Chronicle of earth. เปิดตำนานสงครามกู้พิภพ [ลำนำปฐมบท]

ถ้าเพื่อนๆ มีเรื่องที่น่าสนใจและต้องการแบ่งปันเนื้อหา หรือร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการเป็นนักเขียนมืออาชีพ

Moderator: Gals, B.Comics, พี่บี

ตอบกลับโพส
imagine
โพสต์: 5
ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 05 ส.ค. 2007 6:03 pm

Chronicle of earth. เปิดตำนานสงครามกู้พิภพ [ลำนำปฐมบท]

โพสต์ โดย imagine »

เสียงเพรียกร้องดังก้องบนท้องนภา
เสียงพสุธาเลื่อนลั่นดังสยอง
เสียงวารีไหลหลั่งดังน้ำตานอง
เสียงอัคคีร่ำร้องก้องทั่วแดน...


ภายใต้แสงของตะเกียงในห้องนอนห้องหนึ่ง ห้องนอนซึ่งประดับประดาไปด้วยข้าวของน่ารักๆจำพวกตุ๊กตาวางเรียงรางมากมาก กลิ่นอ่อนๆแต่ไม่มีความฉุนให้รำคาญใจของเหล่าไม้ฝาบ้านและชั้นวางตุ๊กตานั้น คงสามารถบอกได้ว่า ห้องนอนห้องนี้จะเป็นของใครไม่ได้นอกเสียจากเด็กหญิงตัวเล็กๆ อายุราวๆ 5-6 ขวบ ผมสีดำเป็นมันขลับยาวประบ่าคนหนึ่ง ซึ่งนอนซุกตัวอ่านหนังสือกลอนเล่มเล็กเล่มหนึ่งอยู่บนเตียงอันอ่อนนุ่มและร่างกายของเด็กน้อยส่วนหนึ่งได้ซุกอยู่ภายใต้ผ้าห่มอันแสนอบอุ่น
เด็กหญิงตัวน้อยทำปากบู่ไปเบ้ไปด้วยความรู้สึกฉงนเล็กน้อยเมื่ออ่านกลอนข้างต้นที่กล่าวไว้
แต่แล้วเด็กน้อยก็ต้องรีบเก็บหนังสือไว้ใต้หมอนทันที และหรี่ตะเกียงไฟลง แกล้งทำเป็นนอนหลับอย่างรวดเร็วภายในเวลาไม่กี่วินาที
หญิงสาวคนหนึ่งได้เปิดประตูเข้ามาในห้องของเด็กหญิง ความสลัวของแสงไฟในตะเกียงทำให้มองเห็นร่างอันสง่างามราวเทพธิดาค่อยๆเดินเข้ามาใกล้ๆเตียงของเด็กน้อย แล้วนางก็ค่อยๆนั่งลงข้างๆเตียง
จากนั้น ปากของนางก็ขยับขมุบขมิบไปมา
?ฮึๆๆ...ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ท่านแม่... อย่าใช้คาถาเล่นๆสิ ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆ ข้าจะตายอยู่แล้ว? เด็กสาวหัวเราะออกมาลั่น พร้อมกับพยายามทำตัวให้นิ่งที่สุด แต่คงทำไม่ได้แน่ๆหากเด็กหญิงน้อยยังต้องมนต์ 'คาถาพาหัวเราะ? ที่หญิงสาวผู้เป็น ?แม่? เสกใส่ผู้เป็นลูกสาว
?ยัยตัวร้ายนึกว่าแม่ไม่รู้เหรอ ว่าลูกชอบแอบอ่านหนังสือตอนค่ำๆน่ะ หือ... เดี๋ยวเถอะแม่จะเสกเวทย์ร้ายแรงกว่านี้ก็ได้นะ ถ้าเจ้ายังดื้อแบบนี้ จะเอามั้ย หือ หือ หือ?? ผู้เป็นแม่เข้าไปโอบกอดร่างของเด็กน้อย แล้วใช้มือข้างซ้ายขยี้ผมเงินหยวงของเด็กน้อยให้ยุ่งๆ ปากก็ว่าลูกสาวตัวเองตลอด
?โธ่...ท่านแม่คะ ก็มันชอบนี้หน่า โลกในตัวอักษรมันสนุกจะตายข้าอ่านไม่เคยเบื่อเลย? เด็กน้อยทำเสียงออดอ้อน
ผู้เป็นแม่ส่ายหัวเบาๆ ก่อนจะพูดออกมา
?แต่เจ้าเป็นเพียงแค่เด็กหญิงตัวน้อย อายุเพียง 5 ขวบเท่านั้นและเด็กก็...? นางวรรคคำไปพักหนึ่ง แล้วจับใต้ซี่โครงของเด็กหญิงตัวน้อยโดยที่เด็กน้อยไม่ทันตั้งตัว พร้อมกับพูดต่อขึ้นว่า
?ไม่ควรนอนดึกไงล่ะ นี่แน่ะ...ยัยเด็กตัวร้ายของแม่ วันนี้ล่ะ ข้าจะทำให้เจ้าหัวเราะจนกว่าเจ้าจะยอมพูดว่า ?นอนแล้วๆ? เลย!!? ผู้เป็นแม่ขยับนิ้วอันเรียวสวยไปมาไล่ไปทั่วร่างของเด็กหญิง ทำให้เด็กหญิงตัวน้อยตัวงอเป็นกุ้งและหัวเราะจนแทบใจจะขาด
?ฮ่าๆๆๆ ค่าๆๆๆ พอแล้ว! ข้าจะตายอยู่แล้ว ท่านแม่....!? เด็กน้อยหัวเราะไปพูดไปจนฟังแทบไม่ออกว่าหนูน้อยพูดอะไร แต่แม่ของเธอก็พอเข้าใจ จึงหยุดจั้กกะจี้
แล้วมืออันเรียวงามนั้นก็จับไปที่กระพุ้งแก้มของเด็กน้อย ลูบกระพุ้งแก้มนั้นเบาๆอย่างอ่อนโยน ริมฝีปากอันอวบอิ่มเรียวสวยได้ประกบแก้มของเด็กหญิงเบาๆ เป็นการจุมพิตที่อ่อนโยนมากที่สุดที่แม่มอบให้ลูกสาวสุดที่รักของนาง
เด็กหญิงซุกตัวเข้าไปในผ้าห่ม จากนั้นเด็กน้อยก็ใช้มืออันเล็กเรียวสวยนั้นสอดเข้าไปใต้หมอน เด็กน้อยหยิบหนังสือออกมา แล้วยื่นให้แม่ของเธอทันที
?หืม อะไรกัน จะให้แม่อ่านให้เหรอจ๊ะ ยัยตัวร้าย??? ผู้เป็นแม่ถาม
เด็กน้อยพยักหน้า
?นะคะ ข้าชอบนิทานของท่านแม่มากๆนะ ท่านแม่เล่าอะไร เขียนอะไรก็สนุก อย่างตอนที่ท่านเล่า...? ผู้เป็นแม่ใช้นิ้วชี้และนิ้วกลางแตะไปที่ริมฝีปากน้อยๆซึ่งกำลังพูดขึ้นนั้นเบาๆ
?จ้ะๆ เดี๋ยวแม่จะเล่าให้ฟังนะ แต่สัญญากับแม่นะจ้ะ ว่าลูกตอนนอนทันทีที่แม่เล่าจบ? เด็กน้อยพยักหน้ารับ พลางมองสายตาของผู้เป็นแม่อย่างไร้เดียงสา ตาสีน้ำทะเลนั้นยามเด็กน้อยมองไปแล้ว ทำให้หัวใจของเด็กน้อยรู้สึกอบอุ่นขึ้นทุกที
ผู้เป็นแม่ถอนหายใจช้าๆและเบาๆ เป็นเสียงที่แผ่วเบา เสียงพึมพำเล็กน้อยนั้นส่งผลต่อตะเกียงบนหัวเตียงของเด็กน้อยให้ช่วงโชติ และสว่างขึ้น เผยให้เห็นร่างของผู้เป็นแม่ชัดขึ้น
ผมยาวสลวยสีน้ำตาลปนแดงแก่ราวเปลวเพลิงและผิวสีอ่อนนั้น ยามต้องแสงตะเกียงช่างสวยราวเทพธิดาเหลือเกิน ผมสีน้ำตาลแดงไหลลงตามศีรษะที่ก้มลงต่ำเพื่อจูบลงบนหน้าผากของเด็กหญิงตัวน้อยผู้เป็นลูกสาว ผมสีทองอ่อนของผู้เป็นแม่ปะทะกับใบหน้าอันอ่อนและละเอียดของเด็กน้อย จนเด็กน้อยรู้สึกจั๊กกะจี้ใบหน้าตะหงิดๆ
?ฮิๆ...ผมของท่านแม่จั๊กกะจี้หน้าข้า...?
?เอาล่ะ เลิกหัวเราะได้แล้วนะ...? ผู้เป็นแม่พูดขึ้น

?กาลครั้งหนึ่งบนดวงดาวที่มีชื่อว่า ?เอิร์ธ (Earth.)? ดวงดาวนี้เป็นดวงดาวที่อุดมสมบูรณ์มาก จนเหล่าเทพมากมายยกย่องให้เป็นดวงดาวที่สวยงามที่สุดในจักรวาล...? ผู้เป็นแม่วรรค จากนั้นจึงเล่าต่อไปอีก ?เหล่าเทพได้แต่งแต้มดวงดาวแห่งนี้ด้วยเหล่าสิ่งมีชีวิตมากมาย สิ่งมีชีวิตแรกที่ถูกสรรสร้างขึ้น ก็คือเหล่าพืชพรรณต่างๆนานามีทั้งสวยงาม มีทั้งให้คุณ มีทั้งให้ความร่มรื่น และมีทั้งโทษด้วย?

?เอ๋... โทษด้วยเหรอคะ?? ผู้เป็นลูกเอ่ยขึ้นอย่างสงสัย
?จ้ะ เพราะเทพเขาไม่ต้องการให้เสียสมดุลของดวงดาวจ้ะ เจ้าว่าเทพฉลาดมั้ยเอ่ย?? ผู้เป็นแม่อธิบาย เด็กน้อยพยักหน้าอย่างเข้าใจ

?หลังจากนั้น เหล่าเทพก็เริ่มสรรสร้างสิ่งมีชีวิตขึ้นมาอีก แต่คราวนี้มันสามารถเคลื่อนไหวได้ โบกว่าย และพลิ้วไหวภายในน้ำ สร้างสรรค์แสงสีในใต้น้ำ เป็นเพื่อนกับเทพผู้ปกปักรักษาผืนน้ำที่มีอยู่ทั่วผืนเอิร์ธ...?

?ข้ารู้ๆ ข้ารู้ค่ะ ปลาใช่มั๊ยคะ?? เด็กน้อยตอบด้วยเสียงใสๆ ทำให้ผู้เป็นแม่อดหัวเราะนิดๆไม่ได้
?จ้ะ? ผู้เป็นแม่ตอบ พลางเอามือลูบหัวเด็กน้อยเบาๆ

?หลังจากนั้น เหล่าปลาเริ่มพัฒนาการมากขึ้น และมากขึ้นตามลำดับ จนมันเริ่มมีความคิดอยากจะขึ้นไปบนบกบ้าง ด้วยความอยากรู้ของเหล่าปลาทำให้เกิดปลาที่สามารถเดินได้บนบก จากนั้น ครีบของมันก็ค่อยๆแข็งแกร่งขึ้น จนเปลี่ยนแปลงกลายเป็น ?สัตว์มีเท้า? ขึ้น พวกมันสามารถวิ่งไปมาได้ทั่วทั้งผืนแผ่นดิน?
?แล้ว...เหล่าสัตว์มีเท้าก็เริ่มรู้สึกว่าขาของตนนั้นวิ่งได้ช้า และไม่เร็วเอาเสียเลย พัฒนาการนี้ทำให้มันกลายพันธุ์กลายเป็น ?สัตว์สี่เท้า? ในระยะเวลาของพัฒนาการต่อมา...?

?ใช่พวกสุนัข แมว ม้า หรือพวกสัตว์ที่อยู่ในป่ารึเปล่าคะ?? ผู้เป็นเงยหน้ามองหน้าผู้เป็นแม่แล้วถามขึ้น
?ก็น่าจะนะจ๊ะ? ผู้เป็นแม่สูดหายใจเบาๆ จากนั้นจึงค่อยเล่าต่อ

?และก็มีบางพวก อยากที่จะโบยบินขึ้นไปบนฟากฟ้า เทพได้ทำให้มันมี ?ปีก? ที่จะโบยบินไปอย่างอิสระ โดยทำสัญญาแลกเปลี่ยนจากขาหน้าให้เป็นปีกอันแข็งแกร่งที่สามารถโบยบินไปได้ และมันก็กลายเป็นสัตว์ ?มีปีก? ที่สามารถโบยบินไปอย่างใจหมาย?
?เหล่าเทพเห็นว่า ดวงดาวดวงนี้ยังไม่สมบูรณ์แบบนัก จึงสรรสร้างสิ่งมีชีวิตขึ้นอีก โดยที่สิ่งมีชีวิตนี้ เหล่าเทพได้สัญญาว่าจะเป็นสิ่งสุดท้ายที่เทพจะสรรสร้าง โดยสิ่งมีชีวิตนี้จะมีความเฉลียวฉลาดและมีความรอบรู้เหมือนกับเทพทุกประการ ซึ่งสิ่งมีชีวิตนี้สร้างมาเพื่อปกครองเหล่าสิ่งมีชีวิตมากมายนี้แทนเหล่าเทพต่างๆ ที่ต้องจากโลกนี้ไปแล้วเพื่อบำเพ็ญบุญและความดีที่ตนทำ ซึ่งนั่นก็คือ...?

?ข้ารู้ค่ะข้ารู้ๆคือ ?มนุษย์? ใช่มั๊ยคะ?? ผู้เป็นลูกตอบทันที
?ใช่แล้วจ้ะ ?มนุษย์? คือสิ่งที่เทพได้สรรสร้างมาเป็นสิ่งมีชีวิตพวกสุดท้าย เพื่อปกครองเหล่าสิ่งมีชีวิตและดวงดาวนี้ให้อยู่ในสมดุลแทนเหล่าเทพที่ต้องจากไป ในตอนแรกๆนั้นเหล่ามนุษย์ทำหน้าของตนได้อย่างดีเยี่ยม? ผู้เป็นแม่เงียบไปซักพัก ก่อนที่จะพูดต่อ

?วันเวลาผันผ่านไปเนิ่นนานเหลือเกิน เหล่ามนุษย์เรียนรู้สิ่งต่างๆมากมายจนเกินขอบเขต เกิดวิทยาการต่างๆบนโลกมากมาย ความสมดุลบนโลกค่อยๆหายไปทีละนิด ทีละนิด จนเกินกว่าจะเยียวยา? เด็กน้อยยังคงตั้งใจฟังนิทานที่ผู้เป็นแม่เล่าให้ฟังอย่างตั้งใจต่อไป
?และในที่สุด มนุษย์ก็ได้ทำสิ่งที่เลวร้ายที่สุดลงไป...? ผู้เป็นแม่ค่อยๆถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะพูดต่อไป ?มนุษย์ ได้ทำร้ายเหล่าสรรพสัตว์ และสิ่งที่เทพทั้งหลายได้สรรสร้างอย่างไม่ใยดี พวกเขาละทิ้งหน้าที่ที่เหล่าเทพฝากฝังไปจนหมดสิ้น ทำลาย ละโมบ โทสะ โลภ สิ้นหวัง ท้อแท้ หวาดกลัว ได้ฝังอยู่ในจิตใจของมนุษย์มากขึ้น มากขึ้น?
?ความกลัวของมนุษย์ ได้กลายเป็นไฟทำลายล้างดวงดาวอันแสนอุดมสมบูรณ์นี้ พวกเขาได้สร้างความหวาดกลัวที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ทั้งเหล่าสรรพสัตว์ก็ต่างหวาดกลัวมันไม่เว้นแม้แต่เหล่ามนุษย์...? ผู้เป็นลูกตาเบิกกว้างด้วยความสนใจอย่างยิ่ง ว่าอะไรนะคือสิ่งที่ทำให้แม้แต่มนุษย์ยังต้องหวาดกลัว

?มันคืออะไรคะแม่?? ผู้เป็นลูกถามอย่างสงสัยและอดใจไม่ไหวที่จะฟังมัน
?มันคือ ?เหล่าสัตว์ประหลาด (Monster)? จ้ะ พวกมันโหดร้าย ป่าเถื่อน และชั่วร้าย พวกมันแพร่ไปทั่วทั้งแผ่นดินเอิร์ธ ไล่ทำร้าย ฆ่าฟัน เหล่าสิ่งมีชีวิตทั้งหมด ไม่เว้นแม้แต่ผู้สรรสร้างพวกมันอย่างมนุษย์เอง?

?มนุษย์เริ่มรู้สึกถึงบาปที่ได้กระทำลงไป จึงได้สร้างสิ่งที่เรียกว่า ?ไซเรน (Siren)? ขึ้นมาเพื่อทำลายล้างเหล่าอสูรกายและสัตว์ประหลาดมากมาย แต่...? เด็กน้อยยิ่งเกิดความสนใจมากขึ้นไปอีก อยากรู้ อยากรู้ว่าเหตุการณ์ต่อไปจะเป็นอย่างไร ?แต่อะไรเหรอคะท่านแม่??
?เกิดความผิดพลาดจาก ?ไซเรน? มนุษย์มอบความฉลาดให้มันมากเกินไป จนทำให้เกิดความผิดพลาดอย่างใหญ่หลวง ไซเรนได้ทำลายล้างผู้คนและเหล่าสรรพสิ่งมีชีวิตจนเกือบหมดสิ้น? ผู้เป็นแม่กล่าว ?ผู้คนอยู่อย่างหวาดกลัว หลบซ่อน ทรมานเหมือนสัตว์เล็กๆที่พวกเขาเคยกระทำ นี้คือ...ผลกรรมที่ตามสนองของเหล่ามนุษย์ที่เคยทำร้ายเหล่าสรรพสิ่งมีชีวิตและละทิ้งหน้าที่ของเทพที่มอบหมายเอาไว้?
เด็กน้อยยังคงตั้งใจฟังต่อไปอย่างใจจดใจจ่อ รอฟังว่าเหตุการณ์ต่อไปจะเป็นอย่างไร
ถึงแม้ตอนนี้เด็กหญิงจะเริ่มง่วงนิดๆแล้วก็ตาม
?ความสิ้นหวังมากมาย ความหวาดกลัว ความหวาดระแวง การแก่งแย่งพื้นที่ เริ่มรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ทุกคนไม่คิดเรื่องอนาคตอีกต่อไป คิดเพียงแต่ ?ขอแค่เพียงวันนี้เรารอดก็เป็นพอ? ชะตากรรมของเหล่ามวลมนุษย์ต้องจบลงเพียงเท่านี้อย่างนั้นเหรอ?? ผู้เป็นแม่พยายามลดเสียงให้ต่ำลงเพื่อเพิ่มความน่าสนใจ ส่วนเด็กน้อยดูเหมือนจะค่อยๆอินกับเรื่องเล่าซะแล้ว
ตาของเด็กน้อยฉายแววเศร้าออกมาทันที ใจหนึ่งก็อยากจะร้องไห้อินไปกับเรื่อง แต่อีกใจหนึ่งก็คิดว่าจะต้องมีหนทางสิ ต้องมี ต้องมี

?ไซเรนมีความแข็งแกร่งเกินใครเทียบได้ ดินแดนที่ได้ชื่อว่า เป็น ?สวนสวรรค์ชั้นหนึ่งของเหล่าเทพ? ได้กลายเป็น ?ท้องทุ่งแห่งสายโลหิต? ภาพนั้นช่างเป็นภาพที่สุดแสนสยดสยองพองขนที่สุด หากเจ้าได้เห็นภาพเหล่านั้น?? ผู้เป็นแม่วรรค แล้วเริ่มต่อขึ้นทันที

?แต่แล้ว...? เด็กน้อยใจจดใจจ่อ รอฟังเรื่องราวอย่างไม่กะพริบตา
?อะไรกันใจเย็นๆสิ ยัยตัวแสบของแม่ ทำตาแบบนั้นเดี๋ยวแม่ก็เอาตาที่ส่องวิบวับนั้นมาทำเครื่องประดับซะหรอกนะ? ผู้เป็นแม่จ้องมองแล้วพูดขึ้นทันที จนทำเอาผู้เป็นลูกได้ยินอย่างนั้นแล้วจึงเลิกทำตาที่ส่อแววความอยากรู้ทันที
ความอยากรู้ของเหล่าเด็กๆนี่ ทำให้ผู้เป็นแม่อดล้อไม่ได้นักเชียว
?โธ่... ท่านแม่น๊ะ ข้าก้อยากรู้นี่หน่า...? เด็กน้อยทำปากเบ้แก้มป่อง ทำเอาผู้เป็นแม่ต้องหยิกแก้หมั่นเขี้ยว
?อื้อ...ท่านแม่อ๊า...เล่าต่อซักทีเถอะนะ ข้าอยากรู้แล้วว่าเรื่องมันจะเป็นยังไงต่อน่ะ?? ผู้เป็นลูกเริ่มรำคาญแม่แล้ว และอยากรู้ด้วยว่าตอนต่อไปของนิทานเรื่องนี้จะเป็นเช่นไรต่อไป จึงบอกแม่ออกไป

?ทุกๆอย่างราวกับปาฏิหาริย์ได้เกิดขึ้นบนเอิร์ธอีกครั้ง...ผู้ตื่นจาก ?แสงสว่าง? ที่เหล่าเทพได้ผนึกเอาไว้เพื่อปกปักษ์รักษายามเอิร์ธมีภัยได้เริ่มเคลื่อนไหวแล้ว สร้างความโกรธาให้แก่ไซเรนมากมายยิ่งนัก? ผู้เป็นแม่กล่าว ?และความโกรธานั้นก่อให้เกิดความผิดพลาดของตัวมันเอง ยิ่งไซเรนระแวงมากเท่าไหร่ ความอ่อนแอของไซเรนก็เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆโดยที่ตัวมันเองไม่รู้ตัว ในขณะเดียวกัน ผู้ที่ตื่นจาก ?แสงสว่าง? ก็แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ และรอวันที่พลังแห่งแสงสว่างจักได้ตื่นขึ้นเพื่อปิดตายความมืดที่ก่อเกิดบนเอิร์ธ? ผู้เป็นแม่ถอนหายใจออกมาเบาๆ แล้วเล่าต่อไป ?ยิ่งไซเรนอ่อนแอมากขึ้นเท่าไหร่ ความหวังของมวลมนุษย์และสรรพสิ่งก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น?

?หมายความว่า ทุกๆคนจะรวมพลังกันต่อต้านไซเรนเหรอคะ?? ผู้เป็นลูกถาม
?ไม่ใช่จ้ะ แต่ทุกคนใช้สิ่งที่เรียกว่า ?จิต? ส่งไปให้แก่ผู้ตื่นจากแสงสว่าง เพื่อเป็นพลังให้แก่พวกเขา ในการขับไล่ความมืดของไซเรนจ้ะ? ผู้เป็นแม่มองสายตาสีเงินหยวกของลูกสาวที่บ่งบอกว่า ?เริ่มง่วงแล้ว? จึงทักขึ้น
?ดูเหมือนเจ้าจะได้เวลานอนแล้วสินะ ยัยตัวร้ายของแม่? ผู้เป็นลูกพยักหน้ายอมรับตรงๆ
?พอสมควรค่ะแม่ ต่อเถอะค่ะข้าอยากรู้... ฮ้าวววววว? ผู้เป็นลูกตอบ
?งั้นแม่เล่าต่อไปเลยนะจ้ะ? ผู้เป็นแม่บอก พลางลูบหน้าผากได้รูปของเด็กหญิง

?และแล้ว ก็ถึงช่วงเวลาที่ ?แสงสว่าง? จะลบล้างมลทินทั้งหมด สงครามที่ยิ่งใหญ่ที่สุดได้เกิดขึ้นบนผืนแผ่นดินเอิร์ธ และระยะเวลานั้นช่างยาวนานเหลือเกิน กว่าที่ไซเรนจะล้มลงได้ เหล่าผู้ตื่นจากแสงสว่างก็ล้มตายกันเป็นเบือ ว่ากันว่าเหลือแสงสว่างอยู่เพียงหนึ่งเดียวที่ยังยืนหยัดต่อกรกับไซเรน? ผู้เป็นลูกมองหน้าแม่ด้วยความสงสัยทันที แล้วเอ่ยถามขึ้น

?แล้ว แสงสว่าง อื่นๆล่ะคะแม่ พวกเขาไปไหนคะ?? ผู้เป็นแม่ยิ้มแล้วกล่าวตอบลูกสาวไป
?พวกเขาก็บาดเจ็บจนไม่สามารถสู้กับพลังของไซเรนได้ยังไงล่ะจ๊ะ? จากนั้นผู้เป็นแม่จึงเริ่มเล่าต่อไป

?ในที่สุด สงครามที่แสนยืดเยื้อและยาวนานนับหลายเดือนก็จบลง แสงสว่างได้ผนึกพลังความมืดของไซเรนจนหมดสิ้น? ผู้เป็นแม่วรรคคำ จากนั้นจึงพูดต่อไป
?แต่... แสงสว่างเพียงหนึ่งเดียวก็มิอาจผนึกพลังแห่งความมืดที่ยังเหลืออยู่ได้ทั้งหมด ไซเรนรวบรวมพลังที่เหลืออยู่เล็กน้อยของตนในการมอบ ?คำสาป? แก่เอิร์ธ และเหล่าแสงสว่าง?
?หากวันใดเหล่าแสงสว่างยังคงยืนหยัดอยู่ ข้านี้จักอยู่ในผนึกนี้ตราบวันแสงสว่างจักสิ้นไป ยามแสงสว่างหม่นแสงดวงดาวแห่งความสมบูรณ์เอ๋ย จงกลายเป็นท้องทุ่งแห่งความสิ้นหวัง และพลังแห่งความมืดจักกลับมาอีกครา...? ?สิ้นคำสาปของไซเรนแล้ว เหล่าความมืดซึ่งถูกผนึกไว้ก็จมสู่ใต้ผืนพิภพแห่งเอิร์ธ ดูดกลืนความโสมมที่เคยกลืนกินผืนแผ่นดิน และ...เอิร์ธก็เข้าสู่ความสงบสุข?

?เอาล่ะ ยัยตัว...? เมื่อผู้เป็นแม่เห็นว่าลูกสาวนั้น ได้หลับไปเรียบร้อยแล้ว นางก็ไม่พูดอะไรต่ออีก แล้วใช้ริมฝีปากของนางจุมพิตไปที่หน้าผากของเด็กหญิงตัวน้อยซึ่งกำลังหลับใหลไปในนิทราอย่างสงบ
เสียงก้าวเดินของใครบางคนซึ่งเข้ามาในห้องโดยไม่มีสัญญาณใดๆ ทำเอาผู้เป็นแม่สะดุ้งเล็กน้อยแต่เมื่อหันไปมองนางก็รู้สึกโล่งในใจเล็กน้อยเมื่อรู้ว่าคนๆนี้ไม่ใช่ ?ศัตรู?
?ท่านเองเหรอเยบีร่า อย่าให้ข้าสะดุ้งอย่างนี้สิ เซเรนเพิ่งหลับไปไม่นานเองข้าไม่อยากให้ยัยตัวร้ายตื่น? หญิงสาวร่างอวบๆในชุดกระโปรงพองๆ เข้ามาหาผู้เป็นแม่ สายตามองกลับไปกลับมาระหว่าง ?แม่ของเด็กหญิง? และ ?เด็กหญิงตัวน้อยๆผู้อยู่ในนิทรา?
?ท่านต้องไปคืนนี้สินะคะ เรื่องเด็กไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ? แล้วเยบีร่าก็ต้องถอนหายใจออกมา ก่อนจะพูดต่อ ?แต่ข้าสงสารจิตใจของเซเรนนะคะ?
ผู้เป็นแม่ถอนหายใจอย่างเหนื่อยๆ แม้รู้ว่า การกระทำครั้งนี้นางอาจจะ... ทำให้เด็กหญิงคนนี้ต้องร้องไห้ไปตลอด ก็ตาม
?ข้ารู้ดี ยังไงเสีย ข้าก็ต้องกลับมาหาเซเรนให้ได้? ผู้เป็นแม่วรรค ก่อนจะกล่าวต่อไปว่า ?ไม่ว่าจะยังไงข้าก็ต้องรอดกลับมา?

สิ้นคำกล่าวของผู้เป็นแม่ของเด็กหญิง นางค่อยเดินออกไปจากห้องนอนของเด็กหญิงช้าๆ สายตากวาดมองเหล่าตุ๊กตาที่วางเรียงรายอยู่ในห้องไม้ กลิ่นอ่อนๆของห้องไม้ จากนั้นนางก็เอื้อมมือหยิบตุ๊กตาตัวเล็กๆตัวหนึ่งไป
?ข้าจะเก็บเอาไว้เป็นเครื่องราง จะได้เตือนว่าข้ายังเหลือใครและข้ายังมีใครในผืนเอิร์ธนี้?
นางออกไปจากห้องนอนของเด็กหญิง ในใจของนางตอนนี้ปวดและร้วดร้าวราวจะแตกเป็นเสี่ยงๆ เพราะไม่รู้ว่าโชคชะตาของนางจะเป็นอย่างไร เพราะไม่รู้ว่านางจะได้พบลูกอีกครั้งเมื่อไหร่ เพราะไม่รู้ว่าจะเป็นแม่ที่ดีได้อย่างไร เพราะกลัวว่าไม่มีใครจะมอบไออุ่นนี้ให้แก่ลูกอีกครั้ง
ในใจของผู้เป็นแม่ซึ่งกำลังเดินออกจากกระท่อมเล็กที่มีลูกของตนอาศัยอยู่นั้น รู้สึกเหมือนห่างกันราวนับหมื่นนับแสนเทร่ามิต (1 เทร่ามิต = 10,000 กิโลมิต) และรู้สึกคิดถึงลูกมากเหลือเกิน เมื่อรู้ว่าตนจะต้องจากเด็กหญิงตัวน้อยๆผู้เป็นลูก
เมื่อนางออกมาจากกระท่อมนั้น ในยามราตรีนี้ช่างสงบและเย็นยะเยือกเหลือเกิน ไม่มีแม้เพียงสายลมแต่ไอเย็นราวจะเฉือนเนื้อเฉือนกระดูกนั้นช่างมากมายเหลือเกิน นางเดินไปที่โรงม้าใกล้ๆก็พบชายคนหนึ่งยืนรอนางอยู่
?เจ้าแน่ใจเหรอว่าเจ้าจะไป...? เสียงทุ้มของชายร่างสูงถาม แต่ยังถามไม่หมดนางก็ตอบออกมาเสีย
?ข้าตัดสินใจแล้ว ไม่ว่าจะเกิดอะไรข้าจะต้องปกป้องคนสำคัญที่ข้ามีอยู่ทั้งหมดให้ได้?
ชายหนุ่มเปิดฮู้ดออก เผยให้เห็นผมสีเงินหยวกทั้งหัวคล้ายๆกับเด็กหญิง จากนั้นเขาจึงเดินไปสวมกอดหญิงสาวเอาไว้ โน้มหัวของเขาลงมา ให้ปากเสมอกับใบหูจนหญิงสาวรู้สึกถึงลมหายใจที่รดอยู่ริมใบหูของนาง
?ข้าเป็นพ่อของเซเรน ข้าก็ต้องห่วงเซเรนอยู่เหมือนกับเจ้า? เขากระซิบ ?เจ้าไม่ต้องไปไม่ได้เหรอ เห็นแก่ลูกของเจ้าที่ยังเล็กๆอยู่เถอะ?
และอ้อนวอนให้หญิงสาวผู้เป็นแม่ของเด็กหญิงนั้น
น้ำตาของนางเอ่อล้นออกมา มือของนางที่กำตุ๊กตาที่หยิบมาในห้องนอนของเด็กหญิงผู้เป็นลูกนั้นกำแน่น จากนั้นนางก็หันหน้าไปหาเขา พลางแบมือที่มีตุ๊กตาตัวเล็กๆตัวหนึ่งให้ชายผมสีเงินนั้นดูทันที
?ข้าพูดแล้วไม่คืนคำ ข้าเคยบอกเจ้าแล้วใช่มั้ย?? นางสะอื้นตอบ
ชายผมสีเงินถอนหายใจ พลางหลบสายตาที่จ้องเขา
จากนั้นชายผมสีเงินก็เดินไปที่ม้าสีนิลสนิทแล้วจูงมันออกมาจากคอกม้า
?เข้าใจแล้วล่ะ คนอย่างเจ้ามันก็คนหัวดื้อเหมือนเดิม? เขากล่าว ?ตามใจเจ้าแล้วกัน?
หญิงสาวจูงม้าสีน้ำตาลออกมาจากคอก แล้วจูงมันออกมาจากโรงเก็บม้า
?เจ้าไม่ไปงั้นเหรอ?? นางถามชายผมสีเงิน
?ข้าแค่ไปลาเซเรน? เขาตอบ
นางสวมผ้าคลุมสีดำ แล้วจูงม้าออกไปให้พ้นกระท่อมเพื่อไม่ให้เสียงควบนั้นทำเอาเด็กหญิงตัวน้อยตื่น รวมทั้งชายผมสีเงินด้วย
?ไปกันเถอะ...!!...? ยังไม่ทันที่นางจะกล่าวจบ ชายผมสีเงินก็คว้าตัวของนางเอาไว้ในอ้อมกอด ใบหน้าของเขาและนางประชิดกันใกล้กันมากเหลือเกิน ปากของชายหนุ่มจุมพิตไปที่ริมฝีปากของหญิงสาว

?ข้าสัญญา ข้าจะต้องกลับมา...ไม่สิ เราจะต้องกลับมาให้ได้เพื่อเซเรนลูกของเรานะ เจ้าจะสัญญาด้วยได้มั้ย??

น้ำตาของหญิงสาวผู้เป็นแม่ของเด็กหญิงนามเซเรนไหลเอ่อ เสียงร่ำไห้ของนางออกมาอย่างสุดที่นางมีอยู่ เสียงเครือๆพูดออกมาจากปากของผู้เป็นแม่ที่ต้องจากลูกสาวของตน

?ข้าสัญญา ข้าสัญญา...?

แล้ว... ทั้งคู่ก็จำต้องจากลูกน้อยไป แม้หัวใจนั้นร่ำร้องที่จะอยู่
แต่คงทำไม่ได้...

?ขออ้อนวอนต่อเทพดาและเทพแห่งสรรพสิ่งทั้งหลายเอ๋ย... คุ้มครองลูกของเราด้วย?

สวัสดีค่ะ
นี่อิมจังเองค่ะ ตอนนี้อยู่ในการแก้ไขเรื่องนี้อยู่เพื่อให้มีความกระทัดรัดและอ่านแล้วไม่อืดจนเกินไป ทั้งนี้เพื่อท่านผู้อ่านทุกๆคนนะคะ เป็นกำลังใจให้ด้วยนะคะ

อิมจังรอความคิดเห็นของทุกๆคนอยู่นะคะ อ่านเสร็จแล้วช่วยเม้นท์ให้ด้วยนะคะ

ajinkazuya_love
โพสต์: 25
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ 27 ก.พ. 2008 2:26 pm
ที่อยู่: in kamenashi conankong

โพสต์ โดย ajinkazuya_love »

เค้าชอบน้า
เรื่องแบบนี้นะ เพราะมันเป็นเรื่องที่เป็นจิตนาการ
มันแฝงไปด้วยความหมายดีดีง่ะ
เค้าชอบ
แต่งต่อไปน้า
จาติดตามไปเรื่อย ๆ ๆ เลย
สู้ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆให้ประสบความสำเร็จ
akazuya

ตอบกลับโพส

ย้อนกลับไปยัง “ก้าวแรก(สู่นักเขียนมืออาชีพ)”