การเปลี่ยนแปลงตัวเองไม่ใช่เรื่องยาก แต่...โคตรยาก
[งานเสร็จหรือยังไวท์]
?ยังเลยพี่เขม จริงๆ ควรจะเสร็จตั้งแต่สิบโมงแล้ว แต่เพราะลูกค้าสั่งแก้ ผมเลยเสียเวลาทั้งคืน แต่คิดว่าไม่เกินบ่ายสามน่าจะส่งงานให้ได้?
[เออ ขอโทษด้วยนะ พี่ก็ต่อรองกับทางนั้นไปแล้วว่าจะมาเพิ่มฟังก์ชั่นเอาตอนนี้มันไม่ทัน แต่ทางนั้นก็ยืนยันจะเอาให้ได้]
ภายในห้องนอนที่มีเฟอร์นิเจอร์น้อยชิ้น ชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังนั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ที่เปิดทำงานมากว่าสามสิบชั่วโมง ชนิดที่ว่าดวงตาไม่อาจจะสู้กับแสงสว่างภายนอกจนต้องรูดม่านปิดกั้นทุกด้าน อาศัยเพียงหลอดไฟบนเพดานกับหน้าจอคอมพิวเตอร์เท่านั้น
ขณะที่ร่างขาวซีดเซียวก็กำลังคุยโทรศัพท์กับเจ้านายพ่วงตำแหน่งญาติด้วยท่าทางเคร่งเครียด อันเนื่องมาจากงานที่ควรจะเสร็จตั้งแต่เมื่อหลายชั่วโมงก่อนยังไม่เสร็จสักที เพราะลูกค้าเรื่องมาก หากแต่เงินหนักที่จะเอาให้ได้
ทันทีที่วางสาย ไวท์...ชายหนุ่มวัยยี่สิบห้าปี เจ้าของรูปร่างผอมแห้งแรงน้อยจนดูบางไปถนัดตาเมื่ออยู่ในเสื้อตัวโคร่งสำหรับใส่อยู่บ้านกับกางเกงขาสั้นพอดีเข่าย้วยๆ ก็แทบจะทิ้งหน้าลงฟุบกับแป้นคีย์บอร์ด บ่นพึมพำได้แค่...
?เหนื่อยจะตายแล้ว เหนื่อยจนอยากเทแล้ว?
ตอนนี้ใจอยากจะทิ้งตัวลงนอนแล้วหลับยาวสักสิบชั่วโมงรวด หากแต่รู้ดีว่าทำเช่นนั้นไม่ได้ ในเมื่อญาติสนิทอุตส่าห์รับเขาเข้าทำงาน แถมยังยอมให้ทำอยู่กับบ้าน ถ้าไม่มีงานนี้ ผู้ชายขี้อายสุดๆ อย่างเขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะหาเงินมาเลี้ยงชีพยังไง
พี่เขมอุตส่าห์ช่วยขนาดนี้ ทำไมจะฝืนทำต่ออีกนิดไม่ได้!
?ซู้ดดดดด สู้โว้ยไอ้ไวท์!?
คิดแล้วคนที่สูดหายใจลึกๆ ก็ลุกพรวดขึ้นมานั่งตัวตรง สองมือตบแก้มขาวซีดจวนไร้สีเลือด เพราะแทบไม่เคยออกไปโดนแดดแรงๆ ก่อนที่จะขยับแว่นสายตาสองทีเพื่อเพ่งมองโค้ดมากมายที่เขียนทิ้งไว้
?อีกนิดไอ้ไวท์ อีกนิดเดียวเท่านั้น?
หลังจากให้กำลังใจตัวเอง สองมือก็วางลงบนแป้นอีกครั้ง แล้วเริ่มเขียนโปรแกรมที่มีเส้นตายคือบ่ายสามของวันนี้
ตอนนี้ไวท์เป็นโปรแกรมเมอร์ในซอฟแวร์เฮ้าส์ของญาติผู้พี่มาได้สองปีแล้ว งานนี้ต้องขอบคุณพี่เขมหรือญาติสนิทที่เคยเป็นโปรแกรมเมอร์ในบริษัทยักษ์ใหญ่ที่ใครๆ ก็ต้องรู้จักชื่อซึ่งผันตัวมาเปิดซอฟแวร์เฮ้าส์ของตัวเอง เขาถึงมีโอกาสได้ทำงาน ไม่งั้นคนที่แค่จะคุยกับคนอื่นก็เผลอพูดติดอ่างคงไม่มีใครอยากรับเข้าทำงานแน่ๆ
งานนี้เป็นงานที่รักและหาเลี้ยงชีพได้ ดังนั้นแค่ฝืนอีกไม่กี่ชั่วโมง...ไอ้ไวท์ทำได้!
?ปวดตา?
ทว่าการเพ่งหน้าจอเป็นเวลานานทำให้ดวงตาล้าจนถึงขีดสุด ภาพที่ควรจะมีแค่จอเดียวกลับเริ่มแยกร่างออกมาถึงสาม แต่เขาจะร้องขอให้พี่ชายหาคนมาช่วยก็คงไม่ทัน อีกทั้งงานนี้ไวท์ก็รับผิดชอบคนเดียวมาตั้งแต่ต้น ดังนั้นมีแต่ต้องทำเท่านั้น
ติ๊ก...ติ๊ก...
เข็มนาฬิกาที่เคลื่อนผ่านก็เหมือนการนับถอยหลังเวลาประหารชีวิต ทุกครั้งที่หันไปมองก็พานจะทำให้เหงื่อตก สองมือเริ่มเปียกชุ่ม หยดเหงื่อเริ่มพราวไปรอบวงหน้าขาวจัด
หากแต่สมาธิที่มีทำให้ชายหนุ่มยังคงทำงานต่อไป กระทั่ง...
กริ๊ก
ร่างบางคลิกเมาส์เป็นครั้งสุดท้ายเพื่อดูผลงานที่สั่งเทสต์ และ...
?เสร็จแล้ว!!!?
ท่ามกลางความเงียบ เจ้าตัวตะโกนก้องอย่างดีใจ ทำเอาหมาบ้านหลังข้างๆ เห่าเสียงดัง แต่เขาไม่สนใจหรอก ตราบใดที่งานซึ่งตรากตรำมาหลายสัปดาห์เสร็จสิ้นสักที
สิ่งแรกที่ทำคือการส่งงานให้เจ้านาย แล้วก็ต่อสายหา
[เสร็จแล้วหรือไวท์]
?เสร็จแล้วพี่เขม ส่งไปแล้ว พี่ลองเช็กดูนะ?
[ขอบใจมาก พักผ่อนซะล่ะ อาบอกว่าไวท์ยังไม่นอนทั้งคืนนี่ ถ้าล้มไป อาแกเอาพี่ตายแน่]
คนฟังยกยิ้มแห้งๆ เพราะรู้ว่าแม่เขาปกป้องเกินเหตุมาตั้งแต่ยังเล็ก จนไม่รู้ว่านี่เป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้เขาขี้อายกับคนอื่นนอกจากคนในครอบครัวด้วยหรือเปล่า
?ถ้าพี่เขมมีอะไรก็โทรมาเลย ผมตื่นมาแก้งานให้ได้?
[โอเค ถ้ามีปัญหา เดี๋ยวพี่โทรไปนะ]
ปลายสายวางหูจากเขาไปแล้ว ร่างบางจึงยกมือคลึงที่หัวคิ้ว นวดเบาๆ อย่างหวังว่าจะช่วยคลายอาการปวดหัวลงได้ แต่เมื่องานเสร็จ สมาธิก็พากันแตกซ่าน ทำเอาอาการปวดตุบๆ เกิดขึ้นที่ข้างขมับจนต้องส่ายหัว รีบปิดคอมพิวเตอร์คู่ใจพลางตบจอเบาๆ
?พักซะนะไอ้เพื่อนรัก เดี๋ยวกูก็นอนแล้วเหมือนกัน?
อาจจะดูน่าสมเพช แต่เพื่อนแท้ของเขาก็คือเจ้าจอสี่เหลี่ยมเนี่ยแหละ
ไวท์ยกยิ้มนิดๆ ไม่ได้คิดว่าชีวิตอย่างทุกวันนี้น่าสงสารเหมือนที่พวกเพื่อนร่วมมหาวิทยาลัยนินทา เขาไม่ค่อยออกจากบ้านไปเจอใคร แต่ก็ใช่ว่าทำมาหากินไม่ได้ ตรงกันข้าม เขามีเงินให้แม่ใช้ทุกเดือนด้วยซ้ำ แถมประหยัดค่ากิน ค่าเดินทาง สบายกว่าคนอื่นไม่รู้กี่เท่า
เมื่อคิดอย่างนั้นก็ทำให้คนไม่ชอบสังคมสบายใจ
ยามที่ลุกขึ้นแล้วเดินสะโหลสะเหลไปห้องน้ำ กะว่าจะล้างหน้าล้างตาก่อนที่จะล้มตัวลงนอนสักหน่อย แต่...
?ดูไม่ได้?
งานนี้คงไม่มีคำไหนอธิบายภาพสะท้อนบนกระจกเงาได้ดีกว่าคำนี้...ดูไม่ได้
แม้ไวท์จะมีผมตรงสีดำสนิทที่ปรกหน้าปรกตา แต่ตอนนี้มันยุ่งเหยิงไม่เป็นทรง รอบดวงตาที่ล้อมด้วยแพขนตาหนาก็ดำไม่ต่างจากหมีแพนด้า หางคิ้วตกลงอย่างพวกไม่สู้คน ไหนจะปากแห้งแตกระแหงอย่างคนที่ไม่ได้กินน้ำมาเกินสิบชั่วโมงแล้ว นอกจากนั้น...สีผิว
ขาวซีดจนเหมือนกระดาษ
มันไม่ได้ขาวแบบสมัยนิยมที่คนพากันไปฉีดกลูต้า แต่ขาวมาก ซีดมาก เหมือนผิวเผือกมากกว่า เพราะสองปีมานี้...โดนแดดนับครั้งได้
?หน้าแบบนี้ใครจะมาชอบ เฮ้อ ก่อนจะพูดแบบนั้น ถามก่อนดีกว่าว่าได้เจอใครบ้างไหม?
เจ้าตัวส่ายหน้าช้าๆ ไม่อยากมองเงาสะท้อนที่น่าสมเพชมากกว่านี้จนต้องก้มลงไปเปิดน้ำแล้ววักน้ำใส่เพื่อให้สดชื่นขึ้นนิด แต่ผลที่ได้...ตรงกันข้าม
น้ำเย็นๆ ที่สาดใส่สมองร้อนๆ ไม่ต่างจากน้ำเย็นที่สาดลงบนเครื่องยนต์ที่ทำงานเกินขนาด จนมันพานจะระเบิดเอาเสียดื้อๆ จึงต้องส่ายหัวแรงๆ คว้าผ้าขนหนูมาเช็ดหน้า อยากจะอาบน้ำ แต่...อยากนอนมากกว่า
โครกกกกกก
?เฮ้อ? ไวท์ถอนหายใจอีกเฮือกใหญ่ๆ เมื่อท้องที่นิ่งสงบมานาน หรืออีกนัยคือไม่ได้สนใจ มันกำลังครางประท้วงอย่างรุนแรงจนต้องลากสังขารลงมายังชั้นล่างที่...ว่างเปล่า
?แม่ออกไปข้างนอกมั้ง?
บ้านหลังใหญ่นี้มีเพียงเขากับแม่อยู่กันสองคน หลังจากที่ผู้เป็นพ่อเสียชีวิตไปเมื่อหลายปีก่อน ยิ่งส่งผลให้คนกลัวสังคมอย่างเขาเก็บตัวมากขึ้นไปอีก ทว่าเวลานี้ในบ้านกลับว่างเปล่า มีเพียงประตูที่ถูกล็อกไว้ บ่งบอกว่าผู้ร่วมชายคาคงออกไปซื้อของ ไม่ก็ไปพบเพื่อนฝูงตามกิจวัตรประจำวัน
แกร๊ก
ไวท์เปิดตู้เย็นออก หวังว่าจะมีอะไรง่ายๆ ที่ทานได้...
?อ้า รู้สึกดีชะมัด? ไอเย็นจากตู้เย็นที่ปะทะหน้าทำเอาเจ้าตัวยื่นหน้าเข้าไปใกล้ๆ สายตาก็สอดส่องหาของกิน จนเห็นข้าวผัดที่แร็ปพลาสติกเอาไว้ ใบหน้าขาวซีดจึงยิ้มออก
?ขอบคุณครับแม่? แม่รู้ว่าห้ามรบกวนเขาตอนทำงาน แต่แม่ก็เตรียมข้าวเอาไว้ให้เขาเผื่อลงมากินเสมอ
เจ้าตัวพึมพำกับดินฟ้าอากาศ ยามที่คว้าจานใบนั้นออกมาจากตู้เย็น แต่...
กึก
?เป็นอะไร...?
ทันใดนั้นมือที่ว่างก็คว้าประตูตู้เย็นแน่น เพราะอากาศเย็นที่ปะทะหน้ากับอากาศร้อนของเวลาช่วงบ่ายจัดกำลังทำให้...หน้ามืด
เพล้ง!
แม้จะจับขอบตู้เย็นเอาไว้ แต่อาการหน้ามืดก็ทำให้มือที่ถือจานข้าวเอียงกระเท่เร่ และมันก็ลื่นจนหล่นลงกระแทกพื้นแตกกระจาย ทว่านั่นไม่ใช่ที่สุด เพราะแม้สองมือจะกลับมาเกาะขอบตู้เย็นเอาไว้มั่น ภาพที่มืดหายไปกลับไม่ดีขึ้น ตรงกันข้าม...มันกำลังมืดสนิทมากขึ้นทุกที
?ใครก็ได้...?
โครม!
สิ่งสุดท้ายที่ชายหนุ่มจำได้คือเขาร้องเรียกใครสักคน พร้อมกับได้ยินเสียงเปิดประตู
?ไวท์!!!!?
แม่...แม่ช่วยไวท์ด้วย ช่วยไวท์ด้วย...
ปริบ...ปริบ...
?คุณหมอแน่ใจหรือคะว่าลูกฉันไม่เป็นไรจริงๆ จู่ๆ ก็ล้มไปแบบนี้!!!?
?ครับ เกิดจากร่างกายขาดสารอาหารและพักผ่อนไม่เพียงพอน่ะครับ หมอให้น้ำเกลือไปแล้ว พอหมดขวดก็กลับบ้านได้?
?แต่หมอคะ! ไม่รอดูอาการก่อนสักคืนหรือคะ ถ้าไวท์เป็นโรคร้ายแรงอะไรล่ะ!?
สิ่งแรกที่ไวท์ลืมตาขึ้นมาเห็น คือเพดานห้องสีขาวกับกลิ่นยาที่ฉุนกึกแตะปลายจมูก ในขณะที่สมองกำลังมึนเบลอจับต้นชนปลายไม่ถูก และท่ามกลางสติที่เลือนราง สิ่งที่เขาได้ยินคือเสียงคุ้นหูของ...มารดา
คนที่กำลังถกเถียงกับคุณหมอเจ้าของไข้อย่างเป็นห่วงลูกชายคนเดียว จนคนที่เพิ่งฟื้นได้แต่ร้องเรียก
?แม่...?
?ไวท์!? คนฟังหันขวับมามองทันที พร้อมกับถลันร่างเข้ามาข้างเตียง สองมือจับแขนลูกชายด้วยความเป็นห่วง ดวงตาทั้งสองข้างเอ่อล้นด้วยหยดน้ำตา แล้วหญิงวัยกลางคนก็แทบจะพุ่งเข้ามากอดร่างบางเอาไว้แน่น
?ไวท์ แม่เป็นห่วงแทบแย่ แม่นึกว่า...แม่นึกว่าเราจะเป็นเหมือนพ่อ...เหมือนพ่อเขาแล้ว?
คนฟังตัวแข็งทื่อทันทียามที่รับรู้ถึงหยดน้ำตาของผู้เป็นแม่ซึ่งกำลังกอดเขาร้องไห้ หัวใจสะท้อนภาพวันที่บิดาจากไปอย่างชัดเจน
คนที่บอกเสมอว่าร่างกายแข็งแรงดี หากแต่มีวันหนึ่งที่ล้มลงไปกลางบ้าน...และไม่ฟื้นกลับมาอีกเลย
ไม่เพียงแค่เขาที่จดจำภาพนั้นได้ขึ้นใจ แต่แม่ก็...ไม่เคยลืม
?ไวท์ขอโทษที่ทำให้แม่เป็นห่วง แต่ไวท์ไม่เป็นไรจริงๆ ครับ แค่ทำงานมากไปนิดเดียวเอง...? เจ้าตัวพยายามบอกให้คนเป็นแม่คลายใจ แต่...
?หมอว่าคนไข้ไม่น่าจะเรียกได้ว่านิดเดียวนะครับ?
อ่า
คนพูดได้แต่หุบปากฉับ เมื่อคุณหมอวัยกลางคนว่าด้วยน้ำเสียงเข้มดุ ทั้งยังส่ายหัวช้าๆ
?ร่างกายอ่อนแอมากเพราะพักผ่อนไม่เพียงพอ ไหนจะอาการขาดสารอาหารที่แสดงผลผ่านทางผิวหนังอีก ทำงานมันก็ดี แต่ต้องหัดพักผ่อนให้พอ ทานอาหารที่มีประโยชน์ ไม่อย่างนั้นมีกี่ชีวิตก็ไม่พอหรอกนะ? ชายหนุ่มก้มหน้าลงทันทีก็เจอกับดวงตาฉ่ำน้ำของมารดาที่กำลังเม้มปากแน่น บ่งบอกว่าเห็นด้วยกับที่หมอพูดทุกอย่าง ไหนจะ...
?แม่บอกให้ไวท์กินมากกว่านี้แล้วไม่ใช่หรือ แต่ลูกก็กินเหลือทุกที แม่เตรียมผลไม้ไว้ให้ ไวท์ก็ไม่แตะเลยสักคำ เอาแต่ทำงานอยู่หน้าคอมฯ แบบนี้แม่ต้องคุยกับเขมแล้วว่าลูกทำงานเยอะเกินไป...?
หมับ
ก่อนที่มารดาจะว่ามากกว่านั้น คนฟังก็ยื่นมือไปจับแขนด้วยหน้าตาตื่น
พี่เขมไม่ได้ให้งานเยอะไปหรอก กูโหมงานหนักเกินไปต่างหาก
?ไม่เกี่ยวกับพี่เขมครับแม่ ไวท์ทำของไวท์เอง ทุกคนก็ทำเหมือนกัน?
?แต่ทำไมมีแค่ไวท์ที่ล้มพับไปแบบนี้ล่ะ!!!?
หญิงวัยกลางคนเอ่ยเถียงอย่างไม่ยอมแพ้ ดวงตาฉายแววไม่เห็นด้วยจนคนเป็นลูกพูดไม่ออก และนั่นก็ทำให้คุณหมอที่ฟังอยู่เอ่ยแทรกขึ้นมา
?เพราะร่างกายคนไข้อ่อนแอเป็นทุนเดิมอยู่แล้วน่ะครับ สาเหตุน่าจะเป็นเพราะทำงานหน้าคอมพิวเตอร์มากเกินไป ยิ่งถ้าไม่มีการขยับเขยื้อนร่างกาย ระบบเผาผลาญและการทำงานก็จะลดน้อยลง หมอไม่ได้ห้ามเรื่องการทำงานอยู่กับที่นานๆ แต่ควรจะออกกำลังกายบ้าง ตอนนี้อายุยังน้อยอาจจะยังไม่ค่อยแสดงผลเท่าไร แต่ถ้าสะสมไปก็ไม่ดีกับร่างกายในระยะยาว?
คราวนี้คนฟังยิ่งจ๋อยหนัก ใบหน้าขาวซีดก้มลงมองเพียงมือตัวเอง ไม่กล้าสบตาคนดุ
?ถ้าลูกฉันออกกำลังกายจะดีขึ้นหรือคะหมอ?
?การออกกำลังกายและการทานอาหารให้ครบถ้วน ล้วนแล้วแต่เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ร่างกายแข็งแรงทั้งนั้นแหละครับ?
แม้คุณหมอจะไม่ได้พูดว่าใช่ ต้องออกกำลังกายเดี๋ยวนี้และตอนนี้ และอ้อมโลกยังไงมันก็ได้คำตอบแบบเดียวกัน
ใช่ มึงควรออกกำลังกายได้แล้ว
ข้อสรุปนั้นทำให้คนเก็บตัวถึงกับยิ้มไม่ออก เพราะเขาเนี่ยนะ อย่างเขาเนี่ยนะจะออกกำลังกาย!
ไม่ใช่แค่ไม่ได้ออกแรงมากๆ มาตั้งแต่ ม.ปลาย หรือไม่ค่อยเจอกับอากาศร้อนๆ เท่านั้น แต่เขา...เกลียดการออกไปพบปะคนเยอะๆ ที่สุดเลยเชียวล่ะ
ดังนั้นไอ้ไวท์คนนี้บอกได้เลยว่า...ไม่มีทาง!!!
?วันนี้จะวิ่งกี่รอบ?
?สองก็พอไหมแก?
?ฮ่าๆๆๆ ก็เห็นบนไว้ว่าถ้าได้ไปคอนเสิร์ตจะวิ่งแก้บนไง?
?ค่อยๆ ทยอยแก้เว้ย วิ่งทีเดียวหกรอบก็มาราธอนแล้วไอ้บ้า!?
ใช่ นายไวท์เคยบอกตัวเองว่าคนอย่างเขาไม่มีทางมาเจอคนเยอะๆ ไม่มีทางออกมาสัมผัสแสงแดดภายนอก ไม่มีทางออกมาสู้อากาศร้อน ไม่มีทางออกแรงหลังจากที่ไม่ได้ทำมาหลายปี แต่ตอนนี้เขาอยู่ที่...สวนลุมพินี
คนเยอะไหม...มากๆ
อากาศร้อนไหม...สุดๆ
แสงแดดจ้าไหม...โคตรๆ
สถานที่ที่ไม่ว่าคิดยังไงก็ควรจะเลี่ยงให้ห่างที่สุด!
ทว่าตอนนี้ชายหนุ่มได้แต่คิดพลางทำหน้าแหยๆ เพราะสาเหตุเดียวที่ทำให้เขายืนหลบมุมอยู่ตรงนี้คือ...มารดา
คนที่ร้องไห้แล้วขอร้องว่าช่วยทำอะไรกับร่างกายที่อ่อนแอนี้ทีเถอะ เพราะแม่ไม่อยากอยู่ร่วมงานศพลูกก่อนตัวเอง แล้วเขาจะทำยังไงได้ เมื่อไม่ใช่แค่แม่เท่านั้นที่ขอ พี่เขมก็เห็นด้วยว่าออกไปข้างนอกบ้าง มีสังคมบ้าง ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวได้แห้งตายคาบ้าน และแนะนำสถานที่นี้มาให้
ถ้าพูดว่าออกกำลังกาย ทุกคนคงนึกภาพฟิตเนสที่แอร์เย็นฉ่ำกลางห้างสรรพสินค้า แต่สำหรับนายไวท์คนขี้อายแล้ว เพียงแค่คิดว่าต้องอยู่ท่ามกลางชาย-หญิงรักสุขภาพที่แต่งตัวด้วยของแบรนด์เนมตั้งแต่หัวจรดเท้า...เขาก็สั่นหัวแรงๆ ด้วยความกลัวแล้วล่ะ
ฟิตเนส...น่ากลัวเกินไป ดังนั้นลูกพี่ลูกน้องเลยแนะนำว่าทำไมไม่ลองไปวิ่งที่สวนสาธารณะแถวบ้าน และที่นี่...ใกล้สุด
ทว่าขอโทษนะครับ...คนเยอะสุดเหมือนกัน
ดังนั้นตอนนี้หนุ่มร่างเล็กที่สวมกางเกงขาสั้นพอดีเข่ากับเสื้อแขนยาวปิดบังมิดชิดเลยกำลังยืนตัวลีบท่ามกลางผู้คนมากมายที่มาออกกำลังกายในช่วงเย็น และแน่นอนว่า...สั่นกลัว
ความกลัวนั้นทำให้เจ้าตัวมองแค่พื้นจนเห็นปลายรองเท้าผ้าใบคู่เก่าที่งัดออกมาใช้ หลบเลี่ยงสายตาของผู้คนที่เขาไม่ได้สนทนาด้วยมานานมากแล้ว บอกตัวเองเพื่อเรียกกำลังใจว่า...ทำเพื่อแม่
ถ้ากูแข็งแรงขึ้นก็จะได้ทำงานมากขึ้นด้วย
เจ้าตัวฮึดสู้ด้วยความคิดนั้น สองขาที่ก้าวช้าๆ แถมเดินหลังค่อมนิดๆ จึงเริ่ม...ออกวิ่ง
วันแรกสักสิบนาทีก็น่าจะไหวล่ะมั้ง
นั่นคือความคิดเมื่อหลายนาทีก่อน แต่ยังไม่ทันจะถึงห้านาที...
?แฮก แฮก...แฮก...? เจ้าตัวก็หอบหายใจจนตัวโยน!
เหนื่อย เหนื่อยจะตายแล้ว!!!
คนที่เริ่มวิ่งไม่ถึงห้านาทีกระซิบแผ่วในใจ สองขาที่เคยคิดว่าวิ่งสิบนาทีสบายๆ กลับอ่อนล้าจนแทบขยับไม่ไหว ที่สำคัญ...ลมหายใจกำลังถี่กระชั้นจนช่วงอกเจ็บไปหมด ปอดอัดแน่นจนเหมือนจะระเบิดตูมออกมา ดวงตาทั้งสองข้างก็เริ่มพร่าเลือน
เจ็บ...อก...
?แฮก...มะ...ไม่...ไหว...แฮก...แล้ว...?
ตึก...ตึก...ตึก...
ความเร็วกำลังลดลงเรื่อยๆ ทั้งที่คิดว่าวิ่งอยู่ แต่ทำไมผู้คนสองข้างทางถึงขยับเคลื่อนผ่านตัวเขาไป จนตอนนี้ไวท์กำลังลากขาทั้งสองข้างไปบนพื้นถนน ปอดรับภาระหนักจนกระบังลมขยับเร็วจนน่ากลัว สองมือที่กำอยู่ข้างลำตัวคลายออก แถมยังตกลงทิ้งข้างสะโพก และสิ่งที่เขาไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น...
โครม!!!
?เฮ้ย คุณ!!!?
สิ่งสุดท้ายที่ไวท์ได้ยินคือเสียงใครบางคนที่ตะโกนก้อง พร้อมกับฝ่ามือที่รองรับร่างของเขาเอาไว้ก่อนที่จะร่วงลงสู่พื้นดิน จนคิดได้แค่เพียงว่า...
ไวท์เปลี่ยนแปลงตัวเองไม่ไหวหรอกครับแม่ คนอย่างไวท์...ทำไม่ได้หรอก
ตอนที่ 1
ถ้าอยากเปลี่ยนแปลงต้องเริ่มที่...ตัวกระตุ้น
ในช่วงเย็น สวนลุมพินีก็เหมือนดั่งสถานที่ออกกำลังกายขนาดใหญ่ซึ่งรวบรวมผู้คนมากมายที่รักสุขภาพ เพราะมีกิจกรรมหลากหลาย ทั้งแอโรบิคที่นิยมสำหรับสาวๆ ทุกวัย ทั้งรำมวยจีนที่เป็นที่รวมตัวของเหล่าอาม่าอากง ทั้งสนามบาสเกตบอลที่มักจะมีวัยรุ่นมาเฮฮา หากแต่ที่เด่นที่สุดและคงไม่มีใครไม่รู้จัก...การวิ่ง
ถ้ามั่นหน้ามั่นใจก็มาคนเดียวไม่มีปัญหา ยังไงก็เจอเพื่อนร่วมอุดมการณ์มากมาย หากแต่มาเป็นแก๊ง วิ่งไปคุยไปก็สนุกสนานกันอีกแบบ ทั้งยังมีคนช่วยกันฉุดกันลาก พอเหนื่อยหน่อยก็เดินเม้าส์ให้ครบรอบและมีร้านน้ำคอยให้บริการ แต่สำหรับเมฆาแล้ว...เขาเป็นอย่างแรก
?พี่เมฆจะไปวิ่งแล้วหรือคะ?
?ครับผม?
?แน่ะๆ ไปเหล่สาวๆ ก็บอกมาซะดีๆ?
?โหย ไม่มีสาวไหนสนใจพี่เนี่ยสิ ทำไงดีล่ะ?
?โธ่ อย่างพี่เมฆไม่มีคนสนใจ ผู้ชายที่นี่ก็แห้วกินทุกคนล่ะค่ะ!?
ในเวลาเลิกงาน ภายในธนาคารชื่อดัง ชายหนุ่มคนหนึ่งที่เพิ่งจะจัดการงานตัวเองเรียบร้อยก็ผลัดเปลี่ยนจากเสื้อเชิ้ตกางเกงสแล็คมาเป็นกางเกงวิ่งขาสั้นที่เผยให้เห็นกล้ามเนื้อขาเป็นมัดๆ กับเสื้อกล้ามสีเข้มสำหรับใส่วิ่ง จนแลเห็นกล้ามเนื้อไบเซบและไตรเซบที่เวลาปกติถูกซ่อนอยู่ใต้เสื้อเชิ้ต ทำเอาสาวแบงก์ทั้งหลายมองกันน้ำลายหก อยากจะเข้ามาจิ้มให้กล้ามแตกสักทีสองที แต่ก็ทำได้แค่...มอง
ในเมื่อหลายปีมานี้ไม่ยักเห็นพี่เมฆสนใจใคร สิ่งเดียวที่นายแบงก์หนุ่มรูปหล่อสนใจคือ...การออกกำลังกาย
เวลานี้ก็เอาแล้วไง เลิกงานปุ๊บ เปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วก็ออกไปยังสวนสาธารณะใกล้ๆ นี้จนเป็นกิจวัตรประจำวัน แถมได้ข่าวว่าวันหยุดยังลงแข่งวิ่งมาราธอนทุกรายการ หลายคนต่างก็รู้กันว่าพี่ผู้จัดการฝ่ายสินเชื่อวัยสามสิบสามเคยเป็นนักกีฬาของมหาวิทยาลัยมาก่อน แต่ใครจะคิดล่ะว่าจะรักสุขภาพได้ขนาดนี้
ทว่ากิจวัตรประจำวันแบบนี้ก็ทำให้หลายคนไม่แปลกใจเลยที่ผู้ชายวัยเลขสามยังคงแซบไม่ต่างจากเด็กหนุ่มๆ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องรูปร่าง อันนั้นมันกินขาดมาแต่ไหนแต่ไร แต่หมายรวมถึงใบหน้าคมเข้มที่ไม่มีริ้วรอยตีนกาอย่างคนขึ้นเลขสามสักนิด ทั้งที่งานก็ออกจะเคร่งเครียด แต่เจ้าตัวก็ยังคงความหนุ่มและความอารมณ์ดีได้ไม่ต่างจากเมื่อหลายปีก่อน
หากกีฬาทำให้คนอ่อนเยาว์ ผู้ชายคนนี้ก็เป็นผลทดสอบที่พิสูจน์มาแล้ว!
?งั้นพี่ไปแล้วนะ?
?ขอให้ได้สาวนักวิ่งมาสักคนนะคะ?
เมฆาถึงกับหัวเราะร่วน เมื่อเพื่อนร่วมงานแต่ละคนยุยงให้เขาหาเพื่อนคู่ใจมาวิ่งด้วยสักที ทั้งที่เขาไม่ได้วิ่งเพื่ออะไรแบบนั้น เขาก็แค่วิ่งเพราะมันได้ออกกำลังกาย ได้ออกแรง ได้เอาความเครียดที่สะสมอยู่ชะไปกับเหงื่อที่เสียไป ซึ่งมันทำให้รู้สึกดีมากหลังจากที่นั่งโต๊ะมาทั้งวัน แถมยังหลับสบายในเวลากลางคืนอีกต่างหาก
อีกทั้งเขาเป็นประเภทนักกีฬามาตั้งแต่เด็ก เล่นกีฬามาแทบจะทุกประเภท พอต้องมาทำงานนั่งโต๊ะนิ่งๆ นานๆ ร่างกายก็ประท้วงว่าต้องการเผาผลาญพลังงาน เจ้านายของร่างกายที่ดีอย่างเขาก็ต้องตามใจมัน ด้วยการหากิจกรรมอย่างอื่นทำ และการวิ่งก็เป็นวิธีแก้ปัญหาที่เขายอมรับเลยว่ารู้สึกใช่
?วันนี้สักสี่รอบแล้วกัน? เมฆาพึมพำพลางก้มลงมองนาฬิกาข้อมือ
หนึ่งรอบของสวนลุมพินีมีระยะ 2.6 กิโลเมตร สำหรับเขาจะวิ่งวันละสามรอบเป็นอย่างน้อย แต่เพราะช่วงนี้เป็นฤดูร้อน ท้องฟ้ามืดช้า จึงยังมีเวลาเหลือพอให้วิ่งได้สักสี่รอบหรือสิบกิโลเมตรเศษๆ อย่างสบายๆ
เจ้าตัวถึงกับยิ้มอย่างพอใจในความคิด ก้มลงไปผูกเชือกรองเท้าวิ่งคู่ใจให้แน่นหนา แล้วเริ่มต้นยืดเส้นยืดสายคลายกล้ามเนื้อ เมื่อเสร็จสิ้นพิธี...
?เอาล่ะ!?
เมฆาล้วงเอาหูฟังมายัดใส่หู เลือกเพลงให้เรียบร้อยแล้วยัดโทรศัพท์มือถือลงในกระเป๋าวิ่งคาดเอว จากนั้น...ก็ถึงเวลาออกกำลังกายอย่างที่เขาชอบ
ซ่า...ซ่า...
พอเริ่มออกวิ่ง ผู้ชายตัวโตที่กำลังตกเป็นเป้าสายตาของหลายๆ คนก็ยกยิ้มน้อยๆ อย่างพอใจเมื่อสายลมเย็นๆ พัดเข้าปะทะหน้า เสียงผู้คนรอบข้างที่พากันออกมาด้วยวัตถุประสงค์เดียวกันทำให้เขาไม่รู้สึกเหงา ตรงกันข้าม เขามีเพื่อนร่วมอุดมการณ์มากมาย บางทีก็ได้เพื่อนใหม่ จนตอนนี้รวมตัวเป็นก๊วนใหญ่ลงวิ่งมาราธอนด้วยกันประจำ
แต่วันนี้...ไม่ยักเห็นสักคน
เจ้าตัวยักไหล่ ตามองข้างหน้า ร่างกายเคลื่อนไหวอย่างรู้หน้าที่ จวบจนครบรอบแรกก็พบว่าทำเวลาดีกว่าที่คิด ฟ้ายังสว่างจ้า แถมคนก็เริ่มเยอะมากกว่าเดิม เลยตั้งใจจะวิ่งเอาขอบนอกๆ หน่อย แต่...
ไหวไหมวะนั่น
ดวงตาคู่คมตวัดไปมองร่างผอม ไม่สิ แบบนี้น่าจะผอมแห้งมากๆ ดูก็รู้ว่าน่าจะเพิ่งมาใหม่ เพราะเสื้อยืดตัวโคร่งกับกางเกงใส่นอนนั่นไม่น่าจะเหมาะกับการขยับร่างกายเลย อีกทั้งรองเท้าที่ไม่ได้รองรับสภาวะตอนวิ่งก็ทำให้คิ้วเข้มขมวดฉับ
เรื่องหน้าใหม่น่ะไม่แปลกใจหรอก ที่นี่ก็มีคนมากหน้าหลายตาผลัดเปลี่ยนกันมาเรื่อยๆ แต่ที่สะดุดตาคือ...การหายใจ
เมฆถึงกับชะลอฝีเท้าลงจนกลายเป็นเดิน เมื่อผู้ชายตรงหน้ากำลังหอบหายใจจนตัวโยน แม้ท่าทางจะเหมือนวิ่ง ทว่าร่างกายกลับเคลื่อนไปข้างหน้าช้าจนใครๆ ก็แซงขึ้นไปแล้ว อีกทั้งผิวขาวซีดที่โผล่พ้นเสื้อยืดก็ดูเหมือนพวกขี้โรคจนชักน่าเป็นห่วง
เขาไม่อยากเห็นข่าวคนหัวใจวายตายที่นี่หรอกนะ
ทักดีไหมวะ
?แฮก แฮก...แฮก...?
ขนาดเขาเดินตามอยู่ด้านหลังยังได้ยินเสียงหอบชัดขนาดนี้ แล้วเจ้าตัวไม่รู้ได้ยังไงว่าถ้าไม่ไหวก็ต้องหยุด!
แบบนี้ไม่ไหวนะคุณ!
เขาเกือบจะเข้าไปถามแล้ว แต่...
ฮวบ!
?เฮ้ย คุณ!!!?
ทันทีที่เห็นว่าร่างผอมทิ้งตัวลงกับพื้น ร่างกายของเขาก็ขยับไปไวกว่าสมอง สองมือพุ่งไปประคองต้นคอทันก่อนที่จะล้มหัวฟาดพื้น หัวใจเต้นถี่แรงด้วยความตระหนก ดวงตาเบิกกว้างอย่างไม่คาดคิดว่าจะเจอคนบ้าที่ไม่รู้ลิมิตตัวเองว่าควรจะหยุดตอนไหน!
?คุณ! นี่คุณ!? เมฆประคองหัวเอาไว้มั่น เขย่าเรียกเบาๆ แต่ร่างในอ้อมกอดกลับไม่รู้สึกตัว เอาแต่หอบหายใจจนรู้สึกได้เลยว่ากระบังลมกำลังขยับขึ้นลงแรงๆ
?เป็นอะไรหรือเปล่าคะ?
?ไม่รู้เหมือนกันครับ จู่ๆ ก็ล้มลงไปเลย?
ผู้คนรอบข้างชะงักหันมามอง แล้วเอ่ยปากถามอย่างเป็นห่วง คนแปลกหน้าอย่างเมฆเองก็ส่ายหัว จนมีใครสักคนยื่นยาดมมาให้
?ขอบคุณครับ?
?พาไปนอนที่ม้านั่งข้างๆ ดีกว่าค่ะ?
เมฆรับยาดมมาจ่อจมูกคนที่หอบจนตัวโยนแม้ว่าจะยังไม่ได้สติ ขณะฟังคำแนะนำที่ทำให้พยักหน้าแรงๆ ยิ่งมองไปด้านหลังพบว่าหลายคนเริ่มมามุงดู เขาก็ตัดสินใจ...
?ฮึบ?
เบากว่าที่คิดอีกแฮะ
ทันทีที่กระชับร่างผู้ชายคนนั้นเอาไว้ในอ้อมกอด คนอุ้มก็ขมวดคิ้วฉับ ส่ายหน้าช้าๆ เพราะดูเหมือนที่กะจากสายตาว่าผอมแห้ง มันควรจะเป็นโคตรแห้งมากกว่า ชนิดที่อุ้มทียังกลัวตัวจะหักเอาด้วยซ้ำ แล้วไหนจะ...
ขาว...ขาวมาก ขาวแบบที่ไม่เคยเห็นคนรอบข้างขาวแบบนี้มาก่อน
เจ้าตัวสะบัดความคิดนั้นทิ้งอย่างรวดเร็วยามที่วางร่างบางลงบนม้านั่ง ให้น้องผู้หญิงอีกคนช่วยเอากระดาษมาพัดลมเย็นๆ ให้กับคนที่หมดสติ ขณะที่ตัวเขาผละออกมานิดเพื่อสำรวจ แล้วเพิ่งสังเกตว่าคนที่หมดสติ...หน้าตาค่อนข้าง...น่ารัก
พูดแบบนี้เสียมารยาทหรือเปล่าวะ
เมฆส่ายหัวช้าๆ เพราะเขาดันคิดว่าดวงตาที่ปิดสนิทจนเห็นแพขนตาหนาที่ทาบทับอยู่บนแก้ม จมูกเล็กน่ารัก และริมฝีปากที่แม้จะแห้งแตกแต่บางจัด มันดูน่ารักไปทุกสัดส่วน ยิ่งรวมกับรูปร่างเล็กบางแบบนี้ ถ้าพูดว่าเกิดมาผิดเพศก็คงไม่ผิด จึงต้องสั่นหัวแรงๆ กับความคิดไร้สาระ ในจังหวะที่...
?อื้อ?
?ฟื้นแล้ว ค่อยยังชั่ว ยังไงคุณช่วยดูต่อด้วยนะคะ ขอโทษที่ช่วยอะไรมากกว่านี้ไม่ได้ ฉันต้องรีบกลับไปขึ้นเวรเหมือนกันค่ะ?
?อ้อ ครับๆ ขอบคุณมาก ผมดูเขาเอง?
สงสัยคงทำงานในโรงพยาบาลล่ะมั้ง อาจจะเป็นพยาบาล
เมฆส่งยิ้มให้ผู้หวังดีที่ขอตัวไปก่อน จากนั้นก็หันกลับมามองคนที่กำลังปรือตาขึ้นมาช้าๆ
ขนตายาวชะมัดเลยว่ะ
มันอดคิดไม่ได้จริงๆ ตอนที่เปลือกตาขยับยุกยิกไปมาก่อนที่จะปรือขึ้นมาช้าๆ เผยให้เห็นดวงตาสีดำสนิทที่กำลังวาวใสด้วยหยดน้ำตา จนเขาต้องรีบขยับไปนั่งคุกเข่าข้างๆ
?คุณครับ จำได้ไหมว่าอยู่ที่ไหน?
?เอ่อ...ผม...?
?คุณล้มไปตอนที่กำลังวิ่งอยู่ พอจะจำได้ไหมครับ? เมฆถามเพื่อความแน่ใจว่าอีกฝ่ายไม่เป็นไรแน่ๆ แต่ดูเหมือนคำที่หลุดออกมาปากจะทำให้...
?ละ...ล้ม...ผมล้ม...?
ชายหนุ่มสาบานได้ว่าไม่เคยเห็นใครหน้าแดงจัดเท่านี้มาก่อน!!!
ทันทีที่อีกฝ่ายรู้ตัวว่าล้มกลางถนน ผิวที่เคยคิดว่าขาวแบบขาวมากๆ กลับเปลี่ยนสีอย่างรวดเร็วจนอดคิดไม่ได้ว่าเลือดอาจจะพากันมาเลี้ยงใบหน้าจนหมดตัวแล้วก็ได้ แต่เห็นได้เพียงแวบเดียว คนเพิ่งฟื้นก็ยกมือปิดหน้าด้วยความอับอาย และถ้าไม่ได้คิดไปเอง...เหมือนจะร้องไห้เอาซะด้วย
?เฮ้ย คุณ ไม่เป็นไรๆ แค่เป็นลม ใครๆ ก็เคยเป็นลมเพราะออกแรงมากไปทั้งนั้น?
?ตะ...แต่ผม...ผม...?
คนตรงหน้าพูดอะไรไม่ออกสักคำ ได้แต่สั่นหน้าอยู่ใต้ฝ่ามือตัวเอง ทำท่าเหมือนไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมองใครอีกแล้ว จนต้องวางมือลงบนไหล่ บีบเบาๆ แล้วยืนยัน
?ผมพูดจริงๆ มันไม่ใช่เรื่องน่าอายเลย คุณเองก็แค่อยากออกกำลังกายใช่ไหมล่ะ แต่ทีหลังอย่าฝืนนะครับ มันจะไม่ดีต่อตัวคุณเอง? เขาบอกด้วยน้ำเสียงปลอบๆ อย่างหวังว่าจะให้อีกฝ่ายรู้สึกดีขึ้น จนทางนั้นค่อยๆ ลดมือลงช้าๆ แต่...ก้มลงมองแค่มือตัวเอง
?ผม...พี่...ช่วยผมไว้...สินะครับ?
อีกฝ่ายเอ่ยเสียงเบาแทบไม่ต่างจากเสียงกระซิบ จนเขาต้องขยับเข้ามาฟังใกล้ๆ แต่ดูเหมือนนั่นจะทำให้...
เฮือก!
อาการแบบนี้น่าจะเรียกว่าผวา
ท่าทางราวกับสัตว์ตัวเล็กๆ ที่อยู่กลางวงนักล่าไม่มีผิด ทำให้คนตัวโตที่ไม่ได้ตั้งใจทำให้กลัวได้แต่เกาหัวอย่างไม่รู้จะทำยังไง นอกจากขยับออกห่างให้มีช่องว่างแล้วตัดสินใจพยักหน้า
?พี่แค่ผ่านมาเจอพอดีน่ะ? ในเมื่ออีกฝ่ายเรียกพี่ เขาก็แทนตัวด้วยพี่ดีกว่า เผื่อจะทำให้หายกลัวสักนิด
?ผม...ผมทำให้พี่...เดือดร้อน?
?ไม่ๆๆ พี่ไม่ได้เดือดร้อน เรื่องแค่นี้ก็ต้องช่วยกันสิ...เนอะ?
เมฆายิ้มกว้าง หากแต่คนฟัง...ไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมามองด้วยซ้ำ เขาเลยได้แต่หัวเราะแห้งๆ มองคนที่บีบมือกันแน่นแล้วคิดว่าคงถึงเวลาที่ต้องผละจากตรงนี้แล้ว ร่างสูงจึงขยับลุกขึ้นยืนตัวตรง
?ยังไงก็อย่าหักโหมนะครับ แล้วอย่าหาว่าพี่ไม่เตือน?
เอาวะ อย่างน้อยก็ยอมเงยหน้าขึ้นมาสบตา
ชายหนุ่มส่งยิ้มขี้เล่นอย่างหวังให้อีกฝ่ายอารมณ์ดีขึ้น และมันต้องได้ผลไม่มากก็น้อยแหละน่า เพราะอีกฝ่ายก็สบตากัน แม้ปากบางๆ นั่นจะเม้มเข้าหากันอย่างไม่แน่ใจ แต่ดวงตาที่กะพริบปริบๆ จนเห็นขนตาสวยๆ ขยับก็ทำให้เขารู้สึกว่าคุ้มอยู่ไม่น้อย
?งั้นพี่ไปแล้วนะ?
?คะ...ครับ?
กว่าจะรอให้อีกฝ่ายหลุดปากมา เขาลุ้นแล้วลุ้นอีก ซึ่งพอได้ยินคำตอบจนวางใจได้ เมฆก็หมุนตัวกลับไปเพื่อวิ่งต่อ แม้จะมีความรู้สึกอยากหันไปมอง แต่เกรงว่าจะทำให้อีกฝ่ายกลัวเอาเปล่าๆ เขาเลยตัดใจ ปัดไล่ท่าทางหวาดกลัวราวกับสัตว์ตัวเล็กๆ ออกไป ทั้งที่...เป็นห่วงยังไงไม่รู้
แน่นอนว่าเขาไม่ได้ยินเสียงพึมพำที่อีกฝ่ายกระซิบกับตัวเองว่า...
?ใช้ไม่ได้เลยไอ้ไวท์ แค่จะขอบคุณเขา...ยังพูดไม่ออก?
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
เพราะร่างกายอ่อนเปลี้ยเพลียแรงขั้นสุด ?ไวท์? โปรแกรมเมอร์ตัวแห้งผิวขาวจั๊วะที่แทบไม่เคยออกจากบ้านจึงต้องปฏิวัติตัวเองด้วยการไปวิ่งออกกำลังกาย แต่แค่ได้ลองครั้งแรกก็แทบล้มคะมำหน้าคว่ำแล้ว ดีว่าหนุ่มหล่อหุ่นนักกีฬาเข้ามาช่วยไว้ทัน แถม ?พี่เมฆ? พลเมืองดียังเป็นนักวิ่งมาราธอนที่นอกจากใจดีแล้วยังเข้าใจความขี้อายของเขา เพราะฉะนั้นพอถูกชวนให้มาวิ่งด้วยกัน จากเดิมทีที่คิดว่าไม่เอาแล้ว ไม่วิ่งแล้ว ก็ต้องเปลี่ยนใจยอมฝืนร่างกาย แต่...ถึงพี่เมฆจะหล่อเหลาน่าหลงใหลแค่ไหน ก็ไม่เอา ไม่หวั่นไหวสิ!
