New Release Bly แปล : NEZ ? Smell and Memory- (เล่ม 3)

อัพเดทข่าวบงกชบุ๊คส์ ความเคลื่อนไหว และกิจกรรมพิเศษ ตลอดจนร่วมสนุกชิงรางวัลพร้อมของรางวัลมากมาย

Moderator: P'Bly, Gals, พี่บี

ตอบกลับโพส
Gals
โพสต์: 1101
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 13 ก.พ. 2009 3:47 pm

New Release Bly แปล : NEZ ? Smell and Memory- (เล่ม 3)

โพสต์ โดย Gals »

ไม่มีใครรู้จักชื่อที่แท้จริงของเขา

วันเดือนปีเกิดล้วนเป็นปริศนา ดูเหมือนว่าเขาจะเกิดที่ญี่ปุ่น แต่นั่นไม่ใช่สัญชาติในปัจจุบัน เขาสามารถเข้าใจได้หลายภาษา ในจำนวนนั้นมีบางภาษาที่ใช้ได้ดีระดับเดียวกับภาษาแม่ จากการปะติดปะต่อข้อมูลเล็กๆ น้อยๆ เข้าด้วยกัน เขาน่าจะอายุราวห้าสิบปี ไม่ทราบใบหน้าที่แน่ชัด แม้จะเคยปรากฏอยู่ในรูปถ่ายหลายใบ แต่ทั้งหมดล้วนแตกต่างราวกับเป็นคนละคน เพราะเขามีฝีมือแปลงโฉมอันแสนร้ายกาจ สามารถเปลี่ยนทั้งรูปลักษณ์และนิสัยได้จากหน้ามือเป็นหลังมือ เผลอๆ เขาอาจจะลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าตัวเองเป็นใครกันแน่
ชายคนนี้เฉลียวฉลาดจนน่ากลัว
ว่ากันว่าเป็นคนเอาจริงเอาจังกับภารกิจที่ได้รับมอบหมาย...แต่สำหรับเขาคงเป็นเสมือนการเล่นเกม เกมที่มีกฎและศัตรู ซ้ำยังมีนิสัยชอบเอาชนะ กฎหมายและศีลธรรมไม่รวมอยู่ในกฎของเขา ใช่ เขาจะฆ่า ถ้าจำเป็นก็จะฆ่าโดยไม่ลังเล เขาเองก็คงจำไม่ได้แล้วว่าที่ผ่านมาเคยสังหารคนไปเท่าไร
ชายคนนี้ไม่มีชื่อ มีแต่ฉายา
<นก>
ภาษาอังกฤษคือ THE BIRD ...เราเรียกเขาว่าอย่างนั้น



1

ไม่ชอบแนะนำตัวเลยแฮะ
แค่ชื่อน่ะไม่เท่าไร พูดให้ฟังเฉยๆ ก็ได้ สึบาคุระ จิริ หมายถึงนกนางแอ่นที่บินไกลพันลี้ ฟังดูไม่เลวใช่ไหม? ส่วนใหญ่สาวๆ ชอบเรียกว่าจิริจัง อายุสามสิบสี่แล้ว แต่ดูเหมือนผมจะหน้าอ่อนกว่าวัย อาจเป็นเพราะตาโตและหางตาตกนิดหน่อย ซึ่งผมเองก็ไม่ได้รังเกียจเวลามีคนชมว่าน่ารัก นั่นหมายถึงในกรณีที่คนพูดเป็นผู้หญิงนะ
แนะนำตัวระดับนี้ไม่มีปัญหาหรอก...แต่พอเป็นเรื่องงาน มันออกจะยุ่งยากนิดหน่อย
ที่ทำงานของผมคือ CAS อ่านว่าแคส ชื่ออย่างเป็นทางการคือ ?Chemistry Advisory Service? เคมิสทรี่ในที่นี้หมายถึงความเข้ากัน พูดง่ายๆ ก็คือบริการให้คำปรึกษาด้านความเข้ากัน เนื้อหางานก็ตามนั้นเลย เราเป็นบริษัทพิลึกพิลั่นที่รับจ้างให้คำปรึกษาและประเมินความเข้ากันของคนสองคน
สรุปคือ ผมเป็นนักประเมินความเข้ากัน ถ้าถามว่าวิเคราะห์จากอะไร ก็มีทั้งการสัมภาษณ์ การตรวจสอบปูมหลัง การทำแบบทดสอบทางจิตวิทยา...แต่เรื่องพวกนั้นเป็นหน้าที่ของอาริจังกับทาคาเมะ ไม่ใช่ผม
งานของผมคือการใช้จมูก
หรือก็คือการดมกลิ่นนั่นเอง
จมูกของผมดีมาก ดีแบบขั้นเทพ ถ้ากระแสลมเป็นใจ ผมสามารถบอกตำแหน่งร้านแกงกะหรี่ที่อยู่ห่างออกไปหนึ่งกิโลเมตรได้เลย เปล่าๆ ไม่ได้ล้อเล่น นี่พูดจริงนะ
นอกจากแกงกะหรี่แล้ว กลิ่นของคน ผมก็รู้ดีเหมือนกัน
อย่างเรื่องชายและหญิงมีกลิ่นต่างกัน อันนี้ไม่เกี่ยวกับน้ำหอมหรือเครื่องสำอาง แต่หมายถึงความแตกต่างของฟีโรโมน...หรือไม่ก็ฮอร์โมนทางเพศ ก่อนหน้านี้ผมเคยเจอคนที่ยากจะระบุเพศ ภายนอกเขาเป็นผู้หญิง แต่กลิ่นฟ้องว่าไม่ใช่ ถึงอย่างนั้นก็ไม่ใช่กลิ่นผู้ชายเหมือนกัน พอลองถามดูก็ได้ความว่าเขาอยู่ระหว่างปรับสภาพฮอร์โมนเพื่อเข้ารับการผ่าตัดแปลงเพศ เลยเป็นเหตุให้จมูกของผมสับสน ก็ประมาณนั้นแหละ ทฤษฎียากๆ ผมไม่เข้าใจหรอก เอาเป็นว่าจมูกผมแยกชาย-หญิงได้
ไม่เพียงแต่เพศเท่านั้น ถ้าอยู่ในระยะใกล้ ผมสัมผัสอะไรต่อมิอะไรได้มากกว่านี้อีก เมื่อเช้าคนนี้กินซาลาเปาไส้พิซซ่า เด็กคนนี้ทำนมหกรดแขนเสื้อ ไอ้หมอนี่ทำเรื่องลามกแต่เช้า...
ประสาทรับกลิ่นของผมเฉียบคมถึงขั้นนั้น
เพียงแต่ผมไม่ค่อยได้บอกใคร
เพราะแทบไม่มีโอกาสเล่ารายละเอียดของตัวเองให้คนอื่นฟังอยู่แล้ว...ถ้าผมอธิบายให้คนที่เพิ่งเจอหน้าฟังว่าตัวเองจมูกดีแค่ไหน อีกฝ่ายคงเห็นเป็นเรื่องขบขันไม่ก็ถอยกรูดไปเลย
ไม่แปลกหรอก เพราะกลิ่นมันกลบกันไม่ได้
เราสามารถปิดบังร่างกายด้วยเสื้อผ้า บดบังหน้าตาด้วยเครื่องสำอาง หรือบิดเบือนถ้อยคำให้กำกวมได้ แต่กลิ่นทำอย่างนั้นไม่ได้ แค่ฉีดน้ำหอมนิดหน่อย หลอกจมูกผมไม่ได้หรอก
ผมมองเห็นทะลุปรุโปร่ง
ทั้งเรื่องโป้ปดมดเท็จและเรื่องที่อยากปกปิดเอาไว้
หรือแม้แต่เรื่องที่เจ้าตัวพยายามจะลืมก็ตาม
คนแบบนี้น่ารังเกียจ ไม่น่าเข้าใกล้เลย เป็นธรรมดาที่คนอื่นต้องการจะหลีกเลี่ยงผม ถึงจะไม่มีใครด่าตรงๆ ว่าน่าขนลุกก็เถอะ...
?เดี๋ยวฉันจะทำการทดลองเกี่ยวกับจมูกน่าขนลุกของนาย?
...มีแฮะ
มีอยู่ตรงนี้หนึ่งคน
?ฉันเตรียมตัวอย่างกลิ่นไว้จำนวนหนึ่งโดยแบ่งความเข้มข้นออกเป็นหลายระดับ เพื่อจะดูว่านายได้กลิ่นตั้งแต่ระดับไหน ก่อนอื่นเริ่มจากจานเล็กที่เรียงอยู่ตรงนี้?
?เฮ้ย?
?ยิ่งไล่ไปทางขวา ความเข้มข้นก็จะยิ่งสูงขึ้น แม้แต่จานที่เข้มที่สุดฉันยังไม่ได้กลิ่นสักนิด แต่คิดว่าจมูกที่ไวเยี่ยงสุนัขของนายน่าจะรู้?
?เฮ้ยๆ?
?กลิ่นที่เตรียมมามีสามชนิด แต่จะไม่บอกว่ากลิ่นอะไร ใช้จมูกวิปริตนั่นดมเอาแล้วกัน?
?เฮ้ยๆๆ หน็อย ทาคาเมะ แก...?
?อะไร? หมอนั่นถามอย่างรำคาญใจ ตวัดตามองผมที่กำลังเลิกคิ้วสูง
วันนี้ก็ใส่สูทราคาแพงเสียเต็มยศ
แม้จะสวมแว่นตาแลดูเคร่งเครียด แต่ก็เป็นใบหน้าขี้หงุดหงิดที่หล่อเหลาเอาการ
ตัวสูง การศึกษาสูง เงินเดือนสูง ทว่าทักษะการเอาใจใส่ผู้อื่นต่ำเตี้ยระดับอนุบาล ใช่ว่าเจ้าตัวจะไม่รู้จักศิลปะการใช้คำพูดหรือวิธีการเข้าสังคมหรอก หมอนั่นรู้ดี แต่ให้เหตุผลอย่างเย่อหยิ่งว่า ?มันดูไร้สาระ เลยไม่ทำ?
?จะถามอะไรก็รีบๆ ถาม ฉันอยากเริ่มการทดลองแล้ว?
ชายผู้หันมาพูดเสียงห้วนกับผมคือ ทาคาเมะ คิซาชิ
ถึงจะเป็นคู่หูในที่ทำงาน แต่เราก็ไม่กินเส้นกันอย่างแรง ถ้าผมคือสีขาว หมอนั่นก็คือสีดำ ถ้าผมคือฝ่ายขวา หมอนั่นก็คือฝ่ายซ้าย กลายเป็นเหตุให้ทะเลาะกันอยู่บ่อยๆ อ้อ...แต่เราไม่ได้กัดกันอย่างเดียวหรอกนะ เรื่องอื่นก็ เอ่อ ทำด้วยเหมือนกัน...
?ทำไมอยู่ๆ ถึงอยากทำการทดลองขึ้นมา เห็นฉันเป็นหนูทดลองหรือไง?
?ใช่ นายคือหนูทดลอง เป็นพระเอกเลยนะ ดีใจไหม??
?ไม่ดีใจโว้ย! แล้วก็ไม่จำเป็นต้องทดลองด้วย!?
?ฉันจะทำ ร่างกายที่พิเศษกว่าชาวบ้านของนายสมควรถูกแปลงค่าเป็นตัวเลข?
?เพื่ออะไร?
ทาคาเมะใช้นิ้วดันกรอบแว่นหลังได้ยินคำถาม หยุดคิดไปครู่หนึ่งก่อนจะตอบว่า ?...การแปลงค่าเป็นตัวเลข มันก็สนุกดีนี่? สนุกกับผีสิ โอ๊ย เพราะอย่างนี้ไงผมถึงเกลียดพวกหัวกะทิสายวิทย์!
?เอาเป็นว่ามาทดลองก่อน คุณอาริอนุญาตแล้วด้วย เอ้า?
ทาคาเมะบีบไหล่บังคับให้ผมนั่งบนโซฟารับแขก พวกเราอยู่ในห้องสวีทของโรงแรมหรูใจกลางเมืองที่ CAS ใช้เป็นสำนักงาน
?แน่เรอะ ไม่ใช่ว่าเห็นอาริจังไม่อยู่ เลยมั่วนิ่มเอาเองนะ?
อาริจัง...โอโทริ อาริ เป็นทั้งลูกพี่ลูกน้องและบอสผู้มีอำนาจเด็ดขาดของผม ถึงจะเป็นคุณป้าตัวเล็กน่ารัก แต่เวลาโกรธขึ้นมาจะน่ากลัวสุดๆ ก่อนหน้านี้ทาคาเมะเคยพูดจาเสียมารยาทกับอาริจัง เลยโดนฟาดก้นซะเต็มแรง เสียงดังน่าฟังเชียวล่ะ
?ฉันไม่มั่วนิ่มเหมือนนายหรอก เอ้า ดมซะ โปจิ?
?ใครคือโปจิ!?
?หรือว่าทามะดีกว่า??
?นั่นมันแมว! ไม่สิ ปัญหาไม่ใช่ตรงนั้น!?
ระหว่างที่มัวแต่ถกเถียงกันด้วยเรื่องที่ใครมาเห็นก็ต้องบอกว่างี่เง่า ชายร่างสูงคนหนึ่งก็เดินฮัมเพลงเข้ามาแล้วมองพวกเราจ้องหน้ากัน
?ไง วันนี้ก็สนิทกันดีนี่ ทั้งสองคน!?
ว่าแล้วก็โบกมือขวาทักทายด้วยรอยยิ้ม
หนวดเคราบนใบหน้าได้รับการจัดแต่งมาอย่างดี เขาสวมแจ็กเกตราคาแพงที่ดูสบายๆ กับรองเท้าหนังเงาวับ...โอโทริ เรย์ ลูกพี่ลูกน้องของผม พี่ชายของอาริจัง หนึ่งในผู้ก่อตั้ง CAS และมีอาชีพหลักเป็นหมอฟัน
?สนิทตรงไหน! เรย์ ทาคาเมะรังแกผม?
เรย์ผู้ชอบเอาใจผมเป็นงานอดิเรกเบิกตาโพลง หันไปจ้องหน้าทาคาเมะ ก่อนจะก้าวฉับๆ เข้ามา ?ทำอย่างนี้ได้ที่ไหน?
?ทาคาเมะคุง เรียกจิริว่าทามะหรือมิเกะไม่ได้นะ เจ้าตูบไม่ใช่เจ้าเหมียว?
?เดี๋ยว เรย์ ไม่ใช่เรื่องนั้น...?
?จะให้เรียกจิริ โปจิ หรือชิโร่ก็ได้ครับ แต่ผมไม่ได้แกล้งเขา แค่จะทำการทดลองเกี่ยวกับประสาทรับกลิ่นเฉยๆ?
?การทดลองรึ น่าสนใจแฮะ!?
ยุ่งล่ะสิ เรย์ก็เป็นพวกสายวิทย์เหมือนกัน... ?เอาเลยๆ? เจ้าตัวว่าพลางนั่งลงข้างๆ โอบไหล่ผมแน่น
จานสีขาวใบเล็กเรียงรายอยู่ตรงหน้า แนวนอนสามแถว แนวตั้งห้าแถว รวมทั้งหมดสิบห้าใบ
เฮ้อ ผมพ่นลมหายใจ ชักขี้เกียจขัดขืนขึ้นมา
?แค่ดมก็พอใช่ไหม?
ผมช้อนตามองแล้วถาม
?แค่ดมก็พอ?
อีกฝ่ายตอบพร้อมกับมองลงมาอย่างอวดดี ครับๆ เข้าใจแล้วครับ จะยอมแปลงค่าตัวเลขแสนสนุกเป็นเพื่อนเด็กสายวิทย์หน่อยก็ได้ แค่ดมเฉยๆ ไม่เจ็บไม่คันหรอก
ผมหยิบจานเล็กริมซ้ายสุดตรงหน้าขึ้นมา แค่ถือไว้ระดับอก ยังไม่ทันถึงปลายจมูกก็รู้แล้วว่าอะไร ?น้ำส้มสายชู? ทาคาเมะได้ยินก็ขมวดคิ้ว
?...จานนั้นเจือจางสุดเลยนะ?
?เอ๋? ผิดเหรอ??
?เปล่า...ถูกแล้ว กรดน้ำส้ม?
?หือ ไหนๆ??
เรย์ซึ่งนั่งอยู่ข้างผมยื่นหน้าเข้ามาใกล้จานแล้วดมฟุดฟิดอยู่นานจนปลายจมูกแทบแตะน้ำส้มสายชู สุดท้ายเจ้าตัวก็เอียงคอยักไหล่ ?ไม่เห็นได้กลิ่นอะไรเลย??
?ก็นะ สำหรับคนทั่วไปคงไม่ได้กลิ่นหรอก?
?แต่จิริได้กลิ่นใช่ไหม??
?อืม พวกกลิ่นเปรี้ยวๆ มันดมง่ายน่ะ?
เรย์พยักหน้าให้กับคำพูดของผม ?เพราะกลิ่นของกรดเกี่ยวข้องกับการเน่าเสียไงล่ะ?
?จมูกของมนุษย์คงจะไวต่อกลิ่นกรดเพื่อป้องกันไม่ใช่ร่างกายกินของที่เป็นอันตรายเข้าไป แต่ถึงอย่างนั้นก็น่าตกใจจริงๆ...ที่นายรู้ได้ด้วยระดับนี้?
ผมลองดมแถวสองกับแถวสามต่อ
แถวที่สองก็รู้ตั้งแต่จานแรกเหมือนกัน มันคือน้ำต้มสาหร่ายคอมบุ คงจะเอาน้ำซุปมาละลายให้เจือจางกว่าเดิมประมาณสามสิบเท่า ส่วนแถวที่สามดมยากหน่อย แต่หลังจากดมจานที่สองก็รู้ว่าคืออะไร
?เกลือ?
?ถูกต้อง? ทาคาเมะเฉลยด้วยท่าทีหยิ่งยโสโดยที่ยังยืนอยู่ที่เดิม ส่วนเรย์ใช้ลิ้นแตะน้ำเกลือในจานพลางพึมพำว่า ?อืม ก็น้ำเปล่าธรรมดา...? จากนั้นรวบตัวผมไปกอดแน่นแล้วชมเปาะ
?ยอดเลยน้าจิริ! เก่งไม่ใช่เล่นเลย!?
?แหะๆ? ผมเป็นพวกไม่ซับซ้อน พอมีคนชมก็ดีใจ ยิ้มเขินทั้งที่คิดว่าอายุปูนนี้แล้วมีคนโอ๋เหมือนเด็กๆ มันก็กระไรอยู่
?ยังเป็นประสาทรับกลิ่นที่น่าขนลุกเหมือนเดิมนะ?
ทาคาเมะค่อนแคะขณะมองผมถูกเรย์กอดอย่างไม่สบอารมณ์ ความจริงคำพูดที่หมอนี่ใช้กับผมก็เป็นคำแดกดันไปแล้วประมาณแปดสิบเปอร์เซ็นต์
?ของกล้วยๆ แบบนี้ไม่เรียกว่าการทดลองหรอก?
?แผนของฉันมีปัญหาจริงๆ นั่นแหละ น่าจะเตรียมตัวอย่างที่เจือจางกว่านี้มา?
?ฮ่า ฮ่า ฮ่า อย่าดูถูกจมูกฉันเชียว!?
ขณะที่ผมกำลังอวดเบ่ง ก็ได้ยินเสียงเตือนดังมาจากกระเป๋าของเรย์
?โทษที? เรย์คลายวงแขนแล้วเริ่มควานหาสมาร์ทโฟนในกระเป๋าเสื้อแจ็กเกตด้านใน เมื่อหยิบขึ้นมาดูก็ขมวดคิ้วยุ่ง แต่ไม่ทันไรก็กลับมายิ้มแย้มตามเดิม
?ให้ตายสิ โดนตามตัวซะแล้ว?
เขาลุกขึ้น
?คนไข้ด่วนเหรอ??
?ใช่ เวลาปวดฟันคนเรามักทนไม่ไหวน่ะ?
?อืม ใครจะไปทนไหวล่ะเนอะ หลายคนใช้ยาแก้ปวดไม่ได้ผลด้วย?
?ว่าจะอยู่กินข้าวกับจิริสักหน่อย? เรย์บ่นด้วยความเสียดายขณะมองผมพยักหน้าหงึกหงัก แต่เขาเป็นหมอ คนไข้ต้องมาก่อน
?งั้นไปนะ ไว้เจอกันตอนปาร์ตี้คริสต์มาส?
?อืม?
?เป็นเด็กดีนะจิริ อย่าตามคนไม่รู้จักไปล่ะ?
ผมหัวเราะฮ่าๆ ตอบว่า ?ถ้าสวยก็อาจจะตามไป? เรย์ยิ้ม กอดผมแรงๆ อีกหนึ่งทีก่อนจะกลับไปอย่างอาลัยอาวรณ์
ทิ้งผมไว้กับทาคาเมะสองคน
หลังจากนี้ไม่มีนัดกับลูกค้าต่อ พักนี้อาริจังก็ดูยุ่งๆ ออกไปข้างนอกบ่อย อย่างวันนี้ก็ออกไปหาทนายความหรือผู้สอบบัญชีภาษีอากรอะไรสักอย่าง
?...ทำไมผู้ชายคนนั้นถึงทำเหมือนนายเป็นเด็กอยู่เรื่อย แถมยังชอบแตะเนื้อต้องตัวไปทั่ว??
ทันทีที่เรย์กลับไป ทาคาเมะก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงขุ่นมัวนิดๆ
?หือ? ขนาดนั้นเลยเหรอ??
?ใช่ เป็นอย่างนั้นประจำ โตเป็นผู้ใหญ่ซะเปล่า น่าขนลุก?
?นายนี่น้า พูดตรงเกินไปแล้วรู้ไหม? ...แต่เขาก็อาจจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ ...เพราะไม่ว่าเมื่อไร ฉันก็ยังเป็นน้องชายตัวจ้อยในสายตาของเรย์เสมอ ภาพลักษณ์แรกพบคงฝังลึกน่ะ?
?ภาพลักษณ์แรกพบ??
ทาคาเมะเริ่มเก็บกวาดข้าวของ จานใบเล็กส่งเสียงกระทบกันเบาๆ ขณะหยิบซ้อนบนมือทีละใบ หมอนี่นิ้วยาวจังแฮะ ข้อก็ใหญ่ ตัดเล็บสั้นสะอาดสะอ้านเป็นประจำ แถมยังเคลื่อนไหวคล่องแคล่ว...หวา บ้าจริง เกือบจะนึกถึงเรื่องนั้นแล้วเชียว ผมรีบเปลี่ยนไปคิดเรื่องอื่น ?เอ่อ ตอนนั้นฉันอายุเจ็ดขวบมั้ง?
?ฉันเจอกับพวกอาริจังครั้งแรกในงานศพพ่อ เขาคงเห็นว่าฉันเป็นเด็กตัวเล็กผอมแห้งน่าสงสารน่ะ?
?เห็นว่ารึ ความจริงนายก็เป็นอย่างนั้นนี่?
?อืม ฉันตัวเล็กแล้วก็ผอมแห้งจริงๆ?
?ไม่ใช่เรื่องนั้น?
อ้อ หมายถึงน่าสงสารสินะ
เข้าใจแล้ว เด็กน้อยผู้น่าสงสาร หลังจากแม่เสียไปได้สองปี พ่อก็ตามไปอีกคน ...แม่เป็นคนร่างกายอ่อนแออยู่แล้ว เลยพอมีเค้าลางอยู่บ้าง ตอนนั้นผมยังเด็กเกินกว่าจะรู้จักเตรียมใจ แต่ก็แอบกังวลอยู่เสมอ และความกังวลนั่นก็เป็นจริงขึ้นมาเมื่อแม่จากไป
?ตอนพ่อเสีย มันค่อนข้างกะทันหันทีเดียว?
ผมหวนนึกถึงความทรงจำในอดีตอันแสนไกล
?ฉันเสียใจมากเลยนะ เด็กๆ น่ะทั้งตัวเล็กใจเล็ก พอถูกความโศกเศร้าโถมเข้าใส่จนเกินขีดจำกัด จะว่าไงดีล่ะ ...มันเหมือนร่างกายหยุดทำงานไปเสียดื้อๆ กระทั่งร้องไห้ยังทำไม่ได้ เอาแต่ยืนอึ้งเพราะไม่รู้จะทำอย่างไรต่อไป พอเห็นเด็กตัวจ้อยผอมแห้งอย่างฉันนิ่งไป อาริจังกับเรย์ก็พร่ำบอกว่า ?ไม่เป็นไรนะ?
ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอะไรที่ไม่เป็นไร
แต่ได้ยินถ้อยคำเหล่านั้นซ้ำไปซ้ำมาราวกับเป็นมนต์คาถา ทั้งคู่จับมือผมแน่น...อาริจังอยู่ทางขวา เรย์อยู่ทางซ้าย มือของพวกเขาอบอุ่นมากจนทำให้ผมรู้สึกว่าไม่เป็นไรแล้วจริงๆ แม่กับพ่อจากไป ทิ้งผมไว้คนเดียวบนโลกใบนี้ แต่ไม่เป็นไร มีชีวิตอยู่ต่อไปก็คงไม่เป็นไร
?ฉันรักพ่อมากนะ ถึงจะไม่ได้ผูกพันกันทางสายเลือดก็เถอะ?
?แค่เจ็ดขวบก็รู้แล้วหรือว่าตัวเองไม่ได้มีสายเลือดเดียวกับพ่อ??
ทาคาเมะนั่งลงฝั่งตรงข้ามเยื้องกับผมหลังเก็บจานเสร็จเรียบร้อย กลิ่นของเขาลอยมาแตะจมูก ดูท่าทางเจลแต่งผมกระปุกใหม่จะเป็นกลิ่นกรีนซิตรัส
?รู้สิ ตั้งแต่จำความได้แม่ก็เล่าให้ฟังว่าฉันมีพ่อสองคน?
แล้วพ่ออีกคนอยู่ไหนล่ะ...ตัวผมในวัยเด็กถาม ?ที่ไหนสักแห่งบนโลกใบนี้? แม่ตอบด้วยรอยยิ้ม
?แต่เขาคงไม่กลับมาแล้ว แม่เลยแต่งงานกับคุณฮาจิเมะ...ฉันไม่รู้เลยว่าอีกฝ่ายชื่ออะไร อายุเท่าไร หรือเคยทำอะไรมาก่อน ไม่มีเบาะแสทิ้งไว้สักอย่าง คาดว่าอีกฝ่ายก็คงไม่รู้เหมือนกัน...ว่าฉันมีตัวตนอยู่?
?ไม่รู้ว่าตัวเองมีลูกชายน่ะเหรอ??
?ใช่ เหมือนแม่เพิ่งรู้ตัวว่าท้อง หลังเลิกกับเขาไปแล้ว?
แม่คงรักผู้ชายคนนั้น
จึงตัดสินใจให้กำเนิดผม แม่ไม่คิดจะไล่ตามเขา หรือไม่ก็อยากทำแต่ทำไม่ได้...ตอนนี้ก็ถามอะไรไม่ได้แล้ว แต่อย่างน้อยแม่ก็ไม่ได้เคียดแค้นเขาอย่างแน่นอน เพราะแม่มักพูดถึงเขาด้วยสีหน้าสบายๆ ราวกับหวนหาอดีตอันแสนคิดถึง ความจริงเรื่องนี้ก็ผ่านมานานจนผมจำไม่ค่อยได้แล้วเหมือนกัน
ไม่นานแม่ก็ได้รู้จักกับโมสึยามะ ฮาจิเมะและแต่งงานกัน
โมสึยามะ ฮาจิเมะ เปลี่ยนมาใช้นามสกุลสึบาคุระ หลังจากนั้นไม่กี่เดือนผมก็ลืมตาดูโลก เพราะฉะนั้นผมเลยมี ?พ่อที่คอยเลี้ยงดู? มาตั้งแต่เกิด เขาเป็นคุณพ่อที่ใจดีมาก
?นายไม่อยากเจอพ่อที่แท้จริงบ้างเหรอ??
?ไม่เลย? ผมตอบทันควัน
?ฉันไม่รู้จักทั้งชื่อและหน้าตาของเขานะ? พอโตขึ้นมาก็สงสัยอยู่บ้างว่าเป็นคนแบบไหน บางทีประสาทรับกลิ่นนี่อาจจะเป็นพันธุกรรมของทางนั้นก็ได้?
?แม่นายมีประสาทรับกลิ่นเหมือนคนทั่วไปรึ??
?คงงั้น?
?คงงั้น??
?แม่เสียตอนฉันอายุแค่ห้าขวบ ไม่ทันคิดเรื่องประสาทรับกลิ่นอะไรนั่นหรอก?
?งั้นหรือ? ทาคาเมะเงียบไปอึดใจก่อนจะพยักหน้าเล็กน้อย เขาก้มหน้าลงนิดๆ ใช้นิ้วดันขาแว่น นิ่งคิดอะไรอยู่ครู่หนึ่ง
?จิริ?
อีกฝ่ายเรียกชื่อผม
เล่นเอาใจเต้นผิดจังหวะนิดหน่อย
เพราะยังไม่ค่อยชินเวลาถูกทาคาเมะเรียกชื่อเท่าไร...ส่วนใหญ่จะโดนเรียกว่า ?นาย? มากกว่า แต่บางครั้งเขาจะเรียกชื่อจริงของผม ด้วยโทนเสียงที่น่าฟังเกินคาด
?อะไร?
?มาทดลองต่อกันเถอะ?
?เอ๋? ยังจะทำต่ออีกเหรอ??
?ย้ายที่ก่อน?
ร่างสูงใหญ่ลุกขึ้นแล้วเดินไปอีกทาง ที่นี่มีส่วนต่อขยายข้างในเพราะเป็นห้องสวีท...เอ่อ แต่นั่นมันทางไปห้องนอนนะ? ในนั้นไม่มีอะไรเลยนอกจากเตียงเดี่ยวขนาดคิงไซส์? อ๊ะ ไม่สิ ยังมีโซฟาเดี่ยวอีกตัว...
?ทำอะไรอยู่ มาเร็ว?
?อะ อืม?
มัวแต่ละล้าละลังก็ดูมีพิรุธสิ ผมเตือนตัวเองก่อนจะลุกขึ้นยืน ใช่แล้ว เขาไม่ได้บอกสักหน่อยว่า ?มีเซ็กซ์กันเถอะ?
เมื่อเข้ามาในห้องนอนซึ่งมองเห็นทัศนียภาพอันงดงาม ทาคาเมะก็หยิบอะไรบางอย่างออกมาจากกระเป๋าแล้วย่อตัวลง ตลับเมตร? เอาของพรรค์นั้นออกมาทำไม?
?...วัดอะไรน่ะ??
?ระยะห่างจากเตียง กระเถิบไปซิ ขึ้นไปนั่งบนนั้น?
?ครับๆ?
ผมนั่งทับผ้าคาดเตียงแล้วยกขาขึ้นมาขัดสมาธิ ทาคาเมะกำลังแปะโพสต์อิทบนพื้นเป็นจุดสังเกต ทุกๆ ระยะห้าสิบเซนติเมตร
?นี่เป็นการทดลองเกี่ยวกับประสาทรับกลิ่นและระยะทาง เดี๋ยวฉันจะเขยิบเข้าไปใกล้นายทีละนิด ได้กลิ่นเมื่อไรให้บอก?
?เปล่าประโยชน์??
หลังแปะโพสต์อิทบนตำแหน่งที่ใกล้เตียงมากที่สุดเสร็จเรียบร้อย ทาคาเมะก็ยืนขึ้นแล้วมองหน้าผม ?ทำไม?
?ถ้ากลิ่นของนายละก็ รู้ตั้งแต่วินาทีแรกที่เข้ามาแล้ว?
?...จริงเหรอ??
?อืม ไม่ใช่แค่นายคนเดียวหรอก ในสถานที่ปิดมิดชิดอย่างห้องในโรงแรมแบบนี้ แค่มีคนเข้ามาก็ได้กลิ่นแล้ว เหมือนกลิ่นสิ่งมีชีวิต หรือกลิ่นดิบๆ อะไรทำนองนั้น?
?กลิ่นดิบๆ...?
?เอาเป็นว่ากลิ่นนายแรงเป็นพิเศษ ถ้าอยากทดลอง ก็ไปทำในโรงยิมที่ไหนสักแห่ง ไม่ก็ฮอลล์กว้างๆ จะดีกว่า?
ทาคาเมะฟังผมพูดขณะใช้มือดึงสายตลับเมตรออกมาแล้วปล่อยมันหดกลับเข้าไป บางครั้งหมอนี่ก็ชอบทำมืออยู่ไม่สุขเหมือนเด็กๆ ...ดูท่าจะคิดอะไรไปด้วยระหว่างที่ดึงแล้วปล่อยอยู่หลายครั้ง ในที่สุดเจ้าตัวก็เอ่ยห้วนๆ ว่า ?ช่วยไม่ได้ งั้นเปลี่ยนวิธีทดลอง?
?นายนี่ไม่ยอมตัดใจง่ายๆ เลยเนอะ?
?เขาเรียกว่าปรับตัวตามสถานการณ์ ฉันจะวัดการเปลี่ยนแปลงของกลิ่นที่เกิดขึ้นจากระยะทาง ฟังนะ ตรงนี้?
ทาคาเมะเว้นจังหวะ เดินเข้ามาเกือบชิดขอบเตียง ซึ่งก็คือตรงหน้าผม
?จำระดับกลิ่นตรงนี้ไว้ สมมติให้เป็นหนึ่งร้อย?
ผมเงยหน้ามองชายร่างสูง สูดจมูกหนึ่งครั้งพลางพึมพำว่า ?หนึ่งร้อย?? บอกตามตรง ถ้าเขาเข้ามาใกล้มาก ผมจะแย่เอา แต่วันนี้เราอยู่ด้วยกันหลายชั่วโมง เลยมีภูมิคุ้มกันพอสมควร เพราะกลิ่นสามารถทำให้ชินได้ในระดับหนึ่ง
?ใช่ หลังจากนี้ฉันจะเดินเข้ามาทีละนิดจนกว่าจะถึงตำแหน่งที่ใกล้ที่สุด นายมีหน้าที่บอกระดับความเข้มข้นของกลิ่นที่เปลี่ยนแปลงไปออกมาเป็นตัวเลข?
?เอ๋ มันไม่ใช่ของที่จะอธิบายได้ด้วยตัวเลขนะ...เอาคร่าวๆ ได้ไหม??
?ฉันไม่คาดหวังความแม่นยำจากนายอยู่แล้ว พยายามเท่าที่ทำได้แล้วกัน?
?ทำไมต้องสั่งด้วยฮึ?
?ก็แค่พูดตามปกติ?
?ปัญหาคือสั่งจนเป็นปกตินั่นแหละ...ครับๆ งั้นก็รีบทดลองเถอะ จะได้ไปหาข้าวเที่ยงกินกัน ฉันหิวแล้ว?
ทาคาเมะกลับหลังหันแล้วถอยห่างจากเตียง
ทว่าเพียงไม่กี่ก้าวก็เปลี่ยนใจเดินกลับมา บุคลิกอันภูมิฐานส่งผลให้ดูสง่างามยามหมุนตัว ถ้าจับไปเรียนเต้นรำคงจะไปได้สวยทีเดียว
ชายคนนั้นกลับมายืนตรงหน้าผมอีกครั้งแล้วออกคำสั่ง ?หลับตาด้วย?
?หา??
?ถ้าปิดกั้นการมองเห็น จะทำให้จมูกจดจ่อกับการดมกลิ่นได้ดีกว่า?
?อ้อ อย่างนี้นี่เอง?
ผมหลับตาพลางนึกในใจว่าเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลแล้ว จากนั้นกลิ่นของทาคาเมะก็พลันใกล้เข้ามา พอผงะออกตามสัญชาตญาณก็โดนดุว่า ?อย่าขยับ? สัมผัสบางเบาปิดครอบดวงตาทั้งสอง
?อะ อะไรน่ะ?
?แค่ปิดเผื่อไว้เฉยๆ?
ผ้าปิดตา...มันคือ อะไรน่ะ เอ๊ะ ได้กลิ่นอาริจังด้วย คงหยิบผ้าพันคอที่วางทิ้งไว้แถวนั้นมาใช้ล่ะมั้ง
?นายมันงั่ง เดี๋ยวจะเผลอลืมตาขึ้นมา?
?อย่าว่าฉันงั่ง?
?งั้นหน่วยความจำในสมองแคระแกร็น?
?ฟังแล้วทุเรศกว่าไอ้งั่งอีก?
?จะเริ่มแล้ว?
ทาคาเมะไม่สนใจคำประท้วงของผม เสียงฝีเท้าค่อยๆ ห่างออกไป ไม่นานนักอีกฝ่ายก็ส่งเสียงถามจากที่ไกลๆ ?เป็นไงบ้าง? ผมเอียงคอร้องอือ
?ถ้าเมื่อกี้คือหนึ่งร้อย ตอนนี้ก็สักเจ็ดสิบ?
?เจ็ดสิบเลยเหรอ? นี่ไกลสุดแล้วนะ?
?ช่วยไม่ได้ กลิ่นนายมันแรง?
เสียงรองเท้าดังขึ้นอีกครั้งก่อนที่ทาคาเมะจะถามต่อว่า ?แล้วตอนนี้ล่ะ??
?เจ็ดสิบห้า?
?ตรงนี้ล่ะ?
?แปดสิบ...ไม่สิ แปดสิบห้ามั้ง?
ยิ่งเสียงฝีเท้าใกล้เข้ามา กลิ่นก็ยิ่งทวีความรุนแรง
ผมนั่งขัดสมาธิบนเตียงพลางนึกในใจว่าไม่ดีแน่ ลำพังแค่การทดลองก็เป็นปัญหามากพออยู่แล้ว นี่ปิดตาด้วยเลยยิ่งไปกันใหญ่ ถูกอย่างที่ทาคาเมะว่าไว้ เมื่อถูกปิดกั้นข้อมูลทางสายตา ประสาทรับกลิ่นจะยิ่งเฉียบคม และรับรู้ได้แทนส่วนที่มองไม่เห็น
?แล้วตรงนี้ล่ะ??
?...เก้าสิบห้า?
เสียงรองเท้าดังขึ้นอีกครั้ง มวลอากาศในห้องกำลังไหลเวียน
กลิ่น...ของเขา
ผมกลั้นหายใจโดยอัตโนมัติ ทาคาเมะมาถึงตรงนี้แล้ว






+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
?ถ้าอย่างนั้น ทำไมนายยังยอมให้ฉันกอดอยู่??

สึบาคุระ จิริ หนุ่มจอมทะเล้นผู้ชื่นชอบสาวๆ เป็นชีวิตจิตใจ ประสาทสัมผัสดี และมีร่างกายที่พิเศษกว่าชาวบ้าน นั่นคือจมูกที่เฉียบคมระดับเดียวกับสัตว์
ทาคาเมะ คิซาชิ ไอ้แว่นหน้าตายผู้เป็นโรคอนามัยจัด ตัวสูง การศึกษาสูง เงินเดือนสูง แต่ทักษะการเอาใจใส่ผู้อื่นต่ำเตี้ยระดับอนุบาล
ทั้งสองทำงานร่วมกันที่บริษัทวิเคราะห์และประเมินความเข้ากันนามว่า CAS เรื่องนิสัยจัดว่าไม่กินเส้นกันอย่างแรง! แต่เรื่องบนเตียงกลับเข้าขากันเป็นอย่างดี พวกเขาไม่ใช่ทั้งเพื่อนและคนรัก ทว่าจิริกับทาคาเมะต่างก็ตระหนักถึงความรู้สึกงุ่นง่านในอกที่บอกว่าเป็นมากกว่าเพื่อนร่วมงาน แล้วตอนนั้นเอง ร่างกายของจิริก็เริ่มมีอาการผิดปกติเกิดขึ้น!?


รูปภาพ

ตอบกลับโพส

ย้อนกลับไปยัง “Bongkoch Books News & Activities”