New Release Bly (แปล) : Don?t Worry Mama

อัพเดทข่าวบงกชบุ๊คส์ ความเคลื่อนไหว และกิจกรรมพิเศษ ตลอดจนร่วมสนุกชิงรางวัลพร้อมของรางวัลมากมาย

Moderator: P'Bly, Gals, พี่บี

ตอบกลับโพส
Gals
โพสต์: 1101
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 13 ก.พ. 2009 3:47 pm

New Release Bly (แปล) : Don?t Worry Mama

โพสต์ โดย Gals »

ท้องฟ้าแจ่มใสแต่คลื่นสูงจนเรือประมงโคลงอย่างหนัก ในเคบินเรือคับแคบเหม็นกลิ่นคาวปลา ฮิงาชิยามะ ยูอิจิกอดเป้สะพายหลังที่วางบนตักไว้ ปล่อยตัวให้โยกซ้ายขวา เขายิ้มเจื่อนให้ชายหนวดครึ้ม
?ใช่แล้วล่ะครับ...?
?บริษัทผลิตยาเนี่ยก็ลำบากเหมือนกันนะ เธอเองยังหนุ่มแต่ก็ลำบากเอาการเลย?
ชายหนวดครึ้มอายุราวห้าสิบที่อ้างว่าเป็นพนักงานของศูนย์วิจัยนกป่ากอดอก เอ่ยพึมพำด้วยสีหน้าแปลกใจ เขาบอกว่าตัวเขาไม่ได้ไปเกาะเป็นครั้งแรก และคงเพราะชินกับการนั่งเรือ สีหน้าของเขาถึงไม่เปลี่ยนเลยแม้แต่นิดเดียว และคนที่นั่งข้างเขา ชายวัยกลางคนอายุราวสี่สิบปีสวมหมวกติงลี่ที่อ้างว่าเป็นพนักงานของศูนย์วิจัยนกป่าเช่นเดียวกัน ก็ไม่มีอาการเมาเรือเหมือนชายหนวดครึ้ม
ยูอิจิเองก็ไม่เคยเมาพวกยานพาหนะมาก่อน แต่ว่าถ้ามันเขย่ามากขนาดนี้ ต่อให้ไม่ถึงกับอยากอ้วก เขาก็ไม่ได้รู้สึกดีเหมือนกัน แต่อาการของเขาก็พอจะดีขึ้นบ้างหลังได้พูดคุย
?ผลจากเศรษฐกิจฝืดเคืองเนี่ยล่ะครับ ยิ่งบริษัทผมเป็นบริษัทขนาดเล็กที่ผลประกอบการไม่ดีด้วย นอกจากจะไม่ค่อยได้งบประมาณสำหรับพัฒนาผลิตภัณฑ์ พวกเบื้องบนยังบอกให้ออกสินค้าใหม่ที่น่าจะขายได้อีก คนเป็นลูกน้องเลยแย่ครับ?
ชายหนวดครึ้มใช้มือลูบคางไปมาพร้อมกับผงกหัวนิดๆ
?แล้วมีอะไรบนเกาะฟูจิล่ะ?
ชามสวมหมวกติงลี่ถามมา
?สมุนไพรที่นำมาสกัดแล้วมีฤทธิ์ช่วยในการลดไขมันครับ มีต้นกำเนิดอยู่ในเม็กซิโกก็เลยเพาะปลูกได้ยาก อากาศของญี่ปุ่นเองก็ไม่เหมาะเลยลงความเห็นว่าเพาะปลูกไม่ได้ แต่ว่าเราไปเจอบันทึกว่าเก็บได้จากเกาะฟูจิเมื่อราวสองสามปีก่อน ถึงไม่รู้ว่าตอนนี้จะยังมีอยู่หรือเปล่า แต่เรามีความคิดว่าถ้าเจอก็จะนำกลับไปลองเพาะปลูกให้ได้จำนวนมากดู ถ้าผลิตได้เยอะ จะได้ใช้มันในอาหารไดเอท...?
?ฮิงาชิยามะคุง?
เสียงแหลมสูงดังก้องในเคบินที่เหม็นกลิ่นคาวปลา เขาหันกลับไปเห็นอิมาคุระ ทาคาชิยืนอยู่ตรงทางเข้าเคบินเรือเหมือนจะอุดไม่ให้ใครผ่าน เจ้านายของเขาคนนี้อาเจียนจนต้องเกาะกราบเรือแน่นทันทีที่เรือเริ่มโคลงหลังแล่นออกห่างจากชายฝั่ง
?นั่นเป็นความลับทางธุรกิจนะ ไม่ใช่เรื่องที่จะเอาไปคุยให้คนแปลกหน้าฟัง จริงๆ เลย...ถึงไร้ความคิดอย่างไรก็น่าจะหัดรู้ไว้บ้าง?
หน้าท้องซึ่งเก็บกักไขมันไว้ในปริมาณมากเกินไปถูกเข็มขัดรัดแน่นเสียจนเหมือนจะระเบิด อิมาคุระจ้องยูอิจิกร้าวขณะสีหน้าซีดเผือด คำว่า ?อ้วน? อาจเป็นคำคุณศัพท์ที่ใช้กันแพร่หลาย แต่คำว่า ?อ้วน? ก็ยังเป็นคำที่น่ารักเกินไป ไม่เหมาะสำหรับอิมาคุระเลย ร่างอวบหนาจากน้ำหนักตัวที่มากเกินไป ช่างเหมือนกบที่ใช้ทำอาหาร เท่านั้นไม่พอยังตัวเตี้ย สูงแค่ร้อยหกสิบเซนติเมตร ส่วนยูอิจิสูงร้อยแปดสิบเซนติเมตร เวลายืนข้างกันเขาจึงรู้สึกเหมือนจะเอาปลายคางไปวางบนหัวอิมาคุระได้
พอโดนอิมาคุระพูดเตือนมา บรรยากาศในที่นั้นก็กลายเป็นน่าอึดอัดไปโดยปริยาย ไม่ใช่แค่ยูอิจิคนพูดเพียงคนเดียว แต่ชายของศูนย์วิจัยนกป่าที่เป็นคนถามก็พลอยหลุบตาลงอย่างไม่สบายใจไปด้วย จริงอยู่ว่าเขาปากเบาที่ไปคุยเรื่องพัฒนาผลิตภัณฑ์ แต่อีกฝ่ายเป็นนักวิจัยนกไม่ใช่คนในสายงานเดียวกัน น่าจะมีวิธีการพูดให้มันนุ่มนวลกว่านี้ไม่ใช่หรือไง...ยูอิจินึกจุปากไม่พอใจอยู่ในใจ
?ขอโทษครับ แต่คนคนนี้เป็นคนจากศูนย์วิจัยนกป่า...?
?นี่จะเถียงผมเหรอ?
เขาอ้วนมากเสียจนหน้าพองบวมไปหมด เครื่องหน้าเลยไปกระจุกอยู่ตรงกลาง แต่ถึงอย่างนั้นปากแดงๆ ที่ดูโดดเด่นตรงกลางก็ยังส่งเสียงตวาดมา มันบ่งบอกว่าอิมาคุระไม่คิดจะเกรงใจคนจากศูนย์วิจัยนกป่าเลย ?ขอโทษครับ? ยูอิจิได้แต่พูดขอโทษไปอีกครั้ง คงเพราะพอใจแล้ว อิมาคุระจึงส่งเสียงครืดๆ เหมือนหมู ลงบันไดมาเสียงดังตึงๆ ก่อนจะทรุดลงนั่งข้างยูอิจิ ม้านั่งตัวเล็กแล้วยังมาถูกก้อนเนื้อมหึมากับกำแพงขนาบเสียจนเหมือนจะหายใจไม่คล่องกะทันหัน เขาสังเกตเห็นว่าชายจากศูนย์วิจัยนกป่าลอบมองมาทางเขาและส่งสายตาสงสารมาให้ มันยิ่งทำให้เขาอึดอัดจนบอกไม่ถูก
อิมาคุระหายใจเสียงดังฟู่ๆ ฟังระคายหูไม่หยุดหลังจากนั่งลง ทั้งที่เพิ่งสิ้นสุดเดือนพฤษภาคม อากาศเลยไม่ร้อนมาก แต่เหงื่อเม็ดเป้งก็ยังผุดซึมจากหน้าผากอิมาคุระและไหลไปตามแก้มไม่หยุด เขาเอานิ้วอ้วนสั้นที่เนื้อพอกพูนคล้ายกับหนอนแก้วเช็ดเหงื่อออกจากหน้าผาก
ลำคอเป็นชั้นๆ จนเหมือนหมูสามชั้น ไม่เพียงเท่านั้น แต่คางยังหนาเป็นสี่ชั้นไม่ใช่แค่สอง กระดุมเสื้อเชิ้ตที่ไม่อาจปกปิดความหนาของเนื้อได้แทบจะกระเด็นหลุด อิมาคุระเป็นคนที่ใครๆ ก็ยอมรับว่าเป็นคนแคระร่างยักษ์...หรืออีกนัยก็คือเป็นหมูตอนนั่นเอง ไม่มีมนุษย์หน้าไหนในบริษัทที่กล้าพอจะถามเรื่องน้ำหนักกับเจ้าตัวตรงๆ แต่มีคนแอบดูผลการตรวจร่างกายของอิมาคุระในงานตรวจร่างกายที่จัดขึ้นเมื่อเดือนเมษายน ?ร้อยสามสิบกิโลแน่ะ ร้อยสามสิบกิโล เกินร้อยกิโลจริงๆ ด้วย? เลยกลายเป็นที่ฮือฮากันยกใหญ่ ยูอิจิเชื่อว่าเราไม่ควรตัดสินคนที่รูปร่างหน้าตา แต่ว่าถ้าหน้าตาไม่ดีแล้วนิสัยยังแย่อีกเนี่ยก็คงจะเกินเยียวยา ไม่เพียงแค่นั้นแต่ต่อให้พยายามพูดชมอย่างไร อิมาคุระก็ไม่ใช่รุ่นพี่ที่ทำงานเก่งเลย
ปีนี้ยูอิจิอายุยี่สิบห้าปี ส่วนอิมาคุระอายุสามสิบ มากกว่าเขาห้าปี ถึงจะตำแหน่งสูงกว่าตามลำดับอายุงาน แต่เขาทำงานช้าแล้วยังทำผิดเยอะ ถ้าทำผิดพลาดบ่อยๆ แต่มีผลงานก็ยังเป็นเรื่องพอยอมรับได้ แต่ในกรณีอิมาคุระกลับเป็นปัญหาหนักยิ่งกว่านั้น เขาไม่มีความตั้งใจที่จะทำงานเลยแม้แต่นิดเดียว ถ้างานมันยุ่งยากนักเขาก็จะทำให้มันพอเสร็จๆ ไป แล้วสุดท้ายคนที่ต้องคอยมาตามเช็ดล้างแก้ปัญหาให้ก็คือยูอิจิกับพรรคพวก เพราะฉะนั้นภาพลักษณ์ของอิมาคุระในหมู่เพื่อนร่วมงานหรือแม้แต่รุ่นพี่เองถึงเป็น ?ติดลบ? เวลาออกไปดื่มเหล้ากัน ก็แน่นอนเลยว่าต้องนินทาเรื่องเขาจนน้ำลายแตกฟอง เรียกว่าแค่อิมาคุระคนเดียวก็มีเรื่องให้เม้าท์จนถึงเช้าแล้ว
?หมอนั่นเป็นลูกแหง่ติดแม่ชัวร์ๆ ฉันเคยได้ยินหมอนั่นคุยเสียงอ่อนเสียงหวานใส่มือถือว่า ?หม่าม้าจะกลับกี่โมงคร้าบ~? ฟังแล้วขนลุกเลย น่าขยะแขยงที่สุด?
?อิมาคุระน่ะ ถึงปล่อยเบาก็จะเข้าไปใช้ห้องน้ำแบบห้องส่วนตัว เพราะไอ้หนูของหมอนั่นเล็กเท่า ?เม็ดถั่ว? น่ะสิ ก่อนหน้านี้ฉันเคยเห็นของหมอนั่นครั้งหนึ่ง ไม่ถึงหนึ่งเซ็นต์ด้วยซ้ำ นี่พูดจริงนะ?
เรื่องที่เกี่ยวกับอิมาคุระไม่มีอะไรดีๆ เลย ยูอิจิไม่พอใจในตัวเขาเสียยิ่งกว่าคนอื่นด้วยซ้ำ แต่ก็ทำหน้าที่เป็นผู้รับฟังอย่างเดียว ไม่เคยผสมโรงร่วมวิจารณ์ไปด้วย เขาไม่ชอบนินทาว่าร้ายคนอื่น แล้วก็ไม่ได้มีรสนิยมชอบซ้ำเติมใครให้จมดิน ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเขาปฏิบัติกับอีกฝ่ายแบบทั่วไปไม่ได้ทำหน้ารังเกียจอย่างเปิดเผยเวลาโดนเรียกใช้ให้ทำธุระแบบเพื่อนร่วมงานคนอื่นหรือเปล่า ช่วงหลังมานี้อิมาคุระเลยโยนงานให้ยูอิจิทำทุกครั้งที่มีโอกาส อย่างงานมาหาสมุนไพรนี้ก็เหมือนกัน ความจริงอิมาคุระมาคนเดียวก็ได้ แต่ก็ยังบังคับเขาให้มาด้วยกัน
ยูอิจินึกเกลียดนิสัยหัวหน้าห้องของตัวเองขึ้นมา เขาเป็นคนเอาจริงเอาจังแล้วก็เรียนหนังสือเก่งพอควร ถึงได้รับหน้าที่เป็นหัวหน้าห้องตั้งแต่ชั้นประถม ม.ต้น แม้กระทั่งตอนอยู่ ม.ปลาย ก็ด้วย เขาชอบที่จะทำตัวเป็นผู้นำ จัดสรรเรื่องคน เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการทำงานเล็กๆ น้อยๆ ที่ทุกคนไม่ชอบ เขาไม่เคยมองผ่านการรังแกที่เกิดขึ้นในห้องเรียน เพราะ ?คุณธรรมประจำใจ? ของเขา ถึงแม้ว่าอีกฝ่ายจะมีความเห็นไม่ตรงกับเขาอย่างไร หรือเป็นคนที่เขาไม่ชอบหน้าขนาดไหน แต่เขาก็จะไม่แสดงออกมาเด็ดขาด กลับกันเขาจะพยายามมองหาข้อดีของอีกฝ่ายเพื่อมาชดเชย
นิสัยที่น่าเศร้านี้ไม่เคยเปลี่ยนแม้จะเป็นผู้ใหญ่แล้ว กระทั่งตัวยูอิจิก็ยังภูมิใจในสีหน้าคนดีเสมอของตัวเอง จนเป็นที่รู้จักกันทั่วบริษัทเรื่อง ?ความเป็นคนดี? ของเขา เพราะฉะนั้นไม่ว่าเขาจะโดนอิมาคุระทำเรื่องไร้เหตุผลใส่แค่ไหน เขาก็มักจะบอกตัวเองว่า ?อีกฝ่ายตำแหน่งสูงกว่า อายุก็มากกว่า? ไปๆ มาๆ จึงโดนอีกฝ่ายคิดว่า ?หมอนี่เป็นคนที่ใช้งานได้สะดวก? และถูกใช้งานตามอำเภอใจไปโดยปริยาย ถึงเขาจะหงุดหงิดมากแค่ไหน แต่ก็ไม่เคยเถียง ยอมให้ใช้งานเหมือนไม่คิดอะไร เขาพยายามจะไม่แสดงอารมณ์ออกมา ทั้งที่นิสัยจริงของเขาคือเป็นคนปากเสียแล้วก็อารมณ์ร้อนง่ายสุดๆ จนแม้แต่ชูจิน้องชายของเขา ที่เขาแสดงตัวตนจริงๆ ออกไปแบบไม่ปิดบังยังพูดพลางถอนหายใจไปด้วยเลยว่า ?คนแบบพี่เนี่ยยังอุตส่าห์ทำงานในบริษัทได้ด้วยนะ? ขอบใจที่เป็นห่วงเถอะ...
เรือโยนตัวขึ้นอีกวูบใหญ่ อิมาคุระส่งเสียงในลำคอดังอึ้ก ก่อนจะปิดปากแล้วกระโจนออกไปจากเคบิน พออิมาคุระไม่อยู่ ความรู้สึกกดดันทั้งทางกายและใจก็หมดไป บรรยากาศตึงเครียดในที่นั้นก็พลอยหายไปด้วย ยูอิจิก้มศีรษะน้อยๆ ให้พวกผู้ชายที่นั่งตรงกันข้าม พร้อมส่งสายตาบอกขอโทษกลายๆ ไปด้วย ?ขอโทษจริงๆ ครับ เรื่องหัวหน้า...?
เกาะฟูจิ เป็นเกาะที่มีรูปทรงใกล้เคียงกับรูปวงรี มีความยาวจากทางตอนใต้สุดถึงเหนือสุดสิบกิโลเมตร ถึงจะเล็กแต่ก็มีท่าเรือ และเคยมีผู้คนหลายสิบคนอาศัยอยู่ในสมัยก่อน แต่เพราะกระแสน้ำในทะเลเปลี่ยนไปจนจับปลาไม่ได้อีก ผู้คนจึงเริ่มลดลงเรื่อยๆ ความไม่สะดวกจากการต้องนั่งเรือจากเกาะใหญ่ถึงสองชั่วโมงเองก็มีส่วน เกาะจึงร้างตั้งแต่ราวสองสามปีก่อน และยังเป็นสถานที่อันตรายจากกระแสน้ำรอบเกาะที่เชี่ยวกราก รวมทั้งหมอกที่มักจะลงหนาอย่างกะทันหัน จนชาวประมงยังไม่เข้าใกล้เว้นแต่เป็นช่วงกลางวันของวันที่อากาศดี
เรือออกจากท่าเรือฮามามัตสึในชิซุโอกะเวลาเจ็ดโมงเช้า มาถึงเกาะเวลาเก้าโมงสิบห้าช้ากว่ากำหนดเล็กน้อย คนของศูนย์วิจัยนกป่าสองคนซึ่งมาสำรวจพฤติกรรมของนกนางนวลที่จะบินมาเฉพาะในภูมิภาคนี้ ลงจากเรือแล้วโค้งให้ยูอิจินิดๆ ก่อนจะเดินตัวเบาหายลับขึ้นไปบนเขา
ส่วนพวกเขา...กลับขยับไปจากท่าเรือไม่ได้ ยูอิจิค่อยๆ หันไปมองต้นเหตุ ทันทีที่อิมาคุระมาถึงสะพานท่าเรือ เขาก็อ้วกลงทะเลเป็นการส่งท้าย ยูอิจิรอให้อิมาคุระหายคลื่นไส้ จึงค่อยเข้าไปใกล้ร่างอ้วนกลมในเสื้อโปโลที่เหมือนจะพองระเบิด
?ไม่เป็นไรนะครับ?
?จะไม่เป็นไรได้อย่างไรล่ะ?
ยูอิจิเข้าใจว่าอีกฝ่ายกำลังหงุดหงิดที่ไม่สบาย แต่มาตวาดกันแบบนี้เขาก็แย่เหมือนกัน ไอ้หมูตอนเอ๊ย...เขาทำหน้าอ่อนโยนพลางคิดแบบนั้นในใจ
?เรือรับกลับจะมาตอนสี่โมงเย็นใช่ไหมครับ หักเวลาพักกับกินข้าวกลางวันแล้ว เราก็เหลือเวลาอยู่ที่นี่ราวหกชั่วโมงเต็มๆ?
อิมาคุระคว่ำหน้ากับท่าเรือคอนกรีต พึมพำเสียงค่อย
?ขากลับต้องนั่งเรืออีกสินะ?
?...มันช่วยไม่ได้นี่ครับ?
อิมาคุระเงยหน้าขึ้น จ้องยูอิจิด้วยดวงตาเรียวเล็กที่เหมือนกับโดนก้อนเนื้อดัน
?เธอไม่เข้าใจความทรมานของผมหรอก?
นอกจากพฤติกรรมแย่ๆ ที่เคยทำมาก่อนหน้านี้นับไม่ถ้วน แล้วยังท่าทีเสียมารยาทที่สุดต่อพนักงานของศูนย์วิจัยนกป่า ทำเอาเขาไม่เหลือแม้กระทั่งความเห็นใจอันน้อยนิดว่า ?เมาเรือแบบนี้น่าสงสาร? อีกอย่างถ้ารู้ว่าตัวเองเป็นพวกเมาเรือง่าย การเตรียมยาแก้เมาเรือมาสักอย่างน่าจะเป็น ?ความรู้ทั่วไป? ของพนักงานบริษัทยา เป็นความผิดของอิมาคุระเองที่ไม่ทำแบบนั้น แม้ในใจจะบริภาษ ?ใครจะไปเข้าใจความรู้สึกของคนอย่างแกวะ? แต่ยูอิจิก็ลดโทนเสียงลง แสร้งทำเป็นเห็นใจอีกฝ่าย
?ขอโทษครับ ผมไม่เคยมีประสบการณ์เมาเรือมาก่อน...?
อิมาคุระมีท่าทีอารมณ์ดีขึ้นหลังจากเขาแสดงท่าทางเห็นใจออกไป ยูอิจิเบือนสายตาไปจาก ?ผู้ชายความคิดเข้าใจง่าย? แล้วเหลือบมองนาฬิกา เข็มยาวชี้บอกเวลาเก้าโมงครึ่งแล้ว เขาอยากออกเดินทางเดี๋ยวนี้ แต่เพราะอาการของอีกฝ่ายยังไม่ดีขึ้น...เลยได้แต่อดทน ถ้าดูตามแผนที่ สถานที่ที่มีสมุนไพรอยู่ทางตอนใต้ของเกาะ ต้องเดินจากที่นี่ไปราวสองกิโลเมตร แต่ว่าไม่มีสิ่งใดรับรองว่ามันจะยังขึ้นอยู่ที่เดิมซึ่งเคยเก็บได้ครั้งก่อน ถ้าเกิดหาไม่เจอ ยูอิจิก็ตั้งใจว่าจะออกค้นหาในสถานที่อื่นด้วย
การที่เขาเข้าไปทักทายคนของศูนย์วิจัยนกป่าก็เพื่อเผื่อไว้หากเกิดเหตุการณ์นั้นขึ้น คนของสถานีวิจัยบอกว่าจะขึ้นไปทางตอนเหนือของเกาะ อีกฝ่ายไปในทิศทางตรงกันข้ามแบบนี้ก็ยิ่งสบโอกาสเหมาะ ถ้าเขาลองคุยดีๆ ทำให้อีกฝ่ายสนใจ แล้วเอาภาพซีร็อกซ์ของสมุนไพรให้พร้อมกับย้ำว่าให้ช่วยบอกด้วยถ้าเจอของที่คล้ายๆ กัน เขาก็อาจจะได้ข้อมูลตอนนั่งเรือขากลับ เขาไม่คิดว่าจะวนหาทั่วเกาะได้ในวันเดียวตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ในช่วงระยะเวลาจำกัด ของที่ใช้ประโยชน์ได้ก็ต้องใช้ให้หมด แต่อิมาคุระก็ทำให้ทุกอย่างสูญเปล่าโดยที่ไม่รู้เจตนาของเขา แต่ก็ช่างเถอะ เพราะอย่างไรมันก็เป็นแค่แผนการที่วางเอาไว้ล่วงหน้าโดยที่ยังไม่รู้อะไรแน่ชัด แต่ว่านั่งอยู่แต่ตรงท่าเรือแบบนี้เวลาก็ยิ่งผ่านไปเรื่อยๆ ท่ามกลางแสงแดดที่แผดจ้า ยูอิจิรอให้ร่างกลมลุกขึ้นยืนขณะที่ใจยิ่งร้อนรนขึ้นทุกที แต่อิมาคุระก็ไม่มีวี่แววว่าจะขยับตัวเลย ตอนที่เข็มนาฬิกาชี้บอกเวลาสิบโมง ยูอิจิก็พูดโพล่งออกมาอย่างอดทนไม่ไหวอีก
?คุณคงหายคลื่นไส้แล้ว เราออกเดินทางกันไหมครับ ที่นี่อากาศดี วิวก็สวย ให้อารมณ์เหมือนมาเดินป่า คงจะเดินได้แบบสบายอารมณ์นะครับ?
ทั้งที่เขาระมัดระวังในการเลือกใช้คำพูดแล้ว แต่ไม่รู้ว่าอิมาคุระไม่ถูกใจอะไรถึงได้เงยหน้าขึ้นมองยูอิจิด้วยสายตาไม่พอใจ
?นี่เป็นงานนะ ...เดินป่างั้นเหรอ เธอเนี่ยดีนะไม่รู้สึกทุกข์ร้อนอะไรเลย?
เพลิงโทสะระเบิดพุ่งเป็นภูเขาไฟในหัวของเขาหลังจากห่างหายไปนาน แต่สิ่งที่เขาแสดงออกมีเพียงแค่มุมปากที่กระตุกไปนิดหน่อยเท่านั้น ถ้าหากว่าอิมาคุระเป็นน้องชายของเขา เขาคงจะติดสินบนเพื่อนเกย์ที่เป็นพวกชอบหมูตอนให้จับปล้ำ จากนั้นก็อัดให้น่วมแล้วค่อยเอาไปทิ้งกลางถนน
ถ้าหากว่าไม่เจอสมุนไพรภายในวันนี้ การออกมาทำงานนอกออฟฟิศครั้งนี้ก็ถือว่าสูญเปล่า เขารู้เลยว่าต้องโดนหัวหน้าแผนกบ่น อิมาคุระอาจจะอ้างว่าเวลาวันเดียวหาได้ไม่เต็มที่ แล้วทำเรื่องขอออกมาหาสมุนไพรครั้งที่สองอีก แต่งบประมาณของบริษัทก็แสนจะจำกัด ทางบริษัทอาจยอมให้ออกมาหาสมุนไพรครั้งที่สองแบบไม่เต็มใจสุดๆ หรือในกรณีเลวร้ายที่สุด ก็อาจบอกให้ล้มเลิกโครงการพัฒนาสมุนไพรที่มีฤทธิ์ช่วยลดไขมัน อิมาคุระเป็นหัวหน้าโครงการ ถ้าหาสมุนไพรไม่เจอคนที่เดือดร้อนก็คือตัวอิมาคุระเอง เพราะอย่างไรยูอิจิก็เป็นแค่ ?ผู้ช่วย? เท่านั้น แต่ว่าถ้าหาสมุนไพรไม่เจอ เขารู้เลยว่าต้องโดนอีกฝ่ายผลักความรับผิดชอบทำนองว่าเป็นเพราะลูกน้องทำงานไม่ดี ยูอิจิจึงถอนหายใจออกมานิดๆ เพราะเห็นอนาคตมาแต่ไกล
?อ้วกออกไปตั้งขนาดนั้น แถมถ้ายังต้องมาเดินในที่ร้อนๆ แบบนี้ เดี๋ยวผมก็เกิดอาการขาดน้ำพอดี เธอไม่มีความเห็นว่าควรให้ผมพักบ้างสักหน่อยหรือไง?
อาการของอีกฝ่ายมันฟ้องว่าถึงเขาพูดอะไรไปก็เปล่าประโยชน์
?อย่างนั้นเหรอครับ...งั้นเชิญอิมาคุระซังพักไปเถอะครับ ผมจะไปทางใต้คนเดียวเอง คิดว่าตอนเที่ยงก็คงจะยังไม่กลับ เพราะฉะนั้นผมขอเอาข้าวกล่องส่วนของผมไปนะครับ ถ้าหากว่าอิมาคุระซังรู้สึกดีขึ้นแล้ว ก็ลองไปตามหาบริเวณนั้นดูนะครับ?
?ตกลง ตกลง?
อีกฝ่ายโยนแผนที่มาให้ยูอิจิเอาดื้อๆ ด้วยท่าทีเมินเฉยเหมือนบอกกลายๆ ว่าน่าจะพูดแบบนั้นตั้งแต่แรก ก่อนจะรีบย้ายตัวเองไปหลบใต้ต้นไม้ แล้วนั่งจุ้มปุ๊กลงทันที เหงื่อโซมหน้าผากขาวที่ร้อนจนออกแดง หน้าท้องหลายชั้นกระเพื่อมไหวดูน่าเกลียดเกินบรรยายเสียจนน่าขยะแขยง ยูอิจิเอาเป้ที่ใส่ของหลายอย่างไม่ว่าจะเป็นช้อนพรวนสำหรับเก็บตัวอย่างสมุนไพรหรือเคสพลาสติกขึ้นสะพาย แล้วหันหลังให้กับสิ่งมีชีวิตที่เลวร้ายที่สุดในปฐพี ออกเดินพลางเตะดินเลิสส์ ของทางที่ไม่ได้มีการเทราดพื้นถนน


พระอาทิตย์คล้อยไปทางตะวันตกยิ่งขึ้นทุกที ยูอิจิยืนอยู่บนสะพานท่าเรือ ป้องมือกับหน้าผากที่เหนอะหนะด้วยลมทะเล หรี่ตาเขม้นมองไปทางทะเล ทั้งที่เลยเวลานัดไปแล้วสิบห้านาที แต่เรือที่จะมารับกลับไม่โผล่มา
?เรือ...ไม่มานะครับ...?
?ถึงไม่บอกแค่ดูก็รู้?
อิมาคุระที่มองดูทะเลเหมือนกัน กล่าวด้วยน้ำเสียงแหลมปรี๊ด แค่ฟังเสียง อารมณ์ก็จะพุ่งแล้ว แต่เขาก็เก็บกดมันไว้ไม่ให้แสดงออกมาทางสีหน้า
?เรือมีปัญหาอะไรหรือเปล่านะ คนของศูนย์วิจัยนกป่าก็ด้วย ทั้งที่ถึงเวลานัดแล้วแต่กลับไม่มาท่าเรือแปลกจริงๆ หรือว่าเรือที่เห็นแถวทะเลน้ำลึกก่อนสี่โมงจะมารับไปแล้ว?
?เรือลำนั้นไม่ได้เฉียดมาทางนี้เลยไม่ใช่หรือไง?
ทำไมเรือที่มารับถึงไม่มา แล้วถ้าเรือที่เห็นแวบๆ ตอนราวสี่โมงเป็นเรือที่มารับจริง ทำไมถึงไปเลยโดยไม่รอรับพวกเขา...ยูอิจิเองก็ไม่เข้าใจ
?เรือที่มารับไม่น่าจะให้แต่คนของศูนย์วิจัยนกป่านั่งไปโดยที่ปล่อยพวกเราทิ้งไว้...?
?โว้ย ให้ตายสิ ทั้งเรื่องนี้และเรื่องก่อนนี้ก็ด้วย ทั้งหมดเป็นความผิดของเธอ?
จู่ๆ อิมาคุระก็ส่งเสียงเกรี้ยวกราดออกมา
?ตั้งแต่ต้นแล้ว คนที่จ้างเรือหาปลานั้นให้พาเรามาเกาะนี้ก็เป็นเธอ เพราะจ้างเรือแบบขอไปทีเนี่ยแหละเราถึงได้เจอเรื่องแบบนี้ น่าจะจ้างเรือครุยเซอร์แต่แรก ถึงแพงหน่อยก็ไม่เห็นเป็นไรเลย แล้วเรือก็คงไม่โคลง ผมจะได้ไม่ต้องเมาเรือเสียแทบแย่แบบนี้?
บริษัทไม่มีทางลงทุนจ้างเรือครุยเซอร์แค่เพื่อใช้หาสมุนไพรอยู่แล้ว นั่นเป็นเรื่องที่อิมาคุระเองก็น่าจะรู้ ยูอิจิหันหลังให้ชายที่ยังคงบ่นไม่ยอมหยุด ล้วงเอาโทรศัพท์มือถือกับออร์แกไนเซอร์ออกมาจากเป้สะพายหลัง
?ตั้งใจฟังเวลาที่คนอื่นพูดสิ พ่อแม่ไม่เคยสั่งสอนหรือไง?
ยูอิจิเมินชายที่เอะอะง้องแง้งไม่หยุด โทรไปหาสมาคมการประมงที่เขาจ้างเรือรับ-ส่ง พนักงานหญิงบอกกับเขาว่า ?ฉันจะรีบใช้วิทยุไร้สายแจ้งเรือที่ไปรับให้รีบวกกลับไปเดี๋ยวนี้ค่ะ? ยูอิจิบอกเบอร์มือถือของเขาก่อนจะวางสายไป แล้วหันกลับไปหาหมูตอนข้างหลังเขา
?เห็นว่าจะใช้วิทยุไร้สายติดต่อไปที่เรือให้ครับ?
?น่าจะติดต่อไปให้เร็วกว่านี้ไม่ใช่หรือไง มัวทำอะไรอยู่จนถึงป่านนี้?
ยิ่งไปต่อปากกับอีกฝ่ายก็ยิ่งชวนให้หงุดหงิด เขาจึงแสร้งทำเป็นหูทวนลม ยูอิจิทรุดตัวลงนั่ง กำโทรศัพท์มือถือไว้ในมือขวา รอให้ทางสมาคมติดต่อกลับมา แต่ผ่านไปห้านาทีก็แล้ว สิบนาทีก็แล้ว ยังไม่มีโทรศัพท์ติดต่อกลับมา แปลกจัง...เขาก้มลงมองโทรศัพท์มือถือ แล้วก็ต้องอึ้งไปทันที หน้าจอแอลซีดีของโทรศัพท์มือถือดับไปแล้ว ถึงกดเปิดเครื่องอย่างไรก็เปิดมือถือไม่ได้...แบตเตอรี่หมดสนิท เขารีบร้อนหันไปหาเจ้านายผู้น่ารังเกียจ
?อิมาคุระซัง มีมือถือไหมครับ?
?ก็ต้องมีสิ?
อิมาคุระทำปากยื่นทั้งที่ริมฝีปากยังคงบิดเบ้
?ต้องขอโทษจริงๆ แต่ขอยืมหน่อยได้ไหมครับ?
?ใช้ของเธอโทรก็พอนี่?
พอโดนต่อว่าด้วยท่าทางหยิ่งยโส คราวนี้เขาจึงไม่ปิดบังสีหน้าหงุดหงิดแล้ว
?แบตผมหมด ขอโทษครับ?
?ให้ตายสิ...?
อิมาคุระบ่นงึมงำพลางค้นในกระเป๋า...แต่ถึงหานานแค่ไหนก็ยังไม่เจอมือถือ
?แปลกจังเลย แปลกจังเลย? เขาเอาแต่บ่นซ้ำไปซ้ำมาแบบนั้น
?...หรือว่า ลืมมือถือครับ?
อิมาคุระตวาดกลับมาด้วยใบหน้าแดงก่ำ
?อย่าพล่ามมากได้ไหม มันน่ารำคาญ ผมก็หาอยู่นี่ไง?
ทว่ากลับไม่เห็นแม้แต่เงาของมือถือ
?...เมื่อเช้า ผมว่าผมใส่ในกระเป๋าแล้วนะ?
ความไม่แน่ใจเจือปนในเสียงที่บ่นพึมพำ ยูอิจินิ่งอึ้งไปกับข้อเท็จจริงว่าไม่มีมือถือ และที่มีก็ใช้การไม่ได้ มารู้สึกตัวก็เมื่อลมทะเลเย็นเฉียบลูบไล้ต้นคอ พอหันกลับไปมองก็เห็นพระอาทิตย์จมลับเส้นขอบฟ้าไปครึ่งดวงแล้ว บริเวณโดยรอบจึงมืดลงอย่างรวดเร็ว การที่ทัศนวิสัยแย่ลงไม่ใช่แค่การคิดไปเอง หมอกหนาเริ่มปกคลุมท่าเรือ ตอนนี้พวกเขาไม่มีหนทางทำอะไรได้เลย เมื่อไม่มีวิธีติดต่อและเกาะร้างแห่งนี้ไม่มีประภาคาร หากหมอกลงแบบนี้ เรือก็คงจะไม่เข้ามาใกล้ท่าเรือ
?ผมโทรไปบอกคนที่สมาคมครั้งหนึ่งแล้ว เดี๋ยวเขาคงจะโทรไปบอกเรือที่มารับว่าพวกเราตกค้างกันอยู่ที่นี่ แต่ผมคิดว่าถ้าหมอกลงแบบนี้ เรือคงจะเข้ามาที่ท่าเรือไม่ได้ วันนี้เราคงต้องตัดใจแค่นี้ แล้วไปหาสถานที่ที่พอจะใช้นอนได้ในช่วงที่ยังพอมองเห็นบริเวณรอบๆ อยู่?
เขาคิดว่าตัดสินใจอย่างเหมาะสมไปตามสถานการณ์แล้ว แต่อิมาคุระกลับหันขวับ และพูดรัวออกมาเป็นปืนกล
?ทั้งหมดเป็นความผิดของเธอ เรื่องถึงได้เป็นแบบนี้ นี่เธอคิดจะให้ผม...นอนกลางป่าหรืออย่างไร ผมไม่เอาด้วยเด็ดขาด อีกอย่างแล้วจะทำอย่างไรเรื่องข้าวเย็น ผมนอนไม่หลับหรอกถ้าท้องว่าง?
การกระทำและคำพูดไม่ทำให้คิดเลยว่าเป็นของผู้ใหญ่ที่บรรลุนิติภาวะแล้วจริงๆ ยูอิจิเองก็ไม่ได้อยากนอนกลางป่าเหมือนกัน แต่เขาไม่คิดจะพูดคร่ำครวญ เขามองเจ้านายที่อ้วนกลมเป็นหมูตอนตั้งแต่หัวจรดเท้า พอเห็นชายที่เอาตัวเองเป็นศูนย์กลางของทุกสิ่งทุกอย่างขนาดนี้แล้ว ความเบื่อหน่ายก็มาถึงขีดสุดจนรู้สึกว่าไร้สาระเต็มที
?...แต่ว่า อยู่ตรงนี้ไปก็ช่วยอะไรไม่ได้นี่?
เขาพูดออกไปส่งๆ ด้วยน้ำเสียงห้วน อิมาคุระก็คงจะสังเกตได้เช่นกัน เลยตวาดแหวด้วยเสียงแหลมสูงเหมือนสุนัขพันธุ์สปิตซ์
?ช่วยไม่ได้อะไรกัน เธอเนี่ยไม่ได้เข้าใจความสำคัญของเรื่องราวเอาซะเลย ก่อนมาถึงที่นี่ก็เหมือนกัน ยังแทบเอาความลับของธุรกิจไปเปิดเผยให้คนแปลกหน้าสองคนนั้นรู้?
เสียงตะโกนฟังแล้วปวดหู
?อิมาคุระซัง ขอร้องล่ะ ช่วยคุยแบบเงียบๆ กว่านี้ได้ไหมครับ?
ชายที่ฉุนขาดเอาแต่เอะอะโวยวายไปคนเดียวไม่ฟังคำพูดของยูอิจิ
?ที่สำคัญ ฉันไม่ถูกชะตากับเธอมาตั้งแต่ต้นแล้ว ถึงทุกคนจะบอกว่าเธอทำงานเก่งก็เถอะ แต่ฉันไม่คิดแบบนั้นหรอก เธอแค่ทำตัวให้พวกเบื้องบนถูกใจเก่งเท่านั้น หน้าตาดีก็จริงแต่เป็นคนไร้ความรับผิดชอบ?
หน้าตาดีแล้วผิดตรงไหนกัน ถ้าจะว่าอย่างนั้นแล้วทีตัวเองล่ะ ถูกทั้งรุ่นน้องทั้งเพื่อนร่วมงานรังเกียจจนถึงขนาดไม่มีใคร ?ปิดบังท่าทีรังเกียจ? เพื่อแสดงความเกรงใจ แถมตัวเองยังเป็นคนเสนอชื่อ ?ฉันที่ไม่ถูกชะตาด้วย? ให้มาทำงานนอกสถานที่ด้วยแท้ๆ ทั้งที่มีแต่ฉันคนเดียวที่ยอมคบแบบไม่แสดงสีหน้ารังเกียจถึงแม้จะเป็นแค่ภายนอกก็เถอะ ร่างของเขาสั่นสะท้านนิดๆ ต้องกำหมัดแน่น ข่มกลั้นความอยากจะตวาด ?เจ้าหมูตอนตัวนี้? แต่เจ้านายหมูตอนก็ยังเหลือบตาขึ้นมองยูอิจิด้วยสายตาของคนเหนือกว่า
?แค่เห็นคนที่ไร้ความสามารถอย่างเธอไปเลียแข้งเลียขาเจ้านายจนได้เลื่อนขั้น ฉันก็หนาวสันหลังแล้ว มองเห็นอนาคตของบริษัทยาสุงิโนคิเลย?
เหมือนเสียงบางอย่างดังปรี๊ดในหัว
?...หนวกหู เงียบเสียทีได้ไหม?
หลังจากสบถเสียงต่ำไปแล้ว เขาก็ได้สติทันที หน้าของอิมาคุระดำคล้ำเป็นหมูดำทันทีด้วยความโกรธ ยูอิจิรีบก้มหัวลงต่ำ ถึงโคตรชั่วอย่างไรก็เป็นหมู...ไม่ใช่สิ ถึงโคตรชั่วอย่างไรเขาก็ยังเป็นเจ้านาย คำคำนั้นดังขึ้นในหัว
?ขอโทษที่พูดจาเสียมารยาทครับ ผมเผลอหงุดหงิดไปหน่อย...เอ่อ จากที่นี่เดินไปทางตะวันออกอีกหน่อยจะเจอบ้าน เราไปอยู่ที่นั่นกันสักพักดีกว่าไหมครับ ถึงเป็นบ้านร้าง แต่คงพอใช้หลบหมอกกับฝนได้?
อิมาคุระกอดกระเป๋าแนบอกโดยไร้วาจา เขาหันหลังให้ยูอิจิ ออกเดินไปทางที่บ้านร้าง ยูอิจิเองก็เอาเป้สะพายไหล่ เดินตามหลังคนที่แสนอ้วนพีไป เขาอยากให้ความสัมพันธ์กับคนในบริษัทเป็นไปได้ด้วยดี ถึงได้คอยเกรงใจอิมาคุระพอสมควร แต่เรื่องเมื่อกี้คงทำให้เขาโดนเกลียดเอาจริงๆ แล้ว มันน่าเศร้าเมื่อคิดว่าคำว่าร้ายของอิมาคุระทำให้ความพยายามที่เขาเฝ้าอดทนไม่ตอบโต้อีกฝ่ายที่ผ่านมาต้องสูญเปล่ากลายเป็นฟองอากาศ แต่เมื่อนึกได้ว่าการโดนอีกฝ่ายเกลียดเอาแบบนี้ก็ไม่ได้สร้างความเสียหายให้เขาสักเท่าไร หัวใจก็เบาขึ้นทันที อีกฝ่ายคงไม่ยัดเยียดงานให้เขาทำอีก งานที่ต้องออกมานอกสถานที่แบบนี้ก็คงลดลงด้วย พอรู้สึกว่าโดนเกลียดแบบนี้ยังดีเสียกว่า มันก็ปวดใจนิดๆ ว่าที่ผ่านมาเขาทนไปเพื่ออะไร


เมื่อได้รับโทรศัพท์จากคนของบริษัทยา พนักงานของสมาคมการประมงของท่าเรือฮามามัตสึ โยชิวาระ ทาเอะก็รีบใช้วิทยุไร้สายติดต่อหาเรือประมงฟูจิวาระมารุ ฟูจิวาระมารุเป็นเรือของเก็นโซ ชาวประมงที่มีอายุกว่าเจ็ดสิบปี เก็นโซตอบกลับทันทีว่า ?รับชายสองคนขึ้นมาบนเรือแล้ว และกำลังมุ่งหน้าไปท่าเรือ? ทาเอะเอียงคออย่างสงสัยหลังตัดการติดต่อ คนจากบริษัทยาบอกว่ายังไม่มีเรือไปรับ แต่เก็นโซกลับบอกว่ารับคนขึ้นเรือมาแล้ว ถึงเธอจะนึกสงสัย แต่เก็นโซก็เป็นคนซื่อสัตย์ไม่ใช่คนที่จะพูดโกหก เธอจึงเข้าใจว่าเรือคงจะไปถึงทันทีหลังจากคนของบริษัทยาโทรมา แต่เพื่อความแน่ใจ...เธอเลยลองโทรเข้าเบอร์ที่คนจากบริษัทยาโทรมา แต่มือถือคงปิดเครื่องอยู่เลยโทรไม่ติด ทาเอะวางสายโทรศัพท์ที่โทรไม่ติด แล้วขยำกระดาษโน้ตที่จดเบอร์มือถือของชายคนนั้นทิ้งลงถังขยะ
ทาเอะไม่ได้ล่วงรู้ว่าเรือขาไปส่งกับเรือขารับกลับเป็นคนละลำกัน เก็นโซเพียงถูกขอร้องให้ไปรับกลับเท่านั้น เรือที่ไปส่งคนทั้งสี่ในตอนแรกบอกว่าผู้ที่ไปเกาะร้างเป็น ?กลุ่มสองคนสองกลุ่ม? เก็นโซที่หูตึงเลยฟังผิดเป็น ?กลุ่มสองคน? ตอนที่เรือไปถึงทางเหนือของเกาะ เก็นโซบังเอิญได้พบกับพนักงานวิจัยของศูนย์วิจัยนกป่า จึงให้พวกเขาขึ้นเรือเอาตอนนั้น ไม่ไปแวะที่ท่าเรือ คนของศูนย์วิจัยนกป่าทักขึ้นว่า ?อ้าว คนของบริษัทยาไม่ได้มาด้วยเหรอครับ? แต่เก็นโซเข้าใจผิดมาตั้งแต่ต้นว่าเป็น ?กลุ่มสองคน? เลยตอบกลับไป ?วันนี้มีแค่พวกคุณน่ะ? พวกคนของศูนย์วิจัยนกป่านึกสงสัยอยู่เหมือนกันว่าคนของบริษัทยาจะค้างแรมด้วยชุดบางๆ แบบนั้นเหรอ แต่เห็นเจ้าของเรือเอ่ยอย่างมั่นใจแบบนั้นแล้ว จึงไม่ถามอะไรไปมากกว่านั้น ทาเอะหาได้ทราบข้อเท็จจริงเรื่องชายสองคนต้องตกค้างบนเกาะร้างอย่างน่าเศร้าด้วยความเข้าใจผิดเล็กน้อยไม่


บ้านร้างที่ไร้คนอาศัยเต็มไปด้วยฝุ่น แมงมุมชักใยอยู่มุมเพดานห้อง ม่านสีซีดจนออกขาว กระจกหน้าต่างมีรอยร้าว ประตูบานเลื่อนจากกระดาษดูน่าขนลุกเหมือนจะมีผีโผล่ออกมา แต่ยูอิจิก็ปลอบใจตนเอง ว่าอย่างไรก็ค้างแค่คืนเดียว แล้วมันก็คงดีกว่าค้างกลางป่า เขาก้าวขึ้นมาบนเสื่อทาทามิทั้งที่ไม่ถอดรองเท้า พอเลื่อนประตูกระดาษของตู้เก็บของออก ก็พบฟูกนอนกับผ้าห่มหลายผืน เขาไม่รู้ว่าพวกมันถูกทิ้งไว้ในนั้นมานานแค่ไหน แต่แน่ใจได้ว่าจะต้องเป็นรังของพวกไรฝุ่น ทว่าเขาก็ไม่อยากนอนกับพื้นทาทามิสกปรกโดยตรง หลังจากลังเลชั่วครู่ เขาเลยดึงเอาฟูกนอนออกมา ตั้งใจจะวางปูไว้ข้างล่างเฉยๆ
?อิมาคุระซังจะปูอะไรรองพื้นหน่อยไหมครับ เสื่อทาทามิก็สกปรกด้วย?
ท่ามกลางความมืดสลัว อิมาคุระหัวเราะเสียงดังหึเมื่อเขาถาม
?ยังกล้านอนบนของที่ไม่รู้ว่าใครเคยใช้มาก่อนด้วยนะ ไม่เข้าใจว่าประสาทของเธอทำด้วยอะไรจริงๆ?
เขามันโง่เองที่คิดไปถาม ยูอิจิจึงดึงฟูกนอนออกมาเฉพาะส่วนของตัวเองและขึ้นไปนอนบนนั้น ถึงเขาจะรู้สึกหิว แต่คงเพราะตอนกลางวันเดินเสียรอบเกาะเลยทำให้ง่วงขึ้นมาทันที เขาหาวหวอดหลายครั้ง พลางคิดว่าทำไมเขาต้องโชคร้ายมาตกค้างบนเกาะร้างกับคนที่เขาเกลียดสุดๆ ด้วย ถ้าว่ากันแต่ต้น การเดินทางมาสำรวจสมุนไพรถือเป็นความผิดพลาด ถ้าเขาเกลียดอิมาคุระและแสดงออกไปตามตรงว่าเกลียด เขาคงไม่ต้องมายุ่งเกี่ยวกับอีกฝ่ายเกินความจำเป็น แล้วก็ไม่ต้องมาหงุดหงิดแบบนี้ด้วย
?ยูอิจิพยายามจะทำตัวเป็นเด็กดีเกินไปนะ?
โทโมฮารุ มาสเตอร์ที่บาร์เกย์ เพื่อนสนิทของเขาชอบพูดจนแทบจะเป็นคำพูดติดปาก โทโมฮารุเป็นฝ่ายรุกที่มีหน้าตาสมชาย รูปร่างสูงใหญ่แบบนักกีฬา แต่ชอบเลกเชอร์ด้วยคำพูดสาวจ๋าให้ยูอิจิฟังเป็นประจำ
?แต่ว่านายน่ะ ก็เป็นเกย์ที่สมเป็นเกย์จริงๆ นะ ทั้งอ่อนโยน เอาใจใส่ หน้าตาก็ดีด้วย แบบนี้มันเพอร์เฟกต์ชัดๆ ส่วนสูงรึก็สูง แถมยังผอม หน้าตาหล่อเหลา นี่ถ้านายไม่ใช่ฝ่ายรุกที่ชอบพวกหนุ่มน้อยนะ ก็เป็นสเปกฉันเลย ฉันเนี่ยไม่เข้าใจจริงๆ ว่านายไปมีอารมณ์ได้อย่างไรกับไอ้ตรงนั้นที่ขนยังไม่ค่อยขึ้นน่ะ?
เพื่อนสนิทของเขาถอนหายใจหลังพูดจบ แต่โทโมฮารุไม่สนหน้า สนหน้าอก สนก้น หรืออะไรทั้งนั้น ยกเว้นผู้ชายที่มีขนดกไปทั้งตัว ยูอิจิเสียอีกที่ไม่เข้าใจรสนิยมของเขา
ยูอิจิรู้ว่าตัวเองเป็นเกย์มาตั้งแต่สมัย ม.ต้น เขาสนใจแต่ผู้ชายมาตั้งแต่ประถมแล้ว คนที่ถือได้ว่าเป็นรักแรกของเขาก็คือคาซุกิ เพื่อนในห้องเดียวกัน เขายังคิดอยู่บ่อยๆ ว่ามันแปลก ความสงสัยของเขามาถึงขีดสุดเมื่อเขาฝันเปียกด้วยผู้ชายตอนสมัย ม.ต้น เขาได้รู้ว่ามีคนจำพวกนั้นอยู่ไม่น้อยจากนิตยสารที่มีคนแอบพกเข้ามาในโรงเรียน จึงได้เข้าใจว่าตัวเองเป็น ?เกย์? คนจำพวกชอบผู้ชายด้วยกัน เขารู้สึกว่ามันเป็นความผิด และเหนือสิ่งอื่นใด เขากลัวว่าตัวเองจะโดนดูถูกเหยียดหยาม เขาจึงปิดบังเรื่องที่เขาเป็นเกย์ตั้งแต่อยู่มัธยมไปจนถึงมหาวิทยาลัย เขาเคยฝืนตัวเองเป็นแฟนกับผู้หญิง แต่ว่าความสัมพันธ์ก็ไม่ยั่งยืน และแล้วความต้องการทางเพศที่ข่มกลั้นไว้ก็มาแตกเป็นพลุในฤดูใบไม้ผลิปีที่ยี่สิบสองหลังเข้าทำงาน ยูอิจิพยายามทำตัวเป็นชายแท้อย่างเต็มที่ในบริษัทที่เข้าทำงาน เขาออกมาจากบริษัทอย่างอ่อนระโหย และเดินเข้าไปยังถนนที่มีร้านอย่างว่าอยู่ เขาตรงดิ่งเข้าโรงแรมกับผู้ชายที่สบตาเป็นคนแรกทันที และระเบิดออกมาไม่มีหยุดจนอีกฝ่ายต้องกรีดร้อง อารมณ์ตื่นตัวของเขาไม่ยอมหายไปง่ายๆ จนต้องมีเซ็กซ์อีกหลายรอบโดยไม่ถอนส่วนนั้นออกจากตัวอีกฝ่าย นั่นจึงเป็นวันแรกตั้งแต่เกิดมาที่ยูอิจิกลับบ้านตอนเช้า ที่โต๊ะอาหารอันแสนสดใส เขาสารภาพกับสมาชิกทุกคนในครอบครัว ?ผมเป็นเกย์? ตอนแรกทุกคนก็หัวเราะนึกว่าเป็นเรื่องตลกร้าย แต่พอเห็นสีหน้าจริงจังของลูกชายคนโตแล้ว ก็อึ้งไปในท้ายที่สุด ยูอิจิก้มหัวลงจรดพื้นต่อหน้าพ่อแม่ที่พูดอะไรไม่ออก
?ลูกชายคนโตของพ่อแม่ไร้ความสามารถในการเป็นชาย ช่วยตัดใจเรื่องหลานกับภรรยาเถอะครับ แต่ว่าผมจะพยายามเป็นลูกชายให้ดีที่สุด ถึงมันอาจจะทดแทนกันไม่ได้...?
ยูอิจิขยุ้มคอเสื้อของชูจิที่ตอนนั้นเป็นนักศึกษาอายุยี่สิบปี แล้วประกาศออกมา
?ผมจะรับผิดชอบ ทำให้หมอนี่เหลือทายาทของฮิงาชิยามะไว้เอง ผมสัญญา?
น้องชายแต่งงานไปกับผู้หญิงที่ยูอิจิแนะนำให้เมื่อฤดูใบไม้ผลิปีที่แล้ว ตรงตามแผนการของยูอิจิ เขากึ่งๆ บังคับขู่เข็ญให้อีกฝ่ายมีลูก ทำหน้าที่ทดแทนบุญคุณพ่อแม่ครบถ้วนแล้ว ที่เหลือก็แค่ตามหาความสุขของตัวเอง แต่เขากลับไม่เจอคนดีๆ คนนั้นเสียที คนที่เข้าหาเขามีมากมายเป็นภูเขาเลากา เขาเองก็เคยลองคบกับคนที่เขาคิดว่า ?ไม่เลว? แต่ว่าคบกันได้ไม่ยืดยาวก็ต้องเลิกรากันไป โทโมฮารุยังเคยยักไหล่ บอกว่ายูอิจิที่เอาแต่กินกับแกล้มรายทางไปเรื่อย เป็นพวกอุดมคติสูง
?เด็กหนุ่มหน้าสวยผิวขาวผู้แสนอ่อนเยาว์และอาภัพ ให้หาไอ้สินค้าจำกัดระยะเวลาพรรค์นั้นมันยากนะ จะเป็นเด็กหนุ่มหน้าสวยขนาดไหนสุดท้ายก็เป็นคุณลุงกันหมดนั่นแหละ จะกินคนมีอายุสักหน่อยก็ไม่เห็นเป็นไรนี่ ถ้านายสนใจนะ ฉันก็มีคนดีๆ มาแนะนำ พวกแขกที่มาร้านมีอยู่เพียบเลยที่สนใจนาย?
ถึงใครพูดอย่างไร เขาก็ไม่เคยเสียอุดมการณ์เรื่องเด็กหนุ่มผิวขาว ถึงเขาไม่พูดออกมาเพราะจะถูกหัวเราะเยาะ แต่มันเป็นความฝันแบบลับๆ ของเขาว่า จะเลี้ยงดูเด็กผู้ชายตัวเล็กๆ มาตั้งแต่ยังเป็นเด็ก ใช่แล้ว...เหมือนกับฮิคารุ เก็นจิที่เลี้ยงดูวากามุระ ซากิให้เติบโตไปตามแบบที่ตนชอบ แต่ว่านั่นเป็นเรื่องที่ใช้ทั้งเงินและเวลา เป็นเรื่องที่ทำไม่ได้ในความเป็นจริง แต่คงไม่มีใครบ่นได้ถ้าเขาจะขอฝันสักหน่อย จึงกลายเป็นเรื่องประจำวันที่ยูอิจิจะปลดปล่อยอารมณ์ทางเพศกับผู้ชายที่รู้จักกันในร้านไปตามสมควร พร้อมๆ กับตามหาเด็กหนุ่มหน้าสวยผิวขาวในฝันของเขาไปด้วย
จะว่าไปเขาก็ตั้งใจจะแวะร้านของโทโมฮารุตอนขากลับ ยูอิจิบอกไปว่าคอนดอมที่บริษัทเขาผลิตให้ความรู้สึกดีเวลาใช้ เลยสัญญาว่า ?คราวหน้าจะเอาไปให้? เพราะฉะนั้นคอนดอมผลิตภัณฑ์ใหม่ ?LIKE A VIRGIN? จึงยังหลับใหลอยู่ด้านล่างของเป้เขา ...ถึงเป็นผลิตภัณฑ์ที่บริษัทเขาทำขึ้นก็เถอะ แต่เซนส์ในการตั้งชื่อเนี่ยสุดห่วยจริงๆ...แต่มันก็อยู่ในนั้น รู้แบบนี้ เขาน่าจะเอาวิตามินหรืออาหารเสริม พวกของที่จะเติมท้องให้อิ่มได้ใส่ไว้แทนก็ดีหรอก ยูอิจิคิดขณะขดตัวในฟูก เขาอยู่นิ่งๆ มาเกือบชั่วโมงแล้ว ท้องฟ้าก็มืดลงอย่างรวดเร็ว แต่เขากลับหลับไม่ลงอย่างที่ตั้งใจไว้ เขาลืมตาขึ้นเมื่อได้ยินเสียงดังกุกกัก เห็นอิมาคุระคลานไปบนเสื่อทาทามิ ลากบางอย่างมา พอสงสัยว่าอีกฝ่ายทำอะไร ก็พบว่าอีกฝ่ายแอบเปิดประตูตู้เก็บของเงียบๆ และลากฟูกนอนจากข้างในออกมา ตอนแรกทำเป็นปฏิเสธว่า ?ไม่ต้องการ? แต่ตอนหลังค่อยรู้สึกล่ะสิว่านอนบนเสื่อทาทามิมันลำบาก
?อุตส่าห์บอกตั้งแต่ตอนแรกแล้วแท้ๆ อยากเตะความหวังดีของคนอื่นทิ้งเอง งี่เง่า?
ยูอิจิด่าอีกฝ่ายในใจจนรู้สึกดีขึ้นมานิดหน่อย และในเวลาเดียวกับที่เขาหลับตาลง เขาก็ได้ยินเสียงแปลกๆ ดังกร้อบแกร้บ กร้วมๆ แล้วก็มีกลิ่นหวานๆ ของช็อกโกแลตลอยปนมา จนเขาคิดขึ้นมาว่า...ไม่จริง แต่เสียงกร้อบๆ กร้วมๆ นั้นก็ดังไม่หยุด กลิ่นหวานๆ ก็ไม่หายไป อิมาคุระกำลังกินของบางอย่างอยู่ ถึงไม่เห็นกับตาก็เถอะ...แต่ที่แน่ๆ คือ เจ้านั่นกำลังกินบางอย่างอยู่คนเดียว... ตอนที่เข้าใจเรื่องนั้น เขาก็รู้สึกเศร้าขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก อิมาคุระมีของกินติดตัวมาด้วย แล้วพอคะเนว่ายูอิจิหลับเงียบไปแล้วถึงค่อยเริ่มกิน ทั้งที่รู้ว่าเขาไม่ได้กินข้าวเย็น ท้องว่างเหมือนๆ กัน แต่ก็ไม่คิดจะแบ่งให้เขา และยูอิจิเองก็พูดออกไปไม่ได้ว่า ?แบ่งให้ผมหน่อยได้ไหม?
เพราะมันเป็นของกินของอิมาคุระ มันไม่ผิดที่อิมาคุระจะกินคนเดียว แต่ในเวลาฉุกเฉินแบบนี้ก็น่าจะมีความเห็นอกเห็นใจ หรือช่วยเหลือเกื้อกูลกันบ้างไม่ใช่หรือไง ถ้าหากว่าเขาเป็นคนที่มีของกินติดตัวอยู่ ก็คงจะแบ่งให้อิมาคุระ ไม่ว่าเป็นคนที่เขาเกลียดขนาดไหน แต่เขาคงอดสงสารไม่ได้ที่จะให้ทนหิวไปคนเดียว ยูอิจิกุมท้องที่แทบจะร้องออกมากะทันหันเมื่อถูกกลิ่นหวานๆ กระตุ้น คิดจากส่วนลึกของใจว่า ?ฉันเกลียดหมอนี่จริงๆ?





+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
เพราะความผิดพลาดเพียงเล็กน้อยทำให้ยูอิจิที่ไปเยือนเกาะร้างเล็กๆ ด้วยเรื่องงานต้องติดอยู่บนเกาะ! ทั้งที่จำเป็นต้องอาศัยอยู่ที่นั่นจนกว่าจะมีคนมารับ แต่อิมาคุระสุดเลว ผู้ร่วมชะตากรรมอีกคนกลับทำตัวน่าหงุดหงิดและไร้ประโยชน์เสียยิ่งกว่าช่วงเวลาปกติ ท่ามกลางชีวิตที่อยู่ด้วยกันสองต่อสอง หน้ากากคนดีที่ยูอิจิภาคภูมิใจกำลังมาถึงขีดจำกัดความอดทนทีละน้อย...!
ผลงานชิ้นโบแดงแห่งวงการบอยเลิฟ กลับมาอีกครั้งในรูปโฉมใหม่พร้อมเรื่องสั้นที่ยังไม่เคยรวมเล่มมา


รูปภาพ

ตอบกลับโพส

ย้อนกลับไปยัง “Bongkoch Books News & Activities”