วุ่นนักสงครามเทพ (บทนำ+การพบกันของคนสองคน 50%)

ถ้าเพื่อนๆ มีเรื่องที่น่าสนใจและต้องการแบ่งปันเนื้อหา หรือร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการเป็นนักเขียนมืออาชีพ

Moderator: Gals, B.Comics, พี่บี

ตอบกลับโพส
เจ้าหญิงน้ำแข็งใส
โพสต์: 1
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 02 มี.ค. 2007 9:02 pm

วุ่นนักสงครามเทพ (บทนำ+การพบกันของคนสองคน 50%)

โพสต์ โดย เจ้าหญิงน้ำแข็งใส »

บทนำ

?เฮ้อ ทำไมอากาศมันร้อนแบบนี้นะ?

มือขวาใช้แผ่นกระดาษพัดไปมา แม้ว่าจะมีลมพอให้กายเย็น ทว่าแต่ใจของมีนายังไม่รู้สึกหายจากอาการหงุดหงิดจากสภาพอากาศตามไปเลยสักนิด ในขณะนั้นเองเสียงของชายหนุ่มก็ดังขึ้นเบื้องหน้า

?ในที่สุดข้าก็ตามหาท่านพบเสียที?

เธอเงยหน้าขึ้น พยายามรวบรวมสายตาเพ่งมองผ่านแสงแดดแรงกล้าที่สาดส่องลงมาอย่างไม่ปราณี จนกระทั่งปรับระดับสายตาได้แล้ว ภาพที่เธอเห็นอยู่เบื้องหน้านี้คือ

ชายหนุ่มแต่งตัวประหลาด ? แม้กระทั่งสีดวงตาของเขายังประหลาดตาม สีแดงเพลิง ราวกับต้องการเผาผลาญทุกสิ่งรอบกาย หน้าตาคมเข้มตัดกับผิวขาวราวกับดาราที่หลุดออกมาจากกองถ่ายหนัง

?ขอโทษนะคะ เมื่อครู่พูดกับฉันหรอ? มีนาถามออกไปอย่างไม่ค่อยแน่ใจ เพราะปกติไม่เคยจะถูกพวกผู้ชายที่หล่ออย่างนายแบบมาทัก

?ก็ใช่น่ะสิขอรับ ข้าพูดกับท่านอยู่น่ะแหละ? เขาตอบเหมือนหนักใจ

สงสัยถึงออกจากกองถ่ายแน่ ๆ ดูสิยังอินกับบทอยู่เลย เธอแหงนหน้ามองดวงอาทิตย์ที่บัดนี้ยังคงส่องแสงแดดแรงจ้า ๆ อยู่

แล้วทันใดนั้นชายหนุ่มก็นั่งคุกเข่าลง กิริยานั้นทำให้มีนาสะดุ้ง รีบเข้าไปฉุดให้เขาลุกขึ้น แต่เขาไม่ยอมลุก เธอเริ่มร้อนรนเกรงสายตาของคนรอบข้างที่เดินผ่านไปผ่านมา เหลียวซ้ายแลขวาหากล้อมวีดีโอ เผื่ออาจจะเป็นรายการที่จัดทำ

?คุณทำอะไรน่ะ ไม่สบายรึเปล่า?

พอได้ยินคำถามของหญิงสาวคนข้างหน้า ชายหนุ่มถอนหายใจออกยาว

?เฮ่อ........คงมิมีประโยชน์อันใดที่จะพูดกับท่านที่นี่ ในเมื่อตอนนี้ท่านก็จะอำไรไม่ได้ อีกอย่างท่านทำให้เวลาของข้าในโลกนี่ลดลงทุกที ๆ งั้นข้าคงต้องนำตัวท่านกลับเสียตามคำสั่งจะดีกว่า?

ไม่รอช้าชายผมแดงลุกขึ้นยืนเอื้อมมือคว้าเอวร่างบางเข้าไว้ในอ้อมแขน ส่วนมือข้างขวานั้นวาดภาพกลางอากาศขึ้น เกิดเป็นสายควันบาง ๆ เหมือนสัญลักษณ์อะไรบางอย่าง รูปดาวห้าแฉกในวงกลม ภาพเบื้องหน้าที่เห็นนั้นจางเหมือนกับโดยหมอกปกคลุม

ทำได้ยังไง ? เวทย์มนตร์ในปี 2006 ไม่มีทาง พวกพ่อมดลวงโลก นักมายากล

หลังจากที่เริ่มตั้งสติได้ มีนาก็ดิ้นรนทุกวิถีทางพยายามทำให้ตัวเองหลุดออกจากแขนอันแข็งแรงนั่น ปากก็ตะโกนขอความช่วยเหลือ ทว่าเสียงของเธอนั้นส่งไปไม่ถึงโสตประสาทของคนเปล่านั้น แม้กระทั่งคนที่อยู่ห่างจากเธอไม่ถึงคืบก็ยังไม่หันมา เดินผ่านไปเฉย ๆ เหมือนกับว่าไม่ได้สังเกตเห็นว่ามีคนยืนอยู่ตรงนี้

?ไม่มีประโยชน์หรอกขอรับ? เขาเอ่ยขึ้นไม่ได้หันมามองเธอสักนิด ?ที่นี่ไม่มีใครเห็นท่านแล้ว?

?หมายความว่าอะไรน่ะ? มีนาร้องถาม ยังคงพยายามแกะแขนนั้นให้หลุดออกไป แต่นั่นก็ยิ่งทำให้มือที่พันธนาการไว้จับบ่าเธอแน่นขึ้นกว่าเดิม ?พูดอะไรไม่เห็นเข้าใจ ปล่อยฉันนะ?

เขาส่ายศีรษะ ?คงมิได้หรอกขอรับ เพราะข้าต้องนำท่านกลับไปตามคำสั่ง และนี่ก็ถึงเวลาแล้ว โชคดีนะขอรับ?

?!!!!!??????

มีนาร้องลั่น มีความรู้สึกว่าตนเองกำลังตกลงมาผ่านอากาศเรื่อย ๆ ความมืดมิดราวกลับหมอกดำเข้าปกคลุมรอบข้าง แม้กระทั่งนัยน์ตาที่บัดนี้มองอะไรไม่เห็นแล้วนอกจาความมืด ท้ายที่สุดเธอจึงหมดสติไม่รับรู้อะไรอีกเลย

- - - - - - - - - - - - - - - - - - -
บทที่ 1

บัดนี้ตะวันจะลับฟ้าแล้ว ชายหนุ่มยังคงนั่งทอดตัวมองสิ่งต่าง ๆ ที่กำลังจะเปลี่ยนไปในเวลาไม่นานนี้ กลิ่นไอชื้นของพื้นดินหอมกรุ่นหลังจากที่ฝนตกลงมาอย่างหนัก เขานั่งรอ รออะไรสักอย่าง ไม่รู้เหมือนกันว่าเขากำลังรออะไร แต่สัญชาตญาณบอกให้เขารอ หลังจากที่เข้าใจว่ารอไปก็ไม่มีอะไร เขาจึงตัดสินใจลุกขึ้นเดินไปตามทางพื้นดินสีแดงที่มุ่งสู่ตัวเมือง

แปลก......เหมือนว่ามีอะไรบางอย่างคอยสะกิดใจอยู่ตลอด

ราวกับเวทย์มนตร์ แต่..........มันก็ไม่ใช่ ......... อะไรกันนะ

และเขาก็ต้องมาหยุดอยู่ตรงสามแยกแถบบริเวณตึกที่ตั้งติดกันจนไม่มีที่ว่าง บ้านแต่ละหลังทำจากอิฐแดง ๆ ดูมอมแมม สกปรก บอกให้รู้ว่าแถบนี้เป็นที่อยู่ของชาวบ้านที่อยู่ในชั้นไพร่ และทาส แถบนี้เขาสัมผัสได้ถึงกระแสพลังที่แรงกว่าเดิม

"เฮ้ย อย่ามายุ่งนะเว๊ย ข้าเจอก่อน" เสียงเอะอะเอ็ดตะโรดังมาจากหัวมุมไม่ไกลนัก

ชายหนุ่มผู้เดินผ่านมาแอบมองไปทางกลุ่มคนเหล่านั้น เห็นร่างของหญิงสาวซึ่งหลับไม่ได้สตินอนสลบอยู่กับพื้น และก็มีร่างของชายร่างสูงมากมายที่กำลังถกเถียงกันอย่างเอาเป็นเอาตาย ดูเหมือนว่าทุกคนต้องการเหมือนกันนั่นคือ เอาตัวของหญิงสาวไปขายให้กับผู้ดีมีเงินแถวนี้ เรื่องแบบนี้มักเกิดขึ้นบ่อยในระยะนี้เนื่องจากอัตราของพวกไพร่เพิ่มขึ้น และงานก็ลดลง หญิงผู้โชคร้ายไม่มีทางรู้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับตน ดูเหมือนจะโหดร้ายเกินไปหากไม่ยื่นมือเข้าช่วย ถึงเขาจะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นก่อนหน้านี้ แต่ก็จะต้องเข้าไปช่วยนางอยู่ดี

"ในที่สุดข้าก็เจอเจ้าเสียที" ร่างสูงพูดอย่างโล่งใจขณะจะเข้าไปอุ้มร่างบางขึ้นมาไว้ในอ้อมแขน เขาหันมองชายหลายคนที่ยืนอยู่บริเวณนั้นด้วยความสงสัยด้วยใบหน้าอันเสแสร้ง "ท่านมีธุระอะไรกับน้องข้าหรือ"

คนเหล่านั้นมองหน้ากันอย่างจะถามความคิดเห็น ว่าจู่ ๆ คนที่เข้ามาทีหลังนี่ที่อ้างว่าเป็นพี่ชายของหญิงสาวคนนี้จะเป็นความจริงหรือไม่อย่างไร ข้อสรุปที่เห็นพ้องต้องกันว่าไม่น่าเชื่ออย่างแรงนั้นทำให้ทุกคนมีสีหน้าขึงขังขึ้นมาเต็มที่

"โธ่เอ๊ย ที่แท้ก็มีความคิดเดียวกับพวกข้าล่ะสิ อย่ามาโกหกกันให้ยากเลย" ตามด้วยเสียงสนับสนุนอีกหลายเสียง

เขาหัวเราะในลำคอ ชะงักมือที่จะเข้าไปอุ้มนั้นไว้ แล้วยืนขึ้นด้วยท่าทางทะมัดทะแมง

"ข้ากะว่าข้าจะไม่ทำแล้วนะ"

พรึบ ! เสียงไฟลุกขึ้นในทันทีมันล้อมรอบหญิงสาวราวกับจะปกป้องพร้อมกับเสียงที่ร้อนโหยหวนของผู้ที่โดนไฟลวกใส่

"อ๊าก !!! ร้อน" ชายร่างสูงทั้งหลายกระโดดออกจากวง สีหน้าซีดไม่สู้ดีนักพอเห็นคนมีฝีมือเหนือกว่า มองหน้ากันเลิกลั่กแล้วร่นถอยไปไม่เป็นท่าเท่าเท่าไหร่นัก ปล่อยให้ชายหนุ่มจัดการไหร่จัดการกับหญิงสาวเพียงลำพัง

ดีใจด้วยนะ ในที่สุดเจ้าก็รอดพ้นจากภัยของคนใจทรามได้

แล้วจะเอายังไงดีล่ะเนี่ย จะปลุกก็เกรงใจ ไม่รู้ซะด้วยว่าบ้านอยู่ไหน เขาเปรยตามองไปยังร่างบาง ผู้เป็นเจ้าของผมยาวสีดำขลับ ใบหน้ามนรับกับแก้มสีชมพูจาง ๆ ริมฝีปากอิ่มที่ทำให้เขาชักอยากจะรู้ว่าเสียงของหล่อนจะเป็นเช่นไรรวมทั้งดวงตาคู่นั้นที่ยังปิดสนิทอยู่ด้วย

"อื้อ..........." มีนาซุกหน้าลงบนหมอนใบโตด้วยความรู้สึกทีไม่อยากจะตื่นเหมือนเช่นทุกครั้ง

นานแล้วที่ไม่ได้หลับสนิทขนาดนี้

แต่แล้วเธอก็อยู่ในสภาพนั้นไม่ได้นาน เมื่อนึกถึงเรื่องของชายแปลกหน้าผมสีแดงคนนั้นได้ มีนาลุกขึ้นทันที กวาดตามองรอบ ๆ ห้อง ก่อนจะวิ่งไปยังหน้าต่างบานที่อยู่ใกล้ที่สุด

.........ที่ไหนกันเนี่ย ? ตลกน่า เขาเอาเธอมาไว้ที่ไหนกัน โดนลักพาตัวมาซะแล้วใช่ไหมเนี่ย มีนากระพริบตาปรับแสงเพื่อความแน่ใจ แต่ไม่ว่ายังไงจะขยี้ตาหรือกระพริบตาสักเท่าไหร่ เธอก็ยังไม่ตื่นจากฝัน เธอยังคงอยู่ที่เดิม ที่ที่แปลกประหลาด การก่อสร้างแบบตึกสมัยก่อน อิฐสีแดงน้ำตาล มีช่องว่างที่เอาบานไม้มาปิดไว้สำหรับเป็นหน้าต่าง ชุมชนแออัด ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็มีแต่ตัวประหลาดเดินเพ่นพ่าน แม้แต่สิ่งมีชีวิตในนิยายปรัมปราก็ยังมี มันนั่งเฝ้าทางเข้าออกของอาคารที่ดูดีที่สุดในบริเวณหลังนี้แห่งนี้ กริฟฟิน...........

ไม่ว่าที่ไหนในโลกนี้ก็ไม่มีที่แบบนี้แน่ ๆ ต้องฝัน ฝันอยู่แน่ ๆ จะมีทางเป็นไปได้หรอ ไม่ใช่กราฟฟิกซะหน่อย แก้มที่ถูกหยิกด้วยมือของตนเองนั้นแดงเป็นปื้น และเริ่มรู้สึกชา เธอถอนหายใจและเดินไปรอบ ๆ ห้องคิดไม่ตก

มีนาตัดสินใจเดินกลับไปที่เตียงและล้มตัวลงนอนเพื่อจะตื่นขึ้นมาอีกทีจะได้พบว่าเธอกำลังฝันไป ทว่าประตูไม้ก็เปิดขึ้นก่อนพร้อมกับชายร่างสูงที่เดินเข้ามา ร่างบางถดหนีเข้าหาพนังดึงผ้าห่มขึ้นราวกับว่ามันเป็นเครื่องป้องกันชั้นเยี่ยม ทำเอาชายหนุ่มที่เดินเข้ามาถึงกับหัวเราะ

"ไม่ต้องกลัวข้าขนาดนั้นก็ได้ ข้าไม่ทำอะไรเจ้าหรอก" เขาว่าพลางยื่นแก้วกระเบื้องที่บรรจุของเหลวข้นสีขาว ไอร้อนลอยขึ้นจากแก้วให้ "อ่ะนี่ ดื่มซะตอนมันยังอุ่น ๆ อยู่"

โอ้ ให้ตายเถอะ นี่มันอะไรกันเนี่ย เธอหลงเข้ามาอยู่ในสถานที่ไหนกันแน่ การแต่งกายของเขาราวกับคนสมัยก่อนดูประหลาดในสายตาเธออย่างมากราวกับหลุดออกมาจากนิยายแฟนตาซีประเภทของยุคสมัยก่อน ผมสั้นสีเทาเข้มมีสีขาวแซม ใบหน้ารียาวได้รูปเหมาะสมกับดวงตาคมสีเทาหมอก ผมที่ปรกลงมากลางใบหน้านั้นทำให้ริมฝีปากของเขาดูเด่นขึ้น

"ที่นี่ที่ไหนกัน" นี่เป็นคำถามแรกที่หลุดออกมาจากปากของเธอ

"เวอร์เธอร์ดินแดนแห่งมิติลึกลับ" เขาตอบใบหน้าเรียบ พลางสำรวจการแต่งกายของเธออย่างเต็มตาเป็นครั้งแรกแล้วถึงกับขมวดคิ้ว "แล้วเจ้าล่ะมาจากเมืองไหนกัน เสื้อผ้าอาภรณ์ถึงดูแปลกตา"

เวอร์เธอร์ แห่งมิติลึกลับงั้นหรอ? เพ้อเจ้อไปใหญ่แล้ว ช่างสรรหามาตั้งเสียจริงเชียวนะชื่อนี่ เหอะ ๆ ตกลงฉันถูกลักพาตัวมาที่ไหนกันแน่นะ แถบโซนไหนของโลกกันล่ะเนี่ย ที่ที่ยังมีการแต่งกายค่อนข้างโบราณอยู่อีก แถมคำที่ใช้แทนตัวเองก็ค่อนข้างจะโบร้านโบราณ นี่ยังไม่รวมถึงสิ่งรอบข้างอีกนะ รู้สึกว่าเหมือนกับหลุดเข้ามาอีกโลกหนึ่งก็ว่าได้

"ไง คิดอะไรอยู่ เจ้ายังไม่ได้ตอบข้าเลยว่าบ้านเจ้าอยู่ที่ไหนกัน" เขานั่งลงเก้าอี้ตรงข้ามกับเธอ

มีนาเหม่อมองเกร็ดหิมะที่ล่วงหล่นลงมา "ไม่รู้สิว่าบ้านอยู่ไหน แต่ที่แน่ ๆ ไม่ใช่ที่นี่แน่นอน คุณไม่รู้หรอกว่าฉันมาจากที่ไหน" เธอตอบตามความจริง โลกที่เคยอยู่แสนจะห่างไกลไปเสียแล้วในตอนนี้ นึกแล้วก็อยากกลับบ้าน อยากตื่นจากฝันนี่เสียที

ชายหนุ่มเห็นอาการของเธอแล้วก็ยิ่งรู้สึกสงสารจับใจอย่างบอกไม่ถูก พานหวนนึกไปถึงหนังสือที่เคยอ่านเจอ ...เวอร์เธอร์ดินแดนแห่งมิติลึกลับ ผู้คนมากมายหลากเผ่าพันธุ์ล้วนมารวมตัวกันที่นี้เพื่อทำกิจธุระอันที่รู้ว่าขึ้นอยู่ในด้านมืด ข้าวของมากมายที่อยู่ในดินแดนนี้ล้วนแต่ต้องคำสาปไม่ก็เป็นประเภทของร้ายแรงที่ไม่สามารถพบได้ที่อื่น อากาศของที่นี้ก็แสนจะพิลึก หนาว ๆ ร้อน ๆ ไม่เป็นเวล่ำเวลา บางทีชาวเมืองที่อาศัยอยู่ก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย บางทีก็มีคนเพิ่มมาอย่างไม่รู้ตัว มาจากไหนก็ไม่มีใครทราบแต่เท่าที่เล่าต่อกันมาคือมาจากอีกโลกหนึ่งซึ่งเป็นโลกที่ห่างไกลยิ่งนัก ราวกับต้องเดินข้ามเวลาไปเป็นแสน ๆ ปี เทพเจ้าแห่งมิติกาลเวลาเสียการควบคุม จึงไม่สามารถที่จะคอยดูแลสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลันได้ในขณะหนึ่ง รึว่าเรื่องเล่าจะเป็นจริง โดยที่คนอยู่ข้างหน้าเขานี้คือหนึ่งในนั้น

"เจ้าจะบอกข้าว่าเจ้ามาอีกโลกหนึ่งงั้นรึ" เขาถามเหมือนจะเดาคำตอบได้อยู่แล้ว "พอจะบอกได้ไหมว่ามาที่นี่ได้อย่างไร"

"ไม่รู้" มีนาส่ายหน้า "จำได้ราง ๆ ว่า มีผู้ชายคนหนึ่ง มาบอกกับฉันว่าถึงเวลาที่ฉันต้องกลับแล้ว มีคนให้มารับ หลังจากนั้นก็ไม่รู้เรื่องอะไรอีกเลย ตื่นขึ้นมาก็พบว่าอยู่ในห้องนี้แล้ว"

คนพามางั้นรึ การที่จะพาคนจากอีกโลกหนึ่งข้ามมิติกาลเวลามาน่ะ มันไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ สักหน่อย มันเป็นเรื่องที่ยากและมีน้อยคนนักที่จะทำได้ ตอนนี้จะหาไม่ค่อยได้แล้วล่ะ จะเจอก็ในหมู่คนตระกูลใหญ่ตระกูลโตกันทั้งนั้น มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ถึงต้องไปพาคนจากอีกโลกหนึ่งมาแถมยังทำผิดพลาดเสียอีก เป้าหมายมาหล่นกลางทางแบบนี้

"ฉันอยากกลับบ้าน คุณช่วยฉันหน่อยได้ไหม"

ยาก...........เรื่องยาก .............. ต้องตามหาคนที่พามาให้ส่งกลับ เขาจนใจไม่รู้จะหาทางออกอย่างไร

แต่มานึกดูอีกที ถ้าเขาจะช่วยก็น่าจะช่วยได้ เขาเองก็รู้จักคนใหญ่คนโตอยู่เหมือนกัน คงไม่ยากเกินไปหรอกมั้งที่จะวานให้เขาช่วยพานางกลับบ้าน แต่มันคงต้องใช้เวลา ดังนั้นชายหนุ่มจึงยิ้มรับพอให้หญิงสาวได้อุ่นใจ

"ได้สิ ข้าจะช่วยเจ้า ข้าชื่อรีนอสท์ แห่งฟลอเรนซ์"

ดวงตากลมเบิกกว้างอย่างดีใจ รอยยิ้มที่เอ่อล้นไปด้วยความหวังและความไว้วางใจในตัวเขา "ฉัน มีนา"

- - - - - - - - - - - - - - - -

รีนอสท์พาหญิงสาวเดินเข้ามาในตัวเมืองที่เป็นแถบย่านการค้า ร้านรวงมากมายตั้งเรียงรายดูแปลกตาสำหรับเธอ ที่แปลกตาคงจะเป็นพวกของที่เอามาขายและคนขาย ชายหนุ่มพาเธอเดินไปเรื่อย ๆ ครั้นพอนึกได้ว่าเธอเองจำเป็นต้องมีชุดเปลี่ยนเขาก็พาเธอเดินเข้าร้านเสื้อผ้าร้านหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลไปเท่าไหร่

"เอ่อ ขอโทษขอรับ คือข้าต้องการชุดสำหรับนาง" รีนอสท์บอกกลับคนขายที่กำลังก้มๆ โผล่ให้เห็นเพียงแค่หลังค่อม ๆ ที่กำลังผุดๆ โผล่ ๆ หาของที่อยู่ใต้เคาเตอร์

"ไหน ๆ ข้าขอดูหน่อยสิ" นางพูดพอได้รู้ว่ามีลูกค้าแวะเข้ามา ก็ทิ้งสิ่งที่กำลังทำอยู่นั้นโผล่ออกมาจากใต้เคาเตอร์ เผยให้เห็นรูปร่างที่ชัดเจน

นางก็เหมือนกับคนทั่ว ๆ ไป ถ้าไม่ติดอยู่ที่ว่าหูของนางเป็นใบหูที่ยาวและมีขนปกคลุมคล้ายหูของกระต่าย ขนบริเวณใบหน้าก็มีหนวดเส้นเล็ก ๆ ยาวออกมาจากแก้ม จมูกเป็นรูปสามเหลี่ยมสีน้ำตาลเข้ม และยิ่งกว่านั้นแทนที่ฝ่ามือของนางจะมี 5 นิ้วเหมือนปกติแต่มันกลับเป็นอุ้งเท้ามี 4 นิ้ว บริเวณนั้นมีขนสีน้ำตาลขึ้นปกคลุมถึงข้อมือ

มีนาพยายามบังคับใจตัวเองให้เป็นปกติ กลืนน้ำลายลงยามที่ถูกมองไล่ตั้งแต่ศีรษะยันพื้น

"ต้องการชุดแบบไหนล่ะ ชุดเดินทางหรือชุดของพวกคุณหนูตามบ้าน"

"ทั้งสองเลยขอรับ" รีนอสท์ตอบ เพราะคิดว่ายังไงเธอก็ควรมีไว้ เขาเองก็ต้องเดินทางไปไหนต่อไปไหนก่อนที่จะได้มีเวลาช่วยในเรื่องของหญิงสาว เขาเองเป็นองค์รักษ์ประจำของกษัตริย์แห่งซากาน่าซึ่งในตอนนี้ได้มาช่วยในงานประชุมของทุกเผ่า และมีเวลาพักผ่อนสำหรับตนเองเป็นเวลาสักอาทิตย์สองอาทิตย์ เขาจะใช้เวลาช่วงนั้นสำหรับช่วยเธอ

หลังจากนั้นไม่นานทั้งคู่ก็พากันเดินออกจากร้านมา โดยที่มีนาได้เปลี่ยนเป็นชุดใหม่แล้ว เป็นชุดกระโปรงสีฟ้าสวย กับรองเท้าหนังสีน้ำตาลคู่งาม พร้อมกับเสื้อคลุมตัวใหม่เหมาะกับเธอ มันยิ่งทำให้มีนารู้สึกเกรงใจเขามากขึ้น เพราะความดีที่เขาทำให้เธอนั้นมีมากเกินไป

ระหว่างทางรีนอสท์เล่าให้ฟังว่าเขาเองก็เคยมีน้องสาวเหมือนกัน ชื่อ ไซริน่า เจอเหตุการณ์คล้าย ๆ กันกับเธอแต่เผอิญว่าไซริน่าโดนห้วงกาลเวลาดูดกลืนเข้าไป เขาไม่รู้หรอกว่าจนกระทั่งวันนี้ว่านางยังมีชีวิตอยู่รึเปล่า แต่เขาค่อนข้างจะมั่นใจว่านางยังอยู่ เพราะสายเลือดมันสื่อกันถึง พอเขาเห็นเธอแล้วก็อดคิดถึงนางไม่ได้ และหวังว่านางคงจะได้รับความเมตตาจากใครสักคนที่นางได้เจอ แค่นั้นเขาเองก็เบาใจแล้ว เขาหวนนึกถึงอดีตอย่างเศร้าใจ

"ข้าไม่น่าเล่าเรื่องแบบนี้ให้เจ้าฟังเลยเนอะ" รีนอสท์พูดน้ำเสียงอ่อน

คงจะเศร้า............หากต้องเจอเรื่องเช่นนี้ มีนาเองไม่รู้จะว่ายังไง เพราะไม่เคยที่จะต้องมาปลอบใจคนที่พึ่งรู้จักกันไม่นาน เธอเห็นเขาค่อนข้างที่จะเศร้าจากแววตาคู่นั้น แววตาสีเทาหมองดูไร้ประกาย แต่แล้วมันก็เปลี่ยนไปในทันทีกลับคืนสู่สภาพเดิม

"ข้าว่าคืนนี้เจ้าพักผ่อนก่อนเถอะ พรุ่งนี้เราต้องออกเดินทางแต่เช้า ข้าเองมีธุระที่เมืองข้าง ๆ นี้ พอเสร็จธุระข้าแล้วข้าจะช่วยจัดการเรื่องของเจ้าโดยเร็ว ข้ารับรองว่าเจ้าจะได้กลับบ้านของเจ้าแน่"

มีนาเงยหน้ามองเขาตอบ พลางยิ้มให้ "ขอบคุณค่ะ ถ้าฉันไม่ได้มาเจอคุณฉันคงแย่แน่ คุณรีนอสท์"

เธอยังไม่รู้เรื่องตอนที่จะโดนพวกชาวเมืองเอาไปขาย ซึ่งเขาเองก็ตัดสินใจว่าจะไม่บอกเรื่องนี้แก่เธอ เพราะไตร่ตรองดูแล้วก็ไม่มีประโยชน์อันใดที่จะบอก รีนอสท์คิดถึงกระแสพลังประหลาดที่ส่งออกมาจากตัวของหญิงสาวผู้นี้ บางครั้งก็เหมือนกับทะเลราบเรียบ ที่มีคลื่นเล็ก ๆ ทยอยเข้าฝั่ง มันมักจะแปรปรวนได้ตลอดเวลา และถ้าหากว่าสิ่งที่เขาคิดมันเป็นจริง ก็แสดงให้เห็นว่าเธอต้องไม่ใช่คนธรรมดา จะต้องเป็นผู้ที่มีพลังเวทย์มากแต่ถูกปิดผนึกไว้ เพราะขนาดที่ยังอยู่เฉย ๆ มิได้ทำอะไร กระแสพลังนั่นก็ส่งออกมาได้ตลอด และถ้าหากว่าเธอใช้เวทย์จริง ๆ แล้วล่ะก็อานุภาพมันจะรุนแรงขนาดไหน นี่กระมังที่เป็นเหตุให้เธอต้องถูกพามาอยู่ที่นี่ ทว่าเรื่องนี้เขาก็ยังมิได้บอกเธออยู่ดี

ชายหนุ่มหันมาหยุดมองร่างบางเป็นระยะ ๆ หลังจากที่มีนาได้ล้มแข้งขาพันเถาวัลย์จนล้มลุกคลุกคลานไปหลายรอบ ดูเหมือนว่าเธอยังไม่ค่อยชินทางในป่าสำหรับนักเดินทางที่ต้องการร่นระยะทางไม่ให้เสียเวลามากนัก หลายครั้งที่เขาต้องยื่นมือเข้าไปหิ้วเธอให้ลุกขึ้นยืน ไม่ก็ต้องเข้าไปจัดการกับเถาวัลย์และแมกไม้ที่เข้ามาโอบรัดตัวเธอไว้ ทว่าเขาก็ยังไม่รู้สึกหน่ายหรือลำบากใจ เธอกลับเป็นเพื่อนร่วมทางที่ดีคนหนึ่ง หลังจากที่เขาได้เดินทางเป็นคนเดียวเป็นระยะเวลาค่อนข้างนาน รีนอสท์ชอบฟังเสียงเจื้อยแจ้วที่คอยซักถามของมีนา ดูเหมือนเด็ก ๆ ที่อยากรู้อยากเห็น ดวงตากลมสีน้ำตาลเข้มก็ช่างดึงดูด มันช่างสะกดราวกับให้ตกอยู่ในภวังค์

"ว๊าย !" หญิงสาวอุทานลั่นป่า เอาอีกแล้วเธอสะดุดรากไม้จนล้มอีกแล้ว มันช่างเป็นเรื่องอะไรที่น่าอายเช่นนี้ ทั้ง ๆ ที่เอาแต่ก้มดูพื้น แต่ก็ยังสะดุดล้มอยู่ดี

รีนอสท์หันมาดูด้วยความเป็นห่วง แต่แล้วคิ้วหนานั่นก็ต้องขมวดเข้าหากันอย่างสงสัยระคนแปลกใจ รากไม้........เมื่อครู่ที่เขาเดินผ่านมันยังไม่โผล่ขึ้นมาขนาดที่จะพาลทำให้ล้มได้หรอกนะ และนั่นเถาวัลย์เหมือนจะเลื้อยมาพันขาไว้อย่างตั้งใจ ปกติต้นไม้เหล่านี้จะไม่มีพิษมีภัยอะไรกับนักเดินทางซะหน่อย แต่ทำไมกับมีนา มันถึงแสดงอาการจนออกนอกหน้าให้เห็น แปลกพิลึก

"ขอบคุณค่ะ" มีนาว่าขณะที่เท้าของเธอแตะพื้นทรงตัวได้ดีแล้วหลังจากได้รีนอสท์ช่วยยกเธอขึ้นยืน "ฉันนี่ซุ่มซ่ามจริง ๆ"

"ระวังหน่อยแล้วกัน เดี๋ยวเกิดขาเคล็ดขึ้นจะแย่" เขาเตือน "นี่ขนาดกลางวัน แล้วถ้าตกเย็นเจ้าคงต้องระวังตัวเพิ่มขึ้นให้มากกว่านี้ เพราะช่วงนั้นสัตว์ป่ามักจะออกหาเหยื่อ ทางที่ดีควรตามข้ามาติด ๆ อย่าให้ห่าง อย่าให้หลงเป็นทางดีที่สุด"

แสงแดดกำลังจะจากลับสายตา แมกไม้ที่แผ่กิ่งก้านสาขาต่างบดบังรัศมีของพระอาทิตย์ ไม่ให้มีแม้แต่แสงเพียงแค่เสี้ยวลำเดียวส่องลงมาสู่พื้นดินได้ บรรยากาศของป่าเริ่มเงียบสงัด ได้ยินแต่เสียงเอนไปมาของต้นไม้ใหญ่ที่ประทะเข้ากับสายลม ความเย็นชื้นของป่าก็เข้าปกคลุม เริ่มรู้สึกหนาว ๆ เย็น ๆ ทั้งอากาศและบรยากาศของที่นี่

ชายหนุ่มจัดแจงยกกิ่งไม้แห้งที่หาได้แถวนี้มาสุมกองรวมไว้ พอรวบรวมได้เป็นจำนวนหนึ่ง เขาก็ยืนทำปากขมุบขมิบอยู่ชั่วครู่ และทันใดนั้นเสียงประทุไฟก็ดังขึ้นตามมาในทันที เปลวเพลิงกำลังลุก โดยมีหญิงสาวนั่งเอามืออังไฟอยู่บนขอนไม้ข้าง ๆ มีเสื้อตัวใหญ่ยาวที่เป็นชุดคลุมของนักเดินทางของเขาสวมอยู่ รีนอสท์คิดว่าเธอคงต้องการอะไรสักอย่างคลุมตัวไว้กันความหนาวของหิมะและอากาศที่เปลี่ยนแปลงบ่อยอย่างพิลึกของดินแดนที่ชื่อเวอร์เธอร์

"เหมือนนิยายชะมัด คุณใช้เวทย์มนตร์ได้ด้วย" มีนาพูดลอย ๆ อย่างทึ่ง ๆ

รีนอสท์ยิ้มออกมาเหมือนชอบใจ "นั่นสิ ข้าใช้เวทย์มนตร์ได้ เพราะข้าฝึกฝนมา ถ้าจะให้ข้าเป็นเองได้โดยไม่ต้องเรียน ข้าคงเป็นอัจฉริยะแล้วล่ะ แต่คนทั่วไปของโลกนี้เขาไม่มีใครใช้เป็นเท่าไหร่หรอกนะ เห็นจะมีแต่คนในราชสำนัก ไม่ก็พวกผู้ดีตามบ้านน่ะแหละ และแต่ละที่ก็จะมีเวทย์มนตร์ต่างกันออกไป ของข้าที่ใช้อยู่นี่เป็นเวทย์มนตร์ขาวของฟลอเรนซ์ กับเวทย์มนตร์การต่อสู้จากเมืองต่าง ๆ ตามที่ครูข้าสอนให้"

"งั้นโลกของคุณก็คงต้องมีอัศวินด้วยใช่ไหมคะ อัศวินที่คอยปราบมังกรน่ะ"

คราวนี้เขาหลุดขำออกไปเต็ม ๆ "ฮ่า ฮ่า ฮ่า สมัยนี้เขาไม่มีกันแล้วจ้าแม่คู้ณ อัศวินปราบมังกรน่ะ มีแต่ในนิทานหลอกเด็ก เจ้ายังจะเชื่ออีกรึ มีก็มีแต่เผ่าควบคุมมังกร หรือที่เรียกกันกว่าเผ่าดราแกรนซ์ เจ้านี่ตลกเป็นบ้า"

เด็กสาวบ่นอุบอิบไม่พอใจ แต่ก็ยังไม่วายหาคำถามให้เขาอีก "แล้วยังมีมังกรอยู่อีกหรือคะ"

"เอาพันธุ์ไรดีล่ะ ขนาดไหน สีอะไร มีหมดถ้าเจ้าต้องการ แต่ต้องไปที่เมืองเดรนกีล่านะ เจ้าอยากไปไหมล่ะ ถ้าเจ้าอยากไป ข้าก็จะพาเจ้าไป"

มังกรในนิทาน ในนิยายปรัมปรา จะได้มีโอกาสเห็นจริง ๆ แล้วน่ะหรือ มันจะพ่นไฟไหมนะ ตัวจะใหญ่ขนาดไหนกัน ว่าแล้วก็อดตื่นเต้นไม่ได้ ในขณะเดียวกันนั้นเอง ช่วงเวลาที่นักเดินทางไม่ได้ระมัดระวังตัว ก็มักจะมีแขกปริศนามาหาอย่างไม่ได้รับเชิญ หลายคนตกเป็นเหยื่อมันอย่างน่าอนาถมาแล้ว


ควับ !

เสียงดาบฟาดฟันตัดอะไรบางสิ่งขาดเป็นสองท่อน มันตกลงมาสู่พื้นเลือดไหลกระจายสร้างความน่าคลื่นไส้ให้แก่ผู้พบเห็น รีนอสท์ใช้เวทย์มนตร์ไฟฌาปนกิจส่งมันสู่สุขคติไปเรียบร้อยเป็นการปิดฉาก ทำให้เหลือแต่ซากตอตะโกเป็นเถ้าถ่านอยู่บริเวณนั้น หญิงสาวตกอยู่ในภาวะตะลึงไปชั่วครู่

"นะอย่างที่บอกว่ากลางคืนต้องระวังตัวให้มากขึ้น ยิ่งดึกยิ่งมีสัตว์ใหญ่ออกมา แค่เจ้าไวเนสเร่ ยังถือว่าเป็นสัตว์พื้น ๆ ไม่อันตรายเท่าไหร่นัก" ชายหนุ่มใช้เศษผ้าเช็ดคราบเมือกนั้นออก ไวเนสเร่รูปร่างคล้ายหนอนแต่ใหญ่กว่าขนาดเท่ากำปั้นมือ ยาวเท่าสองมือต่อกัน ตัวสีม่วงคล้ำ ชอบดูดเลือดนักเดินทางเป็นอาหาร พิษสงไม่ค่อยมี มีแค่เข็มพิษที่อยู่ที่ปลายสุดของตัว หากโดนเข็มจะมีอาการมึนชาจนแข็งขยับตัวไม่ได้อยู่เกือบครึ่งวัน ทางแก้พิษก็คือนำตัวของมันมาบดให้ละเอียดและเอาไปผสมน้ำสะอาดต้มให้ใสเป็นสีม่วง แล้วนำไปราดบริเวณที่โดนเข็มพิษ

มีนารู้สึกเฝื่อนคอ เลยแทบไม่ได้แตะอาหารเย็นเลยแม้แต่นิดเดียว ถึงกลิ่นหอมของมันจะน่ากินขนาดไหนก็ตามแต่ รีนอสท์คะยั้ยคะยอให้เธอกินเนื้อที่เขาเอามาย่างสักนิดรองท้อง ไม่ว่าอะไร หญิงสาวก็ไม่ได้แตะอะไรเลยจริง ๆ ทั้งคู่คุยกันหลายเรื่องขณะผิงไฟ จนกระทั่งหญิงสาวหาวเป็นคำรอบ ๆ

"ข้าว่าเจ้านอนไปเลยก็ได้ เดี๋ยวข้าจะคอย ดูให้" ชายหนุ่มเสนอ

ถึงไม่บอก มีนาก็ล้มลงนอนบนผืนผ้าที่เขาปูไว้บนกองใบไม้นุ่ม ๆ ใช้สำหรับเป็นที่นอน เธอทนความง่วงไม่ไหวแล้วจริง ๆ ครั้นพอได้ที่นอนมีนาก็หลับผล็อยไปผลเนื่องจากเหนื่อยล้ามาทั้งวัน ส่วนหนึ่งก็เพราะวางใจที่มีชายหนุ่มคอยป้องกันภัยอันตรายให้เธอ

ริมฝีปากหนาคลายยิ้มออกดูละเมียดละไม เขาชักไม่อยากให้เธอกลับไปเสียแล้วสิ อยากให้ร่างบางอยู่เป็นเพื่อนกันนาน ๆ ติดใจในความใสซื่อและเสียงแจ้ว ๆ ที่คอยซักถามไม่ก็ต่อคำไม่หยุด นางช่างเป็นคนช่วยคลายความเหงาในชีวิตเขาได้ รีนอสท์ไม่ได้รู้สึกสบาย ๆ แบบนี้มาตั้งแต่ที่น้องสาวเขาได้จากไป เธอคนนี้คนที่เป็นคนเปลี่ยนแปลงชีวิตเขาให้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้งได้ มือหนาเอื้อมไปลูบแพผมเรือนงามอย่างเอ็นดู

"ขอบคุณที่เข้ามาเติมสีสันให้กับชีวิตที่เงียบเหงาของข้า"

- - - - - - - - - - - - - - - -

"เจ้ารอข้าอยู่ที่นี่นะ เดี๋ยวข้าต้องไปธุระ" รีนอสท์บอกขณะเมื่อเดินทางมาถึงห้องพักได้ไม่นาน ดูเหมือนว่าเขาจะจัดแจงตัวเองภายในเวลาไม่นานนัก เปลี่ยนเครื่องแต่งกายเป็นชุดสีน้ำเงิน-เงิน ค่อนข้างเป็นพิธีการ มีนาทำหน้าหงอยเหมือนแมวถูกทิ้งพอรู้ว่าเขาไม่อยู่และปล่อยให้เธออยู่ห้องนี้เพียงคนเดียว

ชายหนุ่มสาวเท้าเข้ามาใกล้ พลางลูบหัวเธอเหมือนเด็ก ๆ "ไม่เอาน่า ข้าต้องทำไปธุระ พาเจ้าไปด้วยไม่ได้หรอก รอข้าอยู่ที่นี่เถอะ เดี๋ยวข้าจะรีบกลับมาจริง ๆ"

หญิงสาวได้แต่พยักหน้ารับ ไม่อยากทำตัวให้เขาหนักใจมากกว่านี้ ได้แต่มองตามแผ่นหลังกว้างด้วยสายตาอาลัยอาวรณ์ จนกระทั่งเขาหายลับสายตาไปเธอถึงเดินเข้ามานั่งยังเก้าอี้โยกหน้าเตาผิง นึกด่าตนเอง ยังไงเขาก็ไม่มีทางทิ้งเธอได้อยู่แล้ว เพราะงั้นอย่าทำให้เขาลำบากใจสิ

ห่างออกไปจากห้องพักไม่ไกลเท่าไหร่นัก ตอนเช้าเป็นเวลาที่ดีที่สุดช่วงหนึ่งสำหรับการเจรจา มันมีแสงแดดที่อบอุ่นเพียงพอจนไม่ร้อนมากมายสาดส่องเข้ามาเท่าตอนบ่าย โต๊ะไม้ตัวใหญ่ยาวที่ตั้งอยู่ในห้องโถงซึ่งในตอนนี้ถูกใช้อยู่ แผ่นกระดาษเอกสารเกลื่อนกลาดเต็มโต๊ะ ที่หัวโต๊ะมีร่างของชายหนุ่มซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตที่ได้ชื่อว่าเป็นมนุษย์เพียงคนเดียวในการประชุมนี้ เก้าอี้ทุกตัวถูกใช้โดยสิ่งมีชีวิตหลากเผ่าพันธุ์ ไม่ว่าจะเป็นเผ่าเอลฟ์ เผ่าผีเสื้อ เผ่ามายา หรือเผ่ามนุษย์แมว

รีนอสท์ ตัวแทนจากอาณาจักรมนุษย์ทั้ง 3 กำลังนั่งฟังข้อเสนอจากเผ่ามนุษย์หินที่กำลังอ่านจากกระดาษอย่างเงอะ ๆ งะ ช้า ๆ ทีละคำ จนหลายเผ่างีบหลับไปเนื่องจากทนไม่ไหว

แต่แล้วก็เผลอมองออกไปข้างนอกจนได้ ท้องฟ้าสดใสเช่นนี้ ใจจริงอยากจะพามีนาออกไปเดินเล่นเสียด้วยซ้ำ ดีกว่าการที่ต้องมานั่งอุดอู้ในบรรยากาศแย่ๆ ของห้องนี้ทันใดนั้นเองไม่รู้ว่าความรู้สึกของเขามันกำลังสัมผัสได้ถึงอะไร แต่ที่แน่ๆ สิ่งนั้นกำลังใกล้เข้าเรื่อยๆ จน................


"กรี๊ด"!!!

ดวงตาหลายคู่ตื่นจากภวังค์ทันที แหงนเงยไปยังเบื้องบนแหล่งที่มาของเสียง เสียงหวีดร้องยังดังเรื่อยๆ ดังไม่ยอมหยุดพร้อมๆ กับร่างที่ร่วงหล่นลงมาจากอากาศอย่างรวดเร็ว กระทั่งเกิดเสียงของหนักตกกระทบกลางโต๊ะ ทุกสายเบิกตาโตมองอย่างนึกไม่ถึง

ร่างที่ตกลงมาเป็นร่างของหญิงสาว และดูคุ้นตาเสียด้วยสิ นางมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรกัน มีนา ชายหนุ่มตกใจจนเผลอลุกพรวดสาวเท้าเข้าไปหาเจ้าตัวที่กำลังลูบ ๆ คลำ ๆ บริเวณที่กระแทกโต๊ะด้วยใบหน้าที่แสดงถึงความเจ็บปวดของเธอ

"มาได้ไงเนี่ย" เขาถามอย่างไม่อยากจะเชื่อ พลางอุ้มเธอลงจากโต๊ะ ไม่ได้สนใจกับหลายตานับสิบคู่ที่มองมา รวมทั้งพวกที่พึ่งตื่นเพราะเสียงด้วย รู้สึกงุนงง เธอมาจากโลกอื่นไม่ใช่หรือ แล้วจะใช้เวทย์มนตร์มาที่นี่ได้อย่างไร

แต่ดูเหมือนว่ามีนาจะไม่รับรู้อะไรเสียแล้ว สีหน้าของเธอซีดเผือด หันซ้ายแลขวาก็เจอแต่สิ่งน่ากลัว ร่างบางสั่นระริกก่อนจะปล่อยโฮท่ามกลางความงุนงงของผู้ที่อยู่ในห้อง

"ฮึก ๆ ๆ โฮ ๆ ๆ ไม่เอาน้า เอามันออกไป หนูกลัว โฮโฮโฮ หนูไม่เอาสัตว์น่าเกลียดแบบนี้ แง้ ๆ ๆ ๆ" เสียงร้องไห้ดังขึ้นอีก ทำเอาผู้ที่เข้าร่วมประชุมชักมีน้ำโห จู่ ๆ ก็เข้ามาขัดการประชุมแถมร้องโวยวายว่าพวกตนที่นั่งอยู่ก่อนอีก แต่ก็ทำได้เพียงแค่กำหมดแน่น เพราะว่าข้าง ๆ ร่างบางนั้นมีองค์รักษ์ของเจ้าชายแห่งอาณาจักรซากาน่า ผู้ที่ถือว่าค่อนข้างใหญ่อยู่เอาการ ยังไม่อยากมีเรื่องกับคนที่มาจากอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ 1 ใน 3

"ใจเย็น ๆ ๆ ข้าอยู่นี่" รีนอสท์ปลอบ สลับกับคำขอโทษขอโพย "ขออภัยด้วยทุกท่าน นี่น้องสาวข้า นางก็ซนเช่นนี้แหละขอรับ"

ไม่ว่ายังไงร่างที่อยู่ในอ้อมแขนก็ดูเหมือนจะร้องไม่ยอมหยุด จะทำอย่างไรก็ไม่หยุดร้อง ชายหนุ่มเลยลูบศรีษะปลอบพลางร่ายเวทย์ละอองมนตร์ใส่เธอไปด้วย ไม่นานนักเจ้าหล่อนก็ผล็อยหลับไปอย่างง่ายดายในอ้อมอกของเขา รีนอสท์เดินกลับมานั่งที่โดยมีร่างบางนั่งหลับบนตักเขา

"ขออภัย ๆ เชิญต่อได้เลย"

และไม่นานนักทั้งหมดก็เข้าสู่โหมดนิทรา หลับไปอย่างไม่รู้เรื่องเนื่องจากการกล่อมของเผ่ามนุษย์หิน
เวลาที่ใครหายไปสักคน เราจะรับรู้ว่าเขามีค่าสำหรับเรา

ตอบกลับโพส

ย้อนกลับไปยัง “ก้าวแรก(สู่นักเขียนมืออาชีพ)”