?ซาคาโมโตะ ริวจิน นักศึกษาคณะแพทยศาสตร์ชั้นปีที่ 2 แห่งมหาวิทยาลัยเซนต์เฟมัส ได้รับรางวัลงานวิจัยดีเด่นแห่งปีเป็นระยะเวลา 2 ปีซ้อน โดยครั้งนี้งานวิจัยที่เข้าร่วมประกวดของเขาแสดงให้เห็นถึงศักยภาพที่มีมากในอัจฉริยะรุ่นเยาว์...ฮะ หมอนั่นเรียนอยู่ปีสองแล้ว แต่ยังยกให้เป็นอัจฉริยะรุ่นเยาว์อยู่เนี่ยนะ ตลกไปเปล่า นี่ถ้าริวจินมาเห็นเข้า หมอนั่นคงจะทำหน้าแปลกๆ แหงๆ?
ชายร่างสูงโปร่งผู้มีรอยยิ้มเป็นเอกลักษณ์หลุดหัวเราะออกมาขณะที่เขากำลังอ่านข้อมูลในอินเตอร์เน็ต
?เลิกอ่านอะไรพวกนั้นได้แล้วโอริว ฉันเบื่อที่จะต้องมาฟังข่าวเยินยอเรื่องของริวจินมันเต็มทน? เจ้าของเรือนผมสีส้มประหนึ่งเปลวไฟเอ่ยแทรกด้วยสีหน้าที่รำคาญอยู่ไม่น้อย ในขณะที่คนที่ถูกนินทากำลังเดินลงมาจากบันได
ชายที่ถูกเรียกว่า ?โอริว? วางไอแพดของตัวเองลงบนโต๊ะ เขาหัวเราะอย่างอารมณ์ดี
?ได้ข่าวว่าในหนังสือพิมพ์มหา?ลัยก็มีเรื่องของนายลงไม่เว้นแต่ละวันไม่ใช่เหรอ?
?หนังสือพิมพ์มหา?ลัยมันก็ลงแต่เรื่องของพวกเราไม่ใช่หรือไง? ดวงตาสีอำพันเหลือบมองสองพี่น้องที่กำลังตั้งท่าจะเถียงกัน
?แต่รู้สึกว่าข่าวของฉันจะมากกว่าพวกนายหน่อย?
?คงจะเป็นอย่างนั้นแหละครับ คุณนายแบบหนุ่มฮอตที่สุดในโลก~?
แม้ว่าโอริวจะอวยแบบประชดประชัน แต่ถึงอย่างนั้นเจ้าของนัยน์ตาสีอำพันก็ยิ้มกริ่มอย่างถูกอกถูกใจ เขาเอนหลังพิงโซฟาตัวประจำก่อนจะเริ่มเกากีตาร์ที่ประคองกอดเอาไว้เป็นทำนองแผ่วเบา
?ริวจินมาแล้ว? หนึ่งในนั้นร้องบอก
ชายผู้ถูกนินทาในตอนแรกเดินลงมาด้วยสีหน้าเรียบสนิท ก่อนจะนิ่วหน้าเมื่อเสียงความคิดของเหล่าพี่น้องทั้งสามตีกันให้วุ่นวาย
ผม ?ซาคาโมโตะ ริวจิน? ฝาแฝดคนโตของตระกูลมังกรที่มีลูกชายเป็นแฝดถึงสี่คน ซึ่งแต่ละคนมีความสามารถและความถนัดเฉพาะทางที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน
ซาคาโมโตะ เซริว มันรักไปทางการเป็นนายแบบ ดนตรี และพวกอะไรที่ใช้การเอ็นเตอร์เทน ดิบ เถื่อน แต่ผมเกลียดความซกมกของมันที่สุด สาบานเลยตั้งแต่เกิดมาไม่เคยเห็นใครเห็นแก่กินและซกมกเท่ามัน
ซาคาโมโตะ โอริว หมอนี่เป็นเจ้าของภัตตาคาร Dragon King Kitchen มันชอบชิมอาหารและมีความสามารถทางด้านนี้ พูดเก่ง พูดมาก และเป็นมิตรสุดในบรรดาพวกเราทั้งสี่
แฝดคนสุดท้าย... ซาคาโมโตะ ริวอิจิ หมอนี่นี่ผมไม่อยากเข้าใกล้เลยสักนิด ความคิดของมันน่ารำคาญสุดๆ ทั้งโวยวาย ทั้งเสียงดัง แถมชอบเข้ามานั่งในห้องทั้งๆ ที่เหงื่อท่วมตัว ตัวเชื้อโรคชัดๆ ผมไม่ยอมให้มันมาเฉียดใกล้ห้องแล็บของผมเด็ดขาดถ้ามันไม่อาบน้ำก่อน
แต่จะว่าไปก็ไม่มีใครอยากเข้าห้องแล็บของผมหรอกนะ ถ้าไม่โผล่เข้ามาเรียกผมออกมาฟังพวกมันคุยเรื่องไร้สาระกัน สิ่งหนึ่งที่ต้องยอมรับในตัวแฝดคนสุดท้องรายนี้คือ มันเล่นกีฬาเก่งมาก ถ้าเทียบกัน ผมกับมันก็เหมือนแม่เหล็กคนละขั้ว ผมเป็นอัจฉริยะด้านสมอง มันก็คงเป็นอัจฉริยะด้านร่างกาย ให้ผมไปเล่นกีฬาก็ไม่เอาอ่าว ถ้าให้มันมานั่งคำนวณตัวเลขแบบผม รับรองว่ามันคงปางานวิจัยที่แสนมีค่าของผมทิ้ง
ก็นะ คงเป็นพรสวรรค์ที่มีมาตั้งแต่กำเนิด...
ใช่...พวกผมมีความพิเศษที่ติดตัวมาตั้งแต่กำเนิดคนละอย่าง
เพราะความโดดเด่นของพวกผมทำให้พวกผมมักได้รับฉายาประหลาดๆ อย่างเช่น แฝดสี่ตระกูลมังกร, แฝดสี่อภินิหาร หรือแม้กระทั่งสี่จตุรเทพมังกร ซึ่งผมฟังแล้วรู้สึกมันโบราณและลิเกอย่างบอกไม่ถูก แต่พี่น้องของผมบางคน (เช่นไอ้โอริวและไอ้เซริว) กลับชอบเพราะมันฟังดูยิ่งใหญ่ดี
ตามปกติแล้วพวกผมไม่มารวมตัวกันบ่อยนักหรอก เราจะมีกิจกรรมส่วนตัวของพวกเราเอง ผมขลุกอยู่ในห้องแล็บ เซริวก็ออกงานถ่ายแบบ โอริวก็ร่อนหาภัตตาคารชิมอาหารอร่อยๆ ส่วนไอ้ริวอิจิก็ขังตัวเองอยู่ในฟิตเนสกับสนามกีฬาหลังบ้าน แต่จะมีหนึ่งวันในหนึ่งสัปดาห์ที่เราจะมารวมตัวกันที่ห้องนั่งเล่นนี้เพื่อรอโทรศัพท์ทางไกลจากพ่อและแม่
พ่อกับแม่ของพวกเราคือดอกเตอร์ซาคาโมโตะ ริว และดอกเตอร์ดาราพรรณราย ทิพย์สมัยนิยม (นามสกุลเดิมก่อนจะแต่งกับพ่อ) ท่านทั้งสองเป็นนักโบราณคดี จึงออกสำรวจบ่อยและไม่ค่อยอยู่ติดบ้าน นานๆ จะกลับมาไทยเสียที เดือดร้อนผมที่เป็นพี่คนโตเนี่ยแหละจะต้องคอยดูน้องๆ ตัวแสบให้อยู่กับร่องกับรอย แต่ละคนนี่หาเรื่องได้ไม่เว้นแต่ละวัน
?มาแล้ว?
ผมกระซิบพร้อมวางไอแพดของตัวเองไว้กึ่งกลางโต๊ะเพื่อให้มองเห็นโดยทั่วถึง พวกผมมีไอแพดกันคนละเครื่อง แต่ไม่ใช่พ่อแม่ใจดีซื้อให้หรอกนะ เพราะความเก่งกาจเฉพาะทางของพวกผม ทำให้พวกผมมีของพวกนี้ได้โดยไม่ยาก
[ฮัลโหลๆ โอ๊ะ ติดแล้ว สวัสดีลูกๆ เป็นยังไงกันบ้างจ๊ะ!]
หน้าจอไอแพดฉายรูปของพ่อและแม่เต็มหน้าจอ ด้านหลังของพวกท่านคือหิมะที่ตกโปรยปราย
?อยู่ดีกินดี ปลอดภัยไร้บาดแผลครับแม่ >O<? โอริวตอบด้วยเสียงดังฟังชัด ส่วนคนอื่นพยักหน้าหงึกหงัก
[ไม่มีใครไปก่อเรื่องอะไรไว้ที่ไหนใช่มั้ยจ๊ะ]
คำถามนั้นเหมือนถูกส่งตรงมาที่ผม เพราะแม่รู้ดีว่าเจ้าพวกนี้ถึงไปก่อเรื่องมาก็ไม่แง้มปากหรอก สายตาสามคู่หันมาเขม่นผมพร้อมเสียงในความคิดที่ดังวุ้งวิ้งห้ามปรามผมเป็นการใหญ่
เหอะๆ รู้แล้วน่าเจ้าพวกบ้า -_-;;
?ไม่มีครับ? ผมตอบสั้นๆ กระชับ ได้ใจความ
เสียงเจ้าโอริวถอนหายใจดังลั่นจนผิดสังเกต สายตาของริวอิจิจ้องเขม่นโดยฉับพลัน มันแสร้งทำเป็นหัวเราะแห้งๆ รีบกลบเกลื่อน
?ตอนนี้แม่กับพ่ออยู่ที่ไหนเหรอครับ?
[อ๋อ ตอนนี้แม่กับพ่ออยู่ที่หมู่บ้านตรงฐานเทือกเขาหิมาลัยน่ะ กำลังจะขึ้นไปสำรวจโบราณสถานที่มีคนรายงานมาว่าเพิ่งพบใหม่บนยอดนู้นน]
พ่อกับแม่ชอบอะไรที่เกี่ยวกับเรื่องวัตถุโบราณและความเชื่อมาก ขนาดตอนที่อยากมีลูกแต่ทำยังไงก็ไม่มี บังเอิญไปสำรวจที่ญี่ปุ่นแล้วไปขอเทพเจ้ามังกรทั้งสี่ทิศมา กลับมาก็ตั้งท้องพวกผมเป็นแฝดสี่อีก แม่เลยเชื่อว่าท่านเทพเจ้ามังกรนั่นแหละที่อำนวยพวกผมให้มาเกิดกับแม่
แต่ผมไม่เชื่อ เพราะการตั้งครรภ์มันเกิดจากการปฏิสนธิระหว่างไข่กับสเปิร์ม จะบอกว่าเทพเจ้ามังกรอะไรนั่นช่วยชี้นำให้สเปิร์มที่จะเกิดเป็นพวกผมไปผสมกับไข่ได้หรือก็ไม่ใช่ แต่ก็นั่นแหละ ผมก็ไม่สามารถอธิบายปรากฏการณ์การคลอดแฝดคนละฝาสี่คน และแต่ละคนมีความพิเศษติดตัวมาคนละอย่างแบบนี้ได้ด้วยวิทยาศาสตร์ บางทีความรู้ทางวิทยาศาสตร์ที่มีในตอนนี้อาจจะยังไม่พอ ผมจะต้องหาคำตอบมันให้ได้
?บนนั้นมีของกินอร่อยๆ มั้ยครับ สตรอเบอรี่ล่ะ เมืองหนาวน่าจะปลูกสตรอเบอรี่ขึ้นดีนี่นา? เซริวรีบแทรก เมื่อนึกถึงสตรอเบอรี่ลูกโตเนื้อฉ่ำๆ น้ำลายของเขาก็ไหลออกมาจนสูดกลับเข้าไม่ทัน
โอริวหัวเราะ ส่วนผมได้แต่ทำหน้าเหนื่อยหน่าย
[ฮ่าๆ ไม่ต้องห่วงจ้ะเซริว แม่เตรียมของกินอร่อยๆ ไว้ให้ลูกแล้ว มีเมนูพิเศษของทางนี้ไปฝากโอริวด้วยนะ เผื่อลูกจะสนใจเอาไปทำเป็นเมนูในภัตตาคารของลูก แต่อาจจะต้องปรับวัตถุดิบกันหน่อย]
สองแฝดยิ้มแป้นแสดงความดีใจอย่างเปิดเผย ริวอิจิยื่นหน้าของมันเข้าไปใกล้ไอแพดจนภาพซูมเต็มจอ
?แม่ยังวอร์มร่างกายก่อนเดินทางอย่างที่ผมสอนหรือเปล่าครับ บิดแขน หมุนไหล่ ยืดเส้น...?
[ไม่ต้องห่วง พ่อดูแลให้แม่เขาทำตลอดเลย แต่กว่าจะทำได้ก็อิดออดเล่นตัวอยู่พอควรนะ]
[พ่อก็! ไปบอกลูกทำไมล่ะ -O-!]
ความอบอุ่นของพ่อกับแม่ทำให้ผมรู้สึกอยากให้พวกท่านกลับมาไวๆ แม่ไปรอบนี้ก็เกือบสองอาทิตย์แล้ว และดูท่าทางอีกนานกว่าจะกลับ นานมากแล้วที่เราไม่ได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตาทั้งครอบครัว
[เอ้อใช่ แม่มีเรื่องอยากรบกวนพวกลูกด้วยนะ ริวจิน]
?ครับ??
[ลูกจำดอกเตอร์จันทร์ฉายกับดอกเตอร์นุกูลเพื่อนแม่ได้หรือเปล่า]
?จำได้ครับ ทำไมเหรอครับ?
ผมตอบโดยไม่ต้องเสียเวลานึก ก็งานวิจัยล่าสุดที่ทำก็ทำร่วมกับดอกเตอร์ทั้งสองเนี่ยแหละ เวลาทำงานวิจัยทีก็ทำกันเป็นทีมใหญ่ๆ ส่วนมากก็จะเป็นรุ่นที่ใกล้จบหรือเรียนจบแล้วทั้งนั้น ผมเลยจะรู้จักพวกผู้ใหญ่เยอะกว่าพี่น้องคนอื่นๆ
[คือดอกเตอร์นุกูลกับภรรยาของเขาตามแม่กับพ่อมาร่วมทีมสำรวจด้วยกันน่ะ เห็นว่ามารวบรวมข้อมูลอะไรบางอย่าง ทีนี้ลูกสาวคนเดียวของพวกเขาไม่ยอมมาด้วย เธออยู่ในกรุงเทพฯ นั่นแหละ เขาอยากให้พวกลูกๆ ของแม่ช่วยดูแลเธอให้หน่อย...]
ทันใดนั้น เสียงในความคิดของทุกคนก็ผุดขึ้นพร้อมกัน
ขอขาวๆ ปากแดงๆ เหมือนลูกเชอรี่ >,.<
ผู้หญิงเหรอ...ดีเหมือนกัน ที่นี่มีแต่ผู้ชาย แห้งแล้งเหมือนทะเลทรายเลย >_<
เฮอะ น่ารำคาญ -_-;
ของไอ้เซริว โอริว และริวอิจิตามลำดับ =__=
อย่าเพิ่งงงกันไปครับว่าทำไมผมถึงได้ยินเสียงความคิดของพวกมันได้ ความพิเศษที่เหนือธรรมดาของผมก็คือ ?การอ่านใจ? อย่างที่ไอ้พวกน้องๆ มันเรียกกัน ความจริงน่าจะเรียกว่า ?อ่านความคิด? เสียมากกว่า เพราะที่ผมรู้ใจของพวกมัน ผมก็ฟังมาจากเสียงความคิดที่ดังลั่นนั่นแหละ มนุษย์มักคิดอะไรอยู่ตลอดเวลา จนบางครั้งผมก็รำคาญเวลาอยู่ใกล้ๆ พวกมัน โดยเฉพาะริวอิจิ หมอนี่คิดดังสุด ชอบโวยวายและบ่นอะไรนักหนาก็ไม่รู้ ผมก็รำคาญมันเหมือนที่มันรำคาญคนอื่น ถ้าจะให้เอาหลักวิทยาศาสตร์มาอธิบาย ความคิดต่างๆ ก็น่าจะเป็นเหมือนคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า เมื่อเกิดความคิด คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจากสมองของคนหนึ่งจะถูกส่งผ่านมาที่สมองของผมที่สามารถรับคลื่นแม่เหล็กในช่วงความถี่ที่ต่างจากคนธรรมดา
...แต่มันก็ยังเป็นแค่สมมติฐาน
อ้อ ความสามารถของผมก็มีขีดจำกัด ผมจะสามารถอ่านความคิดของคนอื่นได้ก็ต่อเมื่อผมได้ไปสัมผัสตัวคนคนนั้น และความสามารถจะคงอยู่เป็นเวลาสามวัน แล้วก็อาจจะมีอะไรเสริมเพิ่มเติมอีกนิดหน่อย มันฟังดูเยี่ยมใช่มั้ยล่ะ แต่ถ้าคุณลองมาเป็นผม คุณจะรู้ว่ามันที่สุดของที่สุดของที่สุดของความแย่ การที่ได้ยินเสียงหึ่งๆ ของความคิดตลอดเวลามันช่างน่าเบื่อและน่ารำคาญอย่าบอกใคร
?ทำไมถึงต้องเป็นพวกผมล่ะครับ?
ผมถามออกไปในที่สุด เมื่อเหล่าน้องๆ คนอื่นเอาแต่คิดสะระตะไปถึงเรื่องรูปร่างหน้าตาของผู้หญิงคนนั้น (โดยเฉพาะไอ้โอริวกับเซริว ดูเหมือนจะหื่นเป็นพิเศษ ผมไม่รู้ว่าความคิดของพวกมันใครหื่นกว่ากันแน่ ว่างๆ ผมจะลองคิดเครื่องมาตรวจวัดดู)
[เพราะคุณนุกูลกับภรรยาเขาไว้ใจลูกๆ ของแม่ เขาได้ยินชื่อเสียงของลูกๆ บ่อยน่ะ อีกอย่าง ลูกมีกันตั้งสี่คน ช่วยๆ กันดูแลผู้หญิงคนเดียวคงไม่เหลือบ่ากว่าแรงใช่มั้ยจ๊ะ]
รอยยิ้มของแม่ทำเอาลูกชายทั้งสี่ได้แต่หัวเราะแห้งๆ ทั้งๆ ที่ความคิดของพวกมันตรงกันหมดคือ การปฏิเสธ
[แต่ยังไงแม่ก็อยากได้สักคนที่รับปากเป็นคนดูแลหลักให้แม่นะ เผื่อคุณจันทร์ฉายเขาจะติดต่อไป ว่าไงจ๊ะ ใครจะช่วยดูแลให้แม่ได้]
แน่นอนว่าพวกผมเงียบกันอย่างพร้อมเพรียง สายตาของแต่ละคนชัดเจนถึงอาการเกี่ยงและโยนงาน
แล้วเสียงกริ่งหน้าประตูบ้านก็ช่วยชีวิตพวกผมให้รอดจากการถูกเชือด ริวอิจิที่อยู่ใกล้สุดกดเปิดอินเตอร์โฟน เสียงโวยวายของผู้หญิงคนหนึ่งลอดออกมา
?ใครอยู่ข้างในน่ะ มาเปิดประตูให้ฉันเดี๋ยวนี้!?
ใครน่ะ! กล้าออกคำสั่งกับคนอย่างฉันเหรอ! ความคิดของริวอิจิลอยมาเป็นอันดับแรก ตามด้วยความสนใจจากคนอื่นๆ มันหันกลับมามองที่ผมและบุ้ยใบ้เรียกให้ผมมาดูแทน
ผมลุกจากโซฟาเข้าไปยืนแทนเจ้าของผมสีเปลวเพลิง ภาพที่ฉายผ่านทางอินเตอร์โฟนคือหน้าซูมขนาดใหญ่ของผู้หญิงวัยรุ่น ดวงตากลม ปากเล็ก และจมูกที่รั้นเชิดขึ้นอย่างเด่นชัด
ผมเม้มริมฝีปาก และถอยกลับมายังไอแพด
[ใครมาเหรอลูก] แม่ถามอย่างสนอกสนใจ
?แม่ครับ ไม่ทราบว่าดอกเตอร์นุกูลกับภรรยาแจ้งเรื่องนี้กับแม่มาตอนไหนเหรอครับ?
[เอ...ก็น่าจะหลายวันแล้วนะ ตั้งแต่ที่พวกเขาบินออกจากไทย เขาก็โทรแจ้งแม่ก่อนออก แต่แม่เพิ่งมีเวลาโทรมาหาลูกๆ ทำไมเหรอจ๊ะ?]
?ดูเหมือนพวกผมจะมี ?แขก? น่ะครับ?
แม่มีสีหน้างุนงง แต่เพียงเล็กน้อยรอยยิ้มของแม่ก็กลับมาพร้อมเสียงหัวเราะ เมื่อได้ยินเสียงแหลมเล็กของผู้หญิงที่ตะโกนผ่านอินเตอร์โฟนอีกครั้ง
?เฮ้!! มีใครอยู่มั้ยน่ะ! ฉันยืนรอนานแล้วนะ ไม่ได้ยินหรือหูหนวกกันไปทั้งบ้านแล้วเนี่ย!!?
หัวคิ้วทั้งสองมุ่นเข้าหากัน ดูเหมือนผมจะเห็นเค้าลางความ ?ยุ่ง? ขึ้นจางๆ
1
ในบ้านหลังใหญ่โตราวคฤหาสน์หลังงาม ร่างเล็กขดตัวอยู่ใต้ผ้าห่มผืนหนาเมื่อหญิงวัยกลางคนพยายามจะปลุกเธอให้ลุกขึ้น
?คุณหนูคะ คุณหนูคะ สายแล้วค่ะ ตื่นได้แล้วค่ะคุณหนู?
?อืมม...อีกแป๊บนึงน่า...?
?นี่มันจะเที่ยงแล้วค่ะ คุณหนูต้องตื่นมาทานอาหารบ้างนะคะ เดี๋ยวคุณหนูจะเป็นโรคกระเพาะ แล้วเดี๋ยวโรคของคุณหนูจะกำเริบอีก มันไม่ดีนะคะ...?
?ตื่นแล้วค่ะตื่นแล้ว =__=?
ฉันยอมลุกขึ้นจากเตียงในที่สุดหลังจากที่แม่นมตั้งต้นจะเทศนายาว หญิงวัยกลางคนส่งยิ้มหวาน ก่อนจะยกสำรับอาหารที่เตรียมไว้มาให้ฉันทานถึงบนเตียง
หลังจากทานอาหารเสร็จฉันก็บิดขี้เกียจด้วยอารมณ์แจ่มใส เช้าวันที่สองของชีวิตที่มีอิสระ โฮะๆ ^[]^ อิสระอะไรน่ะเหรอ ก็พ่อแม่ฉันบินไปต่างประเทศกันน่ะซี่! ฉันก็จะไม่โดนจับตามอง ไม่โดนจำกัดขอบเขตการกระทำทุกฝีก้าว ห้ามนู่นห้ามนี่ ห่วงไปหมดเสียทุกอย่าง ถึงขนาดจะลากฉันไปต่างประเทศด้วย แต่ฉันไม่ยอมหรอก! แค่นี้ฉันก็เสียเวลาชีวิตวัยรุ่นมามากแล้ว เป็นวัยรุ่นมันต้องไปเรียน มีเพื่อน ชวนกันเรียน ชวนกันกิน ชวนกันช็อปปิ้งสิถึงจะถูก ฉันจะไม่ยอมขาดเรียนเป็นเดือนๆ อีกแน่ๆ
ว่าแล้วก็ไปที่คณะดีกว่า ฮึบ! ฮึบ! ^O^
?คุณหนูจะไปไหนเหรอครับ?
ทันทีที่ฉันกระโดดพ้นหัวบันได สองบอดี้การ์ดก็ตามเข้าประกบอย่างทันท่วงที =_=;;
เฮ้อ...ถึงพ่อแม่ไม่อยู่ ฉันก็ไม่ได้รับอิสระมากนักหรอกนะ ปกติฉันก็มีบอดี้การ์ดตามประกบอยู่แล้วหนึ่งคน พอมาเป็นแบบนี้พ่อแม่เลยจ้างมาเพิ่มอีกหนึ่ง! อีกหนึ่งตัวขัดขวางชิ้นโต! ไปไหนไปกัน ตามเข้าไปถึงในห้องเรียนด้วย ที่ไม่มีใครว่าฉันก็เพราะพ่อแม่ฉันใหญ่ อิทธิพลเส้นสายเยอะ แต่ก็เพราะแบบนั้นมันทำให้ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้ฉันน่ะสิ
?ฉันจะไปมหา?ลัย?
?แต่วันนี้คุณหนูไม่มีเรียนนะครับ...?
?ก็ฉันจะไป!? ฉันตวาดแว้ด
สองบอดี้การ์ดมองหน้าปรึกษากันทางสายตา ก่อนที่หนึ่งในนั้นจะไปเตรียมรถ ส่วนอีกหนึ่งก็ตามประกบฉันยิ่งกว่าเงาตามตัว
น่าเบื่อชะมัดเลย -*-
ฉันบ่นในใจเบาๆ ขณะรถคันหรูของบ้านกำลังแล่นออกจากที่และมุ่งหน้าไปยังจุดหมาย เพราะการขับที่เชื่องช้าอย่างกับเต่าคลานตามคำสั่งของพ่อ ทำให้กว่าฉันจะมาถึงมหาวิทยาลัยก็เล่นเอาหลับไปสามตื่น
?คุณหนูครับ ถึงแล้วครับ?
ฉันขยี้ตาไล่ความงัวเงีย รถมาจอดที่หน้าคณะอย่างพอดิบพอดี ฉันเดินลงจากรถ อีตาบอดี้การ์ดที่ผันตัวเองไปเป็นคนขับรถชั่วคราวก็นำรถไปจอด ส่วนอีกหนึ่งที่ทำหน้าที่ประกบก็ประกบเสียจนแนบชิด
?นี่นาย ฉันบอกแล้วไงว่าถ้าอยู่ข้างนอกให้อยู่ห่างจากฉันเป็นระยะสองเมตร?
?ขอโทษด้วยครับ นายใหญ่สั่งผมมาว่าห้ามอยู่ห่างคุณหนูเกินหนึ่งเมตร?
?นายเชื่อฟังคำสั่งพ่อมากกว่าฉันเหรอ -_-^?
?ครับ?
?-_-^^ ...หนึ่งจุดห้าเมตร!?
?ไม่ได้ครับ ผมได้รับคำสั่งมาว่าหนึ่งเมตร?
?-_-^^^ ...หนึ่งจุดสอง!?
?ขอโทษด้วยครับ? บอดี้การ์ดยืนยันคำเดิมอย่างหนักแน่น
ริมฝีปากเล็กเม้มเข้าหากันเพียงเล็กน้อย นัยน์ตากลมโตเริ่มมองหาทางหนีทีไล่
?อุ๊ย ดูนั่นสิ!?
?.....?
?นั่นน่ะ! นั่นอะไรน่ะ?
?พอเถอะครับคุณหนู คุณหนูใช้มุกแบบนี้กับผมมาหลายรอบแล้ว?
ฉันล่ะเกลียดคนรู้ทันจริงๆ =__=;;
เมื่อแผนการเบี่ยงเบนความสนใจไม่ได้ผล ฉันก็ตัดสินใจที่จะ...
วิ่ง!
บอดี้การ์ดร้องเสียงหลง เขารีบกวดขายาวๆ ของเขาตามมา ฉันพยายามวิ่งซิกแซ็กหลบซ้ายหลบขวา แต่ก็นั่นแหละ ต้องยอมรับว่าขาฉันมันสั้น ไอ้หมอนั่นเลยวิ่งมาตีคู่กันได้ทันในเวลาไม่นาน
?คุณหนูครับอย่าวิ่ง! มันอันตราย!?
?แฮก! แฮก!?
?คุณหนูครับ!?
?นายก็หยุดวิ่งสิ >O<!?
?ไม่ได้ครับ ทำแบบนั้นคุณหนูก็จะหนีผมไป?
?ถ้าอย่างนั้นฉันก็จะวิ่งต่อ!? ฉันตะโกนกลับ แต่จะว่าไป ออกวิ่งเพียงไม่นานฉันก็เริ่มเหนื่อยแล้วแฮะ เฮ้อ...ฉันล่ะเกลียดร่างกายตัวเองจริงๆ
เมื่อเริ่มเห็นท่าทางไม่ดี บอดี้การ์ดก็งัดเอาทีเด็ดใหม่มาใช้...
?ขอโทษด้วยนะครับคุณหนู?
?O_O??
ฉันที่กำลังวิ่งไปงงไปกับคำขอโทษขอโพย รู้ตัวอีกที มือบางก็ถูกจับล็อกไว้ด้านหลัง ทำให้ขาที่กำลังก้าวไปข้างหน้าหยุดชะงัก และถลาไปตามแรงดึง
?นายทำอะไรน่ะ ปล่อยฉันนะ ฉันเป็นคุณหนูนะ O[]O!!?
?ขออภัยด้วยครับคุณหนู แต่คุณหนูต้องรับปากกับผมก่อนว่าจะไม่วิ่งหนีผมอีก ไม่อย่างนั้นผมก็คงไม่อาจปล่อยคุณหนูได้?
?นิสัยไม่ดี! ปล่อยฉันนะไอ้บ้า!!?
ฉันเริ่มโวยวายและออกแรงดิ้นขลุกขลัก แต่ไอ้บอดี้การ์ดบ้ามันใช้มือเพียงข้างเดียวในการจับข้อมือทั้งสองของฉันไว้ พลางขอโทษขอโพยแต่ก็ไม่ยอมปล่อย จนคนในมหาวิทยาลัยเริ่มหันมามองกันอย่างสนอกสนใจ ในขณะที่บางส่วนก็เริ่มจะชินแล้วเพราะเหตุการณ์แบบนี้จะเกิดขึ้นเป็นประจำทุกๆ เช้า...
สุดท้ายฉันก็หยุดดิ้นเมื่อบอดี้การ์ดอีกคนตามมาสมทบ คนเดียวฉันยังสลัดไม่หลุด สองแรงหนึบมีหรือจะรอด =_=?
?ปล่อยได้แล้ว -_-^?
เมื่อเห็นฉันเริ่มนิ่ง มือหนาก็ปล่อยออกอย่างช้าๆ พลางกล่าวขออภัยด้วยสีหน้าเรียบเฉย ให้ตายสิ! คนพวกนี้บอร์นทูบีที่จะทำตามคำสั่งคนอื่นหรือยังไง
คนอื่นที่ว่านั่นน่ะ...ก็พ่อฉันเอง! ก็รู้ว่าห่วงกันน่ะนะ แต่บางทีมันก็เกินไปหน่อย
ฉันสลัดข้อมือ ทำท่าปัดเสื้อปัดกระโปรงเพื่อเรียกความมั่นใจของตัวเองคืนมา แล้วฉันก็เริ่มเดินไปยังที่นั่งใต้คณะ ที่ตรงนั้นจะเปรียบเสมือนที่ชุมนุมของพวกนักศึกษา คนพลุกพล่านสุดและเสียงดังที่สุด
เมื่อฉันเดินเข้าไป
มองซ้ายมองขวา...แล้วก็มองซ้ายมองขวา...
...แต่ก็ไม่มีใครที่ฉันรู้จักเลยสักคน
ความจริงก็ไม่เชิงไม่รู้จัก ฉันรู้จักพวกเขาบ้าง เคยคุยกับพวกเขาบ้าง ก็เป็นคนในคณะเหมือนกันนี่นา แต่เพราะว่าฉันขาดเรียนบ่อย ไหนจะต้องไปโรงพยาบาล ไหนจะโดนพ่อแม่หิ้วไปต่างประเทศ ทำให้สุดท้ายแล้ว...ฉันก็ไม่สนิทกับใครสักคน
สุดท้ายฉันก็ได้แต่ยืนแกร่วอยู่อย่างอะโลน ไม่รู้จะไปทักใคร ไม่รู้จะเดินไปที่ไหน เฮ้อ...
?คุณหนู?
เสียงเรียกเบาๆ จากบอดี้การ์ดที่ตามเข้ามาทีหลัง หมอนี่ทำงานมาก่อน อยู่กับฉันนานกว่า จะเข้าใจจิตใจของฉันมากกว่า ฉันหันไปค้อนพวกเขาสองคน
?ก็เพราะพวกนายนั่นแหละ!?
?ขอโทษครับ? สองบอดี้การ์ดก้มหน้าลงต่ำพร้อมกับกล่าวคำขอโทษ
โธ่...ฉันไม่อยากได้คำขอโทษสักหน่อย ฉันอยากได้เพื่อนน่ะ อยากได้เพื่อน T^T ก็ลองคิดดูสิ ผู้หญิงตัวเล็กๆ บอบบางแต่มีผู้ชายตัวใหญ่อย่างกับหมีควายในชุดสูทตามประกบซ้ายขวาแบบนี้...ใครมันจะกล้าเข้ามาคุยด้วย TTOTT
?ไปเถอะ? ฉันว่า ก่อนจะเดินออกจากใต้คณะที่พลุกพล่านแต่เคว้งคว้างสำหรับฉัน
?ไปไหนครับคุณหนู?
?ช็อปปิ้งย้อมใจ!?
?แต่ว่าคุณหนู บัตรเครดิตของคุณหนู...?
?เรื่องของฉันน่ะ!!? ฉันตวาดและเดินหนีออกมาอย่างรวดเร็ว
แน่นอนว่าฉันมาช็อปปิ้งตามคำกล่าวที่ประกาศไว้ ของในห้างหรูก็เหมาะกับคนหรูๆ อย่างฉันเสมอ
?อุ๊ย! นั่นมันกระเป๋าคอลเลคชั่นใหม่ล่าสุดนี่ OoO!?
ทันทีที่เดินผ่านร้านกระเป๋าแบรนด์ดังที่ฉันใช้อยู่ประจำ ของที่ตั้งโชว์อยู่ในตู้กระจกหน้าร้านก็ดึงดูดให้ฉันเดินเข้าไปอย่างไม่ยาก ฉันเรียกพนักงานขอดูกระเป๋าใบนั้น หลังจากลูบไล้ชื่นชมความงามอย่างปลาบปลื้ม ในที่สุดฉันก็ตัดสินใจหิ้วมันไปที่เคาน์เตอร์เพื่อจ่ายเงิน บัตรเครดิตถูกยื่นไปอย่างเคยๆ
ไม่นานนัก...
?เอ่อ...ขอโทษนะคะ ไม่ทราบว่าคุณลูกค้ามีบัตรเครดิตใบอื่นอีกไหมคะ?
?คะ??
?คือใบนี้ถูกระงับการใช้น่ะค่ะ?
?คะ!??
น้ำเสียงของฉันสูงขึ้นไปอีก มันจะถูกระงับได้ยังไง ก็มันยังไม่เกินวงเงินเลย แล้วฉันก็ใช้มันอยู่เรื่อยๆ
?ช่วยตรวจเช็คให้อีกรอบได้มั้ยคะ?
?ใบนี้ใช้ไม่ได้จริงๆ ค่ะ ต้องขอประทานโทษด้วยค่ะ? พนักงานกล่าวกับฉันด้วยสีหน้าปั้นยาก ในขณะที่ฉันกำลังไม่เข้าใจอะไรเลยทั้งสิ้น สองบอดี้การ์ดก็พากันสะกิดฉันยิกๆ
?อย่าเพิ่งยุ่งน่า เดี๋ยวเสร็จแล้วฉันก็กลับเอง?
?คุณหนูครับ...?
?เอ๊ะ ฉันบอกว่าอย่าเพิ่งยุ่งไงเล่า!?
?ผมแค่จะบอกว่า คุณหนูลืมไปแล้วหรือเปล่าครับว่านายใหญ่กับนายหญิงสั่งระงับบัตรเครดิตของคุณหนูทั้งหมด...?
โอ้ตาย! ฉันลืมไปเสียสนิท!
ฉันมองกระเป๋าคอลเลคชั่นใหม่ล่าสุดด้วยความเสียดาย มันสวยมากเลยนะ! สีสันสดใสไฉไลแจ่มแจ๋ว ทำไมคุณพ่อกับคุณแม่ต้องไปต่างประเทศในช่วงนี้ด้วย T^T
?ได้ยินเสียงโหวกเหวกโวยวาย นึกว่าใครเสียอีก ที่แท้ก็เป็นเธอนั่นเอง?
?ยัยลิซ่า!? ฉันเบะปากและกรีดร้องในใจเมื่อเห็นยัยผู้หญิงปากแดงโผล่มายืนขนาบข้าง ทำไมต้องมาเจอยัยนี่ที่นี่ ตอนนี้ และเวลานี้ด้วย นี่มันเวรกรรมอะไรของฉันกันนะ
ยัยลิซ่าเป็นเพื่อนร่วมคณะของฉันเอง แต่ฉันไม่ถูกกับยัยนี่หรอกนะ เธอเหมือนคู่แข่งตลอดกาลของฉัน ชอบมาแย่งฉันเด่น ฉันมีอะไร ยัยนี่ก็ต้องมี เสนอหน้าไปตลอดซะทุกงาน ฉันเข้าประกวดอะไร ยัยนี่ก็ต้องรีบลงชื่อด้วย ไม่รู้ว่าเป็นโรคทางประสาทอ่อนๆ หรือเปล่า หรืออาจจะอิจฉาเพราะเห็นว่าฉันสวยกว่า แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม คนอย่างสวีทดรีมไม่มีทางยอมแพ้ยัยโรคจิตนี่อย่างแน่นอน!
?ว่าแต่ ได้ยินแว่วๆ ว่าบัตรเครดิตของเธอ...ถูกระงับการใช้เหรอ คิก!?
?=_=!!?
?น่าสงสารจังเลยนะ ขอใบนี้ค่ะ ช่วยคิดเงินให้ด้วยนะคะ?
?ได้ค่ะ?
เสียงหัวเราะคิกคักของยัยนั่นทำให้ฉันหงุดหงิด ก่อนที่เธอจะยื่นบัตรเครดิตสีทองสะท้อนแสงไปให้พนักงานขายพร้อมกับกระเป๋าสีสันสดใสแบบเดียวกับที่อยู่ในมือของฉัน...
นั่นมัน...! นั่นมัน!!!
ยอมไม่ได้แล้ว!!
?ขอโทษนะคะ ขอจ่ายด้วยใบนี้แทนค่ะ?
ฉันรื้อกระเป๋าเงิน หยิบบัตรเดบิตส่วนตัวออกมา ยัยลิซ่าเหลือบมองด้วยหางตา ดูเหมือนเธอจะเสียใจหน่อยๆ ที่หักหน้าฉันไม่สำเร็จ ฉันเชิดหน้าใส่เธอ
ไม่มีบัตรเครดิตของพ่อแม่ฉันก็ไม่ถึงกับอดตายหรอกย่ะ!
แต่เมื่อได้กระเป๋ามาแล้ว ฉันก็มานั่งจนกรอบอยู่ในรถ Y___Y
?คุณหนูครับ...?
?เงียบๆ น่า ฉันกำลังใช้ความคิด!? ฉันโวยวาย ในขณะที่สมองก็ซีเรียสถึงขีดสุด ก็...ก็เงินนั่นน่ะ มันเงินใช้จ่ายจนกว่าพ่อแม่จะกลับมาเลยนะ T^T กระเป๋าใบนี้ก็แพงแสนแพง เซ็นจ่ายไปที เงินในบัตรเดบิตฉันเหลือไม่ถึงสามร้อย จะทำยังไงดีล่ะเนี่ย โฮ ไม่น่าหน้าใหญ่ตามคำยั่วของยัยลิซเลย TOT
?ผมว่าคุณหนูน่าจะไปหาคุณชายตระกูลซาคาโมโตะนะครับ?
?อะไร??
?ที่นายใหญ่กับนายหญิงบอกไว้ คุณหนูจำไม่ได้เหรอครับ? บอดี้การ์ดเสนอแนะอย่างหวังดี
ฉันอยากจะแหวเข้าให้ว่าทำไมฉันจะต้องไปง้อคนอื่น ก็พ่อแม่น่ะจะให้ฉันไปต่างประเทศกับพวกท่านให้ได้ แต่ครั้งนี้ฉันขอรั้นหัวชนฝา ให้ตายยังไงก็ไม่ไป พ่อกับแม่เลยขู่ว่าจะระงับบัตรเครดิตของฉันทั้งหมด และให้ฉันไปหาตระกูลซาคาโมโตะอะไรนั่น เพราะพ่อแม่ฝากฉันไว้กับตระกูลนั้นให้เขาช่วยดูแล แถมยังฝากเงินค่าขนมในแต่ละวันของฉันไว้กับพวกเขาอีก!
ตระกูลซาคาโมโตะ ?สี่จตุรเทพมังกร? ที่โด่งดังแห่งมหาวิทยาลัยเซนต์เฟมัส
พวกนั้นดังในมหาวิทยาลัยจะตาย แต่ฉันไม่แคร์หรอก
?ทำไมฉันต้องไปง้อขอเงินคนอื่นใช้ด้วย!? ฉันแหวออกไปในที่สุด ยิ่งคิดก็ยิ่งหงุดหงิด หงุดหงิดทั้งตัวเอง หงุดหงิดทั้งความซวยที่ต้องมาเจอยัยลิซ่าในวันนี้
?ไม่ใช่เงินคนอื่นครับ เงินนายใหญ่กับนายหญิง ท่านแค่ฝากตระกูลซาคาโมโตะให้ช่วยดูแลคุณหนู?
?แล้วทำไมฉันต้องไปให้ไอ้พวกนั้นดูแลด้วยเล่า ฉันดูแลตัวเองได้!? ฉันเถียงสุดใจ
ดูเหมือนบอดี้การ์ดจะรู้ว่าการพูดจากับฉันในยามที่ฉันหงุดหงิดนั้นไม่ได้มีอะไรดีขึ้นมาเลยสักนิดจึงเงียบไป
ฉันนั่งหงุดหงิดงุ่นง่านอยู่ในรถที่เปิดแอร์เย็นฉ่ำอยู่พักใหญ่ มือก็ถูไถกระเป๋าใบแพงสุดกู่ที่หลวมตัวซื้อมาด้วยเงินก้อนสุดท้ายของตัวเองที่คิดว่าจะเก็บไว้ใช้ตอนพ่อแม่ไม่อยู่
ตอนนี้ฉันเหลือเงินติดกระเป๋าอยู่สามร้อย...ทำไงดีนะ ทำไมคุณหนูอย่างฉันต้องมาตกอับแบบนี้ด้วย สามร้อย ฉันอาจจะอยู่ได้หนึ่งวัน ไม่สิ อาจจะประมาณเสี้ยววัน T^T
แล้วดูเหมือนคำตอบจะมีอยู่หนทางเดียว
ฮู่ว...ตั้งสติไว้ ตั้งสติไว้สวีทดรีม เราไม่ได้ไปขอเงินใคร นั่นคือเงินพ่อแม่ของเรา!
?ออกรถ?
?ครับ??
?ไปบ้านตระกูลซาคาโมโตะ ฉันจะไปทวงเงินของฉันคืน?
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
เพราะเงื่อนไขที่ว่าให้ใช้ห้องแล็บซึ่งมีอุปกรณ์หายากครบชุดฟรีๆ ได้นี่แหละ ที่ทำให้ผม...?ซาคาโมโตะ ริวจิน? ยอมมาเป็นพี่เลี้ยงให้คุณหนู ?สวีทดรีม? จอมเอาแต่ใจ หน้าตาเธอก็น่ารักดีหรอกนะ แต่เพราะความสามารถพิเศษที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิดของผมคือการได้ยินความคิดคนอื่น ก็ทำให้ผมได้ยินเสียงความคิดประหลาดๆ ของยัยคุณหนูนี่ตลอดเวลาจนน่ารำคาญ ยิ่งโดยเฉพาะเสียงกรี๊ดแปดหลอดเวลาไม่ได้ดั่งใจของเธอนี่ ทำเอาผมหูดับไปหลายวัน (-*-) คงถูกตามใจจนเคยตัวสิท่า เห็นทีผมต้องดัดนิสัยเธอเสียหน่อย ไม่งั้นงานวิจัยชิ้นสำคัญของผมคงถูกเธอป่วนจนเสร็จไม่ทันกำหนดแน่ แต่ว่านะ! ทำไมยิ่งใกล้ชิดเธอ หัวใจผมถึงยิ่งเต้นแรงแปลกๆ ล่ะ และที่แย่กว่านั้น...ผมรู้สึกอยากจะจูบเธอตลอดเวลาน่ะสิ (-///-) เอ่อ...ไอ้อาการแบบนี้ไม่มีทฤษฎีไหนอธิบายไว้ซะด้วย สงสัยผมคงต้องสร้างเครื่องมือขึ้นมาทดลองหาสาเหตุมันดูสักหน่อยแล้ว! >O< หมอนี่มัน....!!
