รัชสมัยโตวเถียน ปีหยวนซั่วที่หก
เสียงร้องไห้ของเด็กน้อยแผดจ้าออกมาจากพระราชวังหลัง
เสียงนั้นทั้งดังและกังวานใส ถ่ายทอดจากวังเสียนฝูซึ่งอยู่ถนนที่สองด้านตะวันตกของพระราชวังหลังไปยังวังฉางชุนซึ่งอยู่ถัดไป
เมื่อพระสนมเสียนทรงอุ้มเด็กน้อย ก็มีเสียงฝีเท้ารีบเร่งมาหา พระสนมเสียนจึงรับสั่งให้ข้ารับใช้ในวังไปตระเตรียมน้ำร้อนกับผ้าอ้อมทันที เพียงครู่เดียวทุกคนในวังฉางชุนก็วุ่นวายจนมือเป็นระวิง
เงาร่างเล็กๆ เดินผ่านวังเสียนฝู เพียงมองเห็นเสด็จพ่อ เขาก็คุกเข่าลงที่ตำหนักหน้า ในอ้อมพระกรของเสด็จพ่อดูคล้ายกำลังทรงอุ้มสิ่งใดอยู่ และข้ารับใช้ทั้งหมดล้วนคุกเข่าอยู่ด้านนอกตำหนัก
เด็กชายสวมชุดไหมสีม่วงปักดิ้นทอง ผมยาวถักเป็นเปีย ใบหน้ารูปไข่อันงดงามนั้นสลักไว้ด้วยดวงตาเรียวสวยคู่หนึ่ง เครื่องหน้าชัดเจนโดดเด่นเฉกเช่นบุรุษรูปงามตามลักษณะเฉพาะของเชื้อพระวงศ์
เขาขมวดคิ้ว รู้สึกว่าที่นี่เงียบอย่างประหลาด และวังฉางชุนของเสด็จแม่ก็เสียงดังวุ่นวายจนน่าแปลกอยู่หน่อยๆ
?องค์ชาย พวกเรากลับวังฉางชุนกันก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ? ชิงฝู ขันทีคนสนิทดึงพระองค์ไว้
แม้ว่าจะยังเยาว์วัยและไม่เข้าใจแน่ชัดนักว่าเกิดอะไรขึ้นในวังเสียนฝู แต่กิริยาอันไม่ปกติของฝ่าบาท กอปรกับข้ารับใช้กลุ่มใหญ่ยังคงคุกเข่าอยู่ ไม่ว่ามองอย่างไรก็ผิดปกติ
?แต่เสด็จพ่อ...?
ครั้นเห็นว่าองค์ชายอยากจะเข้าไปในวังเสียนฝู ชิงฝูจึงรีบดึงพระองค์กลับวังฉางชุน ?องค์ชาย พวกเราไปกันก่อนเถิด ไปกันพ่ะย่ะค่ะ?
?ชิงฝู? เขาเม้มปากแน่นด้วยความไม่พอใจ แต่ก็ยินยอมกลับไปอย่างว่าง่าย
เมื่อกลับไปวังฉางชุน เขาทันได้เห็นเสด็จแม่ส่งหมอหลวงออกจากตำหนักพอดี ดูเหมือนเสด็จแม่จะกำลังรับสั่งถามบางสิ่งอยู่โดยละเอียด
?เสด็จแม่? องค์ชายเรียกเสียงเบา
พระสนมเสียนมองมาแวบหนึ่งแล้วใช้สายตาปรามเอาไว้ และกลับไปถามหมอหลวงอีกสองประโยคก่อนส่งหมอหลวงออกจากตำหนัก จากนั้นนางสั่งให้ข้ารับใช้เร่งต้มยา ทั้งยังให้หญิงรับใช้รีบพาองค์ชายออกไป
?อี้เจิน พาซู่เอ๋อร์ไปที่ตำหนักบรรทม?
?เพคะ?
?เสด็จแม่...?
?ซู่เอ๋อร์ เป็นเด็กดีสิ...? พระสนมเสียนรีบหันกายจากไปเมื่อเอ่ยจบ
เว่ยฉือซู่ได้แต่ยืนนิ่งงัน
ที่แท้แล้วเกิดอะไรขึ้นกัน เขาหยุดคิดครู่หนึ่งแล้วจึงตามหญิงรับใช้ไปอย่างว่าง่าย เมื่อกลับถึงตำหนักบรรทมก็แสร้งทำเป็นจะอ่านหนังสือ แล้วอาศัยโอกาสที่หญิงรับใช้กำลังพูดบางสิ่งกับชิงฝูลอบออกไปจากตำหนักบรรทมอย่างรวดเร็วไม่ให้ผู้ใดพบเห็น
วังฉางชุนมีตำหนักหน้าขนาดใหญ่สองตำหนัก เมื่อรวมกับตำหนักหลังอีกสามตำหนักจะมีทั้งหมดยี่สิบตำหนัก ครอบคลุมพื้นที่กว้างขวาง แต่องค์ชายไม่จำเป็นต้องใส่ใจเรื่องนั้น เพราะเพียงอาศัยฟังเสียงร้องไห้ก็สามารถตามหาเสด็จแม่พบได้ทันที
ไม่นานนักเว่ยฉือซู่ก็มาถึงตำหนักบรรทมของเสด็จแม่ ข้ารับใช้เห็นเข้าจึงรีบหันมาถวายบังคม เขาโบกมือสองสามครั้งแล้ววิ่งมาลอบมองจากหลังฉากกันลม เห็นเด็กน้อยนอนอยู่บนเตียงของเสด็จแม่ ทั้งยังมีข้ารับใช้คนหนึ่งอุ้มตะกร้าที่เต็มไปด้วยผ้าเปื้อนโลหิตกำลังจะออกไป
เว่ยฉือซู่ตะลึงงันไปครู่หนึ่งจึงรุดไปยังข้างเตียง
?ซู่เอ๋อร์ แม่ให้เจ้ากลับไปที่ตำหนักบรรทมแล้วมิใช่หรือ? พระสนมเสียนเอ่ยเสียงเบา
?แต่...เสด็จแม่ บอกข้าก่อนว่าที่แท้เกิดเรื่องอันใดขึ้น เหตุใดผ้าที่หญิงรับใช้เหล่านั้นนำออกไปจึงเต็มไปด้วยเลือด?
เมื่อเห็นแววตาที่เต็มไปด้วยความไม่สบายใจขององค์ชาย พระสนมเสียนจึงโอบเขาเข้ามาในอ้อมอกแล้วอธิบาย ?ซู่เอ๋อร์ นั่นไม่ใช่เลือดของแม่ แต่ว่าเป็น...?
เพียงได้ฟังว่ามิใช่โลหิตของเสด็จแม่ ใจของเว่ยฉือซู่สงบลงเล็กน้อย เขาผินหน้าไปมองเด็กน้อยบนเตียงอย่างระแวดระวัง ?เขารึพ่ะย่ะค่ะ?? เขาจดจำใบหน้าซีดขาวเล็กๆ นั้นได้ คนคนนี้คือเจ้าของไม่ดีจากวังข้างเคียง
หลังจากเด็กคนนี้เกิดมา เสด็จพ่อก็ไม่ค่อยเสด็จมาวังฉางชุน...เจ้าของไม่ดีนี่แย่งเสด็จพ่อของเขาไป แล้วตอนนี้ยังจะมาแย่งเสด็จแม่ของเขาไปอีกหรือ
?ซู่เอ๋อร์ ต่อจากนี้ช่านเอ๋อร์จะมาอยู่ที่นี่ เจ้าต้องดีกับเขาเอาไว้นะ?
?เพราะเหตุใดพ่ะย่ะค่ะ?
?เพราะเขาคือน้องชายของเจ้า พี่ชายอย่างเจ้าควรรักและเอาใจใส่น้อง?
เมื่อเห็นสีหน้าเยือกเย็นของเสด็จแม่ แม้ในใจของเว่ยฉือซู่จะต่อต้าน แต่เขากลับทำได้เพียงพยักหน้ารับอย่างเชื่อฟัง ทว่าลึกๆ ยังกังขา ?แล้วเหตุใดเขาต้องมาที่วังฉางชุนนี่ด้วย? เจ้าของไม่ดีอาศัยอยู่ที่วังเสียนฝูข้างๆ กัน และยังมีเสด็จแม่ของตนเองอยู่แล้วนี่
?ซู่เอ๋อร์ ไม่ต้องถามมากความ? พระสนมเสียนเอ่ยเสียงเบา
เว่ยฉือซู่ไม่เข้าใจว่าเหตุใดจึงถามไม่ได้ ทว่าเขาลอบเห็นสีหน้าของเสด็จแม่ไม่สู้ดีนัก เขาจึงสงบปากสงบคำแต่โดยดี อย่างไรเสียมีน้องเพิ่มมาอีกคนก็ไม่มีอันใดแตกต่าง...ขอเพียงอย่าแย่งเสด็จแม่ของเขาไป
แต่แล้วเรื่องที่เว่ยฉือซู่กังวลที่สุดก็บังเกิด
พระสนมเสียนอยู่กับเว่ยฉือช่านตั้งแต่เช้าจรดค่ำ กระทั่งนอนยังนอนด้วยกัน ทำให้เขาขุ่นเคืองจนคันยิบ
เป็นเช่นนั้นจริงๆ ...น้องชายมิใช่ของดีอันใด มาแย่งเสด็จแม่ของเขาไปอีก
วิธีรับมือกับเจ้าของไม่ดี ก็คือจัดการเสีย
รอจนบาดแผลบนกายของเว่ยฉือช่านหายดี เริ่มลงจากเตียงมาเดินได้ เว่ยฉือซู่ก็แกล้งขัดขาให้ล้ม ครั้นเห็นเสด็จแม่ผินหน้ากลับมา เขาก็รีบเข้าไปกอดเว่ยฉือช่าน ปลอบไม่ให้ร้องไห้ จุมพิตใบหน้าน้องสักหน่อย เสด็จแม่ก็จะลูบศีรษะแล้วชมว่าเขาเป็นเด็กดีมาก เป็นพี่ชายที่ดีทีเดียว
เฮอะ...แค่คำพี่ชายที่ดีสี่พยางค์นี้มีค่าเป็นเงินเป็นทองรึ
เขาไม่สนใจเรื่องเล็กๆ พรรค์นั้นหรอก เขาเพียงแค่ไม่พอใจที่โดนเจ้าของไม่ดีแย่งเสด็จแม่ไปเท่านั้น
วิธีที่ดีที่สุดที่จะแย่งเสด็จแม่คืนมาก็คือ คอยอยู่ข้างกายเจ้าของไม่ดีนี่เสมอ แกล้งให้เจ้านี่ร้องไห้หาบิดามารดาเสียก่อน จากนั้นจึงจับมากอดเอาไว้ในอ้อมอก
ยิ่งไปกว่านั้น เขายังอาสาให้เจ้าของไม่ดีมานอนด้วยกันอีกด้วย เพราะขอเพียงมานอนกับเขา เจ้าของไม่ดีจะไม่อาจไปยุ่งกับเสด็จแม่ได้อีก ในเมื่อเขานอนกับเสด็จแม่ไม่ได้ เจ้าของไม่ดีก็ไม่อาจกระทำได้เช่นกัน
ดังนั้นวันแล้ววันเล่าที่เจ้าของไม่ดีเติบโตขึ้น ก็จะเริ่มได้ลิ้มรสความขมขื่น...
?เสด็จพี่ ท่านจะไปที่ใด?
เว่ยฉือซู่ในวัยสิบห้าปีเพิ่งจะเหยียบย่างออกนอกตำหนักฉินซือกลับถูกเว่ยฉือช่านมาขวางเอาไว้
?กงการอะไรของเจ้า? เขาหรี่ตาจ้องน้องชาย
เจ้าของไม่ดีนี่ประหลาดนัก ประหลาดที่มีคิ้วเข้มตาโต ใบหน้าเล็กขาวนุ่มนิ่มคล้ายซาลาเปาลูกเล็กๆ ทำเอาเว่ยฉือซู่คันไม้คันมือนึกอยากหยิกเล่นอยู่บ่อยครั้ง ทั้งที่อายุสิบสามปีแล้วแท้ๆ แต่ยังมีใบหน้าที่ไม่อาจแยกได้ชัดเจนว่าเป็นสตรีหรือบุรุษ โดยเฉพาะดวงตาซึ่งมักมีหยาดน้ำคลอหน่วยคู่นั้น มันทำให้เขานึกอยากแกล้งให้ร้องไห้อยู่บ่อยครั้ง
ทว่าเมื่อตัวติดกันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน จะเล่นหรือจะแกล้งก็ล้วนกระทำไม่แตกต่างกันนัก ตอนนี้ดูท่าน้องชายจะทำให้เขารำคาญเข้าจริงๆ เสียแล้ว
?แต่องค์ชายใหญ่พ่ะย่ะค่ะ พระสนมเสียนรับสั่งเอาไว้ ว่าหากองค์ชายทั้งสองเสด็จออกจากตำหนักฉินซือเมื่อใด จะต้องเสด็จกลับไปยังวังฉางชุนทันที? ใบหน้าที่ดูอ่อนไหวของชิงฝูดูขมขื่นเสียจนคล้ายจะหลั่งน้ำดีออกมาก็ไม่ปาน ?ระยะนี้กว่าองค์ชายใหญ่จะเสด็จกลับก็ช้าไปหนึ่งถึงสองชั่วยาม กระหม่อม...?
องค์ชายใหญ่ไม่กลับไป องค์ชายรองก็ไม่กล้ากลับก่อน เพราะกลัวว่าหากพระสนมเสียนถาม จะไม่รู้ควรทำประการใด เว่ยฉือช่านกับชิงฝูต้องฆ่าเวลาอยู่ข้างนอกหนึ่งถึงสองชั่วยามจึงกล้ากลับวังฉางชุน
?ข้าให้เจ้านำเสด็จองค์ชายรองกลับไปก่อน พูดมากอันใด?
?แต่...?
?ข้าจะบอกเสด็จแม่? เว่ยฉือช่านโพล่งขึ้นมา
เว่ยฉือซู่หรี่ตา ?เจ้ากล้าขู่ข้าหรือ? เจ้าของไม่ดีนี่บังอาจนัก ไปหัดทำตัวไม่ดีมาจากที่ใดกันจึงกล้ามาขู่เขาเช่นนี้
?มิใช่เช่นนั้น หากแต่เสด็จแม่บอกไว้ว่าเสด็จพี่ไปที่ใดล้วนให้บอกเสด็จแม่? เว่ยฉือช่านเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนลง แย้มพระสรวลเอาใจ ?ขอเพียงเสด็จพี่พาข้าไปด้วย ข้าก็จะไม่บอกเสด็จแม่?
?.....? หากนี่มิใช่การข่มขู่แล้วคืออะไร
เขาอายุสิบห้าปีแล้ว ภายใต้การอบรมสั่งสอนของมหาเสนาบดีไท่ฉวน เขาพอจะเข้าใจสถานะของตนคร่าวๆ แม้จะมีสถานะสูงส่งด้วยเป็นองค์ชายใหญ่ แต่เขามิใช่โอรสของฮองเฮา สถานะยังเทียบกับเว่ยฉือยวี่ โอรสของฮองเฮาซึ่งเป็นองค์ชายสามมิได้เสียด้วยซ้ำ เขาจึงต้องใช้เวลายามนี้เริ่มต้นเสริมความแข็งแกร่งให้แก่สถานะของตน ไม่ว่าจะเป็นการร่ำเรียนตำราหรือศิลปะการต่อสู้ เว่ยฉือซู่ล้วนไม่ต้องการพ่ายแพ้ให้แก่เว่ยฉือยวี่
เพียงเขาขึ้นเป็นอันดับหนึ่ง เสด็จแม่จะสามารถใช้ชีวิตอย่างสงบสุข
ไม่เช่นนั้น ถัดจากเขาลงไปยังมีพระอนุชามากมายทยอยเกิดมาเรื่อยๆ หากเขาไม่ชิงดีชิงเด่น เสด็จพ่ออาจลืมเลือนเสด็จแม่ไปเสียก็ได้
?เสด็จพี่? มือเล็กจับเขาไว้แน่น
?ผู้ใดเป็นพี่เจ้า? เว่ยฉือซู่ดึงมือนั้นออก วิ่งทะยานไปยังประตูโค้งนอกตำหนักฉินซือ จงใจให้เว่ยฉือช่านกับชิงฝูตามไม่ทัน
เขามีเจ้าของไม่ดีอยู่เคียงกายทุกวี่วัน ขึ้นตำหนักฉินซือไปเรียนหนังสือก็ไปด้วยกัน แต่เจ้าของไม่ดีนั้นเพียงจับหนังสือก็หลับเสียแล้ว...เจ้าของไม่ดีนี้ไม่มีประโยชน์อย่างแน่นอน แต่เขานั้นไม่เหมือนกัน เขาหาญกล้ามีปณิธานมุ่งมั่น ไม่ง่ายนักที่จะให้มหาเสนาบดีไท่ฉวนกราบทูลขอต่อฮ่องเต้ให้เจิ้นกั๋วกง เป็นผู้สอนศิลปะการต่อสู้แก่เขา เขาจึงไม่มีเวลาอยู่กับเจ้าของไม่ดี
เว่ยฉือซู่ลอบวิ่งออกไปโดยไม่มีผู้ใดทันได้มอง ทว่าเพิ่งจะวิ่งผ่านประตูโค้งเท่านั้นก็ได้ยินเสียงหัวเราะเยาะเย้ยดังขึ้นด้านหลัง เขาจึงหยุดฝีเท้าแล้วหันกลับไปยังข้างประตูโค้ง
?หลบไป ไอ้คนไม่มีผู้ใดต้องการ? ผู้พูดคือเว่ยฉือโย่ว โอรสของพระสนมหรงซึ่งเพิ่งจะมีอายุสิบสองปีเต็ม
?ใช่แล้ว หลบไป?
เว่ยฉือซู่หรี่ตา เจ้าพวกนี้คือพวกอนุชาโง่เง่าที่เพิ่งจะเข้าตำหนักฉินซือมาเรียนหนังสือ แต่กลับล้อมช่านเอ๋อร์เอาไว้
?ข้ามิได้ไม่มีผู้ใดต้องการเสียหน่อย? เว่ยฉือช่านตอบด้วยเสียงแผ่วเบา น้ำตาสองหยดเอ่อคลอหน่วย
?เจ้ามันเป็นคนที่ไม่มีผู้ใดต้องการ เสด็จแม่ข้าบอกว่าแท้จริงแล้วเจ้ามิใช่โอรสของเสด็จพ่อ เสด็จพ่อจึงไม่ต้องการเจ้าแล้ว? องค์ชายพระองค์หนึ่งเอ่ยขึ้น ?แม้แต่เสด็จแม่ของเจ้าก็ไม่ต้องการเจ้า...หึๆ เหตุใดเจ้าไม่ตายตามเสด็จแม่เจ้าไปเล่า เหตุใดมีดแทงเข้าไปลึกถึงเพียงนั้นเจ้ายังไม่ตายอีก?
เว่ยฉือซู่กอดอก พิงประตูโค้ง
เด็กเหลือขอพวกนี้ขาดการอบรมเสียจริง ไม่พูดเรื่องเก่าเก็บนานปีเช่นนี้สักนิดจะไม่สบายใจหรือไร
เขาได้ยินหลังจากเกิดเรื่องว่าพระสนมเจิน เสด็จแม่ของช่านเอ๋อร์ ไม่ทราบเหตุใดกลับเสียสติคลุ้มคลั่งจะสังหารช่านเอ๋อร์ นางคิดว่าช่านเอ๋อร์ตายไปแล้วจึงรีบฆ่าตัวตายตาม...เสด็จพ่อจึงส่งช่านเอ๋อร์ให้เสด็จแม่ของเขาดูแลสั่งสอน คนภายนอกล้วนคิดว่าช่านเอ๋อร์เป็นโอรสแท้ๆ ของเสด็จแม่ของเขาทั้งสิ้น
หรือก็หมายความว่าฉากที่เขาเห็นตอนเด็กๆ นั้นคือฉากที่พระสนมเจินฆ่าตัวตาย เสด็จพ่อเสด็จมาช้าไปเพียงก้าวเดียว...แน่นอน นี่เป็นเรื่องที่เขาฟังมาเช่นกัน กระทั่งบัดนี้เขายังไม่รู้ความจริงของเหตุการณ์นั้น
ดังนั้น...ไม่ทราบว่าด้วยเหตุใด ตั้งแต่นั้นมาน้อยครั้งนักที่เสด็จพ่อจะเสด็จมายังวังฉางชุนเพื่อมาเยี่ยมช่านเอ๋อร์ ราวกับว่าได้ลืมเลือนช่านเอ๋อร์ไปแล้ว
เมื่อมองช่านเอ๋อร์ เขาแทบจะดูไม่ประหลาดใจอันใดเลย เป็นเพราะช่านเอ๋อร์เคยถูกคนกลุ่มนี้หัวเราะเยาะมาก่อน หรือเพราะเขายังจดจำเรื่องราวในอดีตได้กันแน่ ครั้งนั้นเขายังมีอายุไม่เกินสามปี จะจดจำได้หรือ
?เหลวไหล...? เว่ยฉือช่านนั้นแม้แต่จะปฏิเสธว่าไม่จริงยังเอ่ยด้วยเสียงเล็กเบา ทั้งยังมีเสียงขึ้นจมูกหนักๆ อยู่ด้วย มือเล็กทั้งสองข้างบิดไปมาไม่หยุด คล้ายกำลังกดข่มความรู้สึกของตนเอาไว้
?ไม่ได้เหลวไหลสักหน่อย ดูสิ เจ้าหน้าตาไม่เหมือนพวกเราสักนิด เสด็จแม่ของเจ้าต้องลักลอบให้กำเนิดเจ้าแน่ สุดท้ายก็ฆ่าตัวตายชดใช้ความผิด?
ขณะเดียวกันขันทีที่คอยรับใช้อยู่ข้างกายองค์ชายเหล่านั้นก็แค่นเสียงเฮอะ คอยขานรับสนับสนุนไปด้วย
เว่ยฉือซู่เหยียดริมฝีปาก ในใจคิดว่าช่านเอ๋อร์ต้องไม่เหมือนเจ้าพวกนั้นแน่นอน ผู้ใดจะมีหน้าตาอย่างพวกชอบดูถูกผู้อื่นเยี่ยงพวกมันกันเล่า หากให้ตัดสินด้วยใจ เขาจะบอกว่าช่านเอ๋อร์หน้าตาน่ารักน่าเอ็นดูมาก ดวงตากลมโตวาววับดังลูกแก้วสีดำ ปากเล็กๆ สีแดงสดชวนให้ลองกัดสักคำ
และเพราะหน้าตาน่ารักเกินไป เว่ยฉือซู่จึงนึกอยากแกล้งช่านเอ๋อร์ แกล้งให้ร้องไห้ ทว่ากับน้องชายคนอื่นๆ เขากลับไม่สนใจจะหยอกล้อเสียด้วยซ้ำ เขารู้สึกกระทั่งว่าการเป็นพี่น้องกับคนเหล่านั้นเป็นเรื่องน่าอับอายนัก
แต่ที่น่าโมโหยิ่งกว่าคือ ชิงฝูทำสิ่งใดอยู่กันแน่
ช่านเอ๋อร์จะอ่อนแอก็แล้วกันไป แต่ชิงฝูไม่ออกหน้าปกป้อง ซ้ำยังไปหลบหลังผู้เป็นนายอีก...เป็นข้ารับใช้ประเภทใดกัน แย่จริง
?เหลวไหล เหลวไหล...?
?ฮ่า ฮ่า ฮ่า ร้องไห้เสียแล้ว ใช้ไม่ได้จริง...?
เว่ยฉือซู่มองภาพนั้นแล้วอดทอดถอนใจไม่ได้
เจ้าของไม่ดีนี่โง่เง่าเกินทนจริง ถูกคนหัวเราะเยาะรังแกยังไม่รู้จักต่อยสักหมัดสองหมัดให้มันรู้เสียบ้างว่าเป็นองค์ชายรอง แต่กลับโดนกลั่นแกล้งจนร้องไห้...พอกันที!
?ช่านเอ๋อร์? เว่ยฉือซู่สะบัดศีรษะเล็กน้อย เดินออกประตูโค้งมาตะโกนเรียก
?เสด็จพี่!? เพียงได้เห็นเขา เว่ยฉือช่านก็ยิ้มออกมาทันที
?พวกเจ้าทำอะไรกันอยู่ พวกเจ้าไม่รู้หรือว่าอาช่านเป็นองค์ชายรอง? เว่ยฉือซู่เดินเข้าใกล้ ดวงตาเรียวงามตวัดมองเชือดเฉือน
?เขามิใช่องค์ชายรองเสียหน่อย?
?เว่ยฉือหมิง เจ้าลองพูดให้ข้าฟังอีกครั้งสิ เชื่อหรือไม่ว่าข้าจะนำเรื่องนี้ไปทูลต่อพระสนมตวน?
?ก็ทูลสิ ข้าไม่กลัวท่านหรอก!? ผู้ที่ถูกจัดให้เป็นองค์ชายลำดับที่ห้าอย่างเว่ยฉือหมิง ได้รับการเอาอกเอาใจจนเกินความถูกต้องไปเสียแล้ว
?งั้นรึ? เขาว่าพลางยกยิ้มมุมปาก
น่าประหลาด รอยยิ้มเช่นนั้นดูน่าหวาดกลัวนัก เหล่าองค์ชายน้อยล้วนเงียบกริบในทันใด
?องค์ชายใหญ่ ทุกคนเพียงแค่หยอกเล่นให้สนุกสนานกันเท่านั้น นั่นก็เพราะองค์ชายรองน่ารักเหลือเกิน? เว่ยฉือยวี่โอรสคนโตของฮองเฮาเอ่ยพลางยิ้ม
?เอ๊ะ ต่อให้เพียงแค่หยอกเล่นกันก็ควรหยุดแค่ที่เหมาะที่ควรเท่านั้น? ต่อให้น่ารักเพียงใดก็มีเพียงเขาเท่านั้นที่แกล้งหยอกได้ พวกนั้นมีสิทธิ์อันใด เขาหันกายกลับ คว้ามือเว่ยฉือช่านเอาไว้มั่น ?ไปได้แล้ว?
?อื้อ? เว่ยฉือช่านบีบกระชับมือนั้นกลับไป
?ชิงฝู เจ้ากลับวังฉางชุนไปก่อน? เขาสั่งเสียงต่ำ
เว่ยฉือซู่พาเว่ยฉือช่านไปอย่างถือสิทธิ์ เขาไม่สนใจหรอกว่าพวกน้องๆ ด้านหลังจะคิดอย่างไร ที่สำคัญคือเจ้าของไม่ดีนี่ต่างหากที่ทำให้เขาไม่รู้จะเอาไปโยนทิ้งไว้ที่ใด
คิดดูแล้วเขาจึงตัดสินใจพาเว่ยฉือช่านไปหาเจิ้นกั๋วกงเพื่อฝึกวิชาบู๊ด้วยกัน ฝึกเจ้าหมอนี่เสียให้แกร่งพอจะได้ไม่เกรงกลัวผู้อื่นมารังแก และจะได้ไม่ต้องให้เขามาคอยกังวลแทนด้วย
เขาเหลือบมองเว่ยฉือช่าน เห็นว่านัยน์ตายังแดงเรื่ออยู่ ตาของเขาจึงกระตุกไม่หยุด
?เจ้าของไม่ดี หากคราวหน้าพบพวกเขาอีก ไม่ว่าอย่างไรก็ห้ามร้องไห้? เว่ยฉือซู่กำชับ ?ต่อยพวกเขาสักหมัดไปเลย อย่างไรก็ห้ามร้องไห้?
อยู่ภายในบริเวณพระราชวังนี้ หากถูกแกล้งเล็กน้อยก็ร้องไห้ จะอยู่ต่อไปได้หรือ
?ข้ามิใช่ของไม่ดีนะ ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขายังมีกันหลายคนด้วย ข้าสู้ไม่ชนะหรอก...?
เว่ยฉือซู่หลับตาอย่างเหนื่อยหน่าย ?แล้วแต่เจ้า อย่างไรเสียจำคำข้าไว้ก็พอ หากเมื่อใดสู้ไม่ชนะทั้งยังรู้สึกรับไม่ไหวจริงๆ หรือถ้ามันเกินรับมือ เจ้าก็หนีออกมา เข้าใจหรือไม่? อย่างน้อยก็อย่ายืนโง่อยู่ตรงนั้นให้ผู้อื่นรังแกเป็นพอ
?อื้อ?
เว่ยฉือซู่หยุดคิดเล็กน้อย ก่อนจะแสร้งถามอย่างไม่ใคร่ใส่ใจนัก ?พวกเขาทำแบบนี้กับเจ้าบ่อยหรือ?
ใครบอกว่าพวกเขาสองคนอาศัยอยู่ในวังฉางชุนด้วยกัน คงจะใช้เวลาร่วมกันมากมาย แต่เว่ยฉือซู่ไม่เคยได้ยินเว่ยฉือช่านเอ่ยถึงเรื่องนี้มาก่อน ดูจากเหตุการณ์เมื่อครู่แล้ว เรื่องแบบนี้น่าจะไม่ได้เกิดขึ้นครั้งแรก
?อื้ม แล้วหลังจากนั้นอายวี่ก็จะช่วยข้า? เว่ยฉือช่านตอบอย่างไม่ใส่ใจ
?ยวี่รึ เจ้าควรอยู่ห่างจากเขาหน่อยนะ?
?แต่อายวี่ดีกับข้ามากเลยนะ?
ได้ฟังดังนั้น เว่ยฉือซู่ก็สะบัดมือของเว่ยฉือช่านออก ?ถ้าเจ้าคิดว่าเขาดีกว่าก็ไปหาเขาสิ ไม่ต้องมาทำตัวติดกับข้า? เจ้าโง่นี่ช่างไม่เข้าใจสถานการณ์เอาเสียเลย เหตุการณ์เมื่อครู่ดูอย่างไรก็รู้ว่าเว่ยฉือยวี่บงการอยู่เบื้องหลัง กระทั่งเขาปรากฏตัว เว่ยฉือยวี่จึงได้เก็บหางกลับไปแล้วแสร้งทำเป็นคนดี
ถุย เล่ห์พรรค์นั้นหากเขามองไม่ออก หลายปีมานี้ก็มีชีวิตอยู่อย่างเสียเปล่าแล้ว
การแก่งแย่งชิงดีในพระราชวังหลังนั้น ไม่ได้แก่งแย่งกันแต่เพียงอำนาจ มีข้าราชบริพารในวังอีกไม่น้อยที่ต้องการป้องกันตัวและไต่เต้าสู่อำนาจเพื่อเพิ่มพูนทรัพย์สินจึงใช้ร้อยเล่ห์วางแผนแยบคาย เขาเห็นมามากแล้ว
?ข้าขอมีเสด็จพี่ผู้เดียวก็เพียงพอ? เว่ยฉือช่านรีบคว้าพระเชษฐาเอาไว้อย่างร้อนรน ?ข้าชอบเสด็จพี่ที่สุด?
?หากเจ้าชอบข้าจริง ไยปล่อยให้ผู้คนรังแกมานานถึงเพียงนี้แล้วไม่เคยเอ่ยถึงมาก่อน? เขาถามด้วยสีหน้าจริงจัง
?ข้าไม่อยากให้เสด็จพี่กับเสด็จแม่เป็นห่วง...?
เว่ยฉือซู่ฟังแล้วตกตะลึงเล็กน้อย ไม่คิดมาก่อนว่าเจ้าของไม่ดีนี่จะมีความคิดละเอียดอ่อน ?ข้าจะบอกให้ฟังนะ นั่นคือการละเล่นที่เจ้าพวกนั้นใช้เล่นสนุกยามเบื่อหน่าย มิใช่เรื่องจริง เจ้าฟังแล้วไม่ต้องไปใส่ใจ?
เว่ยฉือช่านฟังคำแล้วได้แต่หัวเราะขื่น ?...ที่พวกเขาพูดเป็นความจริง...ข้าจำได้ทั้งสิ้น?
?เช่นนั้นก็ลืมเสีย? เป็นดังที่คิดเอาไว้ เจ้าโง่ไม่ปฏิเสธเจ้าพวกนั้นเพราะไม่อาจปฏิเสธได้ เพราะเว่ยฉือช่านยังคงจำเรื่องราวที่เกิดขึ้นในปีนั้นได้ดี
เว่ยฉือช่านเปิดปากคิดจะพูดบางสิ่ง สุดท้ายกลับเม้มปากเอ่ยรับอย่างภาคภูมิ ?ได้ ข้าจะลืมเสีย? ในเมื่อเสด็จพี่ให้ลืม เขาก็จะลืมเสียให้หมด
?ยังมีอีก ข้าจะบอกเจ้าเอาไว้ ในราชวงศ์ที่ผ่านมามักมีเชื้อพระวงศ์ส่วนน้อยที่มีรูปร่างหน้าตาผิดแผกแตกต่าง เจ้าไม่จำเป็นต้องใส่ใจ? เว่ยฉือซู่ปลอบโยนโดยแสร้งทำเหมือนไม่ใส่ใจนัก
?จริงหรือ?
?พงศาวดารราชสำนักบนหอหนังสือมีบันทึกเรื่องนี้เอาไว้ ถ้าเจ้าไม่เชื่อข้าจะพาไปดู?
?ไม่ต้องแล้ว? เว่ยฉือช่านยิ้มแห้ง กลัวว่าหากต้องเข้าไปในหอหนังสือเขาอาจหลับไปโดยไม่รู้ตัวอีก และเขายังเข้าใจดีว่าเสด็จพี่พูดเรื่องเหล่านี้ก็เพื่อไม่ให้เขาคิดเหลวไหลฟุ้งซ่าน
เว่ยฉือซู่ถอนหายใจ ?ช่างเถิด ข้าจะพาเจ้าไปยังที่หนึ่ง?
?จริงหรือ ไปที่ใด? สถานที่ดีๆ แห่งนั้นคือที่ซึ่งเสด็จพี่มักหายไปอยู่ที่นั่นหนึ่งถึงสองชั่วยามหรือไม่
?ไม่ต้องดีใจไป หากเที่ยวเล่นแล้วเจ้ารู้สึกลำบากจนต้องหลั่งน้ำตา ข้าจะไม่สนใจเจ้าแล้วนะ?
?ข้าจะไม่ร้องไห้แล้ว หากเสด็จพี่ไม่ได้สั่งว่าร้องไห้ได้ ข้าก็จะไม่ร้อง?
?หากทำเช่นนั้นได้จะดีที่สุด? เว่ยฉือซู่แค่นเสียงดังเฮอะ
***
วังโตวเถียนหวงถึงวังซี่ยางถือเป็นวังกลาง ตำหนักหน้าทั้งสามตำหนักคือสถานที่สำหรับฮ่องเต้ใช้ว่าราชการ จัดงานเฉลิมฉลอง และเป็นสถานที่ออกท้องพระโรงประจำวัน ตำหนักบรรทมด้านหลังห้าตำหนักเรียงกันเป็นเส้นตรง มีทางเดินต่อมาจากตำหนักหน้า
กรมหกกรมและกองกิจการทหารตั้งอยู่ในส่วนที่ขยายออกไปด้านข้างของวังซี่ยางทั้งสองด้าน และลานฝึกซ้อมก็อยู่ส่วนหลังของกองกิจการทหาร เป็นลานโล่งขนาดใหญ่ที่ปูด้วยแผ่นหินสีเขียว
บัดนี้ลานฝึกซ้อมมีเสียงกลองศึกดังขึ้น กุ้ยเซิ่งฉี เจิ้นกั๋วกงผู้ดูแลกองกิจการทหารยืนอยู่บนยกพื้นเพื่อตรวจดูการฝึกซ้อมของเหล่าทหาร
เว่ยฉือช่านเห็นความยิ่งใหญ่ของเหล่าทหารซึ่งฝึกซ้อมอยู่บนลานกว้างแล้วก็ตะลึงลาน ริมฝีปากเล็กเผยอออกเล็กน้อยพลางมองตาค้าง
?น่าสนุกใช่หรือไม่? เว่ยฉือซู่ถือโอกาสหยิกแก้มเสีย
?ยอดเยี่ยมนัก เสด็จพี่...?
?เอ๋?? เว่ยฉือซู่มองอย่างผิดคาดเล็กน้อย
เดิมทีเขาคิดว่าเว่ยฉือช่านจะขี้ขลาดตาขาว ไม่แน่อาจเห็นภาพนี้แล้วตกใจจนแน่นิ่งไปเสียด้วยซ้ำ คาดไม่ถึงว่าไม่เพียงแต่ไม่ได้ตกใจจนแน่นิ่ง แต่ตากลมโตกลับเป็นประกายวาววับ
?องค์ชายใหญ่ เขาคือผู้ใดกันรึ? สาวน้อยผู้หนึ่งสวมชุดสีแดงเข้ม ผมยาวม้วนเป็นก้อนกลมสองก้อน วิ่งมาหยุดอยู่ตรงหน้า มองเหยียดเว่ยฉือช่านตรงๆ
?เสียมารยาท เขาคือองค์ชายรอง? เว่ยฉือซู่มองอย่างตำหนิ
?เหตุใดองค์ชายรองจึงดูตัวเล็กเช่นนี้เล่า?
นางยังคงเข้าใกล้ขึ้นเรื่อยๆ ทำเอาเว่ยฉือช่านตกใจจนต้องหลบหลังเว่ยฉือซู่
?นั่นเพราะเขาอายุยังน้อยนะสิ รอจนเขาเติบใหญ่ เจ้าจะรู้เอง? เขารู้สึกได้ว่าเว่ยฉือช่านจับเสื้อของเขาเอาไว้แน่น อดรู้สึกว่าน่าขันไม่ได้ ?ช่าน ไม่ต้องกลัว นางคือบุตรีของเจิ้นกั๋วกง นามว่ากุ้ยเซี่ยวหรู เด็กกว่าเจ้าสองปี?
เขาเคยคิดว่าช่านเอ๋อร์ยังตัวเล็ก เตี้ยกว่าเว่ยฉือยวี่ซึ่งเกิดหลังช่านเอ๋อร์หนึ่งปีเสียอีก อาจเกี่ยวข้องกับเรื่องที่ได้รับบาดเจ็บเมื่อวัยเยาว์ก็เป็นได้
?...สวัสดี? เว่ยฉือช่านทักทายอย่างขลาดกลัว
กุ้ยเซี่ยวหรูอดเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจไม่ได้ ?ท่านพาเขามาด้วยเหตุใด พามาฝึกต่อสู้หรือ?
?พามาไม่ได้หรือไร?
?องค์ชายจะไหวหรือ?
?ไม่ลองดูแล้วผู้ใดจะรู้เล่า?
กุ้ยเซี่ยวหรูใคร่ครวญครู่หนึ่ง เมื่อได้ยินเสียงกลองศึกหยุดลงจึงรีบพูด ?รอประเดี๋ยว ข้าจะไปพาท่านพ่อมา? พูดจบก็ถลาออกไป รวดเร็วจนเห็นแล้วต้องตกตะลึง
?เสด็จพี่ นางวิ่งเร็วนัก? เว่ยฉือช่านเผยอริมฝีปากด้วยความตกตะลึงอีกครั้ง
?เจ้านี่ละ ตั้งสติหน่อย เด็กหญิงตัวเล็กๆ คนเดียวเจ้าต้องเอาชนะให้ได้นะ?
?แต่...?
?ไม่มีแต่ หากต้องการมีชีวิตอยู่ในวังต่อไป อย่างน้อยเจ้าต้องมีเรื่องหนึ่งที่เหนือกว่าผู้อื่น?
?อ่า...?
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง กุ้ยเซิ่งฉีก็ลงจากยกพื้นเดินมาถึงเบื้องหน้าคนทั้งสองแล้วประสานมือคารวะ ?ได้พบองค์ชายรองแล้ว?
ไม่เคยมีผู้ใดมีพิธีรีตองกับเขาเช่นนี้มาก่อน เว่ยฉือช่านเห็นแล้วตกใจจนรีบโบกมือ ?ไม่ต้อง ไม่ต้อง?
?ไม่ต้องอะไร? เว่ยฉือซู่ตีศีรษะเขาโดยไม่ต้องคิดด้วยซ้ำ ?นี่คือกฎระเบียบวังหลวง ตอนข้าเรียนหนังสือเจ้าทำอะไรอยู่?
?.....? หากพูดไปว่านอนหลับ เสด็จพี่จะตีอีกหรือไม่
?กุ้ยตูตู องค์ชายรองต้องการจะฝึกการต่อสู้สักหน่อย ไม่ทราบว่าทำได้หรือไม่? คร้านจะสนใจเว่ยฉือช่านแล้ว เว่ยฉือซู่เอ่ยถามเสียงทุ้มลึก แม้อายุยังน้อย แต่ก็เป็นน้ำเสียงทรงอำนาจอย่างเชื้อพระวงศ์
?เรื่องนี้...กระหม่อมขอเสียมารยาทพ่ะย่ะค่ะ? กุ้ยเซิ่งฉีประสานมือ ก่อนจะลงมือกดที่กระดูกไหล่และกระดูกสะบักของเว่ยฉือช่าน แล้วดวงตาก็เป็นประกายขึ้นมา ?ได้พ่ะย่ะค่ะ ยิ่งไปกว่านั้นฐานกระดูกขององค์ชายรองยังมีลักษณะพิเศษ ไม่แน่ว่าอาจเหมาะสมกับการฝึกวิชาบู๊เป็นอย่างยิ่ง?
?อ้อ เช่นนั้นให้เขาฝึกสักกระบวนท่าเถิด?
?เช่นนั้น...ขอองค์ชายทรงวิ่งสักยี่สิบลี้ก่อนพ่ะย่ะค่ะ?
เว่ยฉือช่านหันมองเสด็จพี่ด้วยสีหน้าสับสน ยี่สิบลี้รึ ไกลเพียงใดกัน
ไม่นาน เว่ยฉือซู่ก็พาเขาวิ่งจากด้านตะวันออกของลานฝึกมายังด้านตะวันตก วิ่งกลับไปกลับมา
ลานฝึกซ้อมนั้นมีความกว้างจากด้านตะวันออกจนถึงด้านตะวันตกประมาณหนึ่งลี้ ยี่สิบลี้ก็เท่ากับไปกลับสิบรอบ
หลังจากวิ่งไปกลับหนึ่งรอบ ใบหน้าเล็กๆ ของเว่ยฉือช่านก็แดงเรื่อ ทั้งยังหายใจกระหืดกระหอบ ปากบอกว่าวิ่ง ทว่าคล้ายเดินเป๋ไปมาเสียมากกว่า
เขาใกล้หายใจไม่ทันเต็มที รู้สึกว่าภาพเบื้องหน้าบิดเบี้ยวไปหมด เสด็จพี่ของเขาวิ่งย้อนกลับมาแล้ว เมื่อเข้ามาใกล้เว่ยฉือช่านจึงรีบบอก ?เสด็จพี่...ข้าไม่ไหวแล้ว...?
?เช่นนั้นเจ้ากลับไปเถิด? พูดจบก็คล้ายมีลมวูบหนึ่งพัดผ่านข้างกายไป
เว่ยฉือช่านหันกลับไปมองพี่ชาย ยามวิ่งดูไม่ต่างจากลมพัดผ่าน เขากัดฟันก้าวต่อไป อยากจะวิ่ง ทว่าร่างกายช่างหนักเหลือเกิน มือเท้าไม่เชื่อฟังเอาเสียเลย...
?เสด็จพี่...? รอจนเว่ยฉือซู่วิ่งมาถึงด้านหลังเขาอีกครั้งก็รีบเรียกเอาไว้
?กลับไป!? พูดจบ เว่ยฉือซู่ก็วิ่งผ่านไปดังลมพัดอีกวูบหนึ่ง
เว่ยฉือช่านทนไม่ไหว ปากเล็กๆ เบะออก น้ำตาคลอหน่วย
ทันใดนั้นด้านหลังมีคนวิ่งมาอีก ทั้งยังใช้ความเร็วที่มากกว่าวิ่งผ่านข้างกายเขาไป
เขาตะลึงลาน มองเห็นเบื้องหลังของคนผู้นั้นกลายเป็นเพียงจุดสีดำในพริบตา แม้แต่กุ้ยเซี่ยวหรูยังผ่านวูบไปราวกับเป็นลมพัดผ่านเช่นกัน
เพราะเหตุใด...เพราะเหตุใดทุกคนจึงวิ่งได้เร็วปานนี้
ขณะกำลังสงสัย จุดดำก็วิ่งเข้ามาถึงเบื้องหน้า กลายเป็นร่างเงาใหญ่โตบดบังเขาเอาไว้ อีกฝ่ายเอ่ยเสียงทุ้ม ?ค่อยๆ หายใจ วิ่งก้าวหนึ่งหายใจครั้งหนึ่ง เช่นนี้ก็จะไม่เจ็บหน้าอกแล้ว?
?โม่เช่อ นั่นคือองค์ชายรอง อายุเท่ากันกับเจ้า พวกเจ้าดีต่อกันเอาไว้สิ? กุ้ยเซี่ยวหรูวิ่งผ่านมาดังลมพัดอีกครา
อายุเท่ากันรึ เว่ยฉือช่านมองโม่เช่อที่สูงกว่าตนหนึ่งช่วงศีรษะอย่างตกตะลึง รู้สึกสับสนนัก
ทำอย่างไรดี เขาไม่ชอบอ่านหนังสือ มักถูกผู้อื่นหัวเราะเยาะว่าโง่เง่าเสมอ จนถึงตอนนี้แม้แต่วิ่งยังไม่ไหว...แล้วจะทำอันใดได้อีกเล่า
?โม่เช่อ ไม่ต้องสนใจเขา ช่างเขาเถิด? เว่ยฉือซู่ผ่านมา ดึงให้โมเช่อวิ่งจากไป
เว่ยฉือช่านยังไม่ทันแม้แต่จะออดอ้อน ทุกคนก็จากไปจนมองไม่เห็นเงาเสียแล้ว
?องค์ชายรอง ท่านนี่ใช้ไม่ได้จริงๆ นะ...? กุ้ยเซี่ยวหรูวิ่งกลับมาถึงเบื้องหน้าเขาแล้วก็สูดปาก ?ให้ข้าวิ่งถอยหลังต่อให้ก่อนหรือไม่?
เขากัดฟัน ?ไม่ต้อง!?
เขาวิ่งได้ แรกเริ่มอาจจะวิ่งเร็วนักไม่ได้ แต่ขอเพียงฝึกซ้อมทุกวัน ไม่แน่ว่าวันหนึ่งเขาอาจสามารถวิ่งได้เร็วเท่ากับพวกเขาเหล่านั้น
เมื่อให้กำลังใจตนเองแล้ว ต่อให้วิ่งเอียงซ้ายเอียงขวาแต่เว่ยฉือช่านก็ยังดึงดันจะวิ่งต่อไป วิ่งไปไม่หยุด ต่อให้สองขาหนักจนยกแทบไม่ขึ้นก็ยังไม่ยอมแพ้ จนกระทั่งเบื้องหน้ามืดมิด...
?อ๊ะ องค์ชายรองสลบไปแล้ว!? กุ้ยเซี่ยวหรูร้องตะโกน
เว่ยฉือซู่เร่งฝีเท้ามาอยู่ข้างกายเว่ยฉือช่าน หลับตาอย่างหมดแรง
หมดกัน ต้องถูกตำหนิแน่
***
เป็นดังคาด เมื่อเว่ยฉือซู่แบกเว่ยฉือช่านขึ้นหลังกลับมาถึงวังฉางชุน พระสนมเสียนก็รับสั่งให้คนไปตามหมอหลวงด้วยสีหน้าเย็นชา เมื่อจัดให้เว่ยฉือช่านนอนลงบนเตียงเรียบร้อย หมอหลวงก็มาถึง หลังจากรักษาแล้วก็ว่าเว่ยฉือช่านเพียงแค่กำลังกายไม่เพียงพอจึงเป็นลมไปเท่านั้น ขอเพียงพักผ่อนให้ดี โดยรวมก็จะไม่มีปัญหาใด
พระสนมเสียนฟังแล้วทอดถอนใจ ทว่าหลังส่งหมอหลวงกลับไป นางก็เปลี่ยนสีหน้าเป็นแม่เลี้ยงใจร้ายโดยพลัน
?ซู่เอ๋อร์? นางนั่งข้างเตียงและเอ่ยด้วยน้ำเสียงเยียบเย็น
เว่ยฉือซู่คุกเข่าทั้งสองลงโดยไม่จำเป็นต้องคิดทบทวน ?เสด็จแม่ ข้ารู้ว่าข้าผิดไปแล้ว?
?ผิดที่ใด?
?ข้าไม่ควรพาช่านเอ๋อร์ไปที่ลานฝึกซ้อม? เขาก้มหน้า
?ทำไมเจ้าต้องทำเช่นนี้?
เว่ยฉือซู่ใคร่ครวญครู่หนึ่ง ตัดสินใจว่าจะเล่าเรื่องทั้งหมดแต่ต้น ?ข้า...ช่านเอ๋อร์ถูกน้องคนอื่นๆ รังแกที่ตำหนักฉินซือ นี่ไม่ใช่ครั้งแรก แต่เขาไม่เคยบอกเรื่องนี้ให้ข้าฟังมาก่อน?
?เช่นนั้นหรือ? พระสนมเสียนอดไม่ได้ที่จะลูบใบหน้าเล็กๆ ของผู้ที่นอนอยู่บนเตียงอย่างแผ่วเบา ?เด็กคนนี้ เหตุใดจึงไม่พูด?
?ใช่แล้วเสด็จแม่ หากไม่เพราะข้าไปพบเข้า เกรงว่าเขาจะไม่ยอมปริปาก เขาบอกว่าไม่ต้องการให้ข้ากับเสด็จแม่เป็นห่วง?
พระสนมเสียนได้ฟัง น้ำตาก็หลั่งลงมาจากดวงตาคู่งาม
?ที่น่าขุ่นเคืองนักก็คือ เรื่องนี้ชิงฝูไม่เคยเอ่ยถึงมาก่อน ข้าเดาว่าเป็นเพราะช่านเอ๋อร์ไม่ยอมให้พูด...แต่เมื่อเกิดเรื่อง ชิงฝูก็ไม่ยอมออกหน้าด้วย กลับไปหลบหลังช่านเอ๋อร์ด้วยซ้ำ ข้ากำลังคิดว่าเราเปลี่ยนขันทีเสียดีหรือไม่? ไม่ใช่ว่าเขาอยากจะโทษใคร แต่เพราะชิงฝูอ่อนแอเกินไปจริงๆ!
ขันทีที่คอยรับใช้อยู่ข้างกายน้องชายคนอื่นๆ คนหนึ่งคอยแค่นเสียง อีกคนคอยถ่มน้ำลาย คงถ่มน้ำลายจนชิงฝูจมน้ำตายเป็นแน่
?เจ้าไม่เข้าใจ ชิงฝูเป็นเช่นนี้ดีแล้ว? พระสนมเสียนทอดถอนใจ
ในวังหลวง จะหาข้ารับใช้ที่ไร้ความมักใหญ่ใฝ่สูงมารับใช้ได้สักกี่คน ชิงฝูไม่รู้จักใช้เล่ห์แปลงอุบาย ไม่รู้จักการแย่งชิงอำนาจ นับเป็นเรื่องดีแล้ว
?ดีอย่างไรเล่า?
?เจ้ายังไม่ได้บอกแม่เลย ว่าเหตุใดจึงต้องพาช่านเอ๋อร์ไปลานฝึกซ้อม?
?ข้า...ข้าเห็นว่าช่านเอ๋อร์ไม่สนใจร่ำเรียนตำรา ทั้งยังถูกพวกน้องๆ คนอื่นกลั่นแกล้งรังแก ข้าจึงคิดว่า...อย่างน้อยให้ช่านเอ๋อร์ได้ฝึกฝนร่างกายเอาไว้ดีกว่า? หากวันใดมีการต่อสู้เกิดขึ้นจริง อย่างน้อยก็สามารถทำให้อีกฝ่ายบาดเจ็บได้สักหมัด หากทำให้พวกเขากลัวเกรงก็จะสามารถสร้างศักดิ์ศรีไว้ป้องกันไม่ให้พวกนั้นมาหาเรื่องอยู่ร่ำไป
?เมื่อฝึกฝนร่างกายเป็นอย่างดีแล้ว จะได้ให้พวกเขาพี่น้องตะลุมบอนกันให้สนุกหรือ? พระสนมเสียนมองพระโอรสด้วยสายตาเยียบเย็น
?เสด็จแม่ พวกเขากลั่นแกล้งหนักข้อเกินไปนะพ่ะย่ะค่ะ?
?แม่สอนเจ้าเอาไว้อย่างไร เหตุใดแม้แต่คำพูดของแม่เจ้าก็ไม่ฟัง ยังมีอีก เจ้าเริ่มไปที่ลานฝึกซ้อมตั้งแต่เมื่อใดกัน เหตุใดแม่ไม่ล่วงรู้?
เว่ยฉือซู่ฟังแล้วรู้สึกว่าไม่ยุติธรรมกับตนเอาเสียเลย ?เสด็จแม่...เสด็จพ่อก็ไม่เสด็จมา ข้าอยากจะร่ำเรียนให้มากหน่อย เมื่อเติบใหญ่จักได้มีสถานะมั่นคง เช่นนี้จึง...?
?ไม่ต้อง แม่ไม่ต้องการให้เจ้าโดดเด่นจนเกินไปนัก? พระสนมเสียนลุกขึ้น ดึงเว่ยฉือซู่มาอยู่เบื้องหน้า
?เพราะเหตุใดกัน?
?...เจ้าอยากเป็นรัชทายาทรึ?
เว่ยฉือซู่ก้มหน้า ?หากข้าได้เป็นรัชทายาท เสด็จแม่จึงจะยกฐานะได้ เสด็จแม่จักมีชีวิตที่ดีได้?
?เจ้ารู้สึกว่าตอนนี้แม่มีชีวิตที่ไม่ดีหรือ?
?เสด็จพ่อไม่เสด็จมาหานี่?
?เด็กโง่ เรื่องนั้นมีเหตุผล?
?เหตุผลอันใดเล่า?
?ซู่เอ๋อร์ ตอนนี้พูดเรื่องนี้กับเจ้าจะเร็วเกินไป แต่เจ้าต้องจำคำแม่ไว้ให้ดี แม่ไม่อยากให้เจ้าโดดเด่นกว่าผู้ใด เพราะคนเรายิ่งปีนขึ้นสูงเท่าใด สายลมที่พัดมากระทบกายยิ่งรุนแรงเท่านั้น และเราก็จะตกลงมาจากที่สูงได้ง่ายดายนัก? พระสนมเสียนเน้นคำชัดเจน นางโอบกอดพระโอรสเบาๆ ?แม่ไม่ต้องการให้เจ้าเป็นรัชทายาท เพียงขอให้เจ้าใช้ชีวิตสงบสุขเท่านั้น?
วังหลวงเป็นเช่นสนามล่าสัตว์ หากเหยียบพลาดเดินผิด อาจนำไปสู่สถานการณ์ที่ยากจะกลับตัวหรือหลีกเลี่ยงได้
นางกลัวว่าหากเว่ยฉือซู่ยืนในที่โดดเด่นจนเกินไป อาจดึงความสนใจของหลายต่อหลายคน ถึงสุดท้าย...เกรงว่าจะไม่อาจปกป้องพระโอรสเอาไว้ได้
เว่ยฉือซู่คล้ายจะเข้าใจแต่ก็ไม่เข้าใจ ?แต่...หากเป็นเช่นนี้ ข้าก็จะไม่อาจปกป้องเสด็จแม่กับช่านเอ๋อร์ได้แล้ว? แม้เขามักจะโทษว่าเจ้าของไม่ดีน่ารำคาญหนักหนา แต่จะให้นั่งมองเจ้าของไม่ดีถูกผู้อื่นรังแกโดยไม่สนใจเสียเลยก็ทำไม่ได้
ถึงกระนั้นเขาก็ออกหน้าแทนได้เพียงชั่วครั้งชั่วคราว หากไม่อาจคว้าสิ่งใดเอาไว้ในมือได้ ต่อไปจะใช้สิ่งใดปกป้องช่านเอ๋อร์กับเสด็จแม่เล่า
?เจ้ายังเด็กนัก แม่จะปกป้องเจ้าเอง?
?แต่ข้าก็จะเติบโต ข้าจักใช้โอกาสที่ยังเด็กอยู่รีบร่ำเรียนวิชา? ต้องเรียนให้มากเข้าไว้ ต่อให้ไม่เป็นรัชทายาท เขาก็ต้องการมีความสามารถเพื่อใช้ปกป้องคนที่สำคัญที่สุด
?ฟังแม่! แม่ต้องการให้เจ้ารับปาก จากนี้ไปจะไม่ไปที่ลานฝึกซ้อมอีก และห้ามพาช่านเอ๋อร์ไปเด็ดขาด? พระสนมเสียนมีสีหน้าเคร่งเครียด
?ข้า...?
?เสด็จแม่? ไม่รู้ว่าเว่ยฉือช่านที่อยู่บนเตียงรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาตั้งแต่เมื่อใด เขาเอ่ยเรียกพระสนมเบาๆ
พระสนมเสียนก้มลงมอง นางยิ้มพลางว่า ?ช่านเอ๋อร์ เจ้าตื่นก็ดีแล้ว?
?เสด็จแม่ ข้าอยากไปลานฝึกซ้อมอีก? เว่ยฉือช่านเอ่ยโดยไร้เสียง เขารู้สึกลำคอแห้งผากเหมือนกำลังจะปริแตก
เว่ยฉือซู่มองน้องแวบหนึ่งก็ไปรินน้ำชามาให้ เขาพยุงน้องชายขึ้นนั่งแล้วให้จิบน้ำชาคำเล็กๆ ทำให้ช่านเอ๋อร์ประหลาดใจนัก ไม่เข้าใจว่าเหตุใดพี่ชายจึงล่วงรู้ว่าเขากระหายน้ำแทบแย่
?เหตุใดเจ้าจึงคิดไปอีก เจ้ายังได้รับการฝึกฝนไม่เพียงพออีกหรือ? พระสนมเสียนทอดถอนใจ
?แต่ว่า...ข้าอ่อนแอเกินไปจริงๆ แม้แต่กุ้ยเซี่ยวหรู ข้าก็ยังวิ่งไม่ชนะ? เมื่อคิดถึงที่กุ้ยเซี่ยวหรูบอกว่าจะวิ่งถอยหลังเพื่อต่อให้ก่อน เขายิ่งรู้สึกขายหน้านัก
?กุ้ยเซี่ยวหรูคือผู้ใด? พระสนมเสียนถามอย่างไม่เข้าใจ
?นางคือบุตรีของกุ้ยตูตู ผู้บังคับบัญชากองกิจการการทหารพ่ะย่ะค่ะ นางวิ่งเร็วนัก? เว่ยฉือซู่อธิบายเสียงเบา
พระสนมเสียนอุทานด้วยความประหลาดใจ ทว่ายังไม่เข้าใจ ?ต่อให้เจ้าวิ่งชนะนางแล้วจะเป็นอย่างไร?
?อย่างน้อย ข้าก็จะได้ไม่ต้องถูกคนหัวเราะเยาะว่าเป็นองค์ชายรองที่ไม่เอาไหน? เว่ยฉือช่านเบะปากอย่างน่าสงสารพลางดึงมือพระสนม ?เสด็จแม่ ได้โปรดเถิด ข้าอยากไปลานฝึกซ้อมกับเสด็จพี่อีก ไม่เช่นนั้นข้าคงกลายเป็นคนไร้ค่าไปจริงๆ?
?เจ้าเด็กคนนี้ จะพูดเหลวไหลอันใดกันแน่?
?เสด็จแม่ ให้เขาไปสักครั้งเถิด ไปวิ่งสองสามครั้ง หากเขาเหนื่อยจนเข็ดขยาดคงจะไม่ไปอีกแล้ว? เว่ยฉือซู่มองสถานการณ์แล้วรีบเสริมทัพทันที
?เรื่องนี้...?
?เสด็จแม่ ให้ข้าได้ลองอีกครั้งเถิด หากเข็ดขยาดก็จะปฏิเสธไม่ไปอีก?
?เสด็จแม่?
เด็กสองคนดึงมือพระสนมเสียนซ้ายทีขวาที ออดอ้อนเสียงหวาน ทำเอาพระสนมเสียนไม่อาจคัดค้าน สุดท้ายได้แต่พยักหน้าตกลง แต่ก่อนอื่นทั้งสองคนต้องไปอาบน้ำ ชำระล้างเหงื่อไคลเหม็นๆ ทั่วตัวเสียก่อน
องค์ชายทั้งสองไปถึงสระลู่หวาเพื่อแช่น้ำ เว่ยฉือซู่คิดอยู่นานก็เอ่ยปากในที่สุด ?ช่านเอ๋อร์ ขอบคุณนะ?
?ขอบคุณอันใดรึ? เขาถามด้วยความไม่เข้าใจ
?ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้าอ้อนวอน เสด็จแม่คงไม่ให้ข้าไปที่ลานฝึกซ้อมอีก? ช่านเอ๋อร์เอ่ยปากว่าอยากจะไป ดูเหมือนพูดเพื่อตัวเอง แต่ที่จริงคือขอร้องแทนเขา
เจ้าของไม่ดีนี่ฉลาดกว่าที่จินตนาการไว้นิดหน่อย
เว่ยฉือช่านวักน้ำล้างหน้า ?ข้าก่อเรื่องยุ่งให้เสด็จพี่เสมอไปไม่ได้หรอก อีกทั้งเสด็จพี่ยังดีกับข้าเหลือเกิน ข้าไม่ได้พูดสักคำ เสด็จพี่ก็รู้ว่าข้ากระหายน้ำ? เรื่องนี้ในใจเขารู้สึกซาบซึ้งยิ่งนัก
?นั่นเพราะเมื่อครั้งข้าเริ่มวิ่งก็เป็นเช่นนี้? เว่ยฉือซู่เลิกคิ้วพลางตอบ หยุดเล็กน้อยแล้วถามอีก ?แต่ถ้าขึ้นลานฝึกซ้อมไปวิ่งแล้วเจ้าเป็นลมอีก จะทำอย่างไร?
?พยุงข้าไปพักที่ด้านข้างก็หายแล้ว?
?เจ้าคิดจะไปวิ่งอีกจริงหรือ?
?อื้อ ข้าต้องเอาชนะกุ้ยเซี่ยวหรูให้ได้?
เว่ยฉือซู่อดเม้มปากหัวเราะเสียงต่ำไม่ได้
ไม่อยากบอกช่านเอ๋อร์เลยว่าแม้แต่ตัวเขาก็ยังวิ่งไม่ชนะกุ้ยเซี่ยวหรู...กระทั่งตอนที่โม่เช่อวิ่ง อยากจะคว้าผมของโม่เช่อยังคว้าไม่ได้ด้วยซ้ำ หากต้องการเอาชนะพวกเขาแล้วละก็...คงต้องฝึกอีกนานแสนนานทีเดียว
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
เว่ยฉือซู่ต้องปวดเศียรกับอนุชาที่ถูกส่งมอบมาให้เสด็จแม่ของเขาเลี้ยงดูยิ่งนัก แต่ถึงกระนั้นเขาก็จะไม่ยอมให้ใครรังแกเว่ยฉือช่าน เพราะการรังแกเว่ยฉือช่านคือความสำราญที่เขาครอบครองได้แต่เพียงผู้เดียว ทว่ากลับกลายเป็น...เว่ยฉือช่านคิดว่าเขาดีต่อตนเองนักจึงทำตัวติดเขาดังเงาตามตัว ทำให้เขาเริ่มคุ้นชินกับการมีเจ้านี่อยู่เคียงใกล้...
หลังจากเดินทางไปแก้ปัญหาอุทกภัยที่ต่างเมืองหลายปี เขาเห็นเว่ยฉือช่านเดินทางมารับตนกลับยังเมืองหลวงก็รู้สึกปรีดียิ่งราวกับได้พบพานคนรัก แต่เมื่อได้ยินว่าเว่ยฉือช่านกับสตรีซึ่งรู้จักกันมาแต่วัยเยาว์จะเสกสมรสกัน หัวใจของเขากลับขมขื่นทุกข์ระทมหนักหนา เขามิอาจอดรนทนไหวจึงอาศัยยามเมามาย...จุมพิตอนุชา!
สวรรค์! เหตุใดเขาจึงหวั่นไหวกับน้องชายเช่นนี้ ความสัมพันธ์เยี่ยงนี้จะเป็นไปได้อย่างไร ดูท่าคงทำได้แต่เพียงรักษาระยะห่าง ทว่าเจ้าโง่นี่มิได้เข้าใจความขมขื่นของเขาแม้แต่น้อย กลับบุกเข้ามายังจวนของเขาในคืนก่อนออกศึกเพื่อ ?พลีตน? แก่เขา!
