โรงพยาบาล...
แพทย์หญิงนันทภัทร อรุณรัตนพิทักษ์ หันไปมองปฏิทินแล้วถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ เมื่อเหลือบไปเห็นกากบาทสีแดงที่มีความหมายว่าอายุยี่สิบแปดปีของเธอกำลังจะหมดลงในอีกไม่กี่วัน พร้อมกับคำว่าโสดที่แปะหราบนหน้าผาก
ทว่าคำคำนี้ไม่ได้มีความหมายอะไรกับเธอเป็นพิเศษนักหรอก นอกจากจะบ่งบอกว่าเธอไม่เคยมีแฟนเลยสักคนในระยะหลายปีที่ผ่านมา ซึ่งตรงกันข้ามกับหน้าที่การงานของเธอที่กำลังไปได้ดี เพราะเธอเป็นแพทย์ศัลยกรรมฝีมือดีที่อายุยังน้อย เมื่อเทียบกับเพื่อนร่วมอาชีพที่อยู่ในวัยกลางคนหรือใกล้เกษียณ
เมื่อคิดย้อนมองกลับไปในหลายปีที่ผ่านมา ตั้งแต่สมัยวัยรุ่นจนเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัยเพื่อเรียนสาขาแพทยศาสตร์ จนกระทั่งได้รับการบรรจุและทำงานที่โรงพยาบาล ชีวิตของเธอนอกจากเรียนและทำงานแล้ว เธอแทบจะไม่ให้ความสนใจกับเรื่องอื่นๆ เลย โดยเฉพาะเรื่องความรัก ดังนั้นชีวิตรักของเธอจึงมีค่าเท่ากับศูนย์...
แต่ใช่ว่าจะไม่มีผู้ชายคนไหนมาจีบหรือมาสนใจหรอกนะ แต่เป็นเพราะเธอไม่มีเวลาที่จะสนใจพวกเขามากกว่า...พอเข้ามาแล้วก็ต้องล่าถอยออกไป เพราะความที่ไม่ได้สนใจพวกเขาจริงจัง
นันทภัทรมีเพื่อนผู้ชายมากมายหลายคน ทั้งเพื่อนที่เรียนแพทย์ด้วยกันและเพื่อนที่เป็นนายแพทย์ที่ได้ทำงานร่วมกันต่างก็ดูจะอยากขายขนมจีบให้เธอทั้งนั้น แต่เมื่อพวกเขาเห็นเธอมุ่งมั่นไปที่การเรียนและการทำงานมากกว่าสิ่งอื่นใด หนุ่มๆ พวกนั้นก็ค่อยๆ หายไป
ทว่าเธอก็ไม่ได้เสียใจหรือเสียดายกับเวลาที่ผ่านไป เพราะยังสนุกกับการเรียนและการทำงานมากกว่าการมีแฟน นันทภัทรประสบความสำเร็จได้เพราะความมุ่งมั่นทุ่มเททั้งการเรียนและการทำงานทั้งๆ ที่อายุยังน้อย
สมัยเรียนมหาวิทยาลัย นันทภัทรเป็นที่หนึ่งของชั้นและได้เกียรตินิยมอันดับหนึ่งด้วย พอไปเรียนต่อเฉพาะทางเธอก็ทำได้ค่อนข้างดี จนมาทำงาน...ตำแหน่งหน้าที่ของเธอก็กำลังเลื่อนขั้นขึ้นเรื่อยๆ
เมื่อทำงานที่โรงพยาบาลของรัฐมาได้หลายปี ทำให้เธออยากจะไปหาประสบการณ์การทำงานใหม่ๆ ที่ต่างประเทศ แต่ติดที่คุณหญิงแม่ของเธอไม่เห็นด้วย เพราะเห็นท่านเปรยๆ ว่าไม่อยากให้ไปไกลตัว เพราะคิดถึงและเป็นห่วงลูกสาวคนเดียวของบ้าน
นันทภัทรเป็นแพทย์ประจำอยู่ที่โรงพยาบาลของรัฐและเป็นแพทย์พาร์ทไทม์ของโรงพยาบาลเอกชนชื่อดังแห่งหนึ่ง รวมๆ แล้วเธอทำงานเจ็ดวัน...ยุ่งวุ่นวายทุกวันและไม่มีเวลาว่างเลย ทำให้ชีวิตสังคมด้านอื่นๆ แทบจะหดหายไปด้วย แต่เมื่อคิดไปคิดมา คนเรานั้นไม่สามารถทำทุกอย่างได้อย่างที่ตัวเองต้องการ ในเมื่อเวลานี้เธอมีหน้าที่การงานที่มั่นคงแล้ว...เธอยังต้องการอะไรอีก
ความรักไง...เสียงเล็กๆ ในใจของเธอกระซิบบอก
คุณหมอสาวถอนหายใจออกมาเบาๆ เมื่อคิดถึงหลายปีที่เธออยู่อย่างโดดเดี่ยว...ช่างเดียวดายเหลือเกิน แต่มันคือสิ่งที่เธอเลือกแล้ว ดังนั้น นันทภัทรไม่ควรคร่ำครวญกับเรื่องแบบนี้
นันทภัทรหมุนเก้าอี้ที่นั่งเพื่อหันไปหยิบสมุดโน้ตที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมาดูว่าช่วงนี้เธอมีนัดหมายอะไรหรือไม่ แต่ปรากฏว่าเธอลืมวันเกิดของมารดาบังเกิดเกล้าไปแล้ว หญิงสาวยกมือขึ้นแปะหน้าผากเบาๆ เพราะนึกรู้ชะตากรรมของตัวเองทันที เพราะนี่คือวันสำคัญอีกวันหนึ่งของครอบครัวอรุณรัตนพิทักษ์
?ซวยแล้วไหมล่ะ? คุณหมอสาวได้แต่บ่นพึมพำเบาๆ กับตัวเองและเก็บสมุดโน้ตไว้ที่เดิม เพราะนึกรู้ว่าคุณหญิงนภาพรผู้เป็นมารดาจะบ่นว่าอย่างไร สงสัยป่านนี้คงงอนเธอแล้วแน่ๆ
ตอนนี้ครอบครัวของเธอมีกันอยู่สี่คนนั่นก็คือ คุณหญิงนภาพร ผู้เป็นมารดา พี่ชายอีกสองคนคือ ณัฐนันท์และกันต์ธร รวมทั้งเธอที่เป็นน้องสาวคนเล็ก ที่พ่อกับพี่ชายหวงและห่วงมากๆ
เมื่อปีก่อนครอบครัวอรุณรัตนพิทักษ์ต้องสูญเสียบุคคลสำคัญอันเป็นที่รักไป พลอากาศเอกเมฆา อรุณรัตนพิทักษ์ ผู้เป็นบิดาของเธอและสามีที่ดีของคุณหญิงนภาพรลาลับอย่างไม่มีวันหวนกลับคืน ด้วยโรคหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน ทุกคนในครอบครัวต่างโศกเศร้าเสียใจกับการจากไป แต่สุดท้ายชีวิตก็ต้องก้าวเดินต่อไป
ก๊อกๆ...เสียงเคาะประตูทำให้คุณหมอสาวเงยหน้าขึ้นจากโต๊ะทำงานที่วางเอกสารทางการแพทย์ขึ้นมองที่ประตูห้อง ก่อนจะเอ่ยปากอนุญาต
?เชิญค่ะ?
?คุณหมอภัทรคะ เชิญที่ห้องผ่าตัดด่วน คนไข้ถูกยิงมาค่ะ?
นางพยาบาลเวรกะดึกเข้ามารายงาน พร้อมกับยืนรอเธอที่หน้าประตูห้องพักแพทย์
?ได้ค่ะ จะไปเดี๋ยวนี้ค่ะ?
คุณหมอสาวคว้าเสื้อกาวน์มาสวม ก่อนจะวิ่งตามนางพยาบาลเวรไปจนถึงห้องฉุกเฉิน ซึ่งบุรุษพยาบาลเพิ่งเข็นคนไข้ผ่านเข้าไป และมีนางพยาบาลเวรวิ่งตามเข้าไปอีกคน
?ช่วยเขาด้วยนะคะ?
หญิงสาวหน้าตาดีคนหนึ่งกำลังร้องไห้จนตาบวมช้ำจับแขนคุณหมอสาวไว้แน่น นันทภัทรคิดว่าอาจจะเป็นญาติหรือไม่ก็ภรรยาของคนเจ็บ
?ค่ะ?แต่ญาติต้องรอข้างนอกนะคะ?
นันทภัทรบอกหญิงสาวที่จับแขนเธอไว้ ก่อนที่เธอจะเข้าไปในห้องผ่าตัด เพราะตอนนี้ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บสำคัญที่สุดสำหรับเธอ
เธอถอดเสื้อกาวน์สีขาวออกและเปลี่ยนมาสวมชุดผ่าตัดสีเขียวเข้มที่นางพยาบาลเตรียมไว้ให้ ซึ่งภายในห้องผ่าตัดเต็มไปด้วยความชุลมุนวุ่นวาย มีบุคลากรที่มีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นแพทย์หรือพยาบาลก็ต่างก็รู้หน้าที่ของตัวเอง และมีความชำนาญเป็นพิเศษ เนื่องจากมีประสบการณ์ในห้องผ่าตัดกันมาหลายปี
?ให้ยาสลบไปแล้ว อีกไม่กี่นาทียาก็จะออกฤทธิ์?
?ชีพจรของคนไข้คงที่ เลือดกำลังไหลช้าลง?
เธอได้ยินเสียงโต้ตอบของวิสัญญีแพทย์และนางพยาบาล ในขณะที่เธอยืนนิ่งๆ เพื่อให้นางพยาบาลอีกคนสวมถุงมือให้ จากนั้นเธอก็หันไปพยักหน้าให้กับเจ้าหน้าที่คนอื่นๆ ที่อยู่ภายในห้องนั้นเพื่อเป็นสัญญาณว่าเธอพร้อมแล้ว
?ขอมีด?
นันทภัทรยื่นมือไปรับมีดจากนางพยาบาล ก่อนที่จะเริ่มปฏิบัติหน้าที่ของตนเองทันที คนไข้ถูกยิงสามนัด ทว่าแต่ละนัดไม่โดนจุดสำคัญ มีกระสุนฝังในที่ไหล่ขวาหนึ่งนัด และทะลุแขนซ้ายสองนัด ซึ่งตอนนี้คนไข้ยังไม่ได้สติ เป็นเพราะเขาเสียเลือดมากระหว่างที่ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล
คุณหมอสาวยกมือขึ้นปาดเหงื่อ เมื่อเวลาผ่านไปแล้วชั่วโมงครึ่งโดยที่เธอไม่ได้ละมือจากงานตรงหน้าเลย เธอต้องทำการผ่าตัดเอากระสุนนัดที่อยู่ตรงไหล่ขวาของเขาออก และเย็บแผลให้เขาอย่างรวดเร็ว
หลังจากเสร็จงานตรงหน้าแล้ว มือเรียวก็ยื่นไปให้พยาบาลถอดถุงมือออกให้ เธอยิ้มอย่างพอใจกับผลงานของตัวเอง เพราะตอนนี้คนไข้พ้นขีดอันตรายแล้ว
เคสนี้ถือว่าเป็นเคสที่โชคดีจริงๆ ที่โดนยิงถึงสามนัดแต่ไม่เป็นอะไรเลย ดูจากอาการแล้วเขาคงออกไปซ่าให้ถูกยิงได้อีกภายในหนึ่งอาทิตย์นี้อย่างแน่นอน
?เรียบร้อย?
คุณหมอสาวหันไปบอกพยาบาลและมองใบหน้าคมเข้มของคนป่วยที่เธอเป็นคนผ่าเอากระสุนออกให้ เขาเป็นคนหน้าตาดีทีเดียว จมูกโด่งเป็นสันรับกับริมฝีปากได้รูป และที่โดดเด่นที่สุดในใบหน้าคมคายก็คือคิ้วหนาๆ กับขนตายาวๆ ที่ทาบอยู่ใบหน้าของเขา ที่ผู้หญิงบางคนเห็นแล้วยังต้องอิจฉา เพราะมันยาวและหนามากๆ
เอ๊ะ! แล้วเธอจะมองเขาด้วยความชื่นชมทำไมกันนะ เขาก็แค่ผู้ป่วยคนหนึ่งเท่านั้น และตอนนี้หน้าที่ของเธอก็ได้สิ้นสุดลงแล้ว เพราะเขาพ้นขีดอันตรายแล้วเรียบร้อย เมื่อคิดได้ดังนั้น คุณหมอสาวก็เดินออกจากห้องผ่าตัดออกมาก่อนเจ้าหน้าที่และพยาบาลคนอื่น เพื่อแจ้งข่าวกับญาติที่กำลังยืนรออยู่ที่หน้าห้อง ส่วนคนไข้หนุ่ม บุรุษพยาบาลจะเป็นคนเข็นเขาไปยังห้องพักผู้ป่วยหลังจากนี้
?พี่ชายของฉันเป็นยังไงบ้างคะคุณหมอ? หญิงสาวที่นั่งรอคนไข้อยู่หน้าห้องลุกขึ้นมาทันทีที่นันทภัทรเดินออกมาจากห้องผ่าตัด ดูจากสีหน้าของเธอคนนั้นก็บ่งบอกว่ากำลังวิตกกังวลใจเป็นอันมาก
ถ้านันทภัทรเป็นผู้หญิงคนนี้ก็คงจะกังวลใจไม่ต่างกัน เมื่อได้เห็นบาดแผลฉกรรจ์หลายแห่งอย่างที่ผู้หญิงคนนี้เห็น ด้วยความที่นันทภัทรเป็นแพทย์จึงบอกได้ว่าคนเจ็บโชคดีมากที่มาถึงโรงพยาบาลทันเวลา เพราะไม่อย่างนั้นเขาจะเสี่ยงกับการช็อกเพราะเสียเลือดมาก และอาจจะตายได้
?ปลอดภัยแล้วค่ะ เดี๋ยวอีกสักพักเจ้าหน้าที่จะพาพี่ชายของคุณไปพักที่ห้องพักฟื้นนะคะ? เธอยิ้มให้ผู้หญิงคนนั้นนิดหนึ่งก่อนจะเอ่ยขอตัว ?ยังไงหมอขอตัวก่อนนะคะ?
?ขอบคุณค่ะคุณหมอ?
?ไม่เป็นไรค่ะ มันเป็นหน้าที่ของหมออยู่แล้ว?
นันทภัทรยิ้มให้ผู้หญิงคนนั้นอีกครั้ง ก่อนจะรีบเดินกลับไปยังห้องพักแพทย์ ระหว่างทางเธอยกมือขึ้นมองนาฬิกาข้อมือที่บอกเวลาทุ่มครึ่ง ซึ่งเลยเวลาเลิกงานของเธอแล้ว และวันนี้เธอก็คิดว่าจะกลับบ้านไปง้อคุณหญิงนภาพรที่เธอดันลืมวันเกิดของท่าน
?เฮ้อ!? คุณหมอสาวถอนหายใจ เพราะรู้ว่าป่านนี้คุณหญิงแม่คงรอให้เธอไปง้ออยู่แน่ๆ
หญิงสาวเก็บของใช้ส่วนตัวที่วางอยู่บนโต๊ะใส่กระเป๋าถือ และถอดเสื้อกาวน์แขวนไว้ตรงมุมห้อง ก่อนจะตรวจตราอีกครั้งว่าลืมอะไรหรือเปล่า จากนั้นก็เดินออกจากห้องพักแพทย์เพื่อไปยังลานจอดรถของโรงพยาบาล
ระหว่างทางนันทภัทรหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา ตั้งใจจะโทร.หามารดา แต่ก่อนที่เธอจะกดหมายเลขโทรศัพท์ของมารดานั้น เธอก็ชนเข้ากับผู้ชายคนหนึ่งที่เดินเลี้ยวมาจากมุมเสาอย่างจัง
?ขอโทษค่ะ? คุณหมอสาวเอ่ยออกไปพร้อมกับก้มเก็บกระเป๋าถือที่หล่นลงพื้นจนข้าวของข้างในกระจัดกระจาย
?ขอโทษครับ? เสียงทุ้มของผู้ชายที่เธอเดินชนเอ่ยขึ้น พร้อมกับก้มตัวลงเพื่อช่วยเธอเก็บข้าวของที่หล่นกระจัดกระจายอยู่เต็มพื้นนั้น ?ผมช่วยเก็บครับ?
?ขอบคุณค่ะ? เธอยื่นมือไปรับสมุดโน้ต ปากกา และกล่องแว่นตาที่เขายื่นส่งมาให้ เธอกับเขาลุกขึ้นยืนพร้อมกัน เธอมองเขาและเขาก็มองเธอ และในที่สุดเขาก็ส่งยิ้มมาก่อนจะกล่าวขอโทษอีกครั้ง
?ขอโทษจริงๆ นะครับ ผมไม่ทันได้มองนะครับ?
?ฉันก็เหมือนกันค่ะ?
?คุณทำงานที่โรงพยาบาลนี้เหรอครับ?
เฮ้อ...มาอีกแล้วมุกนี้ ดูจากท่าทางแล้วผู้ชายคนนี้คงเจ้าชู้ไม่เบา ถึงจะพูดจาสุภาพ หน้าตาดี แต่สิ่งเหล่านี้ก็ไม่ได้รับประกันว่าเขาจะเป็นคนดีนี่นา
?ค่ะ แต่หน้าตาแบบคุณคงไม่ใช่เจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลแน่ๆ? เธอตอบกลับและมองสำรวจเขาตั้งแต่ ศีรษะจรดปลายเท้า
?ดูง่ายขนาดนั้นเลยเหรอครับ? เขาตอบพร้อมกับส่งยิ้มเสน่ห์มาให้เธออีกครั้ง
?บุคลิกไม่ให้มั้งคะ? เธอตอบกลับเสียงเรียบก่อนจะพิจารณาเขาดีๆ อีกรอบ แล้วเธอก็มองเห็นบุคลิกที่ดูซับซ้อนและอันตรายที่เขาพยายามจะซ้อนเอาไว้ ?อืม...ลักษณะท่าทางของคุณเหมือนพวกเจ้าหน้าที่ตำรวจหรือไม่ก็พวกทหารมากกว่าค่ะ?
?ผมเป็นตำรวจครับ ร้อยตำรวจเอกกวิน แล้วคุณ??
?ฉันแพทย์หญิงนันทภัทรค่ะ?
?ยินดีที่ได้รู้จักครับ? เขาตอบและมองสำรวจเธอด้วยสายตาที่ทำให้เธอรู้สึกขนลุกซู่ แม้ว่าเขาจะเป็นตำรวจแต่เธอกลับรู้สึกไม่สบายใจยังไงก็ไม่รู้เมื่ออยู่ใกล้ๆ กับเขา
?เช่นกันค่ะ? เธอตอบและพยายามจะหาทางชิ่ง
?เอ่อ?คุณพอจะทราบไหมครับว่าร้อยตำรวจเอกจิรวิชญ์ วิบูรณ์จิตวณิชย์ พักฟื้นอยู่ห้องไหน?
กริ๊งๆ...เฮ้อ! สัญญาณช่วยชีวิตมาแล้ว
?ขอโทษนะคะ พอดีฉันมีธุระด่วนน่ะค่ะ ยังไงคุณสอบถามเจ้าหน้าที่ด้านในได้เลยค่ะ?
เธอบอกเขาและเตรียมจะชิ่งทันที แต่เขากลับเอาตัวเข้ามาขวางทางเธอไว้
?ยินดีที่ได้รู้จักคุณหมอจริงๆ นะครับ? เขาบอกก่อนจะก้มลงมาใกล้ๆ และกระซิบเสียงเบาว่า??หวังว่าเราจะได้พบกันอีกครับ?
คำพูดของเขาทำให้เธอรู้สึกสั่นอยู่ข้างใน เธอไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมถึงได้รู้สึกแบบนั้นกับคนที่เพิ่งรู้จักกันไม่ทันจะถึงสิบนาทีดีด้วยซ้ำ
?ค่ะ ขอตัวนะคะ? เธอเอ่ยขอตัวอีกครั้ง ก่อนจะเดินเลี่ยงเขาไปยังรถของเธอที่จอดอยู่อีกมุมหนึ่งของลานจอดรถ
กริ๊งๆ เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นอีกครั้ง
?ค่ะ แม่เหรอคะ? เธอรับสายทั้งที่ยังรู้สึกสั่นไม่หาย นันทภัทรพยายามหายใจลึกๆ เพื่อไล่อาการสั่นสะท้านที่เกิดขึ้นจากนายตำรวจคนนั้นออกไป ซึ่งเสียงของมารดาเป็นตัวช่วยที่ดีที่สุด
?ยังจำได้ว่ายังมีแม่แก่ๆ อยู่อีกเหรอ?
เอาแล้วไหมล่ะ ความขี้งอนขี้ใจน้อยของมารดาบังเกิดเกล้า แต่ยังไงเธอก็มีท่านแค่คนเดียว แค่นี้เธอทนได้เสมอ แล้วนันทภัทรเองก็เป็นฝ่ายผิดที่ลืมวันเกิดของท่าน เพราะฉะนั้นเธอจะหุบปากเงียบและไม่โต้แย้งท่านแม้แต่คำเดียว
?โธ่! แม่ค่ะ หนูจะลืมได้ไง ก็แม่เป็นนางฟ้าของหนูนี่ค่ะ?
?ไม่ต้องมาพูดดีเลยเรา เมื่อวานจำได้หรือเปล่าว่าวันอะไร?
?ทำไมจะจำไม่ได้ล่ะคะ?ก็วันเกิดของแม่ไง?
นันทภัทรอมยิ้ม เพราะนึกอยู่แล้วว่าท่านต้องทวงถามว่าเมื่อวานเป็นวันอะไร
?แม่ก็นึกว่ามันคงไม่สำคัญ เพราะแม่รอหนูมาตักบาตรกับแม่ แต่หนูก็ไม่มา?
เสียงของคุณหญิงนภาพรบ่งบอกถึงความน้อยใจ
?ขอโทษค่ะแม่ แต่วันนี้หนูจะกลับไปให้แม่ทำโทษแต่โดยดี?
นันทภัทรรู้สึกผิดที่ลืมวันเกิดมารดาไปจริงๆ เพราะเมื่อวานมีเคสด่วนเข้ามาหลายเคส เธอยุ่งวุ่นวายทั้งวัน และกว่าเธอจะได้นอนก็เกือบสว่าง แล้วแถมตอนเช้ามาก็ต้องมาทำงานอีก ไม่เอ๋อไม่เบลอก็ไม่รู้จะว่ายังไงแล้ว
?ดีมาก แม่จะรอนะ?
?แล้วนี่พี่ณัฐกับพี่กันต์อยู่ไหมคะ? หญิงสาวถามถึงพี่ชายสุดหล่อของเธอทั้งสองคน
พี่ณัฐหรือณัฐนันท์...เป็นพี่ชายคนโตที่คอยเฝ้าตามใจเธอทุกอย่าง ส่วนพี่กันต์หรือกันต์ธรนั้นก็เป็นพี่ชายที่เธอรักมากที่สุด เพราะเธอกับพี่ชายคนรองอายุห่างกันไม่กี่ปี จึงเข้าใจกันมากกว่าพี่ชายคนโตอย่างณัฐนันท์ที่อายุมากกว่าเธอตั้งเจ็ดปี
?คงจะอยู่หรอก? ผู้เป็นมารดากล่าวประชด
?โธ่แม่ พี่ณัฐกับพี่กันต์คงงานยุ่งน่ะค่ะ? เธอแก้ตัวแทนพี่ชายทั้งสองคนที่ลื่นยิ่งกว่าปลาไหล ทั้งๆ ที่ณัฐนันท์นั้นจะแต่งงานอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้อยู่แล้วกับคู่หมั้นสุดสวย
ส่วนกันต์ธรนั้นโสดสนิทแต่ศิษย์ไม่ส่ายหน้า เพราะมีผู้หญิงเปลี่ยนหน้าเข้ามาแทบไม่ขาดสาย จนหัวกะไดบ้านแทบไม่แห้ง แต่พี่ชายคนรองของเธอมักจะบอกว่า?เป็นแค่เพื่อนกัน แต่ไม่รู้ว่าเพื่อนกันถึงไหนนะ อันนี้ต้องไปถามเจ้าตัวเอาเอง
?ยุ่งอยู่กับผู้หญิงน่ะสิไม่ว่า?
?แม่คะ? นันทภัทรยังไม่ทันจะโอดครวญ คุณหญิงนภาพรก็ถามกลับมาว่า?
?แล้ววันนี้จะกลับมาค้างกับแม่ใช่ไหม?
?ค่ะ? เธอรับคำ ก่อนจะมองนาฬิกาบนข้อมืออีกรอบ ?งั้นอีกหนึ่งชั่วโมงเจอกันนะคะแม่?
?จ้ะ แล้วแม่จะรอ?
?สวัสดีค่ะแม่? หญิงสาวกดวางโทรศัพท์ ก่อนจะหย่อนลงในกระเป๋าถือ ตอนนี้เธอพร้อมแล้วที่จะกลับไปรับโทษจากคุณหญิงนภาพรแต่โดยดี
ช่วงนี้งานที่โรงพยาบาลค่อนจะยุ่งวุ่นวาย นอกจากเคสที่เข้ามาทุกวันแล้ว ยังมีงานด้านเอกสารที่ต้องทำ เนื่องจากจะมีหน่วยงานภายนอกมาตรวจสอบระบบของทางโรงพยาบาล ทำให้เธอไม่ได้กลับบ้านมาเป็นเดือนแล้ว เพราะต้องทำงานและเตรียมเอกสาร
บ้านกับโรงพยาบาลที่เธอทำงานนั้นอยู่ห่างกันคนละมุมเมือง เธอก็เลยตัดสินใจซื้อคอนโดฯ ไว้ห้องหนึ่งเพื่อความสะดวกสบาย เพราะอยู่ใกล้โรงพยาบาลที่เธอทำงานเพียงเดินแค่สิบนาทีก็ถึง แถมน่าอยู่และปลอดภัยมากพอควรในความคิดของเธอ
นันทภัทรอยู่ที่คอนโดฯ มาแล้วเป็นปี จนเธอคิดว่ามันเป็นบ้านของเธอไปแล้วจริงๆ แต่วันนี้นันทภัทรไม่ได้นอนที่คอนโดฯ ของเธอ เพราะบอกกับมารดาไว้แล้วว่าจะค้างที่บ้านด้วย
***
ทันทีที่ออกจากโรงพยาบาล นันทภัทรก็แวะห้างสรรพสินค้าเพื่อซื้อของขวัญวันเกิดให้มารดา ก่อนจะขับรถไปตามถนนที่ป้ายบอกทางไปนอกเมืองด้วยความเร็วปกติอย่างระมัดระวัง
ถึงตอนนี้จะเป็นเวลาดึกดื่นแล้ว หากแต่รถราก็ยังวิ่งกันคับคั่ง เธอจึงขับรถไปเรื่อยๆ โดยไม่รีบเร่งมากนัก และในขณะที่กำลังขับรถอยู่เพลินๆ นั้น เสียงโทรศัพท์ของเธอก็ดังขึ้น เธอจึงใช้มือข้างหนึ่งเปิดกระเป๋าถือและควานหาโทรศัพท์ในขณะที่ขับรถไปด้วย
คุณหมอสาวก้มลงมองหน้าจอมือถือก่อนจะกดรับสาย แล้วก็ต้องยิ้มเมื่อเห็นว่าใครโทร.เข้ามา
?ค่ะแม่?
?อยู่ไหนแล้ว?
?ใกล้ถึงแล้วค่ะ?
นันทภัทรบอกกับมารดาพร้อมกับหักพวงมาลัยเลี้ยวรถไปด้วย ทว่าตอนที่เธอกำลังเลี้ยวรถนั้นกล่องของขวัญที่เธอซื้อให้มารดาก็กลิ้งลงไปอยู่ตรงที่วางเท้า หญิงสาวจึงรีบก้มลงไปเก็บในขณะที่กำลังขับรถอยู่
มือหนึ่งของเธอจับพวงมาลัยกับโทรศัพท์ไว้ด้วยกัน ส่วนอีกมือก็ควานลงไปที่วางเท้าเพื่อหยิบกล่องของขวัญที่หล่นลงไปขึ้นมา
เหตุที่นันทภัทรกล้าประมาทอย่างนี้ เป็นเพราะเห็นว่าใกล้ถึงหน้าปากซอยทางเข้าบ้านของเธอแล้ว และแถวนี้ก็ไม่ค่อยมีรถรามากนัก หากแต่พอคุณหมอสาวเงยหน้าขึ้นมา แสงไฟจากรถอีกคันที่วิ่งสวนออกมาจากซอยด้วยความเร็วก็ส่องวาบเข้านัยน์ตาเธอ
นันทภัทรเกิดอาการตาพร่าเบลอ ทั้งยังตื่นตระหนกและตกใจจึงพยายามเหยียบเบรก แต่รถคันนั้นยังวิ่งตรงเข้ามาหา เธอจึงตัดสินใจหักพวงมาลัยอย่างแรงและเร็ว จนได้ยินเสียงล้อรถเบียดไปกับถนนเสียงดัง
ทว่าโชคไม่เข้าข้าง...เมื่อรถของเธอเองชนเข้ากับเสาไฟข้างทางอย่างจัง
?กรี๊ดดดด??
ตอนที่ 1
หนึ่งเดือนต่อมา?มันคือจุดเริ่มต้นของความสยอง
จิ?หรือชื่อที่อยู่ตามบัตรประชน...นายจิรวิชญ์ วิบูรณ์จิตวณิชย์ สามารถมองเห็นผีและพูดคุยกับผีได้
ใครๆ คงคิดว่าเขาเป็นบ้าหรือเปล่า ที่จู่ๆ ก็สามารถมองเห็นวิญญาณได้ และเขาเองก็กำลังคิดว่าเขากำลังจะเป็นบ้าเหมือนที่คนอื่นกำลังคิด
วิญญาณสาวที่อาศัยอยู่ในห้องห้องนั้นจะบอกว่าตัวเองไม่ใช่ผี หากแต่จิรวิชญ์คิดในใจว่า? ?ผีที่ไหนจะบอกว่าตัวเองเป็นผีกันเล่า?
เขาเจอกับเธอตอนที่ย้ายเข้ามาอาศัยอยู่ที่คอนโดฯ แห่งหนึ่งแถวๆ สถานีตำรวจที่เขาทำงานอยู่ เขาตกใจและเกือบจะช็อกตายในครั้งแรกที่เจอกับเธอ แต่ยังดีว่าวิญญาณสาวไม่แลบลิ้นปลิ้นตาใส่เขา เพราะเขาคงสยิว เอ้ย! สยองไม่เบา
แม้ปกติคนอย่างเขาจะสู้ไม่ถอยถ้าเป็นเรื่องผู้หญิง แต่เคสนี้ขอลาล่ะครับพี่น้อง ฮึ่ย! สยอง จิรวิชญ์คิด
เขาซื้อคอนโดฯ จากเพื่อนของเพื่อนต่ออีกทีหนึ่ง ซึ่งเขาก็ไม่รู้ว่าคนขายหรือคนที่เป็นเจ้าของนั้นเป็นใครเหมือนกัน เขาเพียงแต่จ่ายเงินและทำสัญญาซื้อขายโดยผ่านทางเพื่อนของเพื่อน และนั่นก็เป็นที่มาของการที่เขาได้เจอกับเธอคนนี้
ย้อนไปเมื่อสองสัปดาห์หลังจากที่เขาออกจากโรงพยาบาล จิรวิชญ์พูดคุยกับน้องสาวต่างบิดา
?พี่จิจะอยู่ที่นี่จริงๆ เหรอคะ?
จิราพรหรือแจน น้องสาวของเขาเดินตามพี่ชายเข้าห้องนั้นออกห้องนี้ภายในคอนโดฯ กลางเก่ากลางใหม่ที่เขาเพิ่งจะตกลงใจซื้อ มันเป็นคอนโดฯ ขนาดกลางแต่ก็น่าจะอยู่สบาย เพราะภายในห้องมีเฟอร์นิเจอร์ครบครันทั้งตู้ โต๊ะ เก้าอี้ และเตียงขนาดคิงไซส์ที่ถูกจัดวางไว้อย่างเหมาะเจาะ
และที่สำคัญ ห้องห้องนี้ไม่ต้องตกแต่งเพิ่มเติมอะไรใหม่ให้เปลืองเงินอีกด้วย นั่นแหละคือเรื่องสำคัญสำหรับเขา แม้เขาจะมีเงินมากมายจากมรดกของบิดาที่ล่วงลับไปแล้ว แต่การประหยัดไว้ก็ไม่ใช่เสียหายอะไร
?จริงสิ ที่นี่ใกล้ที่ทำงานของพี่ด้วย?
คอนโดฯ แห่งนี้ใกล้สถานีตำรวจที่เขาทำงาน เพียงแค่ขับรถไม่ถึงสิบนาที ทั้งยังใกล้โรงพยาบาล ห้างสรรพสินค้า มินิมาร์ท ถือว่าสะดวกสะบายสุดๆ
?แต่พี่ยังไม่หายดีนะคะ? น้องสาวของเขาท้วง เพราะเขาเพิ่งได้รับบาดเจ็บจากคมกระสุนที่ไหล่ขวาและแขนซ้ายตอนออกปฏิบัติหน้าที่
?ไกลหัวใจตั้งเยอะ อย่าห่วงมากเลยน่า? เขาว่าอย่างไม่เห็นสำคัญ เพราะอาชีพอย่างเขาแค่โดนยิงบาดเจ็บแบบนี้มันเป็นเรื่องจิ๊บๆ แล้วเขาก็เคยเจ็บหนักมากกว่านี้ เมื่อหลายปีก่อนตอนไปล่อซื้อยาแถวๆ ไชน่าทาวน์
ตอนนั้นเขาเพิ่งเป็นตำรวจใหม่ถือว่าไฟแรงสุดๆ แต่เขาก็ดันต้องสะดุดจังเบ้อเร่อเมื่อเจอกับกลุ่มมาเฟียผู้ค้ายาชาวจีนที่เข้ามาอาศัยอยู่ในประเทศไทย
ตำรวจหนุ่มปลอมเข้าไปเป็นหนึ่งในลูกน้องของพวกมันอยู่เกือบปี เพื่อหาหลักฐานการกระทำผิดของพวกมัน แล้วในที่สุดเขาก็รู้ถึงแหล่งฟอกเงินและเส้นทางลำเลียงยา...ยานรกพวกนั้นจะผ่านเข้าสู่ประเทศไทยทางชายแดนสามเหลี่ยมทองคำโดยชนกลุ่มน้อย แล้วจะมีคนของพวกมันไปรอรับยานรกพวกนั้นแล้วส่งตรงมายังแหล่งจ่ายยาที่คลับไชน่าทาวน์
พวกมันโดนจับกุมหลายครั้งในช่วงที่เขาเป็นสายสืบ จนพวกมันเริ่มระแคะระคาย ซึ่งก่อนที่เขาจะถอนตัวออกมาจิรวิชญ์ก็โดนพวกมันจับได้ซะก่อน
เขาโดนยิงหลายนัดทั้งตามแขนขาและกลางลำตัว แต่พวกมันยังไม่ฆ่าเขาเพราะอยากรู้ว่าใครที่ส่งเขามา ตำรวจหนุ่มโดนทรมานอยู่หลายวัน ก่อนที่ผู้บังคับบัญชาของเขาจะส่งกองกำลังเข้ามาช่วย ซึ่งโชคดีที่เขายังมีลมหายใจอยู่และอึดมากพอจนมาถึงมือหมอ
ในที่สุดเขาก็รอดตายมาได้อย่างปาฏิหาริย์
?ไม่ห่วงได้ไง ก็มีพี่ชายอยู่คนเดียวนี่คะ?
น้องสาวต่างบิดาของเขาทำหน้ามุ่ย เมื่อเขาทำเป็นไม่ใส่ใจในความห่วงใยของเธอ
?แถมยังฉลาด และหน้าตาดีอีกใช่ไหม...?
ตำรวจหนุ่มพูดต่ออย่างหลงตัวเองพลางหันไปมองน้องสาวที่ยืนอยู่ข้างหลัง ทว่าเมื่อเห็นเธอทำหน้ามุ่ย ชายหนุ่มจึงขยี้หัวเธอเล่นอย่างเอ็นดู
แม้เขากับน้องสาวจะเป็นลูกคนละพ่อกันก็ตาม แต่เขาก็รักจิราพรเหมือนน้องสาวแท้ๆ ที่เกิดจากบิดาเดียวกัน และถึงแม้เขาจะมีความคิดไม่ลงรอยและไม่ค่อยถูกกับคมกฤษ สามีใหม่ของมารดา ซึ่งเป็นบิดาแท้ๆ ของน้องสาวก็เถอะ
?ยังมาทำเป็นพูดเล่นอีก?
จิราพรยังทำหน้างอง้ำที่เห็นพี่ชายพูดเล่นไปซะทุกเรื่อง ทั้งๆ ที่เขาก็เคยบอกกับเธอว่าไม่รู้จะซีเรียสไปทำไม เพราะคนเราเกิดครั้งเดียวก็ตายหนเดียวเหมือนกัน แต่ก่อนที่จะตายก็ขอทำอะไรให้มีประโยชน์เพื่อคนอื่นบ้าง
อาชีพตำรวจเป็นอาชีพที่เสี่ยงอันตราย แต่มันก็เป็นอาชีพที่พี่ชายของเธอรัก แล้วเธอก็เห็นว่าเขาทำอะไรไปบ้าง พี่ชายของเธอทำเพื่อประโยชน์ของประชาชน ซึ่งต้องแลกด้วยชีวิตของเขาเองมาแล้วหลายครั้งหลายหน จิราพรทำอะไรไม่ได้นอกจากจะคอยเฝ้าดูอยู่ห่างๆ อย่างห่วงๆ อย่างทุกวันนี้
?พี่พูดจริงๆ นะ?
?พี่อ่ะ?
?ก็ได้ พี่ยอมแพ้เราแล้วก็ได้?
จิรวิชญ์ยกมือขึ้นเพื่อบอกว่าเขายอมแพ้ให้กับความช่างตื๊อของน้องสาว เพราะเขาขี้เกียจจะเถียงกับเธอแล้ว อีกอย่างเขารู้ว่าที่น้องสาวพูดเพราะเธอเป็นห่วงเขานั่นเอง
?แล้วพี่จะกลับไปอยู่บ้านไหมคะ?
?ไม่ล่ะ?
นายตำรวจตอบปฏิเสธ ก่อนจะนั่งลงตรงโต๊ะกินข้าวในครัว
ที่นี่ถือว่าผ่านในความคิดของเขา สำหรับคนโสดอย่างเขาแค่นี้ก็สุขโขสโมสรแล้ว มีหนึ่งห้องนอน สองห้องน้ำ กับหนึ่งห้องครัวเล็กๆ และอีกหนึ่งห้องรับแขกซึ่งตกแต่งไว้แล้วเรียบร้อยทุกห้อง
?ก็ไหนว่ายอมแล้วไง?
?แต่มันคนละเรื่องกันนี่นา?
ใช่...ที่เขายอมน่ะมันเรื่องที่เขาเถียงกับเธอ แต่ไม่ใช่เรื่องที่เขาจะกลับไปอยู่ที่บ้านของมารดา ที่มีบิดาของจิราพรคอยมองเขาเหมือนเป็นส่วนเกินตลอดเวลา แม้ว่าคมกฤษไม่ได้พูด แต่เขาก็ดูออกว่าสามีใหม่ของมารดาไม่ค่อยชอบให้เขาอยู่ที่นั่นเท่าไหร่นัก
?เมื่อไหร่พี่จะกลับบ้านเราล่ะคะ?
?พี่ก็ไม่รู้เหมือนกัน?
จริง?เพราะเขาก็ไม่รู้ว่าเขาจะกลับไปที่นั่นทำไม นอกจากไปเยี่ยมคุณจินดา ผู้เป็นมารดาเป็นครั้งคราวเท่านั้น
?เรื่องมันก็ผ่านมาตั้งนานแล้วนะคะ?
?แต่พี่ยังไม่ลืม? ชายหนุ่มพูดเสียงเข้ม
เพราะก่อนที่เขาจะออกมาอยู่ข้างนอกนี้ เขามีปากเสียงกับคุณคมกฤษ ด้วยเรื่องที่พ่อเลี้ยงอยากให้เขาเรียนบริหาร แต่ชายหนุ่มอยากเป็นตำรวจเหมือนบิดาที่ล่วงลับไปแล้ว ทำให้เขาและคุณคมกฤษมีปัญหากันเป็นครั้งแรก และหลังจากนั้นก็มีครั้งต่อๆ มา
ตลอดสิบปีที่เขาอยู่ที่บ้านหลังนั้น เขาไม่เคยมีปัญหาอะไรกับคุณคมกฤษเลย เพราะเขาพยายามหลีกเลี่ยงการพูดคุยที่จะนำไปสู่การทุ่มเถียงกันมาตลอด และตอนที่เขาบอกคุณจินดาว่าจะออกมาอยู่ข้างนอก มารดาก็ไม่ได้ว่าอะไร และเขาก็รู้ว่าแม่คงโล่งใจที่เขาออกมาซะได้
ไม่ใช่ว่าแม่ไม่รักเขาหรอกนะ แต่เป็นเพราะแม่ก็คงเครียดเหมือนกัน เมื่อสามีกับลูกของตัวเองมีปัญหากัน และการที่เขาย้ายออกมาก็ถือเป็นการตัดปัญหา และเป็นการแก้ปัญหาไปในตัว
?เฮ้อ! งั้นก็ตามใจ แต่ถ้าพี่โดนยิงมาอีก แจนจะไม่มาสนใจแล้วนะ?
?พี่ก็ไม่ได้ขอให้เรามาสนใจสักหน่อย เพราะพี่มีคนดูแลเพียบ?
เขาแกล้งพูดให้น้องสาวหมั่นไส้ไปอย่างนั้นเอง แต่จริงๆ ก็เป็นอย่างนั้นนั่นแหละ
จิรวิชญ์เป็นคนหน้าตาดี เข้าขั้นเทียบชั้นกับพระเอกระดับต้นๆ ของเมืองไทยได้เลย เขาไม่ได้ชมตัวเองหรอกนะ เพราะตำรวจที่สน.พูดให้ได้ยินบ่อยๆ นี่จึงเป็นอีกเหตุผลหนึ่งในหลายๆ เหตุผลที่ทำให้เขาไม่เคยที่จะขาดแคลนผู้หญิงข้างกายเลย
นอกจากเรื่องรูปร่างหน้าตาของเขาแล้ว ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่เป็นสิ่งล่อใจผู้หญิงให้มาวนเวียนอยู่รอบตัวเขา นั่นก็คือมรดกของบิดาที่ตกเป็นของเขาแต่เพียงผู้เดียว ยิ่งทำให้ผู้หญิงเสนอตัวมาให้เขาเลือกมากมาย จบคบแทบไม่หวาดไม่ไหว บางคนยังไม่ทันได้จีบด้วยซ้ำก็ดันเสนอตัวมาให้เองซะงั้น
?ผู้หญิงพวกนั้นเหรอคะ คุณแม่ไม่มีทางให้มาใช้นามสกุลของเราหรอกค่ะ?
ผู้เป็นพี่ชายหัวเราะในลำคอ เมื่อเห็นน้องสาวค้อนปะหลับปะเหลือกก่อนจะพูดตัดบท
?แล้วนี่เราไม่ต้องไปทำงานหรือไง?
?ไปค่ะ?
?งั้นก็ไปสิ เพราะนี้มันสายแล้วนะ? เขาเอ่ยเตือน เมื่อเห็นว่านี่จะเก้าโมงอยู่แล้ว แม้ว่าบริษัทที่น้องสาวทำงานอยู่จะเป็นของบิดาเธอก็ตาม แต่การไปสายก็ไม่ใช่สิ่งที่ดีนัก
?ก็ได้ค่ะ เพราะแจนเห็นว่ามันสายแล้วจริงๆ หรอกนะ?
?งั้นพี่จะไปส่ง?
เขาเสนอก่อนจะลุกจากเก้าอี้ในครัว แต่เขาก็ต้องนั่งลงเหมือนเดิมเมื่อน้องสาวโบกมือปฏิเสธ
?ไม่ต้องหรอกค่ะ แจนเอารถมา? แล้วจิราพรก็ถามย้ำถึงเหตุผลที่จะซื้อคอนโดฯ แห่งนี้อีกครั้ง ?ตกลงพี่จะซื้อจริงๆ เหรอคะ?
?พี่ว่ามันก็ดูดีนะ เพราะเขาตกแต่งไว้เรียบร้อย แล้วที่นี่ก็ใกล้ที่ทำงานพี่ด้วย?
?แต่แจนว่าไปซื้อคอนโดฯ ที่เขาสร้างใหม่ๆ ไม่ดีกว่าเหรอคะ ที่นี่ดูน่ากลัวออก?
จิราพรห่อไหล่ เพราะที่นี่ออกจะเงียบไปสักหน่อยในความรู้สึกของเธอ แล้วแถมยังดูออกจะวังเวงซะด้วยซ้ำ
?พี่เป็นตำรวจนะ พี่ไม่กลัวหรอก...ผีเผอหรือวิญญาณอะไรนั่นหรอก แล้วพี่ก็ชอบที่นี่ด้วย?
จิรวิชญ์จะไม่พูดประโยคนี้เด็ดขาด ถ้าเขารู้ว่าเขาจะเจอกับอะไร เพราะหลังจากนี้ไปมันคือความสยองชัดๆ
?นี่ถ้าคุณแม่มาเห็นล่ะก็ คงรับไม่ได้แน่นอน?
?ก็ไม่ต้องให้ท่านมาเห็นสิ?
?พี่ก็เป็นแบบนี้ทุกที แจนขี้เกียจพูดแล้ว ไปทำงานดีกว่า?
จิราพรบ่นก่อนจะเดินตึงตังออกจากห้องไป จิรวิชญ์ตะโกนตามหลังน้องสาวไปว่า...
?งั้นพี่ไม่เดินไปส่งนะ?
?ค่ะ?แจนไปแล้วนะ?
เขาอือออตอบ ก่อนจะเดินดูแต่ละห้องอีกครั้ง ซึ่งในความคิดของชายหนุ่มนั้นเขาโอเคเซย์เยสไปแล้วด้วยซ้ำ เพราะมันถูกและน่าอยู่ดี
ไม่อยากจะเชื่อว่าการตัดสินใจของเขาในวันนั้นจะทำให้เขาสยองสุดๆ ในวันนี้...
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ราวกับปาฏิหาริย์บังเกิดให้คุณหมอสาวที่ไม่เคยมีคนรักหรือรักใครมาก่อนได้มาประสบพบรักกับผู้กองหนุ่มผู้มีฉายาคาสโนว่าตัวพ่อเพราะไม่เคยขาดสาวข้างกาย ซึ่งนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาวิถีชีวิตโสดของ ?จิรวิชญ์? ก็มีชีวาสุขเพราะสาวข้างใจที่ชื่อ ?นันทภัทร? แต่แล้ววันหนึ่งหญิงสาวกลับจำเรื่องรักระหว่างเธอกับจิรวิญช์ไม่ได้เลยแม้แต่น้อย เขาจึงเพียรพยายามรื้อฟื้นความผูกพันนั้นขึ้นมาแม้ว่านันทภัทรจะปฏิสธไมตรีจากเขาก็ตาม จิรวิชญ์ไม่มีทางยอมให้ผู้หญิงสวยสง่าน่ากอดคนนี้ไปอยู่ในอ้อมอกแกร่งของชายอื่นใดเป็นอันขาด รอยสวาทที่เขาเคยฝากฝังไว้จึงถูกนำกลับมาใช้อีกครั้งอย่างดุดันเร่าร้อนราวกระหายหิว จูบครานี้ผู้กองหนุ่มต้องการให้นันทภัทรยอมจำนนเพราะเขาทำทุกอย่างมาแล้วทุกทางเพื่อให้เธอจำได้ และแล้วนันทภัทรก็รู้สึกถึงความสุขสมซาบซ่านเหมือนถูกไฟซ็อตเมื่อลิ้นอุ่นของเขาแทรกเข้ามา
