New Release Bly : TIME TICKET อยากให้เรารักกันอีกครั้ง

อัพเดทข่าวบงกชบุ๊คส์ ความเคลื่อนไหว และกิจกรรมพิเศษ ตลอดจนร่วมสนุกชิงรางวัลพร้อมของรางวัลมากมาย

Moderator: P'Bly, Gals, พี่บี

ตอบกลับโพส
Gals
โพสต์: 1101
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 13 ก.พ. 2009 3:47 pm

New Release Bly : TIME TICKET อยากให้เรารักกันอีกครั้ง

โพสต์ โดย Gals »

PROLOGUE

?ผมอดคิดไม่ได้ว่าถ้าโลกนี้มีตั๋วย้อนเวลาให้ผมได้ขึ้นไปนั่งบนไทม์แมชชีน อะไรจะเกิดขึ้น?
ผมได้แต่กวาดสายตาไปบนตัวอักษรที่ผมเขียนขึ้นมา
ใช่... เขียน เพราะตอนนี้โน้ตบุ๊กของผมอยู่ในระหว่างส่งซ่อม ถึงแม้ผมจะชอบเขียนอะไรเรื่อยเปื่อย แต่นี่เป็นสิ่งที่ผมร่างไว้ในระยะเวลาที่ไม่มีอะไรทำ ก่อนที่จะจัดการเรียบเรียงมันใหม่และส่งให้กับบรรณาธิการคนใหม่ที่จะมาดูแลผม เพื่อนำไปตีพิมพ์ในนิตยสารรายเดือนที่เซ็นสัญญาไว้เมื่อปีที่แล้ว
จริงๆ แล้วที่วันนี้ผมไม่ได้อยู่บ้านก็เป็นเพราะเรื่องสัญญานี่แหละ ผมคิดว่าจะต่อสัญญากับนิตยสารนี้อีกสองปี เพราะบังเอิญว่าบทความที่ผมเขียนลงเรื่อยๆ เป็นที่นิยมพอควร
ผมคิดว่าสิ่งที่ผมเขียนคือเรื่องงี่เง่าทั่วไป... แต่เพราะมันทั่วไปนี่แหละ มันเลยอ่านง่าย
...ครืด
เสียงสั่นเบาๆ ของโทรศัพท์ทำให้ผมคว้าโทรศัพท์ของตัวเอง ข้อความแชทลอยขึ้นมาให้เห็น
?มีคนไปหรือยังจ๊ะ?
พี่มิ้น อดีตบ.ก.ที่คอยดูแลผมทั้งในด้านนิตยสารและหนังสือรวมเล่มเป็นคนส่งข้อความมา ที่ต้องเรียกว่า ?อดีต? เป็นเพราะเจ้าหล่อนบอกลาตำแหน่งนี้ไปแต่งงานกับชาวต่างชาติ การลาออกจะเป็นทางการในสิ้นเดือนนี้ และได้ยินว่าพี่แกจะย้ายไปอยู่ต่างประเทศในปีหน้าอีกด้วย
?ยังครับ? ผมพิมพ์ตอบไป ?พี่พอรู้ไหมว่าใครจะเป็นคนมา?
เจ้าหล่อนยังไม่ได้ตอบ ผมเหลือบตามองนาฬิกาบนโทรศัพท์มือถือ ตอนนี้เวลาบ่ายสองครึ่งพอดี ผมมานั่งที่ร้านแห่งนี้ราวสิบนาทีแล้ว แต่อีกฝ่ายไม่ได้สาย เพราะผมมาก่อนเวลาเอง
?ไม่รู้จ้ะ? พี่มิ้นพิมพ์ตอบมาแบบนั้น ?ช่วงนี้คนที่บริษัทยุ่งกันหมด พี่เองก็ไม่รู้ว่าใครจะมารับช่วงต่อ ตอนนี้พี่วุ่นกับงานสุดท้ายอยู่ ขอโทษด้วยนะพีท?
ผมพ่นลมหายใจ พิมพ์ตอบไปว่าไม่เป็นไร ก่อนจะจับปากกาให้มั่นและเขียนลงบนสมุดที่ตัวเองพกมา
?ถ้าโลกนี้มีตั๋วที่ทำให้ผมย้อนเวลาได้จริงๆ ผมเองก็คิดไม่ออกว่าจะทำอะไรเป็นอย่างแรก สิ่งที่ผมอยากจะย้อนเวลากลับไปแก้ไขมีอยู่มากมายเสียเหลือเกิน ไม่ว่าจะเป็นการเรียนที่เคยได้ F มาเชยชมจนต้องจบช้าไปอีกหนึ่งเทอม การที่หายใจทิ้งไปวันๆ การทะเลาะกับแฟนเก่า หรือจะเป็น...?
ผมนิ่งไปนิดหน่อย แล้วจึงส่ายศีรษะเบาๆ กับสิ่งที่จะเขียนลงไป นึกลังเลอยู่ไม่กี่วินาทีว่าควรจะเขียนดีหรือไม่ แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจเขียนลงไป
?การห่างหายของเพื่อนที่แสนดีสักคน?
?คุณพีรพัฒน์?
แทบจะในวินาทีเดียวกันกับตอนที่เขียนคำนั้นจบ เสียงทุ้มติดแหบเล็กน้อยที่เรียกชื่อผมทำให้ผมเงยหน้าขึ้นไป ก่อนลมหายใจของผมจะติดขัดเมื่อเห็นว่าใครอยู่ตรงหน้า
อีกฝ่ายเป็นผู้ชายผิวขาวซีด ผมสีดำสนิทล้อมรอบใบหน้าที่ตี๋เล็กน้อยตามประสาลูกชายคนโตของบ้านคนจีน ริมฝีปากบางๆ ไม่มีรอยยิ้มประดับอยู่เลย ดวงตาสีน้ำตาลเข้มที่ครั้งหนึ่งเคยอยู่หลังเลนส์แว่น รูปร่างผอมจนเห็นข้อต่างๆ ชัดเจนถูกปิดบังอยู่ใต้เสื้อเชิ้ตสีขาวกับกางเกงสีเข้มเห่ยๆ ยังดีที่ไม่ผูกเนคไท แต่ว่ากันตามจริงแล้ว... มันคงจะไม่มีอะไรน่าตกใจไปมากกว่านี้อีกแล้ว
ผมคลำหาเสียงตัวเองไม่ถูกจริงๆ หัวสมองตื้อไปหมด
ไม่เคยคิดว่าจะได้เจอ ?มัน? อีกครั้ง... ไม่เคยคิดว่าจะได้ยินเสียงนี้พูดกับผมอีกครั้ง แม้ว่าชื่อที่ถูกเรียกจะถูกแปรเปลี่ยนจากชื่อเล่นว่า ?พีท? กลายเป็นชื่อจริง ?พีรพัฒน์? ไปแล้วก็ตาม
?ขอโทษที่มาช้าครับ? อีกฝ่ายว่าน้ำเสียงราบเรียบ เรียบมากจนผมกำมือแน่นด้วยความรู้สึกเหมือนกับโดนบางอย่างตีวนในใจจนตะกอนก้นแก้วลอยขึ้นมา
?มาทำอะไรที่นี่? ผมกัดฟันกรอด
คนตรงหน้าไม่ตอบ ในมือถือซองเอกสารและยื่นมันมาตรงหน้าผม เหมือนกับน้ำเสียงของผมเป็นธาตุอากาศที่มันไม่เคยคิดจะใส่ใจ
ไม่โดนทำแบบนี้มานานเท่าไรแล้วนะ น่าจะสักสิบปีได้แล้วล่ะมั้ง
?...อินทร์? ริมฝีปากของผมขยับไปเอง เสียงของผมแหบพร่าราวกับว่าไม่ใช่เสียงของผมกำลังเรียกชื่อมันที่ผมเกือบลืมเพราะไม่ได้เรียกมาแสนนาน แต่สิ่งที่อีกฝ่ายทำคือการเงยหน้าขึ้น มองผมด้วยแววตาที่แสนจะว่างเปล่าจนผมเม้มริมฝีปากแน่น
?ผมว่าเรา... หมายถึง ผมกับคุณไม่ได้สนิทกันพอที่จะเรียกชื่อได้?
มันเลี่ยงคำว่า ?เรา? จนผมกัดฟันแน่น ได้ยินเสียงตุบๆ อยู่ในร่างกาย อาจจะมาจากเส้นเลือดแถวศีรษะ หรือไม่ก็ก้อนเนื้อในอก
?นี่สัญญาของคุณครับ คุณพีรพัฒน์? มันว่าพลางเลื่อนซองเอกสารสีน้ำตาลเข้ามาใกล้ผมอีกนิด
คำพูดของอีกฝ่ายแทบไม่เข้าหัว ทั้งๆ ที่เสียงนี้เคยเป็นเสียงที่ผมโหยหาที่สุดในช่วงหนึ่งของชีวิต
ผมพูดไม่ออก ไม่คิดว่าจะมีเหตุการณ์นี้เกิดขึ้น เรื่องราวที่ผมเกือบจะลืมไปแล้วลอยขึ้นมาในหัวสมองจนเกลื่อน แม้ว่าใบหน้าของมันจะดูโตขึ้นกว่าเดิมและเฉยชา ว่างเปล่า แต่มันก็ทำให้ผมนึกถึงเรื่องเก่าๆ
นึกถึงตอนที่มันยิ้ม...ตอนที่มันหัวเราะ...ตอนที่ ?เรา? อยู่ด้วยกัน
และนึกถึงตอนที่มันเปลี่ยนไปโดยไม่เคยบอกสาเหตุให้ผมรู้
?กชอินทร์? อีกฝ่ายพูดขึ้นและยื่นกระดาษใบเล็กมาให้ มันเป็นนามบัตรที่เขียนชื่อ?นามสกุลจริงที่ผมจำได้อย่างเลือนราง ?เป็นบ.ก.คนใหม่ของคุณ... คุณพีรพัฒน์?
ผมสูดลมหายใจลึก คำพูดนั้นเหมือนตีแสกหน้า ผมพูดอะไรไม่ออกสักคำ ใช้เวลานานทีเดียวในการรวบรวมสติและเค้นยิ้มออกมาด้วยความรู้สึกสมเพชตัวเอง...ทั้งที่นึกว่าน่าจะหมดเวรหมดกรรมกันไปแล้วแท้ๆ
กชอินทร์ก็เป็นแค่...เพื่อนแสนดีคนหนึ่ง ที่ไม่ได้พูดกันมาร่วมสิบปี
แค่เท่านั้นเอง...

CHAPTER 1

ผมรู้สึกหายใจไม่ออก...มันมวนๆ ท้องแบบพูดไม่ถูก
ผิวสีซีดของมันดูซีดเซียวยิ่งกว่าเมื่อก่อน มันขาวกว่าคนปกติตามประสาลูกคนจีน แต่กลับเป็นโรคเลือดจางทำให้ผิวไม่ได้ขาวอมชมพูแบบคนอื่นๆ ตอนที่มันยกแขนขึ้น จะยิ่งเห็นชัดว่าตั้งแต่ข้อมือขึ้นไปขาวกว่าหลังมือ
?คุณพีรพัฒน์ สัญญา...?
?อย่ามาเรียก...? ผมเอ่ยเสียงเรียบ ?อย่าเรียกชื่อกูแบบนั้นนะ...?
?กู?? มันทวนสรรพนามนั้นด้วยน้ำเสียงประชดประชัน ซ้ำยังเรียกชื่อที่ผมเพิ่งพูดว่าไม่อยากได้ยินอีกครา ?นี่ผมกับคุณสนิทกันมากขนาดนั้นเลยเหรอ คุณพีรพัฒน์?
ผมกัดฟัน มองคนตรงหน้าที่ไม่แสดงสีหน้าใดๆ ไม่มีการยิ้ม แม้ว่าจะเป็นรอยยิ้มกวนโมโห ไม่เข้าใกล้ด้วยซ้ำ ไม่มีอาการโกรธ หงุดหงิด ไม่มีอาการใดๆ ทั้งนั้น
มันมองผมเหมือนผมเป็นธาตุอากาศ
?ได้?
ผมสูดลมหายใจลึกและพูดออกมาแบบนั้น ก่อนจะย้ำอีกครั้งด้วยน้ำเสียงกระแทกกระทั้น...เหมือนกับจะบอกกับตัวเอง
?ได้!?
?คุณจะไม่เซ็นสัญญาหรือ? อีกฝ่ายทักท้วงเรื่องสัญญา แต่มันแทบจะไม่เข้าหัวผมแม้แต่น้อย
ผมหยุดสายตาตัวเองที่มองมันไม่ได้ เหมือนกับที่เคยเป็นเมื่อสิบสองปีก่อน...สิบปีก่อน...เหมือนตอนที่เราเริ่มห่างหายและไม่ได้คุยกัน มันเป็นคนที่ทำให้ผมควบคุมสายตาตัวเองไม่ได้
?คุณพีรพัฒน์? เป็นอีกครั้งที่ผมเกลียดชื่อจริงของตัวเองจับใจ ?ผมนึกว่าเราตกลงกันเรียบร้อยแล้วเรื่องสัญญา คุณคงไม่เปลี่ยนใจมาไม่เซ็นมันตอนนี้หรอก ใช่ไหม??
?...ไม่ ผมจะเซ็น?
ผมเปลี่ยนการแทนตัวเองจากสรรพนามเดิมๆ และกระชับปากกาในมือ อีกมือหยิบสัญญานั่นมาอ่านอย่างละเอียดรอบคอบ แต่ผมเองก็รู้ตัวดีว่าตอนนี้ผมรู้สึกสับสนจนอ่านสัญญาเหล่านั้นไม่เข้าใจมากขนาดไหน ยิ่งเวลาได้ยินเสียงจากคนตรงหน้าผมยิ่งทำอะไรไม่ถูก ไม่ว่าจะเป็นเสียงตอนที่มันขยับกายจนผ้าเสียดสีกัน หรือตอนที่มันหยิบโทรศัพท์มือถือมากด
หลังจากใช้เวลาเกือบสิบนาทีเพื่อทำสมาธิและพิจารณาข้อความต่างๆ อย่างละเอียดถี่ถ้วน ผมจึงค่อยๆ จรดปากกาลงไปในสัญญานั่นเสีย
?นี่? ผมยื่นสัญญาไปหามัน ?เชิญครับ คุณกชอินทร์?
ผมรู้สึกว่าตัวเองเหมือนเด็ก ช่างประชดประชัน แต่พอมองใบหน้าของมันก็ยิ่งควบคุมตัวเองไม่อยู่
คำถามต่างๆ วนเวียนกันอยู่ในหัวสมอง ผมไม่รู้จะทำอย่างไรนอกจากหลบตามันยามมันมองผมด้วยแววตาที่ว่างเปล่า
มันเก็บสัญญาลงซองกระดาษซองเดิมก่อนจะเงยขึ้นมองหน้าผม
?งั้นผมคิดว่าเรา...? มันชะงักไปเล็กน้อยและสบตากับผมที่กำลังมองมันอยู่ ?มาคุยกันเรื่องการนำบทความในนิตยสารที่คุณลงประจำมารวมเล่มดีกว่า?
?ผมยังไม่อยากทำ รอไปอีกสักปีไม่ได้เหรอ?
?ไม่? กชอินทร์พูดออกมาชัดเจน ?มีอะไรบอกเหรอว่าบทความของคุณจะอยู่ได้อีกปี?
?สัญญาที่ผมเพิ่งเซ็น?
ผมเห็นมันกัดริมฝีปาก แบบที่มันทำเพราะความหงุดหงิด...เหมือนสมัยก่อน
กชอินทร์นิ่งไปชั่วครู่ สูดลมหายใจลึกแล้วพูดต่อ
?ทางผู้ใหญ่คิดว่าผลงานคุณจะขายได้ดีในช่วงนี้ เขียนอีกสักสองเดือนเราก็จัดการรวมเล่มได้แล้ว จะได้ออกในช่วงครบรอบยี่สิบปีสำนักพิมพ์อีกด้วย?
?แล้วไง?
?คุณพีรพัฒน์? มันเรียกผมด้วยชื่อนั้นแต่ผมยักไหล่อย่างไม่ยี่หระ มันจึงถอนหายใจออกมา ?ไม่เป็นไร ไว้ค่อยคุยเรื่องนี้กันอีกครั้ง?
?ยังมีอีกครั้งงั้นเหรอ? ผมเค้นหัวเราะ
กชอินทร์มองผมด้วยแววตาสีอ่อนกว่าคนทั่วไปของมัน ก่อนริมฝีปากนั้นจะค่อยๆ คลี่ยิ้มออกมาพร้อมกับพูดคำพูดแสนประชดประชัน
?ผมนี่แหละ บ.ก.ของคุณ? มันย้ำสถานะ ?และจะดูแลเกี่ยวกับงานเขียนบทความของคุณ ทั้งในนิตยสารและการรวมเล่ม...ผลงานที่อยู่ในขอบข่ายงานของกองบรรณาธิการเรื่องเล่าทุกอย่างของคุณขึ้นอยู่กับผม?
ผมพูดไม่ออก ใจหนึ่งก็รู้สึกอยากผลักไสมันออกไปไกลๆ แต่อีกใจหนึ่งก็รู้สึกดีใจที่ได้กลับมาเจอมันอีกครั้ง ความรู้สึกทั้งสองถูกเทใส่หม้อแล้วต้มรวมกันจนผมรู้สึกพะอืดพะอม มันยิ่งกว่าอึดอัด และผมรู้ดีว่าการจะทำให้ความรู้สึกเช่นนี้หมดไป คือการออกห่างจากมันให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
ผมนึกขันที่ตัวเองเป็นเพียงนักเขียนที่ทำเงินให้กับสำนักพิมพ์ได้ในระดับหนึ่ง และตระหนักดีว่าผมไม่สามารถขอเปลี่ยนบ.ก.ได้ ผมไม่ใช่คนที่มีคุณค่ามากพอจะทำให้สำนักพิมพ์วิ่งวุ่นคอยตามใจ การเสียผมไปสักคนไม่น่าจะทำให้สำนักพิมพ์ลำบากได้ถึงขนาดที่พวกเขาจะทำทุกวิถีทางเพื่อรั้งผมไว้
?ผมไม่อยากคุยเรื่องงานเขียนกับคุณ? ผมบอกออกมาเช่นนั้น กชอินทร์เลิกคิ้ว
?เหรอ? แล้วทำไมไม่เดินออกไปจากร้านนี้เสียล่ะ?
ปากคอเราะร้าย
ผมรู้เรื่องแบบนั้นดีอยู่แล้ว เพราะปากแบบนี้แหละทำให้มันไม่สามารถญาติดีกับศัตรูแต่ละคนได้สักหน ถ้าไม่ใช่เพราะมันเป็นคนที่เก่งรอบด้านและเพื่อนเยอะ ผมสาบานว่ากชอินทร์ต้องตายในสภาพไม่ดีเท่าไรแน่
?แต่ถึงคุณจะเดินออกไปผมก็ต้องติดต่อคุณอยู่ดี ไม่อย่างนั้นงานคุณจะออกมาได้อย่างไรล่ะ จริงไหม??
?อินทร์?
?กชอินทร์? อีกฝ่ายแก้
ผมถลึงตาใส่ผู้ชายตรงหน้า แค่เรียกชื่อเล่นมันยังไม่ยอมให้ผมเรียกด้วยซ้ำ ผมจำได้ว่าในอดีตผมเรียกมันด้วยชื่ออินทร์บ่อยมาก...มากเกินไปด้วยซ้ำ
?ถ้าคุณไม่อยากคุยตอนนี้ก็ได้ แต่ผมเองก็จะนั่งอยู่นี่ ไม่อยากไปไหนเสียด้วย?
?ก็ได้? ผมตอบด้วยความหงุดหงิด เก็บทุกอย่างใส่กระเป๋าให้หมดก่อนจะหยิบกระเป๋าใบนั้นแล้วเดินออกมา ยังดีที่เป็นร้านแบบจ่ายในตอนสั่งอาหารทันทีเลยไม่ต้องลำบากหยิบกระเป๋าสตางค์มาจ่ายเงินค่ากาแฟของตัวเอง ?งั้นเชิญคุณนั่งอยู่นี่ตามสบายแล้วกัน คุณกชอินทร์?
?.....? มันไม่ตอบ ไม่ยิ้ม ไม่แม้แต่จะมองเสียด้วยซ้ำ
ผมสูดลมหายใจลึก พยายามสะกดอารมณ์หงุดหงิดในใจและเดินออกมาจากร้าน
ผมเดิน เดิน และเดินจนล่วงรู้ว่าตอนนี้ผมเดินลงบันไดมาถึงสามชั้นโดยไม่แม้แต่จะหันกลับไปมองมันด้วยซ้ำ พอได้สติแล้วผมก็หยุด มองซ้ายมองขวาเพื่อหาเก้าอี้นั่งพักสงบสติอารมณ์
ผมนึกอยากสูบบุหรี่ แต่ติดที่ว่าวันนี้ไม่ได้พกมาเลยได้แต่พ่นลมหายใจอย่างหงุดหงิด พลางมองผู้คนที่กำลังเดินกันอย่างพลุกพล่านในห้างสรรพสินค้าแห่งนี้ในช่วงเวลาบ่ายของวันหยุดสุดสัปดาห์ และคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย
อันที่จริงมันก็ไม่เรื่อยเปื่อยเท่าไร... ในหัวมีแต่ชื่อกับหน้าของคนที่เพิ่งเจอกันเมื่อกี้เท่านั้น
ผมเกือบลืมเสียงของมันที่เรียกชื่อผมไปแล้วด้วยซ้ำ
อินทร์เป็นเพื่อนร่วมชั้นสมัยมัธยมต้น ตอนที่ยังหัวเกรียน ใส่กางเกงสีน้ำเงินอยู่โรงเรียนชายล้วน สมัยก่อนผมรู้จักมันแค่ในฐานะเพื่อนร่วมชั้นธรรมดา จนมัธยมสอง เทอมปลาย เราเริ่มสนิทกันมากขึ้นเพราะบังเอิญได้ทำงานคู่กัน มานับๆ ดูแล้วนับตั้งแต่ตอนนั้นก็ผ่านมาร่วมสิบสองปีแล้วด้วยซ้ำ
เรื่องของผมกับมัน...เรื่องของเรา...เรียบง่ายแต่ก็ซับซ้อน
ผมมีกลุ่มเพื่อนสนิทของผม อินทร์ก็มีกลุ่มเพื่อนสนิทของมัน แต่พวกเรามักจะใช้เวลาตอนเย็นหลังจากเลิกเรียนด้วยกัน เริ่มแรกด้วยการนั่งในโรงอาหารที่แทบไม่มีคนด้วยกันบ่อยๆ แล้วจึงค่อยๆ สนิทกันมากขึ้นโดยที่คนส่วนใหญ่ไม่รู้ว่าไอ้สองคนนี้เป็นเพื่อนที่คุยด้วยกันได้แทบทุกเรื่อง
ผมกับมันไม่น่าจะเข้ากันได้ มันเป็นลูกรักครูทุกคนเพราะเป็นหัวหน้าห้อง เป็นที่รักของเพื่อนๆ เพราะเป็นคนตลก แถมยังเป็นคนดังลับๆ ในหมู่แก๊งนางฟ้าของโรงเรียน ที่ต้องใช้คำว่า ?คนดังลับๆ? เป็นเพราะเคยมีคนมาจีบมันครั้งหนึ่งและใครคนนั้นก็ถูกมันประเคนหมัดเป็นของขวัญจนเข้าห้องปกครอง ดังชั่วข้ามคืน เลยไม่มีใครหน้าไหนกล้าเข้ามาวอแวกับมันในแง่นั้นอีก ส่วนผมน่ะหรือ... จืดจางเสียไม่มี ไม่ได้เป็นลูกรักแต่ก็ใช่ว่าจะติดแบล็กลิสต์ คนรู้จักไม่เยอะและไม่มีอะไรโดดเด่นเลยแม้แต่น้อย ผมแม่งโคตรจืดชืด เป็นเด็กกางเกงสีน้ำเงินที่มีดีแค่ตัวสูงและหน้าใส นอกจากนั้นผมก็ไม่ได้แตกต่างจากคนทั่วไป
พวกเราสนิทกันอยู่สองปี บางวันชวนกันเล่นบาสเกตบอล บางวันก็ชวนกันไปเที่ยว ความสัมพันธ์ของผมกับอินทร์ไม่เปลี่ยนแปลงแม้ว่าผมจะเข้าเรียนสายวิทย์?คณิต ส่วนมันเรียนศิลป์?คำนวณซึ่งอยู่กันคนละตึก จนถึงช่วงเปิดเทอมใหม่ของมัธยมห้า
ผมพ่นลมหายใจเบาๆ เมื่อคิดถึง ?เวลานั้น?
...ก็บอกแล้วว่าเรื่องของผมกับมันเรียบง่ายแต่ซับซ้อน
มันเป็นช่วงสอบกลางภาคของเทอมที่หนึ่ง พ่อของอินทร์เสีย...แล้วเราก็ห่างกันไปเลยโดยที่เราไม่รู้สาเหตุ
ไม่สิ เกรงว่าต้องใช้คำว่า ?ผมไม่รู้สาเหตุ? เสียมากกว่า
เราไม่ได้ตัวติดกันทั้งวัน ผมรู้ข่าวเรื่องพ่อมันเสียหลังจากเห็นว่าติดต่อมันไม่ได้ถึงสามวัน ไปหาที่ห้องก็ไม่เจอ ผมไม่ใช่คนสนิทของมันพอที่มันจะเชิญผมไปงานศพครั้งนั้น ผมรอจนมันกลับมา แต่สิ่งที่เกิดขึ้นตอนผมเดินเข้าไปทัก
มันไม่มองผม...ไม่ตอบ...และเดินผ่านไปเลย
ผมยังจำภาพนั้นได้จนถึงตอนนี้ จำได้กระทั่งว่าตอนนั้นเจอกับมันที่หน้าห้องพักครูอังกฤษ ตอนแรกผมนึกว่ามันอาจจะมองไม่เห็นผม ผมจึงเดินเข้าไปจับไหล่ของมัน แต่มันเบี่ยงตัวหลบโดยไม่พูดอะไรกับผมสักคำ
เราไม่ได้คุยกันร่วมเดือนทั้งที่ผมพยายามเข้าหา อินทร์ถึงขนาดตัดสายเวลาผมโทรไปด้วยซ้ำ ตอนนั้นผมจึงมั่นใจได้แล้วว่าตัวเองโดนเมินอย่างเต็มรูปแบบ
ผมโกรธ ผมเสียใจ ผมรู้สึกแย่เป็นบ้า และเรื่องราวมันห่วยแตกกว่านั้นเมื่อวันหนึ่งผมทนไม่ไหวและถามมันไปตรงๆ ว่ามีปัญหาอะไรกันแน่ตอนพวกเราเลิกแถวหลังเคารพธงชาติ ต่อหน้าคนแทบจะทั้งระดับชั้น และมันก็ทำเพียงตอบมาด้วยน้ำเสียงเบาหวิว
?ไม่มีอะไร...แค่ขี้เกียจคุย?
ผมยังจำมันจนถึงตอนนี้
และเรื่องราวของผมกับมันก็จบลงแบบนั้น
มันห่วยแตก ผมรู้สึกแบบนั้นทุกครั้งที่นึกถึงเรื่องนี้ มันยังคงตกตะกอนอยู่ในส่วนลึกของความทรงจำแม้ว่าผมจะไม่ได้คุยกับมันจนกระทั่งเราจบมัธยมหก และไม่ได้เจอกันถึงแปดปีเพราะเข้าคนละมหาวิทยาลัย
ผมไม่คิดว่าเรื่องจะตลกร้ายเช่นนี้หลังจากเราไม่ได้พูดคุยกันมาร่วมสิบปี ตอนนั้นผมรู้ว่ามันเข้าเรียนคณะบริหารธุรกิจ ไม่คิดมาก่อนว่าจะผันตัวมาเป็นบรรณาธิการ ซ้ำร้ายยังคอยมาดูแลผมเสียอีก
ยิ่งคิดยิ่งทำให้ผมปวดหัว ผมไม่ได้ขยับตัวไปไหนอยู่นานเพราะตะกอนที่อยู่ก้นถ้วยของความทรงจำถูกตีให้ลอยขึ้นมาใหม่ด้วยการเจอกับมันเมื่อกี้นี้ และยังมีบางสิ่งที่ค้างคาอยู่ในใจของผม
ผมจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่ามันเรียกผมว่า ?พีท? ครั้งสุดท้ายตอนไหน
...เพราะตอนนั้นไม่เคยคิดมาก่อนว่ามันจะเป็น ?ครั้งสุดท้าย?
?เฮอะ? ผมหัวเราะออกมาเบาๆ กับความคิดที่แสนน่าสมเพชของตัวเองก่อนจะลุกขึ้น
ผมต้องการบุหรี่ มันคงไม่ลำบากนักถ้าจะหาในห้างสรรพสินค้ากลางเมืองแบบนี้ หรือถ้าไม่เจอก็ขับรถกลับบ้านไปเลยคงไม่ได้แย่อะไร แต่ในตอนที่ผมกำลังจะเดินไปทางลานจอดรถ ผมกลับเหลือบไปเห็นต้นเหตุของความหงุดหงิดในใจเสียก่อน
?คุณกชอินทร์? ยืนอยู่ตรงนั้นและกำลังเดินเข้ามาพร้อมกับกระเป๋าและซองเอกสาร ดูเป็นพนักงานบริษัทที่แสนเคร่งขรึม แตกต่างจนแทบจะจำไม่ได้ว่านั่นคือ ?อินทร์? ที่เคยสนิทกับผมเมื่อมัธยม
ผมเม้มปากแน่นเมื่อเห็นมันเดินใกล้เข้ามา...ใกล้เข้ามา...ในขณะที่ผมก็ก้าวขาไปข้างหน้า
จังหวะที่มันเดินผ่านผม ผมเห็นว่าส่วนสูงของผมนำมันอยู่เกือบสิบเซนติเมตร ไหล่มันยังคงบางเหมือนเดิม เหมือนกับเด็กขาดสารอาหาร มีกลิ่นอ่อนๆ แบบที่ผมไม่เคยรู้ว่าคืออะไรจากตัวมัน รวมถึงแววตาของมันที่ปรายมาและบังเอิญสบตากับผมเล็กน้อยก่อนที่จะหลบไป
ทุกอย่างทำให้ผมหยุดชะงักและมันเองก็เช่นกัน
ผมทำหน้าไม่ถูก รู้สึกกระอักกระอ่วนเวลาที่เห็นมันยืนอยู่ตรงหน้า เหมือนกับน้ำท่วมปากโดยที่ไม่ได้เป็นแบบนั้น
สุดท้ายพวกเราก็เบี่ยงตัวไปคนละทางและเดินต่อไป จังหวะนั้นเองที่ปลายนิ้วของผมโดนแขนเสื้อของมันเบาๆ เบาเสียจนผมแทบจะไม่รู้สึกเสียด้วยซ้ำ
แต่ผมก็รู้สึก...
ผมห้ามตัวเองไม่ได้ สุดท้ายแล้วก็ต้องหันไปมองมันหลังจากเดินออกมาจากจุดเมื่อกี้เกือบสิบวินาที กชอินทร์ยังคงเดินตรงไปในทางของมัน จนผมได้แต่กัดฟันอย่างหงุดหงิด ก้มลงมองมือของตัวเองที่เมื่อกี้โดนแขนเสื้อของมันจนรู้สึกเหมือนกับมีอะไรมาทุบหัว
ผมปล่อยมันเดินผ่านไปเฉยๆ...อีกแล้ว





+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
?ผมอดคิดไม่ได้ว่าถ้าโลกนี้มีตั๋วย้อนเวลาให้ผมได้ขึ้นไปนั่งบนไทม์แมชชีน อะไรจะเกิดขึ้น?

ไม่ว่าใคร หากย้อนเวลากลับไปได้ ก็อยากจะแก้ไขสถานการณ์ที่ทำให้นึกเสียใจภายหลังเสียใหม่ แต่เพราะมันเป็นไปไม่ได้ ?พีรพัฒน์? จึงต้องกลับมาเผชิญหน้ากับ ?กชอินทร์? อีกครั้ง ด้วยความกระอักกระอ่วนใจในฐานะนักเขียนและบรรณาธิการ เขาอยากให้ความสัมพันธ์ระหว่างกันยังเป็นเหมือนเดิม ก่อนที่มันจะพังทลายลงในคราวนั้น แต่อีกฝ่ายกลับปฏิเสธด้วยความเฉยชาและประชดประชันราวกับคนไม่รู้จักกัน โดยเขาไม่รู้ว่าเหตุผลที่ซ่อนอยู่คืออะไร ไม่ว่าจะเป็นตอนนี้ หรือเมื่อสิบปีก่อนที่เริ่มห่างเหินกัน ทั้งที่เขามั่นใจในความรู้สึกที่ร่ำร้องอยู่ในอกนี้

?ตอนนั้นเรารักกันอยู่แท้ๆ!?


รูปภาพ

ตอบกลับโพส

ย้อนกลับไปยัง “Bongkoch Books News & Activities”