ?อ๊า? ออกมาอย่างไม่รู้ตัว
ที่แท้คนบุกเข้ามาคือ...เย่จิ้งหง!
เขาได้รับบาดเจ็บสาหัสจนแทบจะเอาชีวิตไม่รอดแต่ตอนนี้กลับยืนอยู่ตรงนี้ ในมือถือกระบี่ พูดเสียงต่ำว่า ?คนแซ่โจว ปล่อยมือของเจ้าเสีย!?
มือของโจวซือฉีสั่นเล็กน้อยแต่กลับรัดไป๋ซวี่แน่นขึ้นกว่าเดิม เขาหัวเราะร่าพลางพูดว่า ?เห็นทีจอมยุทธ์เย่คงมาไม่ถูกเวลา ข้ากำลังจะทำอะไรไม่ดีอยู่เชียว?
?โจรชั่ว!?
?ฮึ เพื่อช่วยชีวิตของท่านแล้ว เจ้าหนุ่มน้อยคนนี้สมัครใจเข้ามาหาข้าเอง ข้าหาได้บังคับเขาแม้แต่น้อย?
เย่จิ้งหงยืนหอบหายใจอยู่ตรงประตู กัดฟันพูดขึ้นว่า ?ข้ายอมตายเสียดีกว่า ไหนเลยจะต้องการความช่วยเหลือจากเจ้า?
?เช่นนั้นยิ่งดีเลย ข้าขอแนะนำว่าจอมยุทธ์เย่สมควรใช้กระบี่นั่นปาดคอตัวเองเสีย แทนที่จะมาเกะกะความสุขของพวกข้า? พูดจบ โจวซือฉีก็ยกปลายนิ้วขึ้นลูบไปบนใบหน้าของไป๋ซวี่
ใบหน้าของไป๋ซวี่แดงก่ำ แต่ไม่สามารถดิ้นหลุดได้
ในอกของเย่จิ้งหงเต็มไปด้วยโทสะ เขารู้สึกว่าพิษกำลังแทรกซึมลึกลงไปอีก ดวงตาเริ่มพร่ามัวแต่ยังคงตวัดกระบี่ออกไปหาโจวซือฉีอย่างแน่วแน่
วิชาตัวเบาของโจวซือฉีนั้นนับว่าเยี่ยมยอด แม้โอบอีกคนไว้แนบอกการเคลื่อนไหวของเขาก็หาได้ติดขัดแต่อย่างใดไม่ ยังคงพลิ้วไหวไม่มีสะดุดเช่นเดิม เขาหลบหลีกการโจมตีจากเย่จิ้งหงในห้องเล็กๆ นั้นอย่างสบาย ไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายสัมผัสได้แม้เพียงปลายผ้า มิหนำซ้ำยังปลีกเวลามาลูบไล้เอวของไป๋ซวี่เป็นครั้งคราอีกด้วย
เย่จิ้งหงโกรธจนตัวสั่น แรงกายเริ่มถดถอย ไม่นานเขาก็ล้มลงกองกับพื้น เหลือเพียงดวงตาคู่นั้นที่ยังคงจ้องมองไปยังโจวซือฉี เอ่ยทีละคำออกมาอย่างชัดเจน ?ปล่อยเขาซะ!?
แม้ยามนี้เย่จิ้งหงจะโกรธจนแทบควบคุมตัวเองไม่อยู่ แต่ใบหน้ากลับไม่แสดงอารมณ์ใดๆ ออกมา กระบี่คมกริบที่ฟาดฟันยังคงส่งผลให้คนเกรงกลัวอยู่
โจวซือฉีกลับหัวเราะเสียงดังออกมา ในที่สุดก็ปล่อยไป๋ซวี่ไป จากนั้นค่อยๆ ก้าวไปตรงหน้าเย่จิ้งหง ยื่นมือออกไปเชยคางเขาขึ้น พูดว่า ?ได้ๆๆ เห็นแก่จอมยุทธ์เย่ที่อ้อนวอนขอร้อง ข้าจะยอมปล่อยเจ้าหน้าอ่อนคนนั้นไปก็ได้ แต่ท่านต้องมาแทน?
โจวซือฉีพูดพลางถอนหายใจ คล้ายกับว่ากำลังเสียดายอย่างยิ่ง
เขาย่อตัวลง ท่าทางเหมือนกำลังจะหอมลงไปบนแก้มของเย่จิ้งหง
เย่จิ้งหงทั้งโกรธทั้งโมโหจนพิษร้ายกำเริบและสลบไปในที่สุด
โจวซือฉีอึ้งไปเล็กน้อย สีหน้าเปลี่ยนไปมาอย่างรวดเร็วก่อนสุดท้ายจะกลับมาเป็นปกติ จากนั้นหัวเราะเสียงดังขึ้นแล้วก้มลงไปหอมแก้มของเขา
ไป๋ซวี่ที่ยืนอยู่ข้างๆ เห็นทุกอย่างชัดเจน เขารู้สึกโกรธตัวเองที่ขยับตัวไม่ได้ถึงไม่สามารถห้ามโจวซือฉีไว้ได้ จึงด่าทอขึ้นอย่างเหลือทน ?โจรชั่ว! เจ้าฉวยโอกาสตอนคนไม่มีทางสู้ เจ้ายังมียางอายอยู่อีกหรือไม่?
เดิมทีไป๋ซวี่พอรู้อยู่บ้างว่าโจวซือฉีผู้นี้มีจิตใจคดเคี้ยว ยิ่งมาเห็นการกระทำของเขาแล้ว ไป๋ซวี่ก็ยิ่งมั่นใจในข่าวลือพวกนั้น เขายืนโกรธจนร่างกายสั่นเทิ้ม แต่ไม่รู้ว่าจะระบายมันออกมาอย่างไร
ส่วนโจวซือฉีกลับอุทาน ?เอ๋? เบาๆ หนึ่งครั้ง พูดว่า ?นี่เจ้ายังอยู่อีกหรือ?
พูดไปก็ยกมือขึ้นผลักไป๋ซวี่เบาๆ ทว่าไป๋ซวี่กลับรู้สึกว่ามีแรงมหาศาลแผ่เข้ามาในร่างกาย แล้วตัวเขาก็กระเด็นไปอยู่นอกประตู
จากนั้นประตูทั้งสองบานก็ปิดเข้าหากันอย่างรวดเร็ว พร้อมกับมีเสียงลงกลอนดังขึ้น
ก่อนประตูจะปิดสนิทลง สายตาของไป๋ซวี่ทันเห็นพอดีว่าโจวซือฉีกำลังใช้นิ้วมือวาดผ่านใบหน้าของเย่จิ้งหง มุมปากของโจวซือฉียกขึ้นเล็กน้อย ดวงตาอมยิ้ม เห็นได้ชัดว่าเขากำลังอารมณ์ดีเป็นอย่างยิ่ง
ไป๋ซวี่มองดูอย่างตะลึงราวกับเวลาหยุดนิ่งลง สักพักหนึ่งจึงเรียกสติกลับมาได้ ในใจคิดไปต่างๆ นานาว่าเจ้าหมอชั่วจะทำเรื่องมิดีมิร้ายอันใดกับจอมยุทธ์เย่บ้าง แต่เนื่องจากเขายังไม่สามารถขยับตัวได้ ท้ายสุดไป๋ซวี่จึงทำได้เพียงตะโกนด่าอยู่นอกห้อง
โจวซือฉีที่อยู่ในห้องทำเหมือนกับไม่ได้ยินแล้วอุ้มเย่จิ้งหงขึ้นมา จากนั้นเดินไปวางลงบนเตียงอย่างนิ่มนวล
เดิมทีเขาเป็นคนรู้จักทะนุถนอม ท่วงท่านี้เขาจึงทำซ้ำมานับครั้งไม่ถ้วน แต่ยามนี้นิ้วมือของเขากลับสั่นเทาไม่หยุด
ผ่านไปครู่ใหญ่โจวซือฉีถึงเริ่มสงบสติอารมณ์ลงได้ เขาจับข้อมือของเย่จิ้งหงขึ้นมาเพื่อจับชีพจร
โจวซือฉีที่ได้ชื่อว่าเป็นหมอเทวดาย่อมมีวิชาการแพทย์ที่ล้ำลึก เพียงไม่นานเขาก็รู้ว่าเย่จิ้งหงได้รับพิษใดเข้าไป เพียงแต่ตอนนี้ผ่านมาแล้วหลายวัน พิษนั้นแทรกซึมเข้าสู่ขั้วหัวใจ แม้จะรักษาชีวิตไว้ได้ทว่ายังต้องค่อยๆ บำรุงร่างกายให้กลับมาแข็งแรงทีละน้อยอีกระยะเวลาหนึ่ง
โจวซือฉีรู้ดีว่าเรื่องนี้มิใช่เรื่องเล็ก เขาจึงต้องเริ่มคิดใคร่ครวญอย่างละเอียดถี่ถ้วนให้ดี เขานั่งคิดอยู่จนเทียนไขบนโต๊ะละลายไปกว่าครึ่ง ในที่สุดก็ได้แนวทางอยู่หลายวิธี จากนั้นเริ่มลงมือสกัดจุดเย่จิ้งหงไว้หลายจุดอย่างรวดเร็ว และหยิบเข็มเงินออกมาช่วยขับพิษอย่างไม่รีรอ
โจวซือฉีหมกมุ่นอยู่กับการรักษาจนเวลาล่วงผ่านไปเกือบทั้งคืน ในที่สุดเย่จิ้งหงก็เริ่มรู้สึกตัวและอ้าปากอาเจียนก้อนเลือดสีดำออกมาคำใหญ่
ครั้นเห็นดังนั้นโจวซือฉีก็รู้สึกโล่งใจไปเปลาะหนึ่ง เขาเอื้อมมือไปจับเส้นลมปราณของเย่จิ้งหง ทว่ากลับถูกเย่จิ้งหงจับมือพร้อมกับกุมไว้ในฝ่ามืออย่างแน่นเหนียว
ยามนี้แม้เย่จิ้งหงจะรู้สึกตัวแล้ว แต่ยังคงสะลึมสะลือ สายตาของเขายังพร่ามัวมองไม่ชัดจึงจ้องโจวซือฉีอยู่เป็นนาน ในที่สุดก็เอ่ยปากออกมา ?น้องโจว...?
โจวซือฉีได้ยินคำเรียกนี้ก็รู้สึกราวกับมีเสียงอื้ออึงอยู่ข้างหู หัวใจทั้งดวงเหมือนกับจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ เขารีบตอบรับว่า ?พี่ใหญ่ ข้าเอง?
แต่เย่จิ้งหงคล้ายว่าไม่ได้ยินวาจาของเขา ดวงตากลมโตคู่นั้นของเย่จิ้งหงเหม่อลอยไร้จุดหมายและเอ่ยต่อไปว่า ?ที่นั่นอันตรายมาก เจ้าอย่าไปนะ?
เสียงของเย่จิ้งหงเบามาก มากเสียจนโจวซือฉีต้องโน้มตัวลงไปฟังจึงพอจับใจความได้บ้าง ทันทีที่ได้ยินดังนั้นหัวใจของโจวซือฉีก็พองโตขึ้น ร้องเรียกไม่ขาดเสียงว่า ?พี่ใหญ่ พี่ใหญ่...?
เสียดายที่เย่จิ้งหงปิดตาลงอีกครั้งและหลับใหลไปอย่างรวดเร็ว ไม่ตอบสนองใดๆ ต่อวาจาของเขาอีก
โจวซือฉีโน้มตัวนั่งอยู่ตรงหัวเตียงอย่างขวัญหาย ในใจกลับรู้สึกเจ็บขึ้นมา เขาเริ่มแยกแยะไม่ออกว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อครู่เป็นความจริงหรือไม่ หรือทั้งหมดเป็นเพียงจินตนาการของเขา? เขาไม่กล้าขยับตัวแม้แต่น้อย ได้แต่นั่งรออยู่ตรงนี้เพื่อรอให้เย่จิ้งหงเรียกเขาอีกครั้ง
ทว่าสิ่งที่เขาได้รับจากการรอคอยคือเสียง ?ฟู่? ที่ดังขึ้นเบาๆ แล้วเทียนไขในห้องก็ดับมืดลง
โจวซือฉีเนื้อตัวสั่นเทิ้ม ถึงเพิ่งตระหนักได้ว่าทั้งหมดเป็นเพียงภาพลวงตา เขาค่อยๆ นั่งตัวตรงท่ามกลางความมืด จากนั้นก้มศีรษะลงมองไปยังใบหน้าสะอาดสะอ้านของบุรุษที่นอนอยู่บนเตียง
ท่ามกลางแสงจันทราที่สาดส่องเข้ามา โจวซือฉีนั่งพิจารณาใบหน้าของเย่จิ้งหงอย่างจดจ่อ คิ้วของเย่จิ้งหงเฉียงขึ้นเล็กน้อย ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากันแน่น เค้าหน้ายังคงคมคายงดงามไม่เปลี่ยนไปจากสามปีก่อนแม้แต่น้อย เว้นแต่ความซีดเซียวจากพิษในร่างกายที่เพิ่มเข้ามา
ฮึ วันคืนกว่าพันราตรีที่ล่วงผ่าน
ผู้ที่เขาเฝ้าคะนึงหาอยู่ทุกเมื่อเชื่อยามบัดนี้อยู่ตรงหน้าแล้ว
โจวซือฉีเอื้อมมือออกไปลูบไล้ใบหน้านั้นอย่างอาวรณ์ จากนั้นลุกจากเตียง เก็บกระบี่ชิวสุ่ยขึ้นจากพื้น... แม้จะอยู่ท่ามกลางความมืดแต่ประกายของมันยังคงส่งแสงแวววาว และรับรู้ได้ถึงความหนาวเย็นของโลหะ เพื่อคอยเตือนผู้พบเห็นมิให้ลืมเลือนว่ามันคือสุดยอดอาวุธไม่เป็นรองใคร
นิ้วมือของโจวซือฉีวนเวียนอยู่รอบกระบี่ เอ่ยเสียงเบาว่า ?กระบี่ชิวสุ่ยเอ๋ยกระบี่ชิวสุ่ย ทั้งที่มีเจ้าอยู่ข้างกาย เหตุใดยังปล่อยให้เขาได้รับบาดเจ็บสาหัสถึงเพียงนี้อีก?
พูดจบ เขาก็พลันยิ้มออกมาแล้ววาดกระบี่ลงบนฝ่ามือของตนเอง
ด้วยคมดาบของกระบี่ชิวสุ่ย เพียงวาดลงไปเบาๆ ก็สร้างบาดแผลได้ไม่ยาก โลหิตสีแดงสดไหลรินออกมา
สีหน้าของโจวซือฉีไม่ปรากฏความเจ็บปวดแม้สักนิด เขาเดินไปข้างเตียงด้วยมือที่หลั่งโลหิตแล้วเอื้อมไปยังปากของเย่จิ้งหง ปล่อยให้เลือดสีแดงไหลรินลงไป ค่อยๆ หยดเข้าสู่ปากของเย่จิ้งหงทีละหยด
ครั้นเย่จิ้งหงดื่มเลือดเข้าไปก็เริ่มรู้สึกตัวอีกครั้ง ครานี้เขาตื่นขึ้นมาพร้อมสติจึงปัดมือของโจวซือฉีออกไปให้พ้นอย่างไม่แยแส พลางตวาดเสียงดัง ?คนแซ่โจว เจ้าทำอะไร?
โจวซือฉีรู้สึกขมฝาดในปากขึ้นมา ในใจรู้ดีว่าเขาไม่สามารถย้อนเวลากลับไปได้อีก แต่ใบหน้าที่แสดงออกมายังคงมีรอยยิ้มบางๆ และเอ่ยขึ้นว่า "ข้าถอนพิษในตัวของจอมยุทธ์เย่เรียบร้อยแล้ว และกำลังจะทวงค่ารักษาจากท่านอยู่ เอาละ เวลาก็ล่วงเลยมานานแล้ว ข้าว่าเรารีบจัดการให้เสร็จกันเถอะ?
เย่จิ้งหงทนฟังคำพูดดูหมิ่นเหล่านี้มิได้ คิ้วของเขาขมวดเข้าหากันในทันทีแล้วเริ่มต่อกรกับโจวซือฉี แต่วรยุทธ์ของเขายังไม่ฟื้นคืน แม้ท่วงท่าจะดุดันทว่ากลับไร้กำลัง เพียงสองสามกระบวนท่าก็ถูกโจวซือฉีควบคุมไว้ได้
?เหตุใดจอมยุทธ์เย่ถึงได้ใจร้อนเช่นนี้?
โจวซือฉีกดเย่จิ้งหงกลับไปบนเตียงพร้อมกับสกัดจุดของเขาไว้ จากนั้นหัวเราะแล้วพูดว่า ?ร่างกายของท่านยังไม่หายดีก็รีบร้อนจะหาความสุขกับข้า ช่างน่าเลื่อมใสยิ่งนัก ไม่ต้องห่วงไป ข้าจะขึ้นเตียงเป็นเพื่อนท่านเดี๋ยวนี้?
เย่จิ้งหงเห็นเขากลับผิดเป็นถูก เอาดีเข้าตัวเช่นนี้ก็รู้สึกโมโหจนสรรหาคำพูดมาตอบโต้มิได้
ส่วนโจวซือฉีหลังจากที่ทำแผลบนฝ่ามืออย่างเรียบง่ายแล้วก็ก้มตัวลงไปถอดรองเท้า ในปากยังร้องเพลงไปด้วย เขาไปมาหอนางโลมอยู่เป็นนิจ บทเพลงที่ร้องย่อมมีเนื้อหาไม่สู้รื่นหูเท่าใดนัก เนื้อเพลงที่เขาร้องนั้นทำเอาคนฟังหูร้อนใจสั่นเลยทีเดียว
เย่จิ้งหงทนต่อไปมิได้ เขากัดฟันพูดว่า ?โจวซือฉี เจ้าต้องการสิ่งใดกันแน่?
โจวซือฉีไม่สนใจท่าทีของเย่จิ้งหงแม้แต่น้อย หลังจากถอดรองเท้าเสร็จก็เอื้อมมือไปปลดอาภรณ์ต่อ ถอดทีละชิ้นอย่างช้าที่สุด พอร้องถึงท่อน ?กอดรัดฟัดเหวี่ยงเต็มอก? ก็สะดุดหยุดลง แล้วหันหน้ากลับไปพูดกับเย่จิ้งหงว่า ?พี่ใหญ่ ข้านึกว่าชั่วชีวิตนี้ท่านจะไม่ยอมก้าวขาเข้ามาเมืองหยางโจวเสียอีก?
เย่จิ้งหงหยุดหายไปใจชั่วครู่ พูดขึ้นอย่างเย็นชาว่า ?หากว่าขาคู่นี้ของข้ายังเดินได้ ไหนเลยจะกลับมาพบเจ้าอีก?
หยุดไปสักพัก เย่จิ้งหงจึงพูดเสริมขึ้นอีก ?ใครอนุญาตให้เจ้าเรียกข้าว่าพี่ใหญ่?
?เหตุใดต้องขออนุญาตด้วยเล่า เดิมทีท่านก็เป็นพี่ใหญ่ของข้าอยู่แล้ว? บัดนี้โจวซือฉีถอดอาภรณ์เสร็จแล้ว เขายกผ้าห่มขึ้น ค่อยๆ เอนกายนอนลงข้างเย่จิ้งหงช้าๆ ?เดิมทีพวกเราสาบานเป็นพี่น้องกัน เคยกล่าวไว้ว่ามีสุขร่วมเสพ มีทุกข์ร่วมต้าน...?
เย่จิ้งหงร้องฮึออกมา ?ข้าเย่จิ้งหงไหนเลยจะมีวาสนาบังอาจร่วมสาบานกับคนของหุบเขาซิวหลอ น้องโจวคนนั้นของข้า...ตายไปนานแล้ว?
ยามเย่จิ้งหงเอ่ยคำนี้ออกมา แม้แต่น้ำเสียงยังสั่นเครือ โจวซือฉีไม่รู้ว่าเขาจะคับแค้นใจสักเพียงใดกัน
โจวซือฉีหวนนึกถึงวันวาน รู้สึกเหมือนมีมีดกรีดลงกลางใจจึงเอ่ยเสียงเบาว่า ?พี่ใหญ่ยังโกรธข้าอยู่อีกหรือ ตอนนั้นข้ามิได้มีใจคิดจะหลอกท่านเลยแม้แต่น้อย?
?ใช่ เจ้าไม่ได้จงใจปิดบังฐานะ ไม่ได้เสแสร้งเป็นพี่น้องร่วมสาบานกับข้า ไม่ได้หลอกล่อคู่หมั้นของข้า ไม่ได้... หึหึหึ ใจคอของคนจากหุบเขาซิวหลอไหนเลยที่คนอย่างข้าจะหยั่งรู้ได้?
ได้ยินดังนี้ในที่สุดโจวซือฉีก็เงียบเสียงลง และไม่ได้ส่งเสียงใดออกมาอีก
ผ่านไปเนิ่นนาน นานจนเย่จิ้งหงคิดว่าโจวซือฉีคงหลับไปแล้ว ทว่าอยู่ๆ โจวซือฉีก็พูดขึ้นเสียงเบาตรงข้างหูของเขา ?พี่ใหญ่เข้าใจจิตใจข้าดี หากตอนนี้ข้าคิดอยากจะทำ มันก็ง่ายเหมือนพลิกฝ่ามือ?
พูดพลางก็คลอเคลียไปยังใบหูของเย่จิ้งหง ลมหายใจของโจวซือฉีเริ่มรวน
เย่จิ้งหงเงยหน้ามองไป เห็นดวงตาทอประกายของโจวซือฉี ในนั้นกำลังร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆ มุมปากของเขามีรอยยิ้มชวนหลงใหล เย่จิ้งหงเข้าใจถ้อยคำเมื่อครู่ในทันที ในใจทั้งตกใจทั้งโมโหเหมือนกับครั้งที่รู้ถึงฐานะที่แท้จริงของโจวซือฉี มือเท้าเย็นยะเยือก หลุดปากออกมาว่า ?เจ้ากล้าอย่างนั้นรึ?
โจวซือฉียิ้ม เอื้อมมือไปสัมผัสใบหน้าของเย่จิ้งหงอย่างแผ่วเบา แต่เมื่อประสานเข้ากับสายตาของเย่จิ้งหง โจวซือฉีก็หดมือกลับมา ประกายในสายตาของเขาดับวูบลง โจวซือฉีกำมือไว้แน่นอย่างหมดหนทาง และพูดเสียงเบาราวกับเสียงกระซิบอย่างหมดหวังว่า ?...ไม่กล้า?



+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
สามปีพ้นผ่าน พี่น้องร่วมสาบานได้พบหน้ากันอีกครั้ง แต่เพราะการหลอกลวงครั้งนั้นเย่จิ้งหงจึงไม่ต้องการรับการรักษาจากหมอเทวดาโจวซือฉีแม้จะถูกพิษร้ายแรงพรากชีวิตไปก็ตาม ทว่าโจวซือฉีเจ้าสำราญผู้ไม่ยึดติดสิ่งใดคนนี้ ถึงต้องปวดใจซ้ำแล้วซ้ำเล่ากี่คราก็ยอมขอเพียงได้ช่วยเหลือเย่จิ้งหง เพราะแม้นความรักนี้จะไม่ผลิดอกออกผล อย่างน้อยก็ไม่มีเรื่องให้ต้องเสียดาย แต่ใครเล่าจะรู้ว่าช่องว่างระหว่างธรรมะกับอธรรมของพวกเขาจะมากมายถึงเพียงนี้ ต่อให้เขาทุ่มเทสักปานใด เขายังคงเป็นมารร้ายในสายตาของเย่จิ้งหงอยู่ดี

มีความหวังครั้งแล้วครั้งเล่า จิตใจแตกสลายครั้งแล้วครั้งเล่า...
ต้องรอถึงเมื่อไรจึงจะสามารถลืมความรักที่ไม่สมหวังนี้ได้
ต้องทำอย่างไรจึงจะสามารถปล่อยวางความเจ็บปวดจากความคิดถึงนี้ลง?


รูปภาพ

ตอบกลับโพส

ย้อนกลับไปยัง “Bongkoch Books News & Activities”