ให้ตายสิ เล่นลอบกัดกันแบบนี้ 'อังสนา' ไม่ชอบเลย เธอเป็นผู้หญิงตัวเล็กๆ แล้วตอนนี้ก็มีปัญหาส่วนตัวมารุมเร้าหนักพออยู่แล้ว แต่การโดนสวมหมวกไอ้โม่งเหม็นๆ แล้วผลักหยาบหล่นตุบบนเบาะไม่แข็งไม่นิ่ม จากนั้นตัวก็สะเทือนครืนๆ ไปตามแรงเหวี่ยงของรถ ซึ่งก็ไม่ทันเห็นอีกว่ารถอะไร รู้แต่ว่าเสียงเครื่องยนต์มันดังมโหฬารประจานว่าแก่หงำเหงือก
"เฮ้ย ยังไม่สลบเลย ไหนแกบอกว่าตุ๊ยท้องไปสองหมัดแล้วไง"
"ตุ๊ยแล้ว แต่ไม่กล้ารุนแรง เดี๋ยวช้ำหมด แกเดาใจนายถูกหรือ ถ้าไม่ชอบใจขึ้นมาแล้วฉันโดนเตะ แกช่วยออกหน้าให้ไหมล่ะ "
"แล้วจะเอายังไง ปล่อยให้ดิ้นฮึดฮัดแบบนั้นไม่ได้นะเว้ย"
"ฉันจัดการเอง"
อังสนาได้ยินเสียงห้าวห้วนดังเพียงเท่านั้น ช่องท้องก็โดนตุ๊ยหนักหนึบ จุกจนหน้ามืดทั้งที่หน้าในหมวกไอ้โม่งก็มืดมากพออยู่แล้ว ถัดจากนั้นไป ทุกอย่างก็มืดหมด เหมือนว่าตัวเธอเองก็แน่นิ่งไปด้วย
แต่แม้จะแน่นิ่งกับมืดไปหมดยังไง ความรู้สึกก็ยังพอมีเหลือๆ ไว้จำเสียงเครื่องยนต์คำรามครืดๆ เร่งระดับแรงสะเทือนครืนๆ จนตัวเธอกระเด้งๆ ตลอดเวลา และนานมากจนบอกไม่ถูกว่าเป็นชั่วโมงหรือเป็นวัน
กระทั่งหัวทิ่มตัวกลิ้งหล่นตุบลงไปนอนเบียดในซอกพื้น แสงสว่างลำแรกจึงค่อยสาดส่อง หมวกไอ้โม่งโดนกระชากออกหยาบๆ ผมเผ้ายุ่งสยายเหมือนรังนกพองลม เธอโดนขยุ้มแขนแล้วลากขึ้นจากซอกสกปรก ลากลงจากรถ ลากให้เดินโซเซมึนๆ ไปนั่งแหมะบนแคร่ไม้ไผ่ใต้ต้นประดู่เหลือง
"ที่ไหน" เธอครางถาม พยายามปรือตาบ้าง หรี่บ้าง เพ่งบ้าง มือก็ลูบท้องป้อยๆ รู้สึกบอบช้ำกับเจ็บหน่วงๆ
"บ้านนาย" เสียงห้วนห้าวดังขึ้นไม่ไกลจากแคร่นัก
"นายอะไร" เธอก็ยังถาม ตบท้ายทอยกับนวดต้นคอไปด้วย
"นายใหญ่"
"ใหญ่มาจากไหน"
เสียงห้วนห้าวเงียบไปเลย ตอบไม่ถูกเหมือนกันว่านายเขาใหญ่มาจากไหน เพราะเท่าที่จำได้ ก็โตมาด้วยกันตั้งแต่วัยรุ่น ต่างกันก็ตรงที่ตนเป็นลูกหลานคนงานในไร่ ส่วนนายใหญ่เป็นหลานชายเจ้าของไร่
"ฉันได้ยินเสียงน้ำ"
อังสนานั่งตรงนี้ ได้อากาศบริสุทธิ์ ได้สายลมสดชื่น ร่างกายก็ฟื้นฟูกลับสู่ภาวะปกติได้เร็วขึ้น เธอเป็นสาวแข็งแรงอยู่แล้ว เพราะฐานะสาวใช้ก็ไม่ส่งเสริมให้เหยาะแหยะ แล้วเจ้านายแต่ละคนก็เขี้ยวยาวลากดิน ทำงานไม่ถูกใจก็มีสิทธิ์โดนงับเนื้อทะลุ โดยเฉพาะ 'อังคณา'
******************************************************************************************************************************
โอ.. เสียงน้ำจริงๆ อังสนาเบิกตากว้าง ย่ำจ๋อมๆ ลงไปสัมผัสกระแสเย็นชื่นใจของสายลำธารกว้าง ฟากโน้นเป็นหน้าผาสูงปกคลุมด้วยป่าเขียวผืนทึบๆ บรรยากาศโดยรอบตอนนี้วังเวงกับสงัดแปลกๆ ถ้าให้เดาก่อนถาม ก็คิดว่าที่นี่น่าจะเป็นเขตสงวนส่วนบุคคล
"อ้อ รถคันนี้หรือที่ปั่นตัวฉันจนน่วมไปหมด"
เธอเหลียวกลับไปดูสองชายฉกรรจ์ตัวโตที่นั่งพักบนแคร่ คนหนึ่งใช้หมวกแก็ปพัดไล่ไอร้อน อีกคนกำลังเช็ดเหงื่อกับสะบัดผ้าเช็ดหน้าสีตุ่นๆ
"คุณสองคนจับตัวฉันมาที่นี่ทำไม" เธอลุยลำธารจมครึ่งน่องกลับขึ้นมาถาม ลอบสำรวจทั่วบริเวณไปด้วย
"เราทำตามคำสั่งนาย คุณ.. " เจ้าของหมวกแก็ปส่งเสียงตอบแล้วสกัดปิดท้าย ลุกขึ้นยืนอวดตัวโตด้วย "เก็บข้อสงสัยไว้ถามนายดีกว่านะ เรามีหน้าที่แค่พาตัวคุณมาที่นี่ อย่างอื่นตอบไม่ได้หรอก"
"ได้สิ ทำไมจะไม่ได้" อังสนาเถียง แล้วพยักพเยิดถาม "คุณชื่ออะไร คุณตอบชื่อตัวเองได้นี่ใช่ไหม ต้องขออนุญาตนายด้วยหรือเปล่า"
"ไม่ต้อง ผมชื่อสุวิทย์ ส่วนไอ้นี่ชื่อเชื่องชล เราเป็นพี่น้องกัน"
อังสนาเลิกคิ้ว นึกขำในใจว่าเธอไม่อยากรู้ว่าชายตัวโตสองคนเป็นอะไรกัน ที่ทำทีถามก็เพื่อถ่วงเวลาหาทางหนีทีไล่ให้ตัวเองเท่านั้น แล้วก็อยากให้แน่ใจว่าตนจะแคล้วคลาดจากภัยย่ำยี
"ที่นี่ที่ไหน" เธอถามอีก เริ่มออกเดินไปหยุดหน้าลานดิน มองขึ้นไปบนบ้านไม้ยกพื้นหลังใหญ่ที่ดูว่าร้างคนอยู่
"เพชรบูรณ์" สุวิทย์ตอบอีก
"เพชรบูรณ์เชียวหรือ"
เธอหันขวับกลับมาขอคำยืนยัน สองพี่น้องก็พยักหน้าหงึกๆ ก็ว่าอยู่เหมือนกันว่านอนกระเด้งๆ ในรถนานเป็นชั่วโมงเชียว
แปลกจังเลย เธอไม่เคยมาเพชรบูรณ์ ไม่รู้จักใครที่นี่เลย ทำไมนายใหญ่ของสองพี่น้องถึงได้อุตริสั่งให้ไปจับตัวเธอมาที่นี่ด้วย จะว่าเป็นศัตรูกัน เธอก็นึกไม่ออกอีกว่าไปรู้จักนายใหญ่แถวเพชรบูรณ์ตั้งแต่ตอนไหน เพราะตัวเองก็ถูกส่งไปอยู่แคนาดาตั้งแต่อายุสิบขวบโน่น
"นายสั่งให้พาคุณมาขังไว้ที่นี่"
"ขัง" เธอจ้องตาสุวิทย์ เพราะเขาทำหน้าที่พูดอยู่คนเดียว "ทำไมต้องขัง คุณคิดว่าฉันจะหนีไปทางไหนได้หรือ ฉันไม่รู้จักที่นี่เลย มองไปรอบๆ สิ มันก็ป่าเหมือนๆ กัน ฉันไม่ใช่คนโง่ที่ชอบทำอะไรบุ่มบ่ามแบบนั้นหรอก"
"นายก็บอกว่าคุณเจ้าเล่ห์"
อังสนาสะอึกนิดหน่อย ตั้งแต่เกิดมา ยังไม่เคยมีใครวิจารณ์ได้ชุ่ยแบบนี้มาก่อน เธออาจดูเปรี้ยวและก๋ากั่นไปบ้าง แต่ไม่เคยปลิ้นปล้อนหลอกลวงใครเลย แล้วนายใหญ่คนนั้นสะเออะไปรู้ดีมาจากไหน
"จะขังไว้ที่ไหน บนบ้านหลังนั้นหรือ" เธอชี้แล้วมองความร้างของมันอย่างไม่ค่อยไว้ใจ
"นายหมายถึงให้คุณอยู่ที่นี่น่ะ ไม่ได้หมายถึงขังในห้อง คุณหนีไปไหนไม่ได้อยู่แล้ว ที่นี่เป็นไร่ของนาย มีแต่คนของนายอยู่เต็มไปหมด"
"ไร่อะไร"
"มะขามหวาน"
"นายใหญ่เป็นเจ้าของไร่มะขามหวานหรือ ฉันก็หลงนึกว่าเป็นนายซ่องโจรเสียอีก"
"นายเราไม่ใช่โจร" สองพี่น้องเพิ่งจะเถียงพร้อมกัน สีหน้ากระด้างไม่ค่อยพอใจ
"จับตัวคนมากักบริเวณโดยไม่รู้จักกันมาก่อน ไม่เรียกว่าโจรแล้วจะให้เรียกอะไร นายใหญ่หรือ"
"ใช่ ต้องเรียกนายใหญ่" สองพี่น้องรีบยอมรับพร้อมกันอีก
ยิ่งแปลกใหญ่เลยใช่ไหม เธอแน่ใจว่าไม่เคยรู้จักนายใหญ่คนนั้นแน่ๆ อาจเกิดการเข้าใจผิดขึ้นแล้ว ไม่ใช่ฝ่ายเธอหรอก ต้องเป็นเขาที่รับข่าวสารมั่วๆ แม่สาวเชลยตัวจริงคงลอยหน้าปร๋ออยู่ที่กรุงเทพสบายใจเฉิบ ในขณะที่เธอถูกลากมาเป็นเหยื่อแทน
"แล้วเขาจะมาเมื่อไหร่" เธอตัดบททันที คุยกับลูกน้องจะไปรู้เรื่องอะไร ต้องรอเจรจากับนายใหญ่โดยตรงดีกว่า
"ถ้าไม่เย็นๆ ก็ค่ำๆ เอาล่ะ คุณก็อยู่ไปตามสบายนะ เราสองคนต้องไปแล้ว อ้อ ไอ้เชื่อง แกไปยกกระเป๋าคุณแกมาวางตรงนี้ ให้คุณแกหิ้วขึ้นไปจัดไปเก็บเอาเอง"
สุวิทย์สั่งน้องชาย ตัวเองก็สวมหมวกแก็ป เดินอ้อมหน้ารถไปเปิดประตูขึ้นนั่งบิดกุญแจติดเครื่อง เสียงคำรามก็ดังมโหฬารสนั่นป่าอีกแล้ว อังสนาหรี่ตารำคาญ น่าจะเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นข้อเสนอแนะตอนเจอนายใหญ่ด้วยนะ
เธอเดินเนือยๆ มานั่งแหมะข้างกระเป๋าเดินทาง ตบๆ มันแล้วก็ยิ้มสุดเซ็ง ช่างเป็นการเยือนบ้านเกิดที่น่าประทับใจดีแท้ ไม่ทันพ้นเขตสนามบินเสียด้วยซ้ำ เป้าหมายก็ปัดเป๋มาไกลถึงไร่มะขามหวานเพชรบูรณ์เชียว ขำไม่ออกจริงๆ ให้ตายสิ
*************************************************************************************************************
โอ.. บ้านร้างเหมือนถูกทิ้งไว้สักสิบปีกระมัง ฝุ่นหนาเขรอะไปหมดทุกซอกทุกมุม นายใหญ่ตัวแสบคงจงใจตั้งแต่แรกแล้วละสิ จับเธอมาเป็นเชลย ไม่ขังก็เหมือน เพราะป่ารอบด้านแบบนี้ อย่าได้คิดหนีเสียให้เมื่อยน่อง
"ให้ตายสิ" เธอสบถหน้าหงิก กระแทกกระเป๋าเดินทางหงุดหงิดบนพื้นกระดาน มีฝุ่นบางลอยขึ้นมาทักทายด้วย "เชลยก็คนนะ ให้เกียรติกันหน่อยไม่ได้หรือ ต่อให้หมดอิสรภาพ ก็ควรจัดที่ทางให้ดูน่าอยู่น่านอนหน่อย"
เธอเท้าสะเอว ขมวดผมดำหยักศกยาวยุ่งรวบเป็นมวย แล้วหยิบกิ่งไม้ที่หาได้เยอะแยะบนพื้นนั่นแหละเสียบไว้ลวกๆ จากนั้นก็ถอดแจ๊กเก็ตสีน้ำตาลอ่อนพาดบนกระเป๋าเดินทาง เดินผ่านรองเท้าส้นสูง เสียงกึกๆ ของมันฟังชัดดีจัง
"ให้ตายสิ" เธอสบถซ้ำ "ฉันต้องทำความสะอาดเองทั้งหลังใช่ไหม ด้วยอะไร"
ห้องโถงใหญ่มาก ไม่มีเครื่องนั่งเครื่องนอนและเครื่องประดับ มันโล่งและว่างเปล่า พื้นต่างระดับมีทางเดินกว้างแยกซ้ายขวาเป็นห้องนอน ประตูเปิดอ้าทั้งสองห้อง แย้มหน้าเข้าไปก็เห็นเสื่อม้วนกลมซุกติดฝาใกล้หน้าต่างปิดทุกบาน
"แกต้องเป็นที่นอนของฉันแน่ๆ "
เธอเดินไปเตะๆ มันแล้วเปรยสุดเซ็ง เลียปากแล้วมองไปรอบๆ เจอประตูเปิดออกไปชนระเบียงกว้าง ราวไม้ระแนงยังดูแข็งแรงดี บนพื้นเกลื่อนขยะ ทั้งเศษถุงพลาสติก ใบไม้แห้ง ดินทราย ก้อนกรวด หนังสือพิมพ์เก่ามากจากวันที่ที่ระบุก็ห้าปีกว่าแล้ว
"โอ.. ชีวิตของอังสนา"
เธอครางแล้วดึงเสื้อยืดสีดำแก้เซ็ง กางเกงยีนชื้นนิดหน่อยตรงปลายขา ยังได้ยินเสียงน้ำไหลเกรียวกราว ดีนะที่มีลำธารอยู่หน้าบ้านนี่เอง ไม่อย่างนั้น เธอจะมีปัญหาเรื่องการใช้น้ำเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะอาบ กิน หรือทำความสะอาดไอ้บ้านร้างหลังเบ้อเริ่มเทิ่มนี่
"ห้องครัวสวย"
เธอชมประชดตอนสำรวจมาเรื่อยๆ จนถึงห้องท้ายๆ ของบ้าน พื้นต่างระดับลงไปอาศัยบันไดสองขั้น พื้นที่กว้างขวาง แต่ไม่มีอะไรเหมือนเดิม เธอเดาว่ามันเป็นครัวจากร่องรอยของหม้อสองสามใบที่บุบบิ่นจนไม่น่าใช้การได้แล้ว กับถ้วยชามสังกะสีที่สกปรกมาก และไม่ต้องล้างให้เปลืองน้ำ นอกจากฝังดินแล้วลืมมันไป
"โอ้โฮ สวนสวยด้วย"
ชมประชดอีกเมื่อผลักประตูฝืดๆ ออกไปเจอสวนรก มีเบาะแสให้สืบด้วยว่าเป็นสวนอะไรจากร่องรอยของใบมะเขือ เธอขอเดาว่าต้องเป็นสวนครัว มีเนินดินสูงตลอดแนวอยู่สองสามแห่ง เดาว่าเป็นร่องที่ยังทำค้างอยู่ คนทำอาจต้องการปลูกผัก หรือทำแปลงดอกไม้
"เฮ้อ อนาคตของอังสนา"
เธอปลงอนิจจังกับสภาพรกร้างกว้างขวาง เพราะมองไกลออกไปก็เจอหน้าผาทะมึนกับป่าเขียวทึบดังเคย นายใหญ่คนนี้ร้ายกาจจริงๆ เตรียมแผนชั่วมาเป็นอย่างเลว อย่าไปชมว่าอย่างดี เพราะคนดีจะไม่ลักพาผู้หญิงมาเป็นเชลย เย้ยกฎหมายบ้านเมืองชัดๆ
ประหลาดใจนิดหน่อยเมื่อมาเห็นสภาพรอบบ้านดูดีขึ้นเยอะ ใบไม้แห้งเกลื่อนพื้นถูกกวาดไปกองรวมกันใต้ต้นประดู่เหลืองตลอดแนว ตามทางเดินเห็นร่องรอยเปียกน้ำ เดาว่าเธอคงไปตักใส่ถังแล้วหิ้วไปหกไป พอถึงหัวบันได หนึ่งถังก็อาจเหลือแค่ครึ่งถังหรือน้อยกว่า
"โอ้โฮ" เขาอุทาน เม้มปากแสดงอาการว่าเหลือเชื่อมาก เพราะบันไดสะอาดเอี่ยมเชียว "เวลาเปลี่ยนนิสัยคนได้เสียด้วย น่าเชื่อจัง"
น้ำเสียงดูแคลนเต็มพิกัด หมายความว่าคนพูดต้องรู้จักเชลยเป็นอย่างดี แน่ล่ะ ไม่รู้จักดีจะจับมาทำไมให้เสียเวลา เสี่ยงกฎหมายด้วย ตัวเองเดือดร้อนยังไม่เท่าไหร่ ลูกน้องจะมาพลอยติดร่างแหไปด้วย
"สวัสดีคุณหนู"
เขาทักทายใส่บั้นท้ายที่ส่ายไปส่ายมา ตาหรี่ลึก แต่ใจออกแนวเต้นร็อก บั้นท้ายสวย กลมกลึงพอเหมาะมือ แต่ไม่กลมกลืนกับหน้ามันเยิ้มที่เหลียวมาพยักพเยิด พลอยรั้งให้แนวสันหลังเบี้ยวกับแอ่นนิดๆ เธอคงไม่ตั้งใจยั่ว แต่ท่วงท่านั้นมันเย้ายวนชวนฝากรักเสียจริงๆ
"เป็นเชลยที่ดูเร่าร้อนไม่เบา อยากให้ผมจัดการยังไงกับบั้นท้ายของคุณบ้างไหม ถ้าอยาก ผมทำได้เลย ถ้าไม่อยาก คุณหนูก็หยุดส่ายสักครู่ แล้วเปลี่ยนท่า"
เขาส่ายนิ้วประกอบขณะพูดเนิบๆ อังสนาไม่รู้จักชายแปลกหน้าคนนี้ มาถึงก็พูดปาวๆ เธอไม่ได้เปลี่ยนท่าตามคำสั่ง มันไม่เหมาะอยู่แล้วที่จะให้เขายืนชื่นชมบั้นท้ายอันกลมกลึงด้วยแววตาเดี๋ยวเย็นเดี๋ยวร้อน
"ท่าทางไม่เหมือนคนงานไร่เลย นายใหญ่หรือ" เธอคะเนนำร่องไปก่อน
"ใช่" นายใหญ่ยักไหล่ เบ้ปาก แล้วเปรยหยันๆ ว่า "ผมไม่แปลกใจหรอกว่าทำไมคุณหนูจำผมไม่ได้ มันเป็นนิสัยที่ไม่ดีตลอดศกของคุณหนู"
"อ้าว ด่ากันแบบนี้ก็สวยสิคุณ" ผ้าขี้ริ้วในมือหล่นแหมะ สองมือว่างก็เท้าสะเอวฉับ "เชลยก็มีปากนะ แล้วฉันก็เถียงเก่งด้วย ไม่ยอมให้.. "
"อ้อ อันนั้นผมรู้"
'จารวี' โบกมือสกัดเสียงแหว เธอเถียงเก่งตั้งแต่ปากยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม ปีนั้นเธอเป็นแค่เด็กหญิงอายุสิบขวบ แต่ปากคอขอโทษที แม่ค้าที่ว่าปากแซบๆ อาจมียอมยกธงขาว
"รู้หรือ" อังสนาไม่รู้ด้วยหรอก เธอแน่ใจเลยเชียวละว่าตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยเจอหน้านายใหญ่คนนี้เลย
"คุณก็รู้คุณหนู แต่คุณลืม"
"อุ๊ย"
เชลยอุทานหวาดเสียว นายใหญ่จู่โจมพรวดเดียวก็รวบเอวบางด้วยลำแขนแข็ง แถมยังจงใจรัดเข้าไปบดเบียดกับเนื้อหนังกระด้างที่ขวางบางเบาด้วยเสื้อเชิ้ตสีเทาเข้มกับกางเกงยีนสีซีด อังสนาหายใจขัดประหลาด ทั่วร่างกำลังปะทะกับไอร้อนพิลึกที่ไม่เคยรู้จัก มันคายออกมาจากเนื้อหนังกระด้างของนายใหญ่นี่เอง
"หน้ามันเยิ้มไปหน่อย ถ้าจูบก็อาจไม่เร่าร้อนมากพอ เพราะมันลื่น รอให้คุณหนูล้างคราบเหงื่อให้ตัวเกลี้ยงหน้าใสกว่านี้ ถึงตอนนั้น ผมจะจูบให้ระทวยจนหมดแรงถูพื้นทีเดียว ไปไป๊ เชิญไปถูต่อ"
"โอ๊ย"
เชลยอุทานตกใจตอนโดนผลักหล่นตุบ บั้นท้ายกระแทกพื้นกระดาน มือพลอยป่ายไปปัดถังสังกะสี น้ำหกเรี่ยราดไปเปรอะพื้นบางส่วนที่ถูสะอาดดีแล้ว และแห้งไปแล้วด้วย
"โอ๊ย ให้ตายสิ นี่มันอะไรกัน คุณนี่ตัวโตชื่อใหญ่เสียเปล่า สิ่งที่คุณทำมันบอกชัดเลยว่าใจคุณเล็กมาก"
"ไม่หรอก" จารวีเถียงแล้วยักไหล่ เดินไปเตะถังเบาๆ มันก็กลิ้งเลื่อนที่ไปเรื่อยๆ "ใจผมใหญ่มากจนคุณหนูวัดไม่ได้ต่างหาก ไม่อย่างนั้น คุณคงไม่ได้ลอยหน้ามาจนถึงวันนี้"
"ฉันไม่ขอบคุณนะคะ"
"โอ้ ไม่ต้อง" จารวีลอยเสียงดังกว่าเดิม "คุณหนูบอกเองว่าให้ตายก็ไม่มีวัน ต่อให้ผมฉีกปากเลาะฟัน คุณก็จะยอมอัปลักษณ์ แต่ไม่ขอก้มหัวและยอมสยบให้ผมไอ้ลูกโจร"
อังสนาทำท่าหูดับไปเสียเฉยๆ ทันทีที่ได้ยินคำสำคัญ ก็ไหนลูกน้องสองพี่น้องบอกว่าที่นี่เป็นไร่มะขามหวานไม่ใช่หรือ แล้วทำไมนายใหญ่ถึงประกาศตัวเองว่าเป็นลูกโจรเล่า ตายล่ะ ตกลงว่าเธอเป็นเชลยโจรหรือ ด้วยข้อหาอะไร
"ถูพื้นสิ" จารวีกร้าวเสียง เตะถังที่กลิ้งม้วนกลับมาใกล้รัศมีฝีเท้า "คุณหนูทำน้ำหกเองนะ ผมไม่ชอบบ้านสกปรก"
"ถ้าอย่างนั้นก็เรียกแม่บ้านมาด่าสักชุดแล้วไล่หล่อนออกไปเลยนะ เพราะหล่อนบกพร่องในหน้าที่อย่างแรง"
สาวเชลยเถียงไม่มีลดละ นายใหญ่ว่าอะไรมา เธอก็สวนกลับปากไวกวนโทสะ เดินฉับๆ ย่ำน้ำเจิ่งไปเตะถังที่บังเอิญกลิ้งเลี้ยวมาเกะกะ มันน่าสงสารจัง ตอนนี้ไหลครืดไปชนส้นเท้านายใหญ่เข้าแล้ว
"ผมให้เวลาหนึ่งชั่วโมง กลับมาอีกที ห้องนี้ต้องสะอาด กับข้าวกับปลาต้องพร้อม"
"ฉันต่อรองขอชั่วโมงครึ่ง ถ้าคุณให้ไม่ได้ คุณก็นึกถึงวิธีลงโทษเชลยไว้ได้เลย"
"ชั่วโมงครึ่ง" จารวีทวนแล้วเบ้ปาก แต่ใจก็อดนึกสนุกกับข้อต่อรองไม่ได้ "ได้ ตามนั้น"
เขาเตะถังส่งกลับไปชนข้อเท้าสาวเชลย รอจนเธอหันขวับมาตาขุ่น จึงค่อยลอยหน้าท้าทาย ยักไหล่สะใจเมื่อเธอสะบัดหน้ากลับ เขาก็จะกลับล่ะ แค่มาดูลาดเลาว่าแม่ตัวแสบอยู่ในสภาพไหนเท่านั้น มันดีกว่าที่จินตนาการไว้เยอะเลย
"เดี๋ยว" อังสนาร้องสกัด แล้ววิ่งแซงออกไปหน้าระเบียง ส่ายตามองหารถ แต่กลับเจอม้าสีดำตัวใหญ่แทน "คุณขี่ม้ามาหรือ"
"ใช่ มันชื่อตุ๊กตา"
อังสนาหัวเราะเปิดเผยมาก มันดังสะใจขำเสียเหลือเกิน เจ้าของม้าหน้าแดงเพราะไม่พอใจ เธอจะขำอะไรนักหนา ม้าเขาชื่อ 'ตุ๊กตา' แล้วมันแปลกตรงไหน
"ผมจะยัดถังน้ำใส่ปากคุณ ถ้ายังไม่หุบเสียงปีศาจลงเดี๋ยวนี้"
เขากระแทกเสียงถลึงตาขุ่น เธอเม้มปากกลั้นๆ หน้าแดงก่ำ ยักไหล่ไม่รู้ไม่ชี้ แล้วบิดบั้นท้ายกลับเข้าข้างใน เขาหรี่ตาเพราะได้ยินเธอแดกดันว่า 'ตุ๊กตาจ๊ะ เรากลับกันเถอะจ้ะ' แล้วตบท้ายด้วยการหัวเราะเสียงดังมโหฬารเชียว
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
?อังสนา? บินด่วนกลับเมืองไทยเพื่อมาเป็นเจ้าสาวจำเป็นให้ลูกชายเสี่ยงานแต่งจะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่วันแต่หล่อนดันมาถูกจับตัวไปเสียก่อน จะเรียกว่าจับตัวไปเรียกค่าไถ่ก็ไม่น่าจะใช่เพราะคนที่จับอังสนามาไม่มีทีท่าว่าเป็นโจรสักนิด หญิงสาวพยายามนึกรื้อฟื้นความทรงจำที่ผู้ชายคนนั้นบอกกล่าวว่าเขาเจ็บแค้นอะไร แต่ยิ่งนึกก็ยิ่งปวดหัวเพราะอังสนามั่นใจว่าในชีวิตนี้ไม่เคยรู้จัก ?จารวี? มาก่อน ทว่าเจ้าหล่อนเอะใจขึ้นมาก็ตอนที่เขาเรียกหล่อนว่าคุณหนูนี่แหละ ซ้ำร้ายเขายังคอยย่ำยีและตามรังแกแทบไม่เว้นช่องว่างให้หายใจเลย เขาจับอังสนามาด้วยความแค้นที่อัดแน่นเต็มหัวใจราวกับว่าทุกอย่างจะต้องเอาคืนให้สาสม แต่จารวีคงไม่คิดและไม่ฝันด้วยว่าฤทธิ์แห่งรักจะออกแรงชะล้างอาฆาตจนหมดไป ไฟพยาบาทในทรวงกำลังจะม้วยมอดลงมีแต่ไฟสวาทเท่านั้นที่ลุกฮือโหมใส่ร่างเปล่าเปลือย
"เป็นโจรปล้นสวาทที่หลงตัวเองเหลือรับประทานจริงๆ "
"คุณไม่ร้ายหรือ คุณก็เป็นเชลยปล้นใจผมไปเหมือนกันนะ"
เธอต้องรีบหลบก่อนที่แรงผูกพันเต็มห้วงใจจะฟ้อง
ปล้นใจเขามาหรือเปล่าก็ไม่รู้หรอก แต่ที่รู้แน่ๆ คือใจเธอมันไม่อยู่กับเธออีกต่อไปแล้ว
