ที่ผ่านมา สำหรับเธอแล้ว โลกทั้งใบมีแค่เพียงภายในปราสาทหลังเล็กๆ เท่านั้น
ณ ปราสาทอันเงียบเหงาเนื่องจากสูญเสียผู้เป็นนายไป เธอมีแต่จะต้องรีบเติบโตเป็นผู้ใหญ่ให้เร็วที่สุดเท่านั้น
แผ่นดินอีกฟากฝั่งหนึ่งของป่า ที่ดินที่สักวันหนึ่งเธอจะต้องปกครอง หน้าต่างของหอคอยที่มีห้องสมุดอยู่ด้วยแห่งนี้เป็นที่ที่เหมาะที่สุดในการนั่งมองมัน เธอเฝ้าจินตนาการถึงที่ดินแห่งนั้นที่มีหมอกบดบังและเห็นได้แค่รางเลือน พร้อมกับใช้เวลาทั้งหมดไปกับการตะลุยอ่านหนังสือราวกับจะทลายกองที่สูงราวกับภูเขาของมัน
เพราะเธอมีสิ่งหนึ่งที่จำเป็นจะต้องหาให้พบก่อนที่จะกลายเป็นผู้ใหญ่
เธอได้พบกับเขาคนนั้นในวันเกิดปีที่ 17
ภายในปราสาทหลังเล็กๆ ที่คลาคล่ำไปด้วยแขกเหรื่อที่เชิญมาจากประเทศข้างเคียง เขาดูสว่างไสวยิ่งกว่าใครทั้งหมด
เนื่องจากตลอดเวลาที่ผ่านมาโลกของเธอนั้นแคบนัก ดังนั้นภาพของเขาผู้สวมอาภรณ์หรูหราสีม่วงอมน้ำเงินและกำลังหัวเราะหยอกล้อกับบรรดาสาวน้อยอย่างสนุกสนานจึงช่างดูงามสง่าราวกับชายหนุ่มผู้สูงศักดิ์ที่หลุดออกมาจากในนิทานไม่มีผิด
นางกำนัลบอกกับเธอว่าเขาคือท่านเคานท์แห่งประเทศข้างเคียงที่ชื่ออัลเทมาริส เป็นพระราชนัดดาของกษัตริย์แห่งอัลเทมาริส และเป็นโอรสของพระอนุชาของกษัตริย์ สรุปก็คือเป็นบุคคลที่มีศักดิ์เป็นพระภาดาของเธอนั่นเอง
ซึ่งเธอเองก็เกิดความรู้สึกชอบใจในตัวพระภาดาที่เพิ่งเคยเจอกันเป็นครั้งแรกอย่างมาก ภาพที่เขากำลังหัวเราะอย่างอ่อนโยนและพูดคุยอยู่กับเหล่าเด็กสาวที่รายล้อมอยู่นั้นทำให้เขาดูน่าจะเป็นคนดีอย่างยิ่ง
หากเป็นเขาล่ะก็ คงจะยอมฟังคำขอร้องของเธออย่างแน่นอน
และเพราะคิดเช่นนั้นเธอจึงได้พาตัวเขาซึ่งมาที่นี่เพื่อแสดงความยินดีกับเธอไปยังระเบียง รวบรวมความกล้าและกลั้นใจลองเอ่ยออกไป
?ฉันชอบคุณค่ะ กรุณาแต่งงานกับฉันด้วย?
เขายืนนิ่ง กะพริบตาปริบๆ อยู่ใต้แสงจันทร์ที่สาดส่อง ท่าทีเช่นนั้นทำให้เขาดูสมเป็นเด็กหนุ่มอายุ 15 ปีจริงๆ
?ขอโทษนะคะที่จู่ๆ ก็พูดอะไรแบบนี้ออกมา คงจะตกใจสินะคะ?
?....ไม่หรอกครับ ที่จริงแล้วผมเองก็เจอมาตลอดจนแทบจะเป็นชีวิตประจำวันเลยก็ว่าได้ ชินแล้วล่ะครับ?
เขาจ้องมองมาทางนี้อยู่ครู่หนึ่งด้วยท่าทีครุ่นคิดอะไรบางอย่าง ก่อนจะแย้มยิ้มอย่างอ่อนโยนและเอ่ยต่อด้วยท่าทีเศร้าๆ
?แต่ผมไม่อาจตอบรับคำขอนี้ได้หรอกครับ เพราะผมจะถูกพระเจ้าท่านพิพากษาในฐานะที่เป็นต้นเหตุทำให้เกิดมหาอุทกภัยขึ้นในโลกนี้?
?....มหาอุทกภัย??
เมื่อเห็นเธอพึมพำอย่างฉงน ท่านเคานท์จึงถอนหายใจอย่างเศร้าๆ
?ไม่ต้องสงสัยเลยว่ามันคือทะเลน้ำตาของเหล่าหญิงสาวนั่นเองครับ?
?ดังนั้นผมจึงไม่อาจตกเป็นของใครคนหนึ่งแต่เพียงผู้เดียวได้เลยครับ ต้องขออภัยด้วยจริงๆ ผมเองก็รู้สึกลำบากใจเช่นกัน?
เธอนิ่งเงียบ
....และคิดในใจว่า ช่างเป็นคนที่ประหลาดเสียจริง
เพราะเหล่าชายหนุ่มที่เคยเข้าใกล้เธอตลอดมานั้น ไม่ว่าใครต่างก็พากันยกยอชื่นชมเธออย่างไม่ลืมหูลืมตา รวมถึงเป็นฝ่ายเอ่ยปากขอแต่งงานมาโดยตลอด ซึ่งก็มีตั้งแต่สุภาพบุรุษผู้น่าภาคภูมิไปจนถึงเศรษฐีผู้มีชื่อเสียง ซึ่งถ้าให้ว่ากันตรงๆ แล้วก็คือ ?มีมากมายมาให้เลือกสรร? นั่นแหละ
ถ้าหากเธอไปเอ่ยเช่นนี้กับพวกเขาแล้วล่ะก็ ไม่ว่าใครก็คงจะยอมพยักหน้าตอบตกลงอย่างยินดีเป็นที่สุดแน่ แต่เขาคนนี้กลับไม่ต้องการยศถาบรรดาศักดิ์ของการเป็น ?พระสวามีของเจ้าของประเทศ? เลยงั้นหรือ
?ว่าแต่ จากที่ผมได้ยินมา รู้สึกว่าเจ้าหญิงจะทรงถนัดการทำนายทายทักมากเป็นพิเศษสินะครับ?
อีกฝ่ายสอบถามขึ้นด้วยท่าทีสนอกสนใจเป็นอย่างมาก ซึ่งเธอเองก็ได้แต่พยักหน้าตอบรับไปครั้งหนึ่ง
?ค่ะ?
?แต่กลับไม่ทรงทราบถึงอนาคตของพระองค์เองเลยหรือครับ?
?..........?
?....ถ้าเช่นนั้นผมจะทำนายอนาคตหลังจากนี้ของท่านให้ฟังเองครับ เจ้าหญิงผู้เลอโฉมที่กำลังทุกข์ร้อนพระทัย?
ท่านเคานท์วางมือลงบนอกด้วยท่าทีสำรวมอยู่เบื้องหน้าเธอที่กำลังหลุบตาลงต่ำ ก่อนจะยื่นมือมาทางนี้อย่างช้าๆ
?พระเจ้าจะต้องไม่ทรงทอดทิ้งผู้มีความพยายามอย่างท่านเป็นแน่ และเพื่อการนั้นท่านจึงได้ส่งผมมาพบท่านในค่ำคืนนี้ ซึ่งนั่นก็หมายความว่านับตั้งแต่นี้ต่อไปผมคือผู้ผดุงความยุติธรรมที่จะมาช่วยเหลือท่าน....?
เขาจุดรอยยิ้มอ่อนโยนท่ามกลางแสงจันทร์สีเงินยวง
?หากท่านมีเรื่องไม่สบายพระทัยเมื่อใดได้โปรดเรียกผมได้ในทันที เคานท์เบลุนฮัลท์ นามเฟรเดอริคผู้นี้ขอให้คำสัตย์ว่าจะเป็นกำลังให้แก่คอนฟิลด์และเจ้าหญิงแสนงามอย่างท่าน หากได้ผมมาเป็นพวกแล้วล่ะก็ ไม่ต้องกังวลอะไรแล้วล่ะครับ เมื่อถึงช่วงเวลานี้ของปีหน้า คอนฟิลด์จะต้องมีเจ้าของประเทศที่แสนวิเศษอย่างแน่นอน?
?..........?
เธอเอาแต่จ้องมองเขาและนิ่งงันอยู่อย่างนั้น
พวกผู้ชายที่ดีแต่ปากนั้นเธอรู้จักมามากเสียจนเกินพอ ดังนั้นเธอจึงไม่ได้รู้สึกอะไรกับ ?คำทำนาย? ที่ฟังดูยอกย้อนวกวนของเขาแต่อย่างใด
ทว่าเมื่อเธอลองคิดดูแล้วก็พบว่าเขานั้นช่างมีหลายสิ่งหลายอย่างเหลือเกิน และดูท่าว่าคงจะรวมไปถึงสิ่งที่ตัวเธอเองจำเป็นจะต้องมีมันในวันข้างหน้านี้ด้วย
มันจะต้องไปได้สวยแน่ ถึงแม้จะรู้สึกผิดอยู่บ้างที่ต้องกระทำการที่เหมือนกับหลอกลวงคนดีๆ เช่นเขา แต่ถ้าหากเป็นการทำเพื่อประเทศแล้วก็ไม่ควรจะมีความปรานีใดๆ หลงเหลืออยู่ในใจ
และถ้าเป็นเขาคนนี้ล่ะก็ สักวันหนึ่งเธอคงจะสามารถเกิดความรู้สึกรักได้กระมัง....ความรักแท้จริง ที่ไม่ใช่ความรักอันหลอกลวงเพื่อประเทศชาติ
เมื่อคิดเช่นนั้นเธอจึงจับมือเขา
พร้อมกับวาดฝันอย่างรางเลือนถึงช่วงเวลา 1 ปีให้หลังจากนี้
บทที่ 1 หายนะอีกครา
สีสันสดเมื่อยามแรกเริ่มฤดูร้อนกำลังแต่งแต้มทิวทัศน์ด้านนอกหน้าต่าง
นี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้มาเยือนกรีนฮิลเด้ เมืองหลวงของอัลเทมาริส หลังจากห่างหายไปเป็นระยะเวลา 1 เดือนครึ่ง ในตอนนั้นธรรมชาติยังคงเต็มไปด้วยสีสันของฤดูใบไม้ผลิที่มาเยือนอย่างค่อนข้างล่าช้า แต่ว่าในตอนนี้ต้นไม้ใบหญ้าที่เห็นจากหน้าต่างได้ถูกแต้มเป็นสีแห่งฤดูร้อนไปเสียแล้ว
พอมานั่งมองวิวทิวทัศน์แบบนี้แล้วยิ่งทำให้ตระหนักได้ถึงความเป็นเมืองใหญ่ของกรีนฮิลเด้มากยิ่งขึ้น ถึงแม้ว่ามันออกจะเคร่งขรึมน่าเบื่อสำหรับมิเรย์ที่เติบโตขึ้นมาในเมืองแห่งบุปผาซานเจอร์เวย์ไปบ้าง แต่ทิวทัศน์ตรงหน้าก็นับว่าช่วยให้จิตใจสงบได้มากถ้าหากเทียบกับช่วงเวลา 5 วันของการนั่งรถม้าโยกเยกมาจากเบลุนฮัลท์ซึ่งเป็นที่ดินของผู้เป็นบิดาเธอ
แต่ถึงกระนั้นเบลุนฮัลท์ก็ยังจัดได้ว่าเป็นสถานที่ที่ดีมากทีเดียว ในป่าก็เต็มไปด้วยผลไม้นานาชนิด และยามแมกไม้ต้องแสงแดดจ้าก็ส่องประกายระยิบระยับ เหล่าผู้คนที่เดินทางสวนไปมาต่างพากันก้มหัวและยิ้มแย้มทักทายเมื่อมีรถม้าแล่นผ่าน
ที่สำคัญคือ ท่าทีเช่นนั้นของพวกชาวบ้านล้วนเกิดขึ้นจากความรักใคร่ในตัวเจ้าของที่ดินมากกว่าที่จะเป็นแค่การแสดงความเคารพผู้ปกครองทั่วไป เพราะแม้ว่าเจ้าผู้ปกครองที่ดินของพวกเขา...ซึ่งก็คือบิดาแท้ๆ ของมิเรย์นั้นจะมีฐานันดรศักดิ์ที่สามารถนั่งรถม้าคันงามเทียมม้าถึง 4 ตัวมาโดยตลอดตั้งแต่เกิด แต่ดูเหมือนว่าพ่อของเธอจะเป็นคนที่มีนิสัยผิดแผกจากผู้ดีคนอื่นอยู่บ้าง เพราะเมื่อถึงฤดูเก็บเกี่ยวทีไรก็มักจะลงมาร่วมเก็บผลไม้หรือรับประทานอาหารร่วมกันกับชาวบ้านอยู่เสมอ แถมยังมีการบอกอย่างอายๆ กับพวกชาวบ้านว่าจะขอส่งผลไม้ที่เก็บได้มาให้ช่วยทำแยมในภายหลัง เรียกได้ว่าเป็นคนที่มีบรรยากาศเป็นมิตรชวนเข้าใกล้อย่างมากเลยก็ว่าได้
ทว่าในเวลานี้ เอดูอัลท์ ดยุคแห่งเบลุนฮัลท์ผู้ได้รับสมญาว่าเป็น ?เจ้าผู้ปกครองที่ดินอันเป็นที่รักของประชาชน? กลับกำลังร่ำไห้อย่างหนักด้วยท่าทางที่แทบไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นเจ้าของคำสรรเสริญมากมาย รวมถึงเป็นผู้ที่ได้รับสมญานามดังกล่าวเลย
?นะ นี่โกรธพ่ออยู่จริงๆ ด้วยสินะ ทะ ที่พ่อร่วมมือกับเฟร็ดมาหลอกลูก?
ทั้งที่มีศักดิ์เป็นถึงพระอนุชาของกษัตริย์องค์ปัจจุบัน เป็นชายผู้สง่างามในวัยสามสิบกว่าๆ และจะว่าไปแล้วหน้าตาก็จัดว่าอยู่ในระดับคุณชายหน้าสวยเลยก็ว่าได้ แต่สภาพในเวลานี้กลับไม่เหลือเค้าของผู้ที่เป็นเจ้าของคุณสมบัติทั้งสามประการอยู่เลยสักนิด เพราะพอเวลาสวมบทบาทเป็นคุณพ่อทีไรก็จะมีนิสัยเปลี่ยนแปลงไปกลายเป็นคนเจ้าน้ำตาอย่างไม่ยอมเก็บอาการในทันที
?ก็หนูบอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าเรื่องนั้นน่ะช่างมันเถอะ ไม่ได้โกรธแล้วน่า?
มิเรย์ทวนคำพูดนี้ซ้ำซากอยู่หลายรอบด้วยสีหน้าเอือมสุดขีด
เมื่อ 3 เดือนก่อน เธอเพิ่งจะได้รับรู้ความจริงที่ราวกับเรื่องละเมอเพ้อฝันว่าพี่ชายฝาแฝดที่ถูกบ้านอื่นรับไปเลี้ยงเป็นลูกบุญธรรมนั้นกลับกลายเป็นว่าได้อาศัยอยู่กับพ่อแท้ๆ ที่เธอเข้าใจมาโดยตลอดว่าตายไปแล้ว แถมพ่อคนนั้นของเธอยังเป็นถึงเชื้อพระวงศ์ชั้นสูงของประเทศเพื่อนบ้านอีกต่างหาก และเพราะว่าพี่ชายของเธอดันพาพระคู่หมั้นของมกุฎราชกุมารหนีตามกันไป ดังนั้นเธอจึงต้องมาช่วยเหลือพ่อที่ถูกทวงถามถึงความรับผิดชอบโดยปลอมเป็นพี่ชายแล้วเข้าวัง เรียกได้ว่าต้องประสบกับเหตุการณ์ที่ดูยังไงก็ไม่น่าจะเกิดขึ้นเป็นปกติในชีวิตประจำวันเข้า....แต่เรื่องนั้นก็นับว่ายังดี
เพราะจริงๆ แล้วปัญหามันอยู่ที่ว่าไอ้การหนีตามกันนั้นกลับกลายเป็นเรื่องโกหกทั้งเพ แถมยิ่งไปกว่านั้นคือมันเป็นแผนการที่เฟร็ดวางขึ้นเพื่อไขคดีลักพาตัวพระมเหสีของมกุฏราชกุมาร และเป็นกับดักเพื่อจะได้ลากเอาตัวผู้ร้ายทั้งโขยงออกมาต่างหาก
ความโกรธตอนที่ได้รับรู้เรื่องทั้งหมดของมิเรย์นั้นมันมากเสียจนบรรยายออกมาเป็นคำพูดไม่ถูกเลยทีเดียว แต่ในเมื่อเลดี้เอนน์ ผู้ที่จะมาเป็นมเหสีของมกุฎราชกุมารก็กลับมาได้อย่างปลอดภัยดี และเพราะคิดว่าหลังจากนี้ก็คงจะไม่ต้องมาเกี่ยวข้องอะไรด้วยอีก ดังนั้นเธอจึงตัดสินใจที่จะระงับความโมโหที่มีต่อพ่อ พี่ชาย รวมไปถึงคนอื่นๆ ทุกคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องลงเสีย
(ทั้งที่เป็นอย่างนั้นแล้วทำไมฉันถึงต้องมาอยู่ที่กรีนฮิลเด้อีกล่ะเนี่ย แถมยังต้องแต่งตัวเป็นผู้ชายอีกแล้ว....)
มิเรย์ตกอยู่ในภวังค์เหม่อมองไปไกล
ทั้งที่ก่อนหน้านี้เธอได้กลับไปที่บ้านหลังจากห่างหายไปนาน และกำลังวางแผนหลายต่อหลายอย่างเพื่อเตรียมมุ่งสู่หนทางการเป็นช่างทำขนมปังอีกครั้งแล้วแท้ๆ
แต่จู่ๆ ก็มีจดหมายร่อนมาจากพี่ชายว่า ?จะออกเดินทางสู่โลกกว้างเพื่อรักษาแผลใจ ดังนั้นขอฝากให้ช่วยปลอมเป็นตัวผมต่อไปด้วย? พร้อมทั้งส่งคนมารับตัวถึงที่โดยไม่มีการถามถึงความยินยอมใดๆ ดังนั้นแผนการทั้งหมดก็เลยต้องพังทลายลงอย่างไม่มีชิ้นดี
ที่จริงเธอก็เข้าใจพี่ชายอยู่หรอกว่าคงจะช็อกมากที่ถูกผู้หญิงไม่ตอบรับรักเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เกิดมา เพียงแต่ก็อยากจะบอกกับเขาด้วยเหลือเกินว่าถ้าจะออกเดินทางเพื่อรักษาแผลใจอะไรนั่นก็ช่วยจัดการทุกอย่างเองคนเดียวโดยไม่ต้องมาก่อความเดือดร้อนให้คนอื่นเขาอย่างนี้จะได้ไหม
เพียงแต่อีกประเด็นหนึ่งที่ทำให้เธอโมโหมากพอกันก็คือความใจดีของตัวเองที่โดนพี่ชายหาประโยชน์ไปเต็มๆ นั่นแหละ เพราะถึงแม้จะก่นด่าว่าเป็นไอ้พี่บ้าอย่างไร แต่ก็อดจะสงสารเฟร็ดที่มีความรักที่ไม่มีทางสมหวังไม่ได้อยู่ดี
(สุดท้ายแล้วโชคชะตาก็กำหนดมาให้ต้องเป็นแบบนี้สินะ เพราะก็คงมีแต่ฉันคนเดียวนี่ล่ะมั้งที่รู้ความรู้สึกของเฟร็ด เพราะให้ตายยังไงอีตาคนขี้เก๊กนั่นก็ไม่มีทางปริปากบอกใครอื่นนอกจากฉันหรอกว่าตัวเองอกหัก)
และนี่ก็เป็นครั้งที่ 2 ที่เธอต้องย้อมผมสีน้ำตาลทองของตัวเองให้เป็นสีทองเหมือนอย่างพี่ชาย มิเรย์จับปอยผมหน้าม้าของตัวเองขึ้นพลางถอนหายใจเฮือกออกมา ส่งผลให้เอดูอัลท์ที่กำผ้าเช็ดหน้าไหมพร้อมกับร้องไห้กระซิกๆ อยู่เงยหน้าขึ้นในทันที
?เห็นไหมล่ะ โกรธพ่ออยู่จริงๆ ด้วย?
?....ไม่ได้โกรธเพราะเรื่องนั้นสักหน่อย?
ไม่รู้ว่าเธอต้องพูดอะไรวนเวียนซ้ำซากอย่างนี้มากี่รอบแล้ว การมีพ่อบังเกิดเกล้าขี้แยแบบนี้ก็เป็นเรื่องที่น่าปวดหัวซะจริง
(แต่....จะว่าไปก็เป็นสถานการณ์ที่แปลกใหม่ดีล่ะนะ)
ที่จริงแล้วตลอดมาจนถึงก่อนหน้านี้ไม่นานตัวมิเรย์นั้นไม่เคยรู้จัก ?พ่อ? ของตัวเองเลย ด้วยความที่เธอเติบโตมาโดยได้รับการบอกเล่าว่าพ่อตายไปตั้งแต่ก่อนหน้าที่เธอจะเกิดแล้วนั่นเอง อันที่จริงในสมัยก่อนเธอก็เคยจินตนาการเอาไว้มากมายว่าถ้าหากพ่อยังมีชีวิตอยู่ล่ะก็จะเป็นคนแบบไหนกันแน่ เพียงแต่ไม่นึกมาก่อนเลยว่าจะเป็นพวกที่บ่อน้ำตาตื้นซะขนาดนี้
ว่ากันตามจริงแล้วตอนนี้มิเรย์ก็ยังสงสัยไม่หายว่าพ่อของเธอนั้นไปทำอีท่าไหนถึงได้สามารถตกอยู่ในห้วงรักและคบหากับแม่ที่เป็นราวกับกลุ่มก้อนแห่งความช่างเอาชนะเดินได้แบบนั้น เธอเคยได้ยินมาว่าทั้งสองคนบังเอิญพบกันในตอนที่พ่อแอบไปพำนักอยู่ที่คฤหาสน์ตากอากาศ และจากนั้นพ่อก็คบหากับแม่ของเธอโดยปิดบังฐานะที่แท้จริงของตัวเองเอาไว้ ซึ่งจะว่าไปแค่ประเด็นนี้ก็ฟังดูค่อนข้างห่างไกลจากความเป็นจริงมากพอควรอยู่แล้ว แต่สิ่งที่ไม่น่าเชื่อยิ่งกว่าฐานะของทั้งคู่ที่เป็นเจ้าชายกับเด็กสาวร้านขายขนมปังก็คือ การที่บิดาผู้แสนขี้แยคนนี้สามารถทำให้แม่ของเธอที่ได้รับสมญานามจากเหล่าคุณลุงคุณอาทั้งหลายแห่งเขตช่วงตึกที่ 5 ว่าลูกพี่หญิง ยอมตกลงปลงใจด้วยในที่สุดมากกว่า
?ถ้าอย่างนั้นแล้วทำไมลูกถึงโกรธล่ะ??
เอดูอัลท์เช็ดน้ำตาป้อยๆ พร้อมกับถามมิเรย์ที่ยืนกอดอกทำหน้าบึ้งตึงไม่พูดไม่จา ก่อนจะสะดุ้งเฮือกเหมือนนึกอะไรขึ้นได้และหันไปมองชายหนุ่มที่ยืนสงบเสงี่ยมอยู่ตรงมุมห้อง
?หรือว่า....ริฮาร์ทได้ไปทำอะไรรุ่มร่ามใส่ลูกเข้าอย่างนั้นเหรอ....?
ดวงตาของริฮาร์ทเบิกกว้างเมื่อจู่ๆ ประเด็นของเรื่องก็เบนมาหาตัวเองอย่างปัจจุบันทันด่วน....แถมยังมาในรูปแบบที่ไม่ค่อยดีงาม....เสียด้วย
?จะ จะเป็นแบบนั้นไปได้ยังไงล่ะครับ?
?ไม่ใช่สักหน่อย!?
การคาดเดามั่วซั่วของผู้เป็นบิดาทำเอามิเรย์ร้องตะโกนขึ้นมาอย่างเหลืออด
?คนที่มาทำรุ่มร่ามน่ะมันป๊ะป๋าต่างหากไม่ใช่เหรอ! พยายามจะมานอนด้วยกันกับลูกสาวที่อยู่ในวัยรุ่นแล้วบ้างล่ะ หรือไม่ก็ให้เปลี่ยนเสื้อผ้าเหมือนกับแต่งตัวตุ๊กตามันทั้งวัน ทำแต่เรื่องประหลาดๆ ทั้งนั้นเลย! นี่ถ้าไม่ใช่พ่อล่ะก็ หนูซัดหน้าหงายไปนานแล้วนะ?
?มะ...มิเรย์!?
?พ่อปกติทั่วไปเขาไม่ทำแบบนี้กันไม่ใช่เหรอ??
เอดูอัลท์ยืนตัวแข็งทื่อ สีหน้าเหมือนกำลังพบจุดจบของโลกนี้อยู่ก็ไม่ปาน
ถึงแม้จะรู้สึกว่าตนพูดแรงไปอยู่บ้าง แต่มิเรย์ก็ไม่ยอมแก้คำพูดของตัวเองแต่อย่างใด เพราะที่ผ่านมาสิ่งที่เธอได้เจอก็เข้าข่ายสาหัสพอควรนั่นเอง
บางทีอาจเป็นเพราะเอดูอัลท์ดีใจกับการได้พบลูกสาวอีกครั้งมากเกินไปหรืออย่างไรก็ไม่ทราบ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อมิเรย์ยอมตามริฮาร์ทกลับมาที่ปราสาทโมริซซ์อย่างไม่ค่อยจะเต็มใจนักก็คือ การที่เธอถูกผู้เป็นพ่อเกาะติดแจตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงแทบจะในทันที จากนั้นเอดูอัลท์ก็ขนเอาชุดเสื้อผ้าทุกตัวที่ตัดเอาไว้สำหรับลูกสาวมาโดยตลอดจนกระทั่งถึงตอนนี้ออกมาแขวนไว้ทั่วห้องและขอร้องให้เธอช่วยเปลี่ยนชุดใหม่ให้ดูทุกๆ ชั่วโมงบ้างล่ะ พอตกกลางคืนก็อุ้มหมอนมาหาถึงที่ห้องนอนและบอกว่ามิเรย์นอนคนเดียวคงจะเหงา เพราะฉะนั้นจะมานอนเป็นเพื่อน หรือไม่ก็คอยแต่จะหาเหตุโน่นนี่พาเธอตระเวนออกไปทั่วเมืองและเที่ยวไปอวดลูกสาวของตัวเองกับคนเดินถนนที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนเลยสักนิด....
ในที่สุดความอดทนของมิเรย์ก็ขาดผึงลงเมื่อ 6 วันก่อน พร้อมกับระเบิดถ้อยคำออกมา
?หนูไม่ได้มาที่อัลเทมาริสเพื่อเที่ยวเล่นนะคะ ทั้งที่กำลังยุ่งอยู่แท้ๆ แล้วทำไมต้องมัวมาทำแต่เรื่องพรรค์นี้ด้วยล่ะเนี่ย หนูอยากจะรีบๆ จัดการธุระให้เสร็จแล้วกลับบ้านนะ ถ้าเข้าใจแล้วก็รีบๆ พาหนูไปที่กรีนฮิลเด้ซะทีสิ!?
นี่ก็ผ่านมาได้ 5 วันครึ่งแล้วนับตั้งแต่ที่พวกเขาออกเดินทางจากบ้านหลักที่ซีจิสม่อน และวันที่ 4 ของการมาใช้ชีวิตอยู่ที่ปราสาทโมริซซ์ก็กำลังจะผ่านพ้นไป
นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เอดูอัลท์ก็เอาแต่ร้องไห้กระซิกๆ อยู่ตลอดเวลาด้วยเข้าใจว่าตนนั้นได้ถูกลูกสาวเกลียดเอาเสียแล้ว
?พ่อมีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้อีกแล้ว....นี่พ่อ....พ่อควรจะทำยังไงดี....?
?ก็ไม่ต้องทำอะไรหรอกค่ะ แค่ทำตัวแบบปกติธรรมดา เท่านี้หนูก็ไม่มีปัญหาอะไรแล้วล่ะ?
?นะ นี่พ่อไม่ปกติงั้นเหรอ ไม่สมควรจะเป็นพ่อคนงั้นเหรอ!??
?โอ๊ย แล้วนี่จะร้องไห้ไปจนถึงเมื่อไหร่คะเนี่ย มันน่าโมโหนะ! หนูไปดีกว่า!?
?มิ มิเรย์....!?
?ไปล่ะค่ะ!?
มิเรย์หนีจากพ่อที่เกาะติดแจและเดินออกจากห้องไปอย่างขุ่นเคือง ส่วนเอดูอัลท์ก็กำผ้าเช็ดหน้าเอาไว้แน่นและทรุดตัวนั่งแปะลงที่เก้าอี้ยาว
ริฮาร์ทชักรู้สึกสงสารท่านดยุคผู้ถูกลูกสาวสุดที่รักพูดจาใจร้ายใส่ จึงเดินเข้าไปหาอย่างเกรงๆ แต่เมื่อชายหนุ่มได้เห็นหน้าของเอดูอัลท์ก็ต้องกลั้นหายใจ
เพราะในตอนนี้ท่านดยุคกำลังยิ้มและแก้มทั้งสองข้างแดงก็ระเรื่อ แถมไม่รู้ว่าเพราะอะไรถึงได้ดูมีทีท่ายินดีปรีดามากถึงขนาดนี้ไปได้
?ลูกคนนี้นี่จริงๆ เลย ทำไมถึงได้เหมือนจูเลียมากถึงขนาดนี้นะ แม้แต่ประโยคเด็ดก็ยังถอดแบบกันมาเปี๊ยบ...หึหึ ช่างสมเป็นสายเลือดของเธอจริงๆ?
?....ท่านเอดูอัลท์??
?ทุกครั้งที่โดนต่อว่าว่าเป็นพวกขี้แยหรือไม่ก็พวกผู้ชายอ่อนแอ จิตใจของฉันก็มักจะปั่นป่วนไปด้วยความรู้สึกอ่อนหวาน เธอเข้าใจใช่ไหมริฮาร์ท มันคือความเจ็บปวดของความรักนะ....ยิ่งโดนโมโหหรือโดนโกรธมากเท่าไหร่ ฉันก็ยิ่งชอบจูเลียมากขึ้นเท่านั้นน่ะสิ....หึหึหึ?
?....ผมไปก่อนนะครับ?
ด้วยความที่คำพูดของท่านดยุคที่ตนนับถือชักจะเริ่มกลายเป็นเรื่องที่ฟังแล้วไม่อาจเข้าถึงมากขึ้นทุกที ริฮาร์ทจึงตัดสินใจที่จะทำเป็นว่าไม่เคยได้ยินมันมาก่อนและตามหลังมิเรย์ไป
?เกิดอะไรขึ้นหรือครับ??
หลังจากที่มุดเข้าไปนั่งในรถม้าและอยู่ในระหว่างทางมุ่งหน้าไปยังวังหลวง ริฮาร์ทจึงค่อยๆ เปิดปากถามขึ้น
มิเรย์ที่ทำหน้าหงิกงอพลางจ้องมองออกไปนอกหน้าต่างหันกลับมาหาเขาโดยที่คิ้วยังขมวดเป็นปมเหมือนเดิม
?อะไรน่ะเหรอ?
?เอ่อคือ พอดีดูเหมือนว่าคุณกำลังหงุดหงิดยังไงก็ไม่รู้น่ะครับ....สาเหตุไม่ใช่แค่เพราะท่านเอดูอัลท์ใช่ไหมล่ะครับ?
ดวงตาสีน้ำตาลอมแดงที่ทอประกายสงบนิ่งจ้องมองมา ทำให้มิเรย์นิ่งงันไปครู่หนึ่ง
ชายหนุ่มผู้นี้เป็นคนดี แต่ว่าเธอกลับไม่ค่อยชอบลักษณะนิสัยส่วนนี้ของเขาเท่าไหร่ มันทำให้เธอรู้สึกเหมือนกับโดนอ่านใจจนอยู่ไม่เป็นสุขนัก
?....ก็ฉันอยากจะรีบกลับไปที่ซานเจอร์เวย์เร็วๆ น่ะ?
มิเรย์เสหลบตาอย่างง่ายดายก่อนจะพึมพำสารภาพออกมาเบาๆ
?ทั้งที่ในที่สุดก็ได้กลับบ้านและกำลังตั้งใจว่าจะพยายามต่ออยู่แท้ๆ แล้วทำไมเฟร็ดถึงต้องออกเดินทางไปด้วยล่ะ? ฉันเองก็ไม่ได้จะว่างเลยนะ แค่เดินทางไปกลับจากกรีนฮิลเด้ก็กินเวลาเกือบสองอาทิตย์เข้าไปแล้ว สิ้นเปลืองเวลาจริงๆ เลย?
?ขอโทษด้วยนะครับ พอดีจี๊คเขาสั่งมาว่ามีธุระสำคัญจริงๆ จึงอยากจะให้พาคุณมาให้ได้น่ะครับ?
?อ๊ะ ไม่หรอกนะ ไม่ใช่เรื่องที่ริฮาร์ทต้องมาขอโทษหรอก เพราะยังไงซะก็คงจะเป็นเพราะความเอาแต่ใจของจี๊คใช่ไหมล่ะ ช่างเถอะ แล้วถ้าเกิดว่ามันเป็นเรื่องไร้สาระล่ะก็ ฉันจะอาละวาดมันกลางวังหลวงนั่นแหละ?
มิเรย์เอ่ยออกมาด้วยท่าทางเหมือนจะเอาจริงไปเกินครึ่ง ข้างฝ่ายริฮาร์ทเมื่อเห็นดังนั้นก็ได้แต่จุดรอยยิ้มเจื่อนๆ ออกมา
?ไม่อยากจะมาที่กรีนฮิลเด้มากถึงขนาดนั้นเลยหรือครับ?
?ก็แหงอยู่แล้วล่ะที่ไม่อยาก นี่คิดว่าฉันชอบนักเหรอที่ต้องมาแต่งตัวเป็นผู้ชายแบบนี้น่ะ แถมที่นั่นก็ยังกับรังของพวกข้างนอกสุกใสข้างในเป็นโพรงอีก?
?มันก็....ใช่ล่ะนะครับ?
?คุณเองก็คงจะไม่ชอบเหมือนกันใช่ไหมล่ะ คงอยากจะทำงานตามปกติแทนที่จะต้องมาคอยคุ้มกันฉันอยู่แบบนี้ เหมือนคุณเลยโชคร้ายต้องพลอยมาติดร่างแหไปด้วยเลย น่าสงสารจริงๆ เพราะเฟร็ดแท้ๆ ต้องขอโทษด้วยนะคะ?
?ไม่หรอกครับ?
ริฮาร์ทเอ่ยตัดบทอย่างเรียบๆ
?ไม่ได้โชคร้ายสักหน่อย ผมดีใจที่ได้เจอคุณอีกนะครับ?
?..........?
?แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ได้มีแค่เหตุผลนั้นเหตุผลเดียวใช่ไหมครับ ที่ทำให้คุณอยากอยู่ที่ซานเจอร์เวย์?
มิเรย์กำลังนิ่งคิดว่าคำพูดที่ชายหนุ่มเอ่ยออกมาเหมือนไม่ได้คิดอะไรนั้นมีความหมายเบื้องลึกแอบซ่อนอยู่อีกหรือเปล่า แต่แล้วคำพูดต่อมาของเขาก็ทำให้เธอนึกบางอย่างขึ้นได้
?จริงด้วย! แย่แล้วล่ะ มันมีการตัดสินครั้งสำคัญที่มีอนาคตของฉันเป็นเดิมพันอยู่ด้วยนี่?
เด็กสาวกำหมัดแน่นอย่างลืมตัว เธอนึกย้อนไปถึงวันนั้นที่ได้ลิ้มรสการโจมตีที่แทบจะทำให้ชีวิตที่ผ่านมาทั้งหมดพลิกกลับจากหน้ามือเป็นหลังมือ ก่อนที่ความโกรธจะเริ่มเดือดปุดขึ้นมาเรื่อยๆ
?ที่แถวบ้านฉันมีเพื่อนสมัยเด็กคนหนึ่งที่ชื่อว่ารอยอยู่ และเมื่อไม่นานมานี้เขาก็เพิ่งกลับมาจากการฝึกวิชาที่เซียรันน่ะ ในช่วงก่อนหน้าที่ริฮาร์ทจะไปรับฉันมาที่นี่ไม่นาน?
?ฝึกวิชา เรื่องอะไรหรือครับ??
?เรื่องทำขนมปังไง?
?....ขนมปัง??
?เขาคิดจะมาฮุบกิจการร้านขนมปังบ้านฉันน่ะสิ!?
ดวงตาของมิเรย์เบิกกว้างด้วยแรงโทสะ เธอกล่าวต่อไปอย่างแค้นเคืองโดยไม่ใส่ใจริฮาร์ทที่กำลังอ้าปากค้าง
?ฉันนึกเกลียดขี้หน้าเขาอย่างไม่มีเหตุผลมาตั้งแต่เมื่อก่อนแล้วล่ะ....คอยมาต่อว่าฉันด้วยสีหน้าจริงจังว่าเป็นลูกสาวร้านขนมปังแท้ๆ แต่ประสาทรับรสกลับประหลาดสิ้นดีบ้างล่ะ หรือไม่ก็มาพูดจาอวดดีอาสาว่าจะเป็นคนรับช่วงต่อร้านแทนและทำให้กลายเป็นร้านขนมปังอันดับหนึ่งของประเทศเองบ้างล่ะ แถมในท้ายที่สุดออกเดินทางไปฝึกวิชาที่เซียรันจนได้ใบรับรองมาจากอาจารย์ที่นั่นอีก! เทคนิควิชาเรื่องขนมปังของเซียรันนั้นถือเป็นอันดับหนึ่งหรือไม่ก็สองของแผ่นดินนี้เลยนะ....ฉันไม่ยอมหรอก! ทั้งที่หมอนั่นไม่เคยสู้ชนะฉันเลยสักครั้งแท้ๆ?
ถึงแม้จะรู้สึกว่าน้ำเสียงที่บอกเล่าออกมานั้นเจือความอิจฉาอยู่บ้าง แต่ริฮาร์ทก็เลือกที่จะไม่เอ่ยถึงประเด็นนั้น และทำสีหน้าเคร่งขรึมพลางใช้มือลูบคางอย่างครุ่นคิด
?แล้วเขาคนนั้นก็กลับมาเพื่อฮุบร้านหรือครับ??
?ก็ใช่น่ะสิ หมอนั่นมาหาคุณตาแล้วบอกว่าอยากจะแข่งทำขนมปังกับฉัน แล้วคนที่เป็นฝ่ายแพ้จะต้องยอมยกร้านให้กับฝ่ายผู้ชนะไป และด้วยความที่คุณตาเองก็ค่อนข้างเป็นพวกยึดมั่นในศักดิ์ศรีของช่างฝีมืออยู่แล้ว คุณตาเลยพูดออกมาว่าอยากจะได้ผู้สืบทอดร้านเป็นคนมีฝีมือที่ตัวเองให้การยอมรับ....ซะอย่างนั้นแหละ....นี่มันไม่ตลกเลยนะ เรื่องอะไรจะต้องมายกร้านให้กับไอ้เด็กหน้าใหม่เพิ่งจบแบบนั้นด้วยล่ะ? แต่ก็แน่อยู่แล้วล่ะนะว่าฉันไม่ยอมแพ้หรอก เพียงแต่อีกฝ่ายก็ถือเป็นศัตรูที่น่ากลัวทีเดียว เพราะงั้นในตอนนี้ฉันถึงต้องพยายามฝึกฝีมือให้ก้าวหน้าขึ้นบ้างแม้เพียงเล็กน้อยก็ยังดี แต่ทั้งที่เป็นแบบนั้นแท้ๆ กลับต้องมา....!?
ริฮาร์ทพยักหน้าอย่างชักเริ่มเห็นเค้าลางของเรื่องอยู่รำไร
?แต่ถ้าอย่างนั้นในระหว่างที่อยู่ที่นี่ก็ยังสามารถฝึกซ้อมได้ไม่ใช่หรือครับ พวกคนครัวประจำคฤหาสน์ดยุคเบลุนฮัลท์เองก็มีฝีมือที่ยอดเยี่ยมอยู่แล้ว ถ้าได้พวกเขาช่วยสอนเรื่องโน้นเรื่องนี้ให้....?
?แน่นอนว่าตอนนี้ฉันเองก็ฝึกอยู่ ฝึกทุกวันตั้งแต่ตอนที่อยู่ปราสาทโมริซซ์แล้วล่ะ เพราะหน้าที่เตรียมขนมปังก็เป็นงานของฉันเองด้วย?
จะว่าไปก็เคยได้ยินเสียงตะโกนอย่างบ้าคลั่งดังออกมาจากในครัวคืนแล้วคืนเล่าเหมือนกันนี่นะ ริฮาร์ทเพิ่งนึกขึ้นมาได้
?แต่ว่ามันก็ยังไม่ได้อยู่ดีน่ะ เอามาใช้เป็นแนวคิดอะไรไม่ได้เลย เพราะป๊ะป๋าแล้วก็ทุกคนมีแต่ทำหน้าบิดๆ เบี้ยวๆ แล้วก็บอกว่า ?อร่อย? ซ้ำไปซ้ำมาแบบนี้อยู่ทุกวัน.... แถมพักหลังนี้พอฉันขอคำวิจารณ์ทีไรก็ไม่ยอมสบตาเลยสักนิด แบบนั้นดูท่าทางว่าคงจะโดนป๊ะป๋าสั่งเอาไว้แน่เลยว่าห้ามให้คำวิจารณ์อย่างอื่นที่นอกเหนือไปจากคำว่า ?อร่อย? เท่านั้น มันต้องเป็นแบบนั้นแหงๆ เลย?
ริฮาร์ทที่เห็นเหตุการณ์จริงเมื่อคืนนี้กับตาตัวเองพยักหน้ารับไปอย่างง่ายๆ ในสมองก็นึกถึงภาพเอดูอัลท์และเหล่าคนรับใช้ที่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงมีสภาพน้ำหูน้ำตาไหลพรากอย่างน่าสงสารแบบนั้น
?ทั้งที่ถ้าเป็นคุณตาล่ะก็ จะบรรยายออกมาได้เป็นรูปธรรมเลยล่ะว่ามันมีรสชาติเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ เพราะฉะนั้นฉันถึงได้อยากจะอยู่ที่ซานเจอร์เวย์มากกว่าไงล่ะ ในช่วงที่ร้านกำลังตกอยู่ในอันตรายแบบนี้มันไม่ใช่เวลาที่จะมามัวนั่งปลอมตัวเป็นอีตาบ้านั่นอยู่สักหน่อย แถมทั้งที่ก็อายุเข้าวัยอันสมควรแล้วแท้ๆ แต่สาวน้อยอย่างฉันกลับต้องมาปลอมตัวเป็นผู้ชายอย่างนี้อีก แบบนี้ไม่ว่าผ่านไปนานสักเท่าไหร่ฉันก็ยังไม่สามารถจะไปเป็นเจ้าสาวของใครเขาได้น่ะสิ แล้วยังต้องอดกินขนมของจิลด์ที่เป็นยี่ห้อดังอีก นี่มันเรื่องสาหัสสากรรจ์เลยนะ?
รีเซแลนด์นั้นแตกต่างจากประเทศเพื่อนบ้านอย่างเซียรันซึ่งใช้การตัดผมเป็นการพิพากษาโทษหญิงที่ทำผิดกฎหมาย ด้วยความที่รีเซแลนด์ปกครองด้วยราชินีที่ถือเสรีภาพเป็นที่ตั้ง ทำให้ค่อนข้างจะมีวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะอยู่มาก และเป็นที่น่ายินดีที่เบาใจได้เลยว่าหากเป็นผู้หญิงแล้วต้องเดินไปเดินมาในสภาพผมสั้นที่ประเทศนี้ล่ะก็ จะไม่มีทางโดนมองด้วยสายตาเย็นชาใส่เป็นอันขาด แต่มิเรย์ก็ยังถูกคนรอบข้างตื่นตระหนกเมื่อได้เห็นทรงผมใหม่ของเธออยู่ดี แถมยังโดนพวกเด็กหนุ่มแถวบ้านถามไถ่มาด้วยความเป็นห่วงเสียอีกว่า ?เจ็บใจที่ไม่มีคนมาแลเสียจนถึงขนาดตัดสินใจจะเข้าสำนักนางชีแล้วเหรอ? ซึ่งเธอก็จัดการประเคนกำปั้นทักทายไปแทบนับครั้งไม่ถ้วน แต่ถึงกระนั้นพอนึกว่าก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะหาเจ้าบ่าวมาได้สักทีก็ยิ่งโมโหมากยิ่งขึ้นไปอีก
ทั้งที่ตัดสินใจมาที่อัลเทมาริสด้วยความหวังว่าจะมีเรื่องดีๆ บ้างแท้ๆ แต่มิเรย์ก็ต้องประสบกับเรื่องน่าเศร้าอีกรอบเมื่อได้มาเจอกับร้านขนมชื่อดังที่เธอเคยใฝ่ฝันถึงซึ่งตั้งอยู่ที่เมืองจิลด์ซึ่งเป็นเมืองก่อนหน้าที่จะถึงกรีนฮิลเด้ ทว่าเมื่อเธอหันหน้าเข้าถามไถ่สภาพเงินทองในกระเป๋าสตางค์ตัวเองแล้วก็ต้องยอมตัดใจทั้งน้ำตาที่จะไม่เข้าร้าน อันที่จริงถ้าไปขอร้องเอดูอัลท์ป๊ะป๋าเธอล่ะก็ เขาคงยินดีซื้อให้ทั้งร้านอย่างไม่ต้องสงสัย แต่มิเรย์คิดว่าถ้าจะไปขอแบบนั้นล่ะก็สู้อดทนไม่เอาเสียดีกว่า เพราะการทำอย่างนั้นมันก็ขัดกับหลักการเรื่องจะไม่พึ่งพาประเป๋าสตางค์คนอื่นของเธอด้วย
?ร้านที่จิลด์นี่หมายถึงร้านหลังคาสีแดงนั่นใช่ไหมครับ??
?ใช่น่ะสิ....แล้วทำไมคุณถึงรู้จักล่ะ??
?เผอิญผมผ่านไปเห็นคุณยืนเกาะติดอยู่กับประตูกระจกร้านจากที่ไกลๆ น่ะครับ?
อึก มิเรย์อับจนถ้อยคำในทันที นี่เขามาเห็นเธอในสภาพน่าอายแบบนั้นไปเสียแล้วเหรอ แต่อย่างน้อยก็นับว่าโชคยังเข้าข้างเธออยู่บ้างที่ไม่ได้เผลอน้ำลายไหลยืดออกมาให้เขาเห็นด้วย
?ถ้าอยากกินถึงขนาดนั้นก็ซื้อซะสิครับ?
?ชะ ช่างเถอะน่า! ฉันตั้งใจกับตัวเองเอาไว้น่ะว่าจะงดขนมจนกว่าจะชนะรอยได้?
มิเรย์อ้ำอึ้งปฏิเสธ ก่อนจะเปิดปากถุงกระดาษที่ถือมาด้วย
?ว่าแต่ที่สำคัญกว่านั้นนะริฮาร์ท คุณยังไม่เคยลองกินขนมปังของฉันเลยใช่ไหม?
?ครับ เผอิญผมทานอาหารที่ตึกของหน่วยอยู่แล้ว?
?ถ้างั้นก็ช่วยกินหน่อยสิ ตอนนี้ที่ตรงนี้เลย แล้วก็ช่วยวิจารณ์แบบตรงไปตรงมาให้ด้วยนะ?
แต่แล้วริฮาร์ทก็ทำหน้าตาเหมือนลำบากใจนิดๆ
?เอ่อ แต่ประสาทการรับรสของผมมันไม่เอาไหนมากๆ เลยนะครับ ไม่เคยกินอะไรแล้วรู้สึกว่าไม่อร่อยเลยสักที....เคยถึงขนาดทำเซโอลัสร้องไห้เพราะเรื่องนี้มาแล้วด้วย เพราะงั้นคงช่วยอะไรไม่ได้หรอกมั้งครับ?
?แล้วทำไมเซโอลัสถึงร้องไห้ล่ะ??
?คือเขาเป็นคนรับผิดชอบเรื่องทำอาหารของที่หน่วยน่ะครับ?
มิเรย์ทำตาเป็นประกายเมื่อนึกถึงเหล่าอัศวินนิสัยน่าโมโหนิดๆ ที่ชอบอวดกล้ามบึกพวกนั้น
?ได้ยินเรื่องดีๆ เข้าแล้วสิ! เอาไปให้ทุกคนช่วยกินดีกว่า แต่ก่อนอื่นริฮาร์ทช่วยกินก่อนนะ?
เด็กสาวยื่นขนมปังให้พร้อมกับรอยยิ้มอย่างไม่ยอมเปิดโอกาสให้ปฏิเสธ ริฮาร์ทลังเลนิดหน่อยก่อนจะรับไป
?จะดีหรือครับ ผมคงจะให้คำตอบแบบที่คุณต้องการไม่ได้?
?เอาเถอะน่า เอาเถอะน่า!?
?....ถ้างั้น ทานล่ะนะครับ?
เพราะถูกมองด้วยสายตาเปี่ยมไปด้วยความคาดหวัง ชายหนุ่มจึงจำใจต้องกินมันลงไป
?....เป็นยังไงล่ะ??
เมื่อถูกอีกฝ่ายถามด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ริฮาร์ทจึงลังเลก่อนจะตัดสินใจตอบออกมาว่า
?........รสชาติน่าประหลาดใจดีนะครับ?
?น่าประหลาดใจ??
?เอ้อ เปล่าครับ....อร่อยครับ?
มิเรย์ทิ้งตัวลงบนพนักเก้าอี้ด้วยท่าทางผิดหวัง
?นี่แสดงว่ามันอร่อยไม่มีที่ติจริงๆ เสียด้วยสินะ....เหมือนกับว่าไม่รู้จะติตรงไหนดี อะไรประมาณนั้น?
?ขอโทษด้วยครับที่ผมไม่สามารถทำตามความคาดหวังของคุณได้?
?ไม่เป็นไรหรอก ไม่เป็นไร โดนชมว่าอร่อยแบบนี้ก็น่าดีใจอยู่แล้วล่ะ แต่ถ้าเป็นแบบนี้ล่ะก็ ดูท่าฉันจะชนะรอยโดยไม่ต้องลงทุนลงแรงอะไรเลยน่ะสิ แบบนี้มันก็ไม่ท้าทายเอาซะเลยนะ?
?เอ่อ....?
ริฮาร์ทเบนสายตาจากมิเรย์ที่กำลังทำสีหน้าเบื่อหน่ายพร้อมกับครุ่นคิดในใจเงียบๆ
ของกินชิ้นนี้ที่ทำให้เขาซึ่งเป็นพวกประสาทการรับรสไม่เอาไหนนึกถึงคำวิจารณ์รสชาติอื่นที่นอกเหนือไปจากคำว่า ?อร่อย?ขึ้นมาเป็นครั้งแรกในชีวิต แล้วนี่ถ้าคนธรรมดาทั่วไปที่สามารถรับรสได้ตามปกติกินเข้าไปแล้วจะมีสภาพเป็นอย่างไรหนอ ริฮาร์ทนึกถึงสภาพของเหล่าผู้คนที่อาศัยอยู่ในเรือนแยกพลางรู้สึกว่าเหงื่อเย็นๆ กำลังผุดขึ้นจากทั่วทั้งร่าง
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ด้วยการกระทำที่ไม่สามารถจะคาดเดาอะไรล่วงหน้าได้ของพี่ชายฝาแฝด ทำให้มิเรย์ เด็กสาวชาวบ้านธรรมดาจากร้านขายขนมปัง ต้องเข้าวังในฐานะของ ?ท่านเคานท์กำมะลอ? อีกครั้งหนึ่ง! แล้วจู่ๆ เรื่องการแต่งงานกับดัชเชสแห่งประเทศข้างเคียง (เจ้าของความสามารถพิเศษ : สะท้อนคำสาปกลับ) ก็หล่นตุ๊บลงมาใส่เธอเสียนี่ ทั้งที่เธอเองเป็นเจ้าของประวัติไม่มีแฟนมาตลอด 16 ปีแท้ (ซึ่งอายุปัจจุบันก็ 16 ปีนั่นแหละ)! และจะว่าไป ที่จริงแล้วเธอเป็นผู้หญิงนะ!! แถมยังได้กลิ่นเรื่องชั่วร้ายจากรอบๆ ข้างขึ้นมาอีกต่างหาก....? ด้วยเหตุนี้การผจญภัยที่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและน้ำตาของ ?ท่านเคานท์กำมะลอ? จึงได้เปิดฉากขึ้น!! ขอเชิญทุกท่านพบกับเล่ม 2 ของเรื่องราวแฟนตาซีในรั้วในวังที่เต็มไปด้วยเหล่าคนแปลก คนประหลาด คนรูปงามและคนกล้ามโตมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม!
