ผ้าพาดไหล่พลิกสะบัดไปมาดั่งใจนึก
อ่อนช้อยนิ่มนวลราวบุปผาต้องสายลมสั่นไหว และราวกับผีเสื้อบินวนเวียนเหนือมวลดอกไม้
ดูเหมือนทำได้อย่างง่ายดาย หากแต่ผู้รู้ย่อมดูออกว่าเป็นท่วงท่าการเคลื่อนไหวที่ละเอียดอ่อน และใส่ใจในทุกองค์ประกอบ ไม่ว่าจะเป็นปลายนิ้ว ปลายเล็บเท้า และการสะบัดชายแขนเสื้อแต่ละครั้ง
อ้ายหลิงจบการร่ายรำลงอย่างสงบเงียบ พร้อมกับจังหวะเสียงสุดท้ายของดนตรี
อีกชั่วอึดใจหนึ่ง ฮุ่ยจวิ้น ผู้ชมเพียงคนเดียวปรบมือขึ้นช้าๆ
อ้ายหลิงลุกขึ้นยืนและส่งยิ้มให้ ก่อนจะหันไปทางผู้เล่นผีผา
?ขอบใจนะเซียงเฉวียน คืนนี้พอแค่นี้ เจ้ากลับไปได้แล้วล่ะ?
?เพคะ พระมเหสี ฝ่าบาท หม่อมฉันทูลลา?
?ขอบใจเจ้ามาก?
หญิงสาวถือผีผาไว้ในมือพร้อมกับค้อมศีรษะคำนับ แล้วเดินออกจากห้องไปโดยเร็ว
เมื่อเห็นประตูห้องปิดลงแล้ว ฮุ่ยจวิ้นกะพริบตาส่งสัญญาณให้อ้ายหลิง อ้ายหลิงเดินมานั่งลงข้างๆ แล้วรินสุราเติมลงในจอกที่ว่างเปล่าของฮุ่ยจวิ้น
?รำเมื่อครู่นี้คือ....??
?ซวงเตี๋ยชุนเมิ่ง (ผีเสื้อคู่ในฝันฤดูใบไม้ผลิ) เพคะ ที่จริงแล้วต้องรำด้วยกันสองคน....?
?อ้อ....อย่างนั้นเองหรือ?
ฮุ่ยจวิ้นดื่มสุราไปเพียงครึ่งจอกแล้วส่งจอกนั้นให้อ้ายหลิง นางทำหน้าลำบากใจ ยิ้มกำกวมแล้วมองฮุ่ยจวิ้นสลับกับจอกสุรานั้น ทั้งที่ฮุ่ยจวิ้นรู้ดีกว่าใครว่าอ้ายหลิงนั้นคออ่อนเป็นที่สุด
ฮุ่ยจวิ้นทำหน้าเหมือนจะแหย่เล่นแล้วกะพริบตาข้างหนึ่ง
?แค่อึกเดียว จะไม่ดื่มเป็นเพื่อนข้าหน่อยหรือ??
?....อึกเดียวเท่านั้นนะเพคะ??
อ้ายหลิงรับจอกมาแล้วดื่มไปเพียงเล็กน้อยราวกับเลียก็ไม่ปาน
เพียงชั่วครู่ แก้มที่แดงเรื่อเพราะเพิ่งรำเสร็จยิ่งแดงมากขึ้นไปอีก ฮุ่ยจวิ้นดื่มสุราที่เหลือในจอกที่ถูกส่งคืนมาพลางมองดูอ้ายหลิงอย่างสนใจ
?คออ่อนจริงๆ นะ?
?....ทรงทราบดีอยู่แล้วนี่เพคะ....?
?ตอนที่เจ้าหมดสติไปเพียงเพราะสุราจอกเดียว ข้าตกใจหมดเลย?
ฮุ่ยจวิ้นหัวเราะ แต่อ้ายหลิงกลับหน้าแดงด้วยความเขินอาย เมื่อถูกพูดถึงเรื่องในอดีตที่ผ่านมากว่าครึ่งปีแล้ว
หลังจากฮ่องเต้องค์ก่อนสิ้นพระชนม์ ฮุ่ยจวิ้นขึ้นครองราชย์เป็นฮ่องเต้องค์ที่สามแห่งแคว้นหยวน และอ้ายหลิงที่เป็นนางรำได้ขึ้นเป็นพระมเหสีเมื่อต้นฤดูร้อนปีที่แล้ว
ก่อนหน้านั้นฮุ่ยจวิ้นเรียกอ้ายหลิงให้ลอบเข้าไปพบที่ห้องอยู่บ่อยครั้ง และในตอนเช้านางจะต้องกลับไปที่สำนักนาฏศิลป์ซึ่งเป็นที่พักของนางรำ เขาจึงมิได้คะยั้นคะยอให้ดื่มสุรา ฮุ่ยจวิ้นเองก็รอคอยที่จะได้ดื่มชาที่อ้ายหลิงชงให้ จนเมื่อได้มาใช้ชีวิตร่วมกัน ครั้งแรกที่อ้ายหลิงได้ดื่มสุรากับฮุ่ยจวิ้น เพียงแค่จอกเดียวเท่านั้น นางก็หลับไปจนถึงเช้าอีกวัน
ก่อนหน้านั้นอ้ายหลิงไม่รู้เลยว่าตัวเองคออ่อนขนาดไหน ตั้งแต่นั้นมาอ้ายหลิงจึงปฏิเสธที่จะดื่มสุราอย่างเด็ดขาด ....ถ้าจะดื่มได้ก็เพียงแค่อึกหนึ่งเท่านั้น
....ไม่ไหวแล้ว ร้อนจัง....
ในหัวพร่าเลือนไปหมด แก้มเริ่มร้อนผ่าว
อ้ายหลิงลุกขึ้นจากที่ เดินไปใกล้ระเบียงที่หันหน้าเข้าหาสวน เอนตัวพิงราวกั้นระเบียงผึ่งลมเย็นต้นฤดูใบไม้ผลิ
อา....
ในสายลมที่พัดผ่านผิวน้ำในสระเจือด้วยกลิ่นดอกเหมยอ่อนๆ
อ้ายหลิงหลับตาลง สูดลมหายใจตามกลิ่นนั้น
?บานแล้วหรือ?
ฮุ่ยจวิ้นตามออกมาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่ทราบได้ เข้าสวมกอดอ้ายหลิงจากด้านหลังแล้วกระซิบแผ่วเบา
?ปลูกเพิ่มอีกสักหน่อยน่าจะดี แดงกับขาว สีไหนดี??
?หม่อมฉันชอบ....สีแดงเพคะ?
?ข้าก็เช่นกัน?
ในอ้อมกอดอันอบอุ่นนั้นมิใช่กลิ่นดอกเหมย หากอบอวลด้วยกลิ่นของฮุ่ยจวิ้นที่คุ้นเคยเท่านั้น
เมื่อรู้สึกถึงริมฝีปากที่ประทับลงบนแก้ม อ้ายหลิงลืมตาขึ้นเล็กน้อย มองเห็นดวงจันทร์ที่หายไปครึ่งดวง
อ้ายหลิงเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยแล้วหลับตาลงอีกครั้ง คราวนี้ริมฝีปากถูกประกบอย่างนุ่มนวล
?ง่วงแล้วหรือ??
ฮุ่ยจวิ้นกระซิบถามแผ่วเบา เมื่ออ้ายหลิงเอนศีรษะซบลงบนอกของเขาแทนคำตอบ ฮุ่ยจวิ้นจึงอุ้มร่างนั้นขึ้นและพาไปจนถึงที่นอนในห้องที่อยู่ติดกัน บรรจงวางลงอย่างเบามือราวกับเป็นของที่แตกสลายได้ แขนที่คิดว่าจะผละออกกลับกอดรัดแน่นขึ้นไปอีก
อ้ายหลิงสอดประสานนิ้วเข้ากับมือของฮุ่ยจวิ้นที่เอื้อมมาสางผมให้
?อ้าว ดูท่าเจ้าจะยุ่งอยู่นะ?
อ้ายหลิงที่กำลังตั้งสมาธิเขียนพู่กันอยู่เงยหน้าขึ้นเมื่อได้ยินเสียงทัก เสียงที่แม้ไม่เห็นตัวผู้พูดก็รู้ว่าเป็นเจียเย่เพื่อนรักนั่นเอง
อดีตเพื่อนนางรำด้วยกัน ตอนนี้เป็นภรรยาของเวินฉือหยุน รองเจ้ากรมคลัง ขุนนางคนสนิทของฮุ่ยจวิ้น
อ้ายหลิงวางพู่กันลงทันทีแล้วหันมายิ้มให้
?เข้ามาเลยเจียเย่?
?รบกวนหน่อยนะ?
เจียเย่นั่งลงที่เก้าอี้อย่างคนที่รู้จักมักคุ้นกับที่นี่เป็นอย่างดี พลางชูห่อของฝากให้ดู
?ข้าได้ขนมอร่อยมา เลยว่าจะเอามากินกับชาของเจ้าเสียหน่อย?
?ฮะฮะฮะ งั้นจะชงชาให้นะ?
อ้ายหลิงให้นางกำนัลเซียงเฉวียนนำอุปกรณ์ชงชาและใบชามาให้ แล้วลงมือชงชาสำหรับสองที่อย่างคล่องแคล่ว ขณะที่เจียเย่เทขนมใส่จาน
?นางกำนัลเมื่อกี้ชื่อเซียงเฉวียนเหรอ? ดูเป็นงานขึ้นเยอะแล้วนี่ เมื่อก่อนนี้ทำถ้วยชาตกอยู่เรื่อย?
?อื้อ นางคุ้นเคยกับงานขึ้นแล้ว เล่นผีผาเก่งด้วยนะ ตอนซ้อมรำที่นี่ก็ขอให้นางเล่นให้?
?จริงเหรอเนี่ย แล้วทำไมไม่เป็นนักดนตรีแต่มาเป็นนางกำนัลล่ะ??
?นางบอกว่าถ้าให้แสดงต่อหน้าคนเยอะๆ จะตื่นเต้น ก็เลยเป็นไม่ได้น่ะ?
?อย่างนี้นี่เอง?
เจียเย่ดื่มชาเข้าไปอึกหนึ่ง แล้วถอนหายใจอย่างโล่งใจ
?อา....ชาของอ้ายหลิงนี่อร่อยจริงๆ?
?ที่คฤหาสน์ของคุณชายฉือหยุนน่าจะมีชาดีๆ ครบทุกชนิดนะ....?
?ไม่ได้อยู่ที่ชนิดชา แต่เป็นวิธีชงต่างหากล่ะ วิธีชง?
อ้ายหลิงยิ้มให้เจียเย่ที่เคี้ยวขนมพลางดื่มชาถ้วยที่หนึ่งหมดไปอย่างรวดเร็ว แล้วรินชาถ้วยที่สองให้
?ในที่สุดก็ทำตัวได้เหมาะสมมากขึ้นแล้วนะ?
?อะไรเหรอ??
?ก็การขอให้นางกำนัลทำอะไรให้ไงล่ะ ก่อนหน้านี้แม้แต่กับนางกำนัลที่อายุน้อยกว่าก็ยังพูดว่าขอโทษนะ ช่วยกรุณาไปเอาขนมมาให้หน่อยได้มั้ย? แบบนี้อีกฝ่ายก็ทำตัวลำบากแย่?
?อ้อ....?
หลังย้ายจากตำหนักตงเหอที่ฮุ่ยจวิ้นเคยอยู่ตอนเป็นองค์ชายรัชทายาทมาอยู่ที่พระราชวังชุนอิงซึ่งเป็นที่ประทับของฮ่องเต้ อ้ายหลิงก็กลายเป็นนายผู้หญิงของพระราชวังแห่งนี้ มีนางกำนัลที่ถือว่าน้อยแล้วเมื่อเทียบกับในสมัยของฮ่องเต้พระองค์ก่อน แต่สำหรับอ้ายหลิงแล้วก็ยังนับว่ามากอยู่ดี คอยปรนนิบัติรับใช้ บางครั้งต้องคอยรับคำกล่าวทักทายของเหล่าขุนนางที่มาเข้าเฝ้าฯ และเขียนจดหมายโต้ตอบในแต่ละวัน หากถามว่าชีวิตในตอนนี้กับสมัยที่เป็นนางรำแล้วต้องซ้อมร่ายรำและคอยวิ่งวุ่นรับใช้นางรำคนอื่นๆ ที่สำนักนาฏศิลป์ ตอนไหนลำบากกว่ากันล่ะก็....
?ข้าคุ้นเคยมากขึ้นกว่าแต่ก่อนแล้วล่ะ แต่ว่า....?
?แต่ว่า??
?ยังไงเสีย ชงชาด้วยตัวเองก็รู้สึกสบายใจกว่า ล่ะมั้งนะ?
เจียเย่ยิ้มกว้าง แล้วเท้าคางบนโต๊ะ
?งั้นก็เลิกเป็นพระมเหสีแล้วกลับไปเป็นนางรำมั้ยล่ะ??
?เอ่อ....?
อ้ายหลิงไม่รู้จะตอบว่าอะไร ได้แต่ส่ายหน้าไปมา เจียเย่เห็นอย่างนั้นแล้วก็หัวเราะออกมา
?นั่นสิเนอะ งั้นก็ต้องทำตัวให้ชินให้ได้เท่านั้นแหละ?
?อื้อ....?
เป็นนางรำจะรู้สึกสบายใจกว่านี้มาก
แต่ถึงอย่างนั้นที่นี่ก็เป็นสถานที่ที่ใกล้กับฮุ่ยจวิ้นมากที่สุด
ฮุ่ยจวิ้นที่มีความรับผิดชอบอันใหญ่หลวงต่อประเทศชาติตั้งแต่ยังหนุ่ม แต่ถึงกระนั้นก็ยังกลับมาที่นี่ด้วยใบหน้ายิ้มแย้มทุกวัน คงไม่มีที่ใดจะสำคัญไปกว่าที่นี่อีกแล้ว
หัวเราะอยู่ครู่หนึ่ง เจียเย่ก็เอื้อมมือหยิบชาถ้วยที่สอง แล้วขยับตัวปรับท่านั่งเล็กน้อย
?จริงสิ เกือบลืมเรื่องสำคัญไปเลย อ้ายหลิง น้องชายของเจ้าจะเดินทางมาถึงหัวอันเมื่อไหร่นะ?
?อ๊ะ ซิวอันน่ะเหรอ....?
อ้ายหลิงมีสีหน้าที่อ่อนโยนขึ้นทันใด
ซิวอันเป็นน้องชายที่อ่อนกว่าอ้ายหลิงสี่ปี อ้ายหลิงมีพ่อแม่ น้องชายสี่คน น้องสาวสามคน อาศัยอยู่ที่หมู่บ้านซานหู ตำบลไป๋เถิง มณฑลเหม่าโจว
ซิวอันซึ่งเป็นน้องชายคนที่สองซึ่งกำลังจะมาหัวอันเมืองหลวงแห่งนี้ในอีกไม่ช้า
?เขาสอบผ่านระดับมณฑลแล้ว บอกว่าจะเดินทางมาด้วยกันกับคนที่จะเข้าสอบระดับประเทศ คงใกล้จะมาถึงแล้วล่ะ ขอโทษด้วยนะที่วานให้ช่วย?
?ถึงยังไงถ้าสอบระดับประเทศจบลงแล้ว ที่บ้านข้าก็ต้องรับคนที่สอบผ่านบางส่วนมาอยู่ด้วยอยู่แล้ว แค่น้องชายตัวเล็กๆ ของเจ้าคนเดียว ยังไงก็ต้องให้อยู่ด้วยอยู่แล้วล่ะ?
?ทั้งที่ไม่ได้เข้าเรียนที่สำนักกวดวิชาทางนั้นเลย อยู่ๆ ก็บอกว่าอยากจะมาเรียนที่เมืองหลวง ข้าว่ามันออกจะเร็วไป....?
?ก็ดีนี่นา เข้าเรียนกวดวิชาเสียที่นี่เลย ที่มีใจอยากจะเรียนก็นับว่าไม่เลวแล้ว?
การสอบเข้ารับราชการจะจัดขึ้นปีละครั้ง ก่อนหน้านั้นแต่ละมณฑลทั้งสิบสองมณฑลของแคว้นหยวนจะจัดการสอบขึ้นเองก่อนเป็นรอบคัดเลือก ผู้ที่ผ่านการสอบคัดเลือกจะเดินทางเข้ามาสอบระดับประเทศที่หัวอัน ปีนี้ผู้สอบผ่านระดับมณฑลของเหม่าโจวมีประมาณเจ็ดสิบคน ในจำนวนนี้ผู้ที่จะผ่านการสอบระดับประเทศที่แสนยากหากเป็นเหมือนปีก่อนจะมีราวๆ สิบคน
ทว่าผู้ที่มาจากตระกูลขุนนางจะได้รับการละเว้นการสอบระดับมณฑล และการสอบระดับประเทศก็จะเป็นข้อสอบง่ายๆ ดังนั้นผู้ที่สอบไม่ผ่านจึงแทบจะไม่มี และเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน บ้านขุนนางไม่ว่าบ้านใดจะต้องรับฝากขุนนางใหม่ที่สอบผ่านระดับประเทศไว้ที่บ้านเป็นเวลาอย่างน้อยหนึ่งปี คอยดูแลเรื่องการทำงานและการใช้ชีวิต ไม่เว้นแม้แต่บ้านตระกูลเวิน
?ที่บ้านข้ายุ่งกว่าที่คิด เจ้าเองก็ดูท่าจะยุ่งอยู่นะ ที่เขียนอยู่นั่นน่ะเป็นงานอะไรรึเปล่า??
เจียเย่มองไปที่โต๊ะที่เมื่อครู่นี้อ้ายหลิงกำลังเขียนอะไรค้างอยู่
?อะ อื้อ ลูกสาวผู้ว่าการมณฑลไฮ่โจวกับน้องสาวของนายกองแห่งเว่ยโจวต่างก็จะมาที่หัวอันเพื่อเข้าพิธีแต่งงาน ข้าเลยคิดว่าจะส่งของขวัญอวยพรไปให้ พร้อมกับจดหมายแสดงความยินดี....?
?ไฮ่โจวเหรอ? เว่ยโจวยังพอว่า แต่ไฮ่โจวอยู่ตั้งไกลขนาดนั้น.... ว่ากันว่าขุนนางในเมืองหลวงที่ยังโสดอยู่น่ะไม่มีเหลือแล้วไม่ใช่เหรอ ยังอุตส่าห์ไปรับเจ้าสาวจากไฮ่โจวเชียว?
อยู่ๆ อ้ายหลิงก็ทำไหล่ตก พึมพำขึ้นมาเบาๆ
?หรือว่า....มีตำหนักนางในจะดีกว่าจริงๆ....?
?หา??
?เป็นเพราะ....ไม่มีตำหนักนางในแล้วใช่มั้ยล่ะ??
ฮ่องเต้นั้น นอกจากพระมเหสีซึ่งเป็นภรรยาอย่างเป็นทางการแล้ว ยังสามารถมีอนุภรรยาหรือก็คือพระสนมได้อีกด้วย ซึ่งไม่มีการจำกัดจำนวนไว้ หากว่าโชคดีได้รับความรักความโปรดปรานจากฮ่องเต้ ทั้งตระกูลของหญิงผู้นั้นก็จะรุ่งเรืองขึ้นด้วย ดังนั้นตั้งแต่ขุนนางไปจนกระทั่งสามัญชนจึงต่างมุ่งหมายที่จะส่งบุตรสาวหรือน้องสาวเข้ามายังตำหนักนางในซึ่งเป็นสถานที่สำหรับบรรดาสนมนางในของฮ่องเต้
ทว่าฮุ่ยจวิ้นกลับบอกว่านอกจากอ้ายหลิงแล้วไม่ต้องการภรรยาอื่นใดอีก จึงได้ให้ยุบตำหนักนางในไปเสีย
พระสนมในตำหนักนางในสมัยที่รุ่งเรืองที่สุดนั้นมีจำนวนหลายร้อยคน แต่ตั้งแต่ฮ่องเต้พระองค์ก่อนทรงชราภาพก็ลดลงเหลือราวหนึ่งร้อยคน และเมื่อฮ่องเต้องค์ใหม่ขึ้นครองราชย์ เหล่าขุนนางที่ตั้งใจจะให้ลูกสาวของตัวเองเข้าตำหนักนางในให้ได้ต่างก็ต้องพากันผิดหวัง ส่วนบรรดานางสนมที่ถูกให้ออกมาจากตำหนักนางในก็ทยอยแต่งงานกับขุนนางที่ยังไร้คู่ ทำให้ช่วงนั้นการพูดคุยเพื่อขอหมั้นหมายลดน้อยลงอย่างกะทันหัน ขุนนางที่มีลูกสาวอยู่ในวัยที่จะแต่งงานได้แล้วจึงพากันร้อนใจ นั่นเป็นเรื่องที่เจียเย่เคยคุยให้ฟังก่อนหน้านี้
?นั่นมันก็ใช่แหละนะ.... แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามีจะดีกว่านี่นา ที่จริงเรื่องนี้ก็เพราะสามีเจ้าบอกว่าไม่ต้องการ เลยยุบไปเองนี่?
เจียเย่ยักไหล่ แต่อ้ายหลิงก้มหน้านิ่ง
?แต่เขาว่าฮ่องเต้จำเป็นต้องมีพระสนม....?
?เอ๊ะ??
?บอกว่าต้องมีพระสนม....?
?ใครเป็นคนพูดเรื่องแบบนั้น??
?พวกขุนนาง....?
อ้ายหลิงพูดด้วยเสียงที่เบาลง ตรงข้ามกับเจียเย่ที่ลุกพรวดขึ้นและพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
?ก็แล้วขุนนางบ้าๆ คนไหนที่พูดแบบนั้นออกมาล่ะ!??
?คนไหนเหรอ....เยอะแยะไปหมด?
ตอนที่ฮุ่ยจวิ้นไม่อยู่เพราะออกว่าราชการ เหล่าขุนนางที่มาเข้าเฝ้าฯ ได้ร้องขอต่ออ้ายหลิงว่า ตำหนักนางในนั้นเป็นสัญลักษณ์แสดงถึงพระราชอำนาจของฮ่องเต้ ขอให้พระมเหสีทรงมีพระทัยกว้าง กราบทูลฝ่าบาทให้ทรงมีพระสนมเถิด ขุนนางที่มาพูดเช่นนี้ถึงตอนนี้มีหลายสิบคนแล้ว
เจียเย่ที่ได้ฟังเช่นนั้นยิ่งโมโหขึ้นเรื่อยๆ
?ใจกว้างอะไรกัน.... แล้วเจ้าตอบเจ้าบ้านั่นไปว่ายังไง?
?เข้าใจแล้ว จะทูลฝ่าบาทตามนั้น....?
?จะทูลงั้นเหรอ!??
?ข้าคิดว่า....ต้องทูลพระองค์นะ แต่ว่า....?
อ้ายหลิงส่ายหน้าทั้งที่ยังก้มหน้าอยู่ เครื่องประดับเล็กๆ ที่ติดอยู่กับปิ่นปักผมส่งเสียงดังกรุ๋งกริ๋ง
เจียเย่ใช้กำปั้นทุบโต๊ะดังปัง
?บอกไปสิว่าอย่ามาดูถูกข้า! ที่บ้านข้ายังเอาน้ำสาดแล้วไล่กลับไปเลย!??
?เอ๋!??
อ้ายหลิงเงยหน้าขึ้น อ้าปากค้าง
?จะ...เจียเย่ เจ้าก็ด้วยเหรอ....??
?ใช่สิ ฉือหยุนเองถ้าคิดจะมีก็มีฮูหยินได้ถึงห้าคนเลยล่ะ พวกขุนนางบ้านั่นเข้ามาเสนอถึงที่บ้านเลย บอกว่าไม่สนใจจะรับลูกสาวข้าเป็นฮูหยินที่สองบ้างเหรอ! แต่ก็นะ....ไม่มีใครกล้าเข้ามาพูดกับข้าตรงๆ หรอก?
แต่ที่เข้ามาคุยกับฉือหยุนหรือพ่อแม่ของฉือหยุนนั้น ยี่สิบวันจะมาสักครั้งหนึ่ง
?ละ...แล้วเอาน้ำสาดเลยเหรอ....??
?ไม่ใช่ข้าหรอก แต่เป็นท่านแม่ต่างหาก เพราะมีคนที่ตื๊อไม่เลิก คราวก่อนนี้เลยสาดน้ำไปทั้งถังเลย....?
?......?
ถ้าทำแบบนั้นได้จะรู้สึกดีขนาดไหน แต่ยังไงก็คงจะเลียนแบบไม่ได้
?สะ...สุดยอดเลยนะ ท่านแม่สามีของเจียเย่....?
?ใช่มั้ยล่ะ? ข้าเองก็ดูไว้เอาอย่างบ้าง คราวหน้าถ้าพวกบ้านั่นมาอีกก็จะเอาบ้าง แต่จะว่าไป หลังจากนั้นก็ยังไม่มีใครมาเลย?
?......?
บางทีอาจจะไม่มีใครกล้ามาเป็นครั้งที่สองอีกแล้ว
อ้ายหลิงหัวเราะอ่อยๆ จิบชาเข้าไปอึกหนึ่ง
?แต่ว่า ที่จริงแล้วข้าก็คิดว่าอาจจะต้องทำอย่างที่พวกเขาร้องขอก็ได้?
?อ้ายหลิง!?
?ข้าไม่อยากหรอกนะ ไม่อยากเลย แต่ถ้าทำแบบนั้นก็จะกลายเป็นความเอาแต่ใจของข้า?
ที่จริงแล้ว ในสายตาของคนนอกนั้นมองว่าฮุ่ยจวิ้นเอาใจอ้ายหลิงทุกอย่าง อ้ายหลิงไม่ได้คบค้าสมาคมกับเหล่าขุนนางและไม่ค่อยกล้าใช้งานใคร เพื่ออ้ายหลิงแล้ว ฮุ่ยจวิ้นพยายามที่จะทำหลายๆ อย่างให้นางสบายใจ ไม่ว่าจะอนุญาตให้ซ้อมรำได้ต่อไป จะเรียกเจียเย่หรือเพื่อนนางรำมาหาที่ตำหนักก็ได้ หรือแม้แต่การเลือกนางกำนัลที่โดยปกติแล้วจะคัดเลือกจากลูกสาวขุนนาง ก็หาคนที่มีฐานะต่ำต้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้มาให้เลือก เซียงเฉวียนเมื่อครู่นี้ก็เป็นลูกสาวร้านขายเสื้อผ้าเก่าในหัวอัน
ฮุ่ยจวิ้นยกเลิกตำหนักนางในนั้นก็เพื่ออ้ายหลิงอย่างแน่นอน และข่าวลือที่ว่าพระมเหสีไม่พอใจที่จะให้ฮ่องเต้ทรงมีพระสนมนั้นก็รู้มาถึงหูของอ้ายหลิง
?ไม่ใช่ว่าเจ้าเอาแต่ใจตัวเองหรอกนะ แต่เป็นการเอาแต่ใจตัวเองของสามีเจ้าต่างหากล่ะ?
เจียเย่พูดชัดเจนด้วยสีหน้าเซ็งๆ
?ที่จริงนะ อ้ายหลิง เจ้าน่ะไม่เคยพูดอะไรเอาแต่ใจในเรื่องไม่เป็นเรื่องกับสามีเจ้าหรอกใช่มั้ยล่ะ?
?ก็ใช่แหละ....แต่ฝ่าบาทมักจะคิดว่าถ้าทำแบบนี้แล้วข้าจะชอบ ถึงข้าไม่พูดอะไรก็จะทรงทำไว้ให้ก่อนอยู่เรื่อย....?
?จ้า จ้า ข้ารู้ดีว่าสามีเจ้าน่ะตามใจเจ้าขนาดไหน?
เจียเย่หยิบขนมชิ้นที่สองเข้าปากแล้วยักไหล่อีกครั้ง
?ถ้างั้นก็เอาแต่ใจให้เต็มที่ไปเลย ก็การตามใจเจ้าน่ะเป็นงานอดิเรกของสามีเจ้าอยู่แล้วนี่?
?งานอดิเรก....?
?เพราะเจ้าไม่เคยเอ่ยปากอยากได้อะไรเลย สามีเจ้าก็เลยเอาใจเจ้าในแบบที่เขาคิด ซึ่งก็ดีแล้วล่ะ ถึงใครจะว่ายังไงก็ช่างพวกเขาเถอะ?
?......?
อ้ายหลิงยิ้มเฝื่อนๆ เอื้อมมือไปหยิบขนมแล้วบิเข้าปาก
ถ้าไม่ต้องสนใจได้ก็คงจะดี ทว่าสายตาของพวกขุนนางที่มาขอร้องอ้ายหลิงนั้นไม่ได้เป็นมิตรเอาเสียเลย
อ้ายหลิงเก็บเรื่องนี้ไว้ไม่กล้าพูดกับฮุ่ยจวิ้นจนผ่านมาได้ครึ่งปีแล้ว หากขุนนางคนเดิมมาขอร้องเป็นรอบที่สองรอบที่สามก็เหนื่อยใจที่จะต้องตอบบ่ายเบี่ยงอย่างขอไปที
ยังไงคงจะต้องคุยกันให้เป็นเรื่องเป็นราวสักครั้ง....
อ้ายหลิงถอนหายใจเบาๆ
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
อ้ายหลิง อดีตนางรำแห่งราชสำนักที่ถูกขายมาจากหมู่บ้านยากจน ถูกบรรดานางรำที่เป็นคุณหนูลูกสาวขุนนางรุมใช้งานจนหัวปั่น ฝ่าฟันอุปสรรคความยากลำบากทั้งหลายจนกระทั่งได้เป็นพระมเหสีของฮุ่ยจวิ้น ฮ่องเต้องค์ใหม่แห่งแคว้นหยวน อ้ายหลิงพยายามทำหน้าที่ของพระมเหสีด้วยการสนับสนุนฮุ่ยจวิ้นในการปกครองบ้านเมือง ขณะเดียวกันก็ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขทุกวันเพราะความรักที่ฮุ่ยจวิ้นมีต่อนาง อยู่มาวันหนึ่งอ้ายหลิงหายตัวไปจากพระราชวัง จะเกิดการกบฏครั้งใหม่ขึ้นอีกหรือ...!? ฮุ่ยจวิ้นต้องลุกขึ้นต่อสู้เพื่ออ้ายหลิงและแผ่นดินนี้! เรื่องราวจะเป็นอย่างไร ติดตามอ่านได้ในนวนิยายรักโรแมนติกแสนหวานเล่มนี้!!
