New Release Bly : LUXURIA ปรารถนาเพียงหนึ่งเดียว

อัพเดทข่าวบงกชบุ๊คส์ ความเคลื่อนไหว และกิจกรรมพิเศษ ตลอดจนร่วมสนุกชิงรางวัลพร้อมของรางวัลมากมาย

Moderator: P'Bly, Gals, พี่บี

ตอบกลับโพส
Gals
โพสต์: 1101
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 13 ก.พ. 2009 3:47 pm

New Release Bly : LUXURIA ปรารถนาเพียงหนึ่งเดียว

โพสต์ โดย Gals »

Prologue

หากพูดถึงบาป ผมนึกถึงราคะ บาปที่มีความผิดเบาที่สุดในบรรดาทั้งหมดเจ็ดบาป
ใครๆ คงคิดแบบนั้น
ผมคนหนึ่งล่ะ
แต่มีไม่กี่คนเท่านั้นที่จะรู้ว่า เหตุใดจึงเป็นบาป และบาปนั้นเกิดจากอะไร
ใครสิงสู่
ใครอัญเชิญ
ผมเชื่อว่าแอสโมดิอุสปีศาจที่ประจำบาปนี้นั้นมีตัวตนอยู่ทั่วทุกมุมโลก พร้อมจะสิงสู่มนุษย์ผู้มีอำนาจ แต่ไม่จำเป็นต้องสวมใส่หมวกป้องกันอาคมหรอก ไม่ต้องทำอะไร คุณก็พร้อมที่จะโดนมันครอบงำได้เสมอ
เอาล่ะ
นี่ไม่ใช่เรื่องราวแฟนตาซีหรอกนะ
ไม่สิ
เราแค่มองไม่เห็นเท่านั้น

1
แด่เธอในอีกสิบปีต่อมา

"งั้นเรามาสัญญากัน... ว่าเราจะได้เจอกันอีกครั้ง ที่ไหนสักแห่งบนโลกใบนี้"
คำพูดนั้นเด่นชัดในห้วงภวังค์ เสียงสะท้อนดังก้องไปทั่วทุกสารทิศ เบื้องหน้ามีเพียงเด็กชายคนหนึ่งใบหน้าเลือนราง รอยยิ้มที่ให้มาช่างดูเศร้าสร้อย
จำไม่ได้ว่าตอบเขากลับไปอย่างไร แต่ ..
ในใจนั้นรู้สึกอยากร้องไห้เหลือเกิน

ผมรู้สึกตัวตื่นพร้อมกับน้ำตาที่เปรอะเปื้อน
?อ้าว??
เมื่อลองจับตรงบริเวณโหนกแก้มเพื่อให้แน่ใจก็ปรากฏว่าตัวเองละเมอร้องไห้จริงๆ ไม่ใช่น้ำลายอย่างที่เคยเป็น จนอดสงสัยไม่ได้ว่าเพราะเหตุใดถึงทำให้ผมกลายเป็นคนขี้แยเพียงชั่วงีบเดียวอย่างนี้
เสียงรถขับเคลื่อนมุ่งไปยังข้างหน้า คุณลุงโชเฟอร์เหลือบมองผ่านกระจกมองหลังด้วยสายตาเป็นห่วงปนระแวง ผมได้แต่ยิ้มแห้งเชิงบอกว่าไม่เป็นไร ก่อนจะกะพริบตาปริบมองทิวทัศน์รอบตัวนอกกระจกรถ
เป็นความฝันที่ยาวนาน และเป็นการจราจรที่ติดขัดอย่างยาวนานด้วย
เกือบหนึ่งนาทีกว่าผมจะเรียกสติและความทรงจำกลับมายังปัจจุบันได้ ว่าผมกำลังมาทำอะไรบนท้องถนนกับรถแท็กซี่ สิ่งที่อยู่ในสมองเริ่มตีกันเป็นภาพสโลว์โมชั่น จับต้นชนปลายไม่ถูก
สุดท้ายจึงได้คำตอบ
?เป็นอะไรหรือเปล่า ลุงเห็นเราหลับกัดฟันเสียงกรอดเลย?
บางทีลุงแกอาจจะเป็นห่วง หรือไม่คงอยากรู้อยากเห็นเสียเอง
?ไม่หรอกครับ พอดีเผลอฝันร้ายนิดหน่อย รถติดนี่มันฝันร้ายของคนกรุงเทพฯ จริงๆ เลยนะครับ? ผมยิ้มรับ
?นั่นสิ ตั้งแต่ที่เราหลับไปลุงก็ขับไปได้ไม่ไกลเลย วันนี้เป็นวันวินาศสันตะโรอะไรไม่รู้?
ดุเดือดดีจัง
ผมฝืนขำเล็กน้อยก่อนจะหันไปมองกระจกด้านนอกอีกครั้ง
อะไรที่ทำให้กลับไปฝันเรื่องในตอนนั้นกัน ไม่ค่อยเข้าใจเลย
หรือเพราะวันนี้เป็นวันที่นัดกินเลี้ยงกับเพื่อนสมัยมัธยมปลาย? แต่ไม่เห็นจะเกี่ยวกันตรงไหน ในเมื่อเรื่องราวเกี่ยวกับฝันนั้นเป็นเรื่องสมัยตอนที่อยู่ประถมห้า ไม่มีจุดเชื่อมใดๆ ให้นึกถึงได้ แต่เพราะอะไรยังฝันถึงมันอีก แถมยังร้องไห้ออกมาเป็นเรื่องเป็นราวจนแลดูไม่น่าไว้วางใจอีกด้วย
แต่ยังไม่ทันที่จะหาคำตอบ โทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น
บางทีอาจจะหาจุดเชื่อมได้แล้ว
ผมกดรับอย่างรวดเร็วก่อนจะยกมันขึ้นแนบหู
?อยู่ไหนแล้วกรีน??
?บนรถแท็กซี่?
?ช้าเป็นชาติแล้วนะนาย คนอื่นเขามากันหมดแล้ว?
?รู้แล้วน่า รถมันติดนี่หว่า ให้ทำไง?
?แล้วทำไมไม่มาเส้นอื่น นายก็รู้ว่าทางนั้นมันติด?
ผมทำแก้มป่องเล็กน้อยเมื่อได้ยินปลายสายตำหนิ จะมาว่าเป็นความผิดผมคนเดียวก็ไม่ถูก ต้องโทษสภาพอากาศด้วยที่ดันมีฝนตกในระหว่างการเดินทาง แล้วใครจะไปรู้ว่าผู้คนจะแห่ออกรถมากันขนาดนี้ ในระหว่างที่ผมจะแย้งปลายสายพูดสำทับมาอีกว่า
?ให้เวลาอีกครึ่งชั่วโมง ถ้ายังไม่โผล่หัวมาอีกก็บอกแท็กซี่กลับหอไปได้เลย?
?เฮ้ย ได้ไง ฉันออกมาไกลนะ?
?ไม่รู้ล่ะ นายหาทางเอาเองแล้วกัน? พูดจบหมอนั่นก็ตัดสายไปเสียเฉยๆ ผมได้แต่มองหน้าจอโทรศัพท์ที่ขึ้นเวลาสนทนาอยู่สองสามวินาทีก่อนจะเปลี่ยนไปเป็นรูปวอลเปเปอร์เหมือนเดิม
ถอนหายใจออกมาหนึ่งครั้ง
ไอ้นิสัยเผด็จการและเอาแต่ใจไม่เคยเปลี่ยน โตขึ้นมาถึงจะดูเป็นผู้เป็นคนหน่อยก็เถอะ แต่จิตใต้สำนึกของคนนี่มันเปลี่ยนกันยากเสียจริง
ผมได้แต่บ่นอุบอยู่ในใจโดยที่ทำอะไรไม่ได้

ปรากฏว่าคุณลุงแท็กซี่เขาใจดี เมื่อเห็นผมทำหน้าลำบากใจที่ไปช้าบวกกับค่ามิเตอร์มันพุ่งพรวดจนเกือบจะสองร้อย จึงเบียด ปาดหน้า ซิกแซกรถคันหน้าประหนึ่งเป็นรถพยาบาล นี่ถ้าเปิดหวอได้คงทำ เพื่อให้ผมถึงที่หมายโดยเร็ว หลังจากหลุดจากถนนที่รถติดหนักบรรลัยแล้วลุงแกก็เหยียบคันเร่งอย่างเร็ว ทำเอานึกว่ากำลังอยู่ในสนามแข่งฟอร์มูล่าวันเลยทีเดียว
อีกยี่สิบกว่านาทีต่อมาผมจึงยืนจังก้าอยู่หน้าร้านด้วยความภาคภูมิใจ
?ขอบคุณมากครับลุง?
?ไม่เป็นไร ให้แฟนรอนานมันไม่ดีใช่ไหมล่ะ?
เหมือนลุงจะเข้าใจอะไรผิดไปเยอะมาก ผมไม่ตอบ ได้แต่ยิ้มแห้ง เมื่อลุงออกรถจากไปจึงโทรเรียกให้เพื่อนสนิทมารับที่หน้าร้านด้วยถ้อยคำหยาบคาย แน่นอนว่าผมให้พวกคุณฟังมันไม่ได้หรอก รักษาภาพพจน์ครับ
ระหว่างที่รอเพื่อนมารับ ผมก็มองสำรวจร้านที่นัดกันเอาไว้ เป็นร้านอาหารที่มีดนตรีสด บรรยากาศค่อนข้างดี กว่าจะโผล่พ้นจากหลังคารถ ท้องฟ้าเริ่มมืดมาอีกระลอก
ฤดูร้อนหลังสอบไฟนอลเทอมสองของชั้นปีสาม ผมกำลังจะย้อนช่วงความทรงจำกลับไปสมัยมัธยมปลายขาสั้น คิดแค่นั้นก็อดอมยิ้มไม่ได้
?รถติดจนเพี้ยนแล้วหรือไงถึงได้มายืนยิ้มบ้าอยู่คนเดียว? มารขัดความสุขมาแล้ว
เพื่อนสนิทที่รู้จักกันมาตั้งแต่สมัยประถม บั๊ก อดีตหัวโจกที่เคยกร่างไปทั่วชั้น เก่งกับทุกคนในห้องเรียน อริผม เคยต่อยกันและด้วยพลังแห่งมิตรภาพลูกผู้ชายจึงกลายมาเป็นเพื่อนรักกันในที่สุด ถามว่ารักขนาดไหน ก็ขนาดที่หมอนั่นยอมยกน้องสาวหัวแก้วหัวแหวนให้มาคบกับคนอย่างผมได้นั่นแหละครับ
รูปร่างภายนอกของบั๊กเปลี่ยนไปจากที่เคยเห็นในสมัยประถมอย่างมาก สูง มีกล้ามเนื้อเล็กน้อย ผิวสีน้ำผึ้ง ใบหน้าหล่อคมคาย ยิ่งหลังไปจัดฟันมา หมอนี่จะชอบโปรยยิ้มให้ชาวบ้านไปทั่ว อวดฟันขาวสามสิบสองซี่ ชอบใส่แว่นกันแดดเหมือนคนขายลอตเตอรี่ แต่งตัวเหมือนคาสโนว่าบอย
ผู้หญิงส่วนใหญ่มักมองผู้ชายหล่อเข้มอย่างบั๊กจนเหลียวหลัง แต่ในขณะเดียวกันบั๊กเองก็มักมองเด็กผู้ชายมัธยมกางเกงขาสั้นจนเหลียวหลังเช่นกัน
ครับ บั๊กไม่ได้ชอบผู้หญิง แต่ชอบผู้ชาย
ตอนแรกที่รู้นึกว่าหมอนั่นจะจีบผม พยายามหวงตัวเต็มที่ เท่านั้นแหละ บั๊กจึงบอกว่า
?ถ้าคิดว่าตัวเองมีเสน่ห์ถึงขนาดเกย์อย่างฉันจะจีบล่ะก็ คิดผิดแล้วกรีน อย่างนายน่ะเป็นแล้วเสียชาติเกย์ รู้เอาไว้ซะ?
ฟังจากคนอื่นมันไม่เจ็บใจเท่าฟังจากเพื่อนสนิท
ถามว่าผมคิดอย่างไรกับเพื่อนที่เป็นเกย์ คำตอบคือไม่คิดอะไรเลย เพื่อนคือเพื่อน บั๊กเป็นเพื่อนที่ดีมากๆ คนหนึ่งของผม มีหมอนั่นที่คอยอยู่เคียงข้างกันมาเสมอ รู้ไส้รู้พุงกันตั้งแต่สมัยประถมจนกระทั่งเข้ามหาวิทยาลัย รู้ใจกันยิ่งกว่าแฟน ตัวติดกันยิ่งกว่าตังเม จนบางครั้งยังงงว่าระหว่างบั๊กกับน้องสาว ใครเป็นแฟนผมกันแน่
ผมหุบยิ้มเล็กน้อยแล้วมองบั๊ก วันนี้จัดเต็มมาเหมือนเคย บั๊กเป็นคนแต่งตัวเป็น ไม่ว่าจะใส่ชุดอะไรก็ดูดี ไม่เคยเห็นสภาพโทรมๆ ของหมอนี่เลยสักครั้ง ไม่เว้นแม้แต่วันนี้
?ควรดีใจที่ฉันมาตรงต่อเวลานะ?
?ตรงบ้าอะไร นี่นายเลทจะเป็นชั่วโมงอยู่แล้ว? ไม่เคยอะลุ่มอล่วยกันเลยหรือไงเนี่ย ผมขมวดคิ้ว บั๊กบ่นอีกสองสามคำ จากนั้นจึงออกเดินนำเข้าไปในร้าน
อย่างที่บอกว่าวันนี้นัดกับเพื่อนสมัยเรียนมัธยมปลาย เหตุเป็นเพราะว่าอีกหนึ่งปีพวกเราจะเรียนจบ เพื่อนสมัยมัธยมสำหรับพวกผมเป็นสิ่งที่มีค่ามาก ปิดเทอมฤดูร้อนจึงนัดกันดื่มก่อนตะลุยกับซัมเมอร์ที่เหลือเพื่อจะขึ้นเป็นรุ่นพี่ปีสุดท้ายอย่างเต็มตัว ต่อจากนี้จะต้องฝึกงานซึ่งคงยุ่งหนักกว่าเดิม เลยคิดว่าควรมารวมตัวกันก่อนที่จะไม่มีเวลามานั่งชิลกันแบบนี้อีก
บั๊กบอกว่าจำนวนเพื่อนที่มาได้ในวันนี้ประมาณสิบกว่าคน ล้วนแล้วแต่เป็นคนในกลุ่ม เดิมทีผมกับบั๊กเป็นเด็กบ้านนอก เราย้ายเข้ามาเรียนในกรุงเทพมหานครเพราะสอบติดโรงเรียนมัธยมชื่อดังแห่งหนึ่ง ตอนแรกพ่อกับแม่พวกเราไม่อยากสนับสนุนเท่าไรนัก แหงล่ะครับ ใครจะอยากให้ลูกตัวเองห่างอกทั้งที่ยังเด็ก แต่ผมพยายามหว่านล้อมสารพัดว่าอยากสอบติดมหาวิทยาลัย อยากเรียนนั่นอยากเรียนนี่ อยากทันคน อยากสารพัดอยาก สุดท้ายพ่อแม่จึงใจอ่อนและยอมให้เข้าเรียนโดยมาพักอาศัยอยู่กับญาติ
ไม่รู้ว่าตอนไหนเหมือนกันที่ผมกับบั๊กเริ่มสนิทกัน อาจจะเพราะมาเรียนต่างถิ่นทั้งคู่จึงสนิทกันไปโดยปริยาย ยอมรับว่าตอนนั้นผมนับถือบั๊กมาก เพราะหมอนั่นเหมือนกิ้งก่า สามารถปรับตัวกับเด็กกรุงได้ภายในเวลาหนึ่งอาทิตย์ ตรงข้ามกับผมซึ่งกว่าจะชินกับสภาพแวดล้อมได้ก็ปาไปหลายเดือน
พอขึ้นมหาวิทยาลัยพวกเราจึงเนรเทศตัวเองจากบ้านญาติมาอยู่หอพัก แต่ผมกับบั๊กไม่แชร์ห้องอยู่ด้วยกัน สาเหตุเป็นเพราะไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง เราเป็นเพื่อนสนิทกันก็จริง แต่อะไรหลายๆ อย่างนั้นเราไม่เหมือนกัน ผมไม่อยากทะเลาะกับหมอนั่นด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่อง อีกอย่างผมชอบที่จะอยู่คนเดียวมากกว่าอยู่ร่วมกับคนอื่น
เมื่อมาถึงโต๊ะ เพื่อนที่คุ้นตาก็นั่งหน้าสลอนหันมามองผมเป็นสายตาเดียว
?มาถึงแล้วเหรอครับคุณชาย?
?คนนัดดันสายซะเองนี่ไม่ไหวนะ?
ทับถมกันเข้าไป
ผมทำหน้าเบ้คอยรับคำต่อว่าจากพวกนั้นสักพักแล้วทรุดตัวลงนั่งเก้าอี้ที่ว่างซึ่งเป็นตัวที่ติดกับบั๊ก ถึงปากพวกนั้นจะบ่นแต่ก็ยิ้มแย้มล่ะครับ นานๆ ได้เจอกันที จิกกัดบ้างตามประสา แต่ส่วนใหญ่เป็นผมที่มักโดนแกล้งตลอด ไม่รู้ทำไม
?ไม่เจอกันนาน หล่อขึ้นหรือเปล่าเนี่ยกรีน? เป็นประโยคแรกที่เข้ามาดามจิตใจหลังจากโดนลูกศรจิ้มฉึกมานาน
?อือ หล่อขึ้น ตกใจล่ะสิ? เอาด้วยหน่อย จากนั้นโดนเสียงโห่แซวมาทั้งโต๊ะ ผมได้แต่สงสัย พูดเรื่องจริงทำไมต้องโห่ด้วย?
เนื่องจากเพื่อนที่มาก่อนหน้านี้ได้เริ่มสังสรรค์ไปกันแล้ว ผมจึงต้องไล่ตามพวกเขาให้ทัน เมื่อนั่งปุ๊บ แก้วที่เต็มไปด้วยของเหลวสีอำพันถูกส่งมาตรงหน้า ไม่ใช่จากใครอื่นของบั๊กนั่นเอง หมอนั่นยิ้มที่มุมปากแล้วยักคิ้วให้เป็นเชิงว่าผมควรออกสตาร์ทจากจุดเริ่มต้น ไม่รอช้า ผมคว้าแก้วจากเขามาดื่มลงคออย่างรวดเร็ว
ยอมรับเลยว่าผมเป็นคนคออ่อน ดื่มของมึนเมาไม่ได้เยอะ จึงจำกัดลิมิตของตัวเองไว้ หากรู้สึกมึนเมื่อไรให้หยุดทันที เพราะนอกจากจะต้องรับผิดชอบตัวเองแล้วผมยังต้องรับผิดชอบบั๊กอีกด้วย
ดนตรีสดเริ่มบรรเลง นักร้องหญิงขึ้นเวที เสียงน่ารักสดใส เพลงฟังสบายๆ โยกหัวตามได้เป็นจังหวะ
ผมกับเพื่อนคุยเรื่องสัพเพเหระ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเรียน เรื่องที่บ้าน เรื่องแฟน ต่างสอบถามความเป็นไป คุยเพื่อระลึกถึงวีรกรรมสมัยเรียนบ้าง ต่างน่าคิดถึง โหยหา และชวนให้อมยิ้ม
ไม่นานนักบรรยากาศโต๊ะผมเริ่มเข้าที่ หัวข้อสนทนาสับเปลี่ยนหมุนเวียนไปเรื่อย บางทีผมอาจจะสังหรณ์อยู่แล้วว่าต้องเอ่ยปากพูดถึงเรื่องนั้นขึ้นมาสักครั้ง
?จะว่าไป...? บั๊กเอ่ยขึ้น ใบหน้าเริ่มขึ้นสีเล็กน้อย ดวงตาฉ่ำเยิ้มเป็นประกาย ?เราไปสนิทกันตอนไหนนะ เมื่อก่อนออกจะไม่ถูกกันจนถึงกับชกต่อย?
เพียงแค่ประโยคเดียว ความทรงจำที่ถูกกลบฝังไปนั้นผุดขึ้นมาในหัวราวกับมีใครมากดปุ่มรีเพลย์ฉายซ้ำ ผมยิ้มแห้งก่อนจะส่ายหัว
?ไม่รู้สิ?
?แต่ฉันว่าฉันจำได้นะ? บั๊กบอกเช่นนั้น
ทว่าคำตอบของเขากลับทำให้ผมใจเต้นไม่เป็นส่ำ เวลาบั๊กเริ่มเมาจะมีนิสัยอย่างหนึ่งคือชอบพูดเรื่องสมัยเด็ก ไม่ก็เรื่องเก่าๆ ที่ควรจะลืมไปได้แล้ว อารมณ์เหมือนคนแก่รำลึกความหลัง เพียงแค่เอ่ยขึ้นมาลอยๆ ไม่ได้มีเจตนาร้ายแต่อย่างใด
ผมสูดลมหายใจเข้าลึก แล้วจึงตอบกลับไป
?งั้นเหรอ?
บั๊กยิ้มที่มุมปากก่อนจะคว้าคอผมไปกอดเต็มแรง กลิ่นแอลกอฮอล์คลุ้งทุกครั้งที่พ่นลมหายใจ ใบหน้าเราใกล้กันมากจนจมูกแทบจะชิดกัน
?อย่าแกล้งทำเป็นลืมหน่อยเลย แล้วอย่าทำเป็นไม่สนใจด้วย? ผมเลิกคิ้วเล็กน้อย
ขอบอกก่อน ถึงบั๊กจะพูดเรื่องเก่าๆ เพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ แต่บั๊กไม่เคยย้อนมาถึงเรื่องการเป็นเพื่อนกับผม
วันนี้กลับต่างกันออกไป
?ทำไม? ผมถาม
บั๊กยกนิ้วชี้ขึ้นมาแล้วส่ายไปมาพร้อมทำเสียงจุ๊ ผมพอจะเข้าใจในสิ่งที่เขาสื่อ แต่เพื่อนร่วมโต๊ะไม่ได้เข้าใจตามไปด้วย
?บั๊กมันเป็นอะไรน่ะ? เพื่อนอีกคนร้องทัก
?หน้าตาเจ้าเล่ห์แบบนี้ เจอหนุ่มที่หมายตาแล้วหรือไง? คงไม่ใช่แบบนั้นแน่
เกิดความเงียบสักพัก เสียงเพลงยังคลอบรรเลงเรื่อยเปื่อย เมื่อมาถึงจังหวะหนึ่งบั๊กจึงเอ่ยออกมา
?ฉันทะเลาะกับนายเพราะเพื่อนคนหนึ่ง คนที่คุยแค่กับนาย คนที่ยิ้มให้แต่กับนาย แล้วก็คนที่ไม่เคยสนใจฉันเลย?
ชื่อนั้นปรากฏขึ้นในหัว
?อืม แล้ว??
?เปล่าหรอก ฉันแค่สงสัย ว่าทำไมหมอนั่นถึงตัวติดกับนายนัก?
?เพราะนายบอกว่าฉันเป็นแฟนกับหมอนั่นไง?
?ฉันประชดต่างหาก?
พอรู้อยู่ล่ะนะ แต่จะมาถามตอนนี้ไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา ผมคิดว่าสิ่งที่ทำให้ผมกับเขาคนนั้นสนิทกันน่าจะเป็นเพราะความพยายามบวกกับความด้านส่วนตัวของผมมากกว่า คงออกแนวตัดรำคาญเลยกลายเป็นเพื่อนสนิทไป
เรน ชื่อที่ชวนให้คิดถึง
?ไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไรบ้างนะ?
?ใคร?
?ก็เรนไง? ผมตอบ
บั๊กเลิกคิ้วเล็กน้อย
?ชื่อเรนเหรอ??
?ใช่ นายจำไม่ได้เหรอ?
?อือ จำไม่ได้?
ความจำหมอนี่ปลาทองจริงเลยให้ตายสิ แต่อย่างว่ากับคนที่ไม่มีความทรงจำร่วมกัน ผ่านไปสิบปีแค่ชื่อจะจำไม่ได้ก็ไม่แปลก ยิ่งกับบั๊กที่มีคนผ่านเข้ามาในชีวิตมากหน้าหลายตาด้วยแล้วคงจะเป็นเรื่องยากสำหรับเขา
?ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร แต่หมอนั่นกับเราคงอยู่กันคนละโลกแล้วล่ะ วิถีชีวิตของหมอนั่นคงแตกต่างจากเรา? บั๊กเอ่ยอย่างมั่นใจพลางยกแก้วขึ้นจิบ
เห็นด้วยว่าเรนคงเติบโตด้วยสังคมที่แตกต่าง เพราะว่ามันแตกต่าง จึงทำให้เราไม่ได้พบกัน
แม้จะอยากเจอมากแค่ไหนก็ตาม
มันไม่ใช่เรื่องเล็กที่บั๊กจะจำไม่ได้ เขารู้ดีมาตลอดเพียงแต่ไม่เอ่ยมา ผมเข้าใจความรู้สึกของบั๊กดีพอ ตลอดเวลาที่เป็นเพื่อนกันทำให้รู้ว่าบั๊กมีด้านที่อ่อนโยนและเห็นใจเพื่อนมนุษย์ด้วยกันพอสมควร ถึงแม้จะขัดกับนิสัยและบุคลิกตรงๆ ของเขาก็ตาม
ผมได้แต่ภาวนาว่าเรนจะยังอยู่สักที่บนโลกใบนี้
?ถ้าเจอเรนอีกครั้งนายจะทำอย่างไร? ผมลองถาม
?อืม? บั๊กทำหน้าครุ่นคิด พลางแกว่งแก้วเหล้า ?คงชวนมาดื่มแล้วคุยเรื่องเก่าๆ ล่ะมั้ง?
คำตอบสมเป็นบั๊กดี
?แล้วนายล่ะ? เมื่อโดนถามกลับ ผมตอบออกไปโดยไม่ต้องคิด
?คุกเข่าขอแต่งงานล่ะมั้ง?
เราสองคนหัวเราะร่วน บั๊กตบเข่าดังฉาดอย่างถูกใจท่ามกลางความงุนงงของเพื่อนร่วมโต๊ะ
อดีตที่ทั้งเจ็บปวด ทรมาน ได้เวลาช่วยซึมซับให้ผมเริ่มยอมรับและแข็งแกร่งขึ้น โดยไม่รู้เลยว่าตอนนั้นชีวิตจะเปลี่ยนไป
เพิ่งมารู้สึกตัวทีหลังว่านั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่ผมกับบั๊กได้มานั่งหัวเราะกันในฐานะเพื่อน


+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
เขา คือ ชายผู้เพียบพร้อมด้วยรูปสมบัติและทรัพย์สมบัติ หากแต่เต็มไปด้วยปริศนา ไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นใครมาจากไหน แต่กลิ่นกายหอมรัญจวนเฉพาะตัวและถ้อยคำเจรจาของเขากลับมีเสน่ห์และอำนาจเหลือล้น ทำให้ผู้ที่เคยสัมผัสหรือชิดใกล้ต่างลุ่มหลงมัวเมา คล้อยตามราวกับก้าวลงไปในกับดับใยแมงมุม ติดอยู่ในบ่วงพันธนาการจนถอนตัวไม่ขึ้น เปรียบดุจปีศาจแห่งราคะจำแลงกายเป็นมนุษย์ หากทว่ามีเพียงบุคคลเดียวเท่านั้นที่เขาโหยหาไม่สิ้นสุดและพร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อให้ได้ครอบครอง

รูปภาพ

ตอบกลับโพส

ย้อนกลับไปยัง “Bongkoch Books News & Activities”