เทพบุตรอสูร บทนำ (รีไรท์100%) up 24-04-55

ถ้าเพื่อนๆ มีเรื่องที่น่าสนใจและต้องการแบ่งปันเนื้อหา หรือร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการเป็นนักเขียนมืออาชีพ

Moderator: Gals, B.Comics, พี่บี

ตอบกลับโพส
maou
โพสต์: 7
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ 22 ก.พ. 2012 9:51 pm

เทพบุตรอสูร บทนำ (รีไรท์100%) up 24-04-55

โพสต์ โดย maou »

ภาคปัจจุบันที่คงอยู่

*ในยุคสมัยของการสร้างโลก พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงสร้างมนุษย์สองคนขึ้นมาจากก้อนดินและประทานชื่อนาม อดัม และ เอวา มนุษย์ชายหญิงคู่แรกผู้ที่พระองค์ทรงรักมิต่างจากบุตรแห่งพระองค์ อีกทั้งยังทรงเมตตาให้ทั้งคู่ใช้ชีวิตในสวนสวรรค์แห่งอีเดน หากแต่สิ่งหนึ่งที่ทรงย้ำห้ามคือการเด็ดกินผลไม้แห่งความรู้ดีชั่วที่อยู่กลางสวนนั้น

อัครเทวดาเบื้องซ้าย นามลูซิเฟอร์มีจิตใจริษยา จึงแปลงกายเป็นงูและหลอกล่อให้ทั้งสองทำผิดกฎข้อห้ามของพระผู้เป็นเจ้าจนพระองค์ขับไล่คนทั้งคู่ออกจากสวนอีเดนและใช้ชีวิตอย่างยากลำบากในโลกมนุษย์

ส่วนลูซิเฟอร์นั้น ถูกพระผู้เป็นเจ้าขับไล่ออกจากสรวงสวรรค์ของพระองค์ โดยพระองค์ได้ส่งอัครเทวดาเบื้องขวานามมิคาเอลมาสำเร็จโทษ และส่งลูซิเฟอร์ไปอยู่ยังพื้นพิภพเบื้องล่าง ดินแดนแห่งคนบาปซึ่งไร้แสงสว่างชั่วกัปป์ชั่วกัลป์ (*หนึ่งในตำนานสร้างโลกของศาสนาคริสต์)
@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@

บทนำ

ยุคสมัยก่อนบรรพกาล ก่อนประวัติศาสตร์ใดในโลกจะถูกจารึกไว้ หลังจากมนุษย์คู่แรกถูกขับไล่ออกจากสวนสวรรค์แห่งพระผู้เป็นเจ้า ยาวนานสืบเนื่องมาหลายพันศตวรรษ ดินแดนแห่งทะเลสีทองซึ่งเต็มไปด้วยความร้อนและความยากลำบาก เปรียบเสมือนบทลงโทษแห่งพระผู้เป็นเจ้า

ด้วยความผิดบาปของมนุษย์คู่แรกที่ถูกขับไล่ออกจากสรวงสวรรค์ทำให้เหล่าบรรพชนลูกหลานที่สืบทอดสายเลือดนั้นจำต้องรับโทษทัณฑ์บนโลกมนุษย์ชั่วกัปชั่วกัมป์ จนกว่าร่างเนื้อจะสลายสิ้น และจนกว่าพระผู้เป็นเจ้าจะทรงให้อภัย

กลุ่มชนเล็กๆ ที่สร้างหมู่บ้านและปักรากฐานใกล้กับแม่น้ำสายหนึ่งซึ่งทอดยาวกลางผืนทราย พืชพรรณนานาขึ้นปกคลุมประดุจหนึ่งเป็นโอเอซิส ผ้าผืนหนาขึงตึงกับไม้ค้ำยาวแทนบ้านพักอาศัย ดีขึ้นหน่อยก็เป็นหินก้อนหนาที่วางเรียงซ้อนกันเพื่อให้แข็งแรงและทนต่อสภาพดินฟ้าอากาศ มีผู้คนส่วนน้อยที่สร้างบ้านของตนขึ้นด้วยแผ่นไม้เกือบทั้งหลัง แล้วฉาบทับด้วยดินเหนียวเพื่อป้องกันลมร้อนและลมหนาว บ้านเหล่านั้นจักถูกสร้างขึ้นใกล้กับโอเอซิส ดินแดนที่เต็มไปด้วยพืชพรรณเพื่อให้แนวไม้นั้นช่วยทุเลาความเลวร้ายของสายลม

สถานที่เริ่มแรกถูกสร้างขึ้นด้วยผู้คนซึ่งเต็มไปด้วยศรัทธาในพระผู้เป็นเจ้า และเกลียดชังมารร้ายที่ทำให้บรรพบุรุษของตนต้องโทษจนถูกขับไล่ออกจากผืนสวรรค์ พวกเขากราบไหว้บูชาต้นแอปเปิ้ลกลางหมู่บ้าน ผลไม้ศักดิ์สิทธิ์จากผืนสวรรค์ซึ่งมิมีผู้ใดล่วงรู้ว่าไฉนเลยถึงมีต้นผลไม้นี้บังเกิดขึ้นมาได้ ผลแดงสดที่ชวนให้ลิ้มลอง หากแต่ทุกผู้คนกลับเลือกที่จักกราบไหว้บูชา มิมีผู้ใดกล้าเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับผลไม้แห่งสรวงสวรรค์ ยิ่งเหตุการณ์ร้ายเมื่อแปดปีก่อนที่เกิดขึ้นด้วยฝีมือของมารร้าย เปลวไฟโหมกระหน่ำซึ่งไหม้ลุกลามไปเกือบทั่วทั้งหมู่บ้านจนพินาศย่อยยับ ต้นปาล์มและไม้ใหญ่อื่นๆ ถูกไฟเผาจนเหลือเพียงซากตอ คงมีเพียงต้นแอปเปิ้ลใหญ่นี้เท่านั้นที่ยังคงยืนหยัดต้านภัยร้ายและไม่ถูกไฟลุกลามเผาไหม้ ความน่ามหัศจรรย์นั้นจึงทำให้ผู้คนในหมู่บ้านยิ่งให้ความเคารพยำเกรง ประหนึ่งสิ่งนี้คือสิ่งประทานจากพระผู้เป็นเจ้าจากสรวงสวรรค์

ด้วยเหตุนั้น พวกเขาจึงบูชาต้นแอปเปิ้ลต้นนี้ด้วยศรัทธาแห่งพระผู้เป็นเจ้าและเพื่อระลึกถึงความผิดบาปที่บรรพบุรุษของพวกเขาได้กระทำไว้ และเพื่อสักวันหนึ่งพระผู้เป็นเจ้าจะให้อภัยและต้อนรับพวกเขาสู่ดินแดนของพระองค์

ผลไม้ศักดิ์สิทธิ์ซึ่งทุกบ้านจักมีเก็บไว้เพื่อประดับบูชา ทุกผู้คนจะหยิบผลแอปเปิ้ลที่ร่วงหล่นจากลำต้นและนำกลับไปบูชาที่บ้าน มิมีแม้เพียงผู้คนเดียวที่จักเด็ดหรือกินผลแอปเปิ้ลโดยตรงจากต้น เนื่องด้วยสิ่งนั้นถือเป็นความผิดบาปและเป็นการล่วงเกินต่อพระผู้เป็นเจ้า

หาได้มีผู้ใดกล้ากระทำเช่นนั้นไม่ เว้นเพียงผู้เดียวเท่านั้น มารร้ายผู้ล่อลวง...ลูซิเฟอร์!

เสียงใบไม้เสียดสีจากบนต้นแอปเปิ้ลดังขึ้นดึงความสนใจจากทุกผู้คนในหมู่บ้าน ก่อนร่างสูงใหญ่จะกระโจนลงจากต้นใหญ่ท่ามกลางสายตาแห่งความตะหนกของทุกผู้คน เสียงร้องอื้ออึงดังระงมกับการกระทำอันหยาบกระด้างของชายผู้ได้ชื่อว่าเป็นมารร้าย

เสียงแค่นหัวเราะในลำคอดังขึ้นเมื่อเห็นสีหน้าหวาดผวาของทุกผู้คน ชายหนุ่มผู้มีเส้นผมสีดำขลับราวกับสีของราตรี หากแต่เงางามประดุจมีดวงดาราประดับไว้ ผิวกายสีทองแดงละเอียดและร่างกายกำยำเฉกเช่นนักรบแห่งแดนทราย เรือนร่างท่อนบนเปลือยเปล่าอาบรับกับแสงตะวัน มิเกรงกลัวซึ่งความร้อนของผืนทราย ชายหนุ่มผู้มีใบหน้างดงามหมดจดราวเทพบุตร และรอยยิ้มเย้ยหยันที่มักจะโปรยปรายให้กับทุกผู้คนซึ่งเขาพบเห็น แต่ทุกผู้คนที่ว่านั้นก็มักจะหลบเลี่ยงสายตาและรอยยิ้มของเขาด้วยสีหน้าหวาดกลัว

เขาคือบุรุษหนุ่มรูปงามหาผู้ใดเปรียบ มีเส้นผมที่ทุกผู้คนเรียกขานว่าเป็นสัญลักษณ์ของมารร้าย เส้นผมสีรัตติกาลมืดมิดยาวถึงแผ่นหลังและมัดรวบไว้เพียงหลวม ในมือของเขามักจะมีผลแอปเปิ้ลสีแดงสดหนึ่งผลซึ่งเด็ดใหม่จากต้นเสมอ และมักปรากฎกายต่อหน้าผู้คนในช่วงสายด้วยการกระโดดลงมาจากต้นแอปเปิ้ล ราวกับเย้ยหยันให้ทุกผู้คนรับรู้ว่าเขาคือชายเพียงหนึ่งเดียวผู้กล้าขัดต่อบัญชาของพระผู้เป็นเจ้า ชายเพียงหนึ่งเดียวผู้กล้าเหยียบย่ำบนต้นไม้แห่งสรวงสวรรค์ ชายที่ทุกผู้คนต่างเรียกขานเขาว่าเป็นปิศาจร้ายจากดินแดนอันแสนห่างไกล ผู้กราบไหว้บูชาจอมมาร...อัครเทวดาตกสวรรค์นามลูซิเฟอร์

ทุกผู้คนมิกล้าเข้าใกล้เขา ทุกผู้คนหวาดกลัวในอำนาจของเขา กระนั้นแล้วก็ยังมีผู้คนจำนวนไม่น้อยที่หลงใหลในพลังอำนาจนั้น หลงใหลในกลิ่นกายของบุรุษเพศ หลงใหลในความแข็งแกร่งและเด็ดเดี่ยว หลงใหลในรูปกายแสนงดงามและยากนักที่จักมิปรายตามอง โดยเฉพาะเหล่าสตรีนางที่ปรารถนาจักให้เขาคลายหนาวให้นางในยามค่ำคืน แม้จักรู้ว่าเขาคือชายผู้มิสมควรเฉียดเข้าใกล้ แต่พวกนางกลับปรารถนาเขาดั่งคล้ายโหยหา...บนเตียงของพวกนาง

ริมฝีปากหนายิ้มหยันเมื่อเห็นท่าทางของผู้คนที่สะดุ้งโหยงสุดตัวและพากันหลบสายตาจากเขารวมถึงหลีกห่างออกให้ไกลจนเกือบจะวิ่งชนกัน

ทุกเส้นทางที่เขาเดินผ่าน ผู้คนในหมู่บ้านที่พบเห็นมักจะหลบทางให้เขาอย่างมิต้องบอกกล่าว ทุกคนแสดงให้เห็นชัดแจ้งว่ามิต้องการยุ่งเกี่ยวกับเขา ทั้งสายตาไม่เป็นมิตร ทั้งสายตาที่เต็มไปด้วยความชิงชังหากแฝงไว้ด้วยความหวาดกลัว บ้างต้องการหลีกหนีห่างไกล บ้างก็หลงใหลสิเน่หาในรูปกายงดงามของเขา ความรู้สึกที่ไม่อยากชิดใกล้แต่กลับถวินหาอย่างน่าประหลาด

บรรยากาศรอบกายของชายผู้นี้มักทำให้ทุกผู้คนหวาดกลัวโดยที่พวกเขาเองก็มิอาจรู้ได้ว่าเป็นเพราะเหตุใด หากแต่บางครั้งพลังอำนาจที่แข็งแกร่งนั้นก็ดึงดูดให้ทุกผู้คนเข้าหาได้เช่นกัน อาจเพราะเขาคือชายที่ดูแปลกและแตกต่างจากทุกผู้คนในหมู่บ้านแห่งนี้ อาจเพราะเขาเป็นผู้เดียวที่กล้าเหยียบย่ำต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์แห่งแดนสวรรค์ อาจเพราะเขาคือชายผู้เดียวซึ่งกล้าเด็ดผลแอปเปิ้ลจากต้นและโยนเล่นราวกับสิ่งไร้ค่าก็มิปาน

แม้เขาจักตั้งตนเป็นปฏิปักษ์กับพระผู้เป็นเจ้าอย่างชัดแจ้งในหมู่บ้านที่ทุกผู้คนเคารพพระองค์ แต่กลับมิมีผู้ใดแม้สักคนที่กล้าเอ่ยปากขับไล่เขา หรือกระทั่งปฏิเสธและดูถูกเขาอย่างชัดแจ้ง พวกเขาทำได้แค่ปฏิเสธทางสายตา ชิงชังและหวาดกลัว หลบหน้าและถอยห่าง จนกลายเป็นมารร้ายผู้นี้เองที่แสดงเห็นชัดแจ้งว่าเขามิชอบหน้าทุกผู้คน และไม่พอใจซึ่งทุกสิ่ง

?มันจักมากไปแล้วนะลูฟา!? น้ำเสียงแข็งกร้าวตวาดดังขึ้นอย่างมิชอบใจ ดึงร่างสูงใหญ่ให้หยุดและหันมอง

จาคอป ชายผู้เป็นหนึ่งในนักรบของหมู่บ้าน ผู้มีร่างกายกำยำแข็งแรงใหญ่โตกับผิวสีน้ำตาลไหม้ เขาเคยเปลื้องผ้าท่อนบนเพื่อประชันความแข็งแกร่งกับชายผู้นี้ หากเพียงแค่ไม่กี่วันผ่านไป ผิวกายไหม้ที่แสบร้อนทำให้เขาจำต้องหาอาภรณ์มาปกคลุมก่อนผิวของเขาจักไหม้เกรียม และแม้ใบหน้าของเขาจะไม่รูปงามเท่ากับใบหน้าของมารร้ายที่ล่อลวงให้สตรีเพศทุกผู้คนหลงใหลเช่นชายตรงหน้า หากแต่เขาก็ใช่ว่าจะขี้ริ้วเสียมากมาย อย่างน้อยก็ยังมีสตรีมากมายยอมพลีกายเพื่อเขา แต่นั่นเป็นช่วงเพลาก่อนที่ชายผู้นี้จะปรากฎกาย

ริมฝีปากหนาเพียงหยักยิ้มเย้ย ?กระไรที่มากเกินรึ?? เขาถามราวกับมิรับรู้ในความผิดของตน

?เจ้าเหยียบย่ำบนต้นแอปเปิ้ลศักดิ์สิทธิ์ เด็ดผลจากลำต้น แถมเจ้ายังโยนเล่นราวกับสิ่งไร้ค่า สิ่งที่เจ้าทำถือเป็นความผิดมหันต์!? จาคอปชี้หน้าใส่ด้วยโทสะ ใช่ว่าเขาอยากจะต่อกรกับมารร้ายผู้นี้ ชายผู้น่ากลัวแม้เพียงแววตา หากแต่เขาจำต้องกระทำเพื่อเรียกชื่อเสียงและความน่าเกรงขามของเขากลับคืนมา หากเขากล้าเผชิญหน้ากับชายผู้นี้ เขาจะได้รับเสียงและสายตาชื่นชมจากทุกผู้คนในหมู่บ้านกลับคืน

?ผิดรึ?? เขาชักสีหน้าแปลกใจ ก่อนจะยิ้มขบขัน ?แค่ข้าปีนต้นไม้เล่น กับเด็ดผลไม้มาเชยชม เป็นเรื่องผิดอันใด? ทีพวกเจ้าตัดต้นไม้สร้างบ้านเรือน ข้ายังมิเคยกล่าวหาสักคำว่าเป็นความผิด? เขาแย้งกลับ จาคอปเชิดหน้าอย่างไม่ยอมแพ้

?ต้นไม้ทุกต้นเจ้าปีนเล่นได้ เว้นเพียงต้นแอปเปิ้ลจากสรวงสวรรค์นี้เท่านั้นที่เจ้าปีนมิได้?

ปลายคิ้วหนาเลิกขึ้นอย่างยียวน ลูฟาแสร้งทำเป็นหันกลับไปมองต้นแอปเปิ้ลใหญ่ ก่อนเขาจะหันกลับมาพร้อมกับรอยยิ้มหยัน ?มันขึ้นอยู่บนพื้นดิน หาใช่สรวงสวรรค์ไม่ แล้วเจ้าคิดว่าตนเองเป็นพระผู้เป็นเจ้ารึไรถึงได้เอ่ยห้ามปีนต้นไม้ต้นนี้??

?ข้ามิใช่พระผู้เป็นเจ้า หากแต่ทุกผู้คนรู้ดีว่าต้นไม้แห่งนี้เป็นต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์และเป็นที่เคารพของทุกผู้คนในหมู่บ้าน!?

?ช่างน่าเสียดายที่ข้าหาใช่คนในหมู่บ้านของเจ้าไม่?

?ในเมื่อเจ้ามาอยู่ในหมู่บ้าน เจ้าก็ต้องรักษากฎของหมู่บ้าน!?

เขาแค่นเสียง ?ขนาดพ่อแห่งข้ายังทำให้ข้ารักษากฎมิได้ แล้วเจ้าคิดว่าตนเองเป็นใครจักมาบังคับข้าได้??

?ข้าคือนักรบแห่งหมู่บ้าน และข้าคือผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่บ้านแห่งนี้!? จาคอปอวดอ้างตน

?ข้าครุ่นคิดอยู่ ราวกับเคยได้ยินประโยคนี้มาก่อนเมื่อนานมาแล้ว? เขาแสร้งทำเป็นครุ่นคิดหนัก ?อ้อ ข้าจำได้แล้ว นั่นเป็นคราแรกที่ข้ามาถึงยังหมู่บ้านแห่งนี้เมื่อหลายเดือนก่อน และเจ้าก็เข้ามาขัดข้าเช่นนี้ก่อนหน้าเจ้าจักล้มคว่ำกลางผืนทรายกลายเป็นตัวตลกของทุกผู้คนในหมู่บ้าน ใช่รึไม่ ท่านนักรบผู้แข็งแกร่ง? เขาเย้ย

?นั่นเพราะข้ามิทันระวังตนต่างหากเล่า? ริมฝีปากหนากระตุกยิ้มเล็กน้อย ใบหน้าเต็มไปด้วยความโกรธ เขากระชากดาบจากมือของสหายสนิทที่ติดตามมา ?ครานี้ ข้าจักสังหารเจ้าด้วยดาบที่ข้าถนัด?

ลูฟาเพียงยืนกอดอกและเลิกปลายคิ้วสูงอย่างท่าทาย ?จักเข้ามาพร้อมกันหมด ข้าก็มิว่ากล่าวกระไร?

?แค่ข้าคนเดียวก็สังหารเจ้าได้ ลูฟา!? จาคอปกดเสียงขู่ต่ำ ?เราจักสู้กันดุจนักรบแห่งทะเลทราย หากเจ้าพ่าย เจ้าจักต้องออกไปจากหมู่บ้านแห่งนี้?

?เช่นนั้นหากเจ้าพ่าย เจ้าต้องแก้ผ้าเต้นระบำหน้าต้นแอปเปิ้ลสามวันสามคืน? ข้อตกลงที่อีกฝ่ายยื่นกลับมาทำเอาจาคอปถึงกับหน้าแดงก่ำด้วยความโกรธที่พุ่งขึ้นเป็นริ้วๆ แต่เขาจำต้องระงับมันไว้

?ย่อมได้ลูฟา วันนี้ข้าจะกำจัดมารร้ายเช่นเจ้าให้ไกลพ้นจากหมู่บ้าน!? เขาโยนดาบอีกเล่มหนึ่งไปให้ มือหนาคว้ารับและเพ่งมอง เขาหยักยิ้.ักดาบไว้บนผืนทรายใกล้กับต้นแอปเปิ้ล

?ข้าว่า...อาวุธแห่งข้าเป็นเพียงแอปเปิ้ลผลเดียวก็เพียงพอ? เขาพูดพลางโยนแอปเปิ้ลผลสดในมือพร้อมแววตาดูถูก

?กล้าดูถูกข้ารึ??

?หาใช่ไม่จาคอป เพียงแต่ข้าประเมินฝีมือของเจ้าแล้ว แค่แอปเปิ้ลผลเดียวก็เพียงพอแล้วสำหรับการทำให้เจ้าพ่ายแบบมิเสียเลือด? น้ำเสียงนุ่มกล่าว เสียงหัวเราะในลำคอที่ดังอย่างเย่อหยิ่งยิ่งสร้างความคับแค้นใจให้จาคอปเป็นยิ่งนัก

เขากระชับดาบในมือมั่นและพุ่งตรงเข้าไปหมายสังหารชายตรงหน้าเสียให้สิ้น ลูฟาเพียงขยับปลายเท้าเล็กน้อยเพื่อเอี้ยวกายหลบ คมดาบฟาดฟันตามก่อนจะได้ยินเสียงกระทบดังซึ่งจาคอปมิรู้ว่าเป็นเสียงที่เกิดจากสิ่งใด ลูฟาหยักยิ้มน้อย แอปเปิ้ลผลสดรับคมดาบของจาคอปไว้ได้ก่อนที่จะถึงตัวเขา สายตาของทุกผู้คนถึงกับตะลึงงันเมื่อเห็นว่าคมดาบของจาคอปมิอาจผ่าผลแอปเปิ้ลนั้นได้ถึงครึ่งด้วยซ้ำ

?ดาบเจ้าคมจริงแท้จาคอปเอ๋ย ขนาดผลแอปเปิ้ลยังฟันให้ขาดจากกันมิได้? ลูฟาประชดพร้อมรอยยิ้มหยัน เขาบิดข้อมือที่ถือผลแอปเปิ้ลเล็กน้อยก่อนคมดาบของจาคอปจะหักครึ่งท่อนคาผลแอปเปิ้ลนั้น!

ดาบอีกครึ่งที่เหลือลอยหลุดจากมือของเขาและปักกลางผืนทราย สายตาของทุกคู่ตะลึงงัน โดยเฉพาะจาคอปที่แทบมิเชื่อในสิ่งที่ได้เห็น

ลูฟาดึงคมดาบที่หักกลางออกจากผลแดงสด เขาโยนปักไว้กลางผืนทรายพร้อมกับเงยหน้ามองสบกับผู้พ่ายแพ้ที่ยังคงตกอยู่ในความตะลึงงัน

?ข้าคงประเมินเจ้าผิดไปจาคอป คราวหน้าข้าจักใช้ก้านแอปเปิ้ลแทน? เขาตอบพร้อมรอยยิ้มยียวนก่อนจะเดินไปอีกทาง ปล่อยให้ผู้พ่ายได้ลิ้มรสความอับอายเพียงลำพัง ?เจ้าอย่าลืมระบำเปลื้องผ้าหน้าต้นแอปเปิ้ลด้วยเล่า!? เขาตะโกนเตือนพร้อมกับเสียงหัวเราะดังก้องที่เสียดแทงหูและแทงลึกเข้าไปในจิตใจของทุกผู้คนจนทำให้ขวัญผวา

น้อยคนนักที่จักอยากชิดใกล้เขาแม้ร่างกายของเขาจะดึงดูดให้น่าสิเน่หา น้อยผู้คนนักที่จักชื่นชมเขาแม้ท่าทางของเขาจักน่ายำเกรง น้อยคนนักที่จักเทิดทูลบูชาเขา ด้วยเพราะเขาคือมารร้าย!

"ลูฟา!" น้ำเสียงหวานตะโกนลั่นพร้อมกับร่างบางซึ่งวิ่งยกกระโปรงตัวปลิวเพื่อรีบมาเกาะแกะเขา สตรีสาวงามประจำหมู่บ้านซึ่งร่างกายเพิ่งแตกสาว นางไม่สนใจผู้คนรอบข้างที่จ้องมองนางด้วยสายตาดูแคลนที่กล้ามาเกาะแกะชายผู้ได้ชื่อว่ามารร้ายเช่นเขาอย่างสนิทสนมและชิดใกล้ ด้วยเพราะนางนั้นรูปงามเกินกว่าที่ทุกผู้คนจักกล้าเดียจฉันท์

แต่มิใช่สำหรับเขา!

"ข้าคิดถึงเจ้าลูฟา" จามิว สตรีสาวผู้มีเส้นผมสีทองแดง ร่างกายอวบอัดจนล้นแน่นอาภรณ์ ผิวกายเนียนละเอียดจนลื่นกับสัมผัส ใบหน้างามเต็มไปด้วยความสดใสและมีชีวิตชีวา ดวงตาสีน้ำตาลเป็นประกาย ริมฝีปากอวบอิ่มแดงระเรื่อชวนให้หลงใหล นางเกาะเกี่ยวแขนแกร่งข้างหนึ่งของเขา ก่อนจามรี น้องสาวฝาแฝดของนางจะวิ่งมาเกาะแขนของเขาอีกข้างหนึ่งราวกับเป็นเจ้าของก็ไม่ปาน

"ข้าก็คิดถึงท่านนะลูฟา" จามรีเอ่ยด้วยน้ำเสียงหวานช่างออเซาะ พร้อมกับใบหน้างามที่เอนซบท่อนแขนแกร่งกำยำของเขา "ข้าอยากใกล้ชิดท่านเช่นคืนก่อนที่ท่านจะจากมา" นางเอ่ยราวหลงใหลในเพศรสที่เขามอบให้โดยมิสนซึ่งสายตาและคำดูถูกของผู้ใด ด้วยเพราะนางนั้นงดงามยิ่งกว่าสตรีทุกผู้คน

"แต่ข้ามิได้อยากใกล้ชิดพวกเจ้าเช่นนั้น" เขาพูดพลางสะบัดแขนทั้งสองข้างอย่างรังเกียจ แต่พวกนางก็เกาะไว้จนแน่น

"เพราะเหตุใดกันเล่าลูฟา? พวกข้ารึออกจะรูปงามหมดจดจนชายหนุ่มทุกผู้คนต้องเหลียวมอง แต่เจ้ากลับผลักไสไล่ข้ากับจามรีไปเสียไกล" นางแสร้งทำเสียงกระเง้ากระงอด แต่เขาไม่เคยสน

"เช่นนั้นเจ้าก็ไปให้ชายหนุ่มเหล่านั้นเชยชมพวกเจ้าแทนข้าก็แล้วกัน" เขาตัดบทอย่างนึกรำคาญ หากแต่พวกนางกลับมิยอมแม้จักปล่อย

"ว่ากระไรนะ?!" จามรีขึ้นเสียง "ก่อนหน้านั้นท่านยังกระซิบพร่ำบอกข้าว่าอยากจักกอดกกข้ากับพี่สาวข้า แล้วเหตุไฉนบัดนี้ท่านถึงได้แล้งน้ำใจนัก"

เขาหยักยิ้มพลางหัวเราะขึ้นจมูก "เพราะข้ากอดกกพวกเจ้าจนพอใจข้าแล้ว ฉะนั้นบัดนี้ข้าจึงเบื่อหน่ายพวกเจ้าเต็มทน" เขาบอกก่อนจะกระชากแขนเสียให้พ้นจากจับกุมของพวกนางและเดินนำลิ่วท่ามกลางเส้นทางที่ทุกผู้คนพร้อมใจกันเปิดทางเพื่อเขา

เสียงกระซิบพูดคุยนินทาเกี่ยวกับการกระทำของลูฟาซึ่งทุกผู้คนค่อนข้างให้ความสนใจเป็นพิเศษ อีกทั้งยังสตรีสาวงามของหมู่บ้านที่ตามติดเขาราวกับพวกสตรีงามเมืองก็มิปาน กระนั้นแล้ว ทั้งสองนางก็หาได้สนใจไม่ ในเมื่อสตรีทุกผู้คนต่างปรารถนาจักให้เขากกกอดทั้งนั้น เพียงแต่มิมีแม้เพียงสักผู้คนเดียวที่กล้าตามตื้อและวิ่งไล่เขาสามวันเจ็ดวันเช่นพวกนาง

จามิวกับจามรียืนทำหน้าง้ำงอ ก่อนพวกนางทั้งสองจะรีบวิ่งไปเกาะที่แขนของเขาเช่นเดิมเพื่อออดอ้อนต่อไป

"ข้ามิยอมดอกลูฟา คืนนั้นเจ้ายังบอกว่ารักข้าเลยมิใช่รึ?" นางออดอ้อนด้วยน้ำเสียงหวาน หวังนักจักให้เขาหันกลับมามองนางอีกหน สำหรับหนุ่มอื่นนางอาจจะทำได้ แต่สำหรับชายหนุ่มนามลูฟา ไม่มีสตรีนางใดจะทำให้เขาหันกลับมาสนใจซ้ำสองได้

"สตรีนางอื่นข้าพูดเพียงหนก็รู้จักจำ แต่พวกเจ้าไฉนเลยถึงมิเคยจำ" เขาชักสีหน้าเบื่อหน่าย กระนั้นแล้วใบหน้าของเขาก็ยังคงงดงามและน่าหลงใหลยิ่ง เป็นเสน่ห์ที่สามารถมัดใจพวกนางไว้มิเสื่อมคลาย ทั้งแข็งแกร่ง มีอำนาจ หยาบกระด้าง และดุดัน เป็นเอกลักษณ์ของนักรบแห่งแดนทรายที่จริงแท้

"เจ้าบอกว่ารักข้า" นางเอ่ยเสียงหวาน เขากลับแค่นเสียงใส่พร้อมด้วยสายตาดูแคลน

"ข้าบอกเจ้าไปแล้วจามิว ว่าข้าจักทำทุกวิถีทางเพื่อได้ตัวเจ้า แม้จักปดคำลวงก็ตาม ซึ่งเจ้าเองก็ยินยอมมิใช่รึ?" เขาหยักยิ้.่างไม่มีปิดบัง ซึ่งนางเองก็ใช่ว่าจะไม่รู้ กิตติศัพท์ชั่วร้ายของชายหนุ่มนามลูฟา ผู้รักษาคำมั่นในคำพูดของตน แต่มิเคยพูดความจริงกับคนผู้ใด ล่อลวงให้ผู้คนหลงเชื่อ ก่อนคนผู้นั้นจะพินาศย่อยยับจนฉิบหายเพราะสิ่งที่เขาเป็น

เขาคือสัญลักษณ์แห่งมารร้ายผู้ล่อลวงอดัมและเอวาให้หลงผิดเฉกเช่นเดียวกับที่ทำกับทุกผู้คน ความจริงแล้วเขาควรจะเป็นที่รังเกียจเดียดฉันท์ของทุกผู้คนในหมู่บ้าน และควรจะเป็นคนที่ทุกผู้คนหลีกหนีไปเสียให้ไกลพ้น หากแต่กระนั้นแล้ว ก็ยังมีอีกหลายผู้คนที่หลงเชื่อในคำพูดของเขาและหลงใหลเพียงรูปกายของเขา แม้จะรู้ว่าเขาไม่เคยให้ความจริงใจกับผู้ใด แม้จะรู้ว่าเขามิเคยพูดความจริงกับผู้ใด กระนั้นแล้ว บางผู้คนก็ยังยอมฟังคำพูดของเขา เพียงเพราะจะได้อีกสิ่งหนึ่งที่พวกเขาต้องการ แม้จะต้องแลกมากับการขัดซึ่งศรัทธาแห่งพระผู้เป็นเจ้าก็ตามที

ด้วยเหตุนั้น ลูฟาจึงกลายเป็นบุรุษคนดังของหมู่บ้านในแง่ของมารร้ายที่ลวงหลอกทุกผู้คนให้ทั้งหวาดกลัวและหลงใหลเขาในคราเดียวกัน เป็นชายผู้ได้ชื่อว่ามารร้ายในคราบของเทพบุตร

"เช่นนั้นคืนนี้จักกอดข้าอีกสักคืนได้หรือไม่?" จามรีอ้อนวอน นางกลายเป็นสาวร่านสวาทไปนับแต่คืนที่เขามาปล้นพรหมจรรย์ของนาง หรือหากพูดให้ถูก นางยอมอ้าขาให้เขาเพียงแค่เขาเอ่ยปากเท่านั้น

ร่างสูงใหญ่หยุดเดิน เขาหันมาส่งยิ้มกว้างให้นาง เป็นรอยยิ้มเย้ยหยันด้วยความสมเพชแกมดูหมิ่นอย่างที่ทุกผู้คนเข้าใจ

"ไม่!" เขาพูดเต็มปากเต็มคำก่อนจะสลัดแขนทั้งสองข้างเพื่อให้พ้นจากพวกนางทั้งคู่

โครม!

เสียงดังจากด้านในซอยแคบที่ทั้งมืดมิดและอับชื้นดึงความสนใจจากเขา เป็นทางเดินสายเล็กทอดยาวขนาบข้างด้วยบ้านซึ่งทำจากอิฐ อยู่เลยออกห่างจากโอเอซิสไปเล็กน้อยจนพื้นอยู่ในเขตแดนของทะเลทราย แต่กระนั้นก็ยังคงอยู่ในบริเวณกลางหมู่บ้านมิได้ชิดชานหมู่บ้านเช่นหลังอื่น

สายตาทุกคู่ต่างหยุดและหันมองเสียงที่เกิดขึ้นนั้น หลายคนเริ่มเดินหนีและหลีกห่างให้ไกล หลายคนชักสีหน้ารังเกียจอย่างเห็นได้ชัดซึ่งแตกต่างจากสายตาที่ใช้มองลูฟา กลิ่นเหม็นคลุ้งที่ลอยลอดออกมาทำให้หลายคนชักสีหน้าขยาด พวกเขาพากันถอยห่างและสบถกล่าวโทษตนเองถึงความเผลอไผลที่อยากจักรู้เรื่องราวของผู้อื่นจนลืมกระทั่งพื้นที่อันตรายที่มิสมควรเข้าใกล้

ในขณะที่ทุกผู้คนถอยออกห่าง แต่ร่างสูงใหญ่กลับยืนนิ่งและจ้องมองเข้าไปในตรอกที่มืดมิดนั้น สิ่งที่ดึงความสนใจของเขาได้มากกว่าเสียงและกลิ่นเหม็นเน่า คือแสงสว่างน้อยนิดที่ส่องลอดออกมาจากด้านใน เป็นประกายแสงงดงามสีขาวสว่างไสวที่เขาเองก็ไม่เข้าใจเช่นกันว่าไฉนเลยถึงมิเคยสังเกตเห็นมาก่อนจวบจนกระทั่งบัดนี้

สตรีสาวร่างบางผู้ปกปิดร่างกายตนเองอย่างมิดชิด เส้นผมสีน้ำตาลทองซุกซ่อนอยู่ภายใต้เศษผ้าขาดสกปรกซึ่งปกคลุมศีรษะและช่วยบดบังใบหน้าของนางจากแสงสว่างและจากสายตาของทุกผู้คน เสื้อผ้าของนางขาดวิ่นและส่งกลิ่นเหม็นอับ อีกทั้งยังเศษอาหารที่หกรดบนผืนทรายซึ่งช่วยเพิ่มความน่ารังเกียจให้นางมากขึ้นเป็นเท่าทวี

ร่างสูงใหญ่เดินมาหยุดอยู่หน้าตรอกสปกรก ดวงตาทั้งสองหรี่มองพร้อมครุ่นคิดกับท่าทางหวาดกลัวของนางที่พยายามเก็บกวาดเศษอาหารที่ร่วงหล่นด้วยสองมืออย่างไม่มีท่าทีรังเกียจเดียจฉันท์ ร่างบางสั่นเทา กระวนกระวาย นางรู้ว่าเขาหยุดยืนมอง เพราะเหตุนั้น นางถึงได้เกิดความกลัวขึ้นในจิตใจ

ปลายคิ้วหนาขมวดแน่น หากเขามิได้หลงตนนัก เขาเห็นว่านางชำเลืองมองเขาด้วยสายตาแห่งความสิเน่หาชั่วครู่ ก่อนจำต้องหลบซ่อนด้วยเพราะบางสิ่งที่ถูกปกปิดภายใต้เส้นผมของนาง รึไม่ก็เพราะความหวาดกลัวต่อเขาซึ่งมีมากยิ่งกว่า

ความน่าสมเพชของนางมิใช่สิ่งที่ดึงดูดเขา แต่เป็นอีกสิ่งหนึ่งต่างหากที่ดึงดูดใจให้เขาจำต้องหยุดมอง

แสงสว่างพิสุทธิ์ดวงน้อยแสนงดงามที่เขาเองมิเคยพบเห็นจากผู้คนใดนอกจากนาง

"นั่นมันนังอัปลักษณ์นี่ แหว่ะ เหม็นจะตาย รีบออกไปจากตรงนี้เถิดลูฟา" จามรีพูด นางแสดงสีหน้าให้เห็นอย่างเด่นชัดว่ารังเกียจสตรีผู้นี้และกลิ่นเหม็นเน่าจากกายนางมากเพียงใด "ข้ามิเข้าใจว่าไฉนนางถึงมิตายไปเสียให้พ้นสายตา!"

"นางชื่อกระไร?" เขาถาม จามิวกับจามรีขมวดปลายคิ้วแน่นด้วยความแปลกระคมไม่พอใจ ร่างบางสกปรกถึงกับสะดุ้งโหยง นางเหลือบมองเขาชั่วครู่ก่อนจะรีบหลบเข้าไปในบ้านเพื่อให้ไกลพ้นจากสายตาโดยทิ้งงานที่ยังมิเสร็จดีไว้

"ไฉนท่านต้องอยากรู้ด้วยเล่า?" จามรีถาม "ข้าแทบจะมิอยากจดจำแม้ชื่อของนางด้วยซ้ำ"

"นางชื่อว่ากระไร?" น้ำเสียงห้าวทุ้มต่ำลงพร้อมกับสายตาแข็งกร้าวที่จ้องเขม็งจนทำให้นางทั้งสองหวาดกลัวอยู่ในจิตใจ

"มาเรียอา นั่นนามของนาง" จามิวตอบ "หากแต่ข้าไม่คิดว่านางจะสวยไปมากกว่าข้าดอกนะลูฟา นางผู้นั้นมีรูปกายที่อัปลักษณ์เกินจักยลมองได้"

"อัปลักษณ์รึ?" เขาถาม

จามิวเล่า "ก็มีข่าวลือว่านางน่ะบูชายัญตนเองเพื่อเรียกมารร้ายออกมาให้ฆ่าพ่อกับน้องสาวของนาง ก่อนจะเผาบ้านทั้งหลังจนวอดวายรวมถึงหมู่บ้านเกือบทั้งหมู่บ้าน ผู้คนแถวนี้รู้กันทั่วกับความผิดที่ขนาดพระผู้เป็นเจ้ายังมิอภัยให้กับนาง ไม่มีใครสักคนชื่นชอบนางด้วยเพราะนางนำหายนะมาสู่หมู่บ้านเรา"

"เพราะเหตุนั้น ร่างกายและใบหน้าของนางถึงได้หลงเหลือความอัปลักษณ์ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของมารร้ายอยู่ ที่ท่านไม่รู้ก็มิแปลกดอก ก็ท่านเพิ่งเดินทางมาหมู่บ้านแห่งนี้เมื่อปีกลาย ส่วนนางก็อย่างที่เห็น หน้าตาอัปลักษณ์เยี่ยงนั้น มีรึจักกล้าออกมาพบปะผู้คนนอกจากอยู่ในสถานที่คับแคบ มืดมิดห่างไกลจากสายตา" จามรีหัวเราะ "ขืนนางออกมาสิ จักได้โดนรุมประมาณและขว้างปาของใส่ นางถึงได้แต่ทำงานสกปรกเช่นนั้นไงเล่า"

"ข้าว่าก็เหมาะกับนางดี" จามิวเสริมพลางหัวเราะคิกคัก ?ตัวนางมีกลิ่นเหม็นเน่าราวกับมิได้อาบน้ำนับแรมปี?

?แต่นั่นมันกลิ่นของมารร้าย ต่อให้นางอาบน้ำจริงก็มิมีวันลบเลือนกลิ่นเน่าเหม็นจากกายของนางได้?

"แต่ข้ามิคิดเห็นเช่นนั้น" เขาพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นและเครียดเคร่งจนพวกนางจำต้องหยุดขำและเงยมองเขาด้วยสายตาแปลกใจ

"เห? อย่าบอกนะว่าท่านหลงใหลนาง?" จามรีขึ้นเสียงสูง "ข้าว่าอย่าเลยดีกว่า เห็นรูปกายนางในสภาพนี้แม้จักพอมองได้ก็เถอะ แต่หากนางถอดเปลื้องผ้าเมื่อใด ท่านจักต้องอาเจียรเป็นแน่?"

"ข้าเนี้ยนะจะอาเจียร?" เขาหัวเราะขึ้นจมูกพลางยกมือขึ้นกอดอก "ข้าลูฟา นักรบผู้มิเคยพ่ายแม้แดนสวรรค์และแดนนรก ข้าผู้นี้เนี้ยนะจักอาเจียรเพียงเพราะได้เห็นรูปกายของนาง?"

"อย่าทำปากเก่งนักเลยลูฟา" จามิวเสียดสีเขา "ขนาดจาคอป นักรบประจำหมู่บ้านยังกินมิได้ตั้งสามวันเพราะได้เห็นร่างกายของนางแค่ชั่วเสี้ยว"

"จาคอปน่ะรึ?" เขาเลิกปลายคิ้วสูงด้วยความแปลกใจกับเรื่องที่ได้รู้ จาคอปเป็นนักรบร่างสูงใหญ่ที่เที่ยวโอ้อวดความสามารถของตนเองไปทั่วก่อนจะถูกเขาล้มคว่ำเพียงแค่ชั่วเพลา แม้เป็นเช่นนั้น แต่เขาก็ยอมรับว่าอีกฝ่ายเป็นนักรบที่แข็งแกร่งใช่หยอก หากมิได้มาประจัญหน้าและท้าทายเขา ชายผู้นั้นก็คงเป็นนักรบอันดับหนึ่งของหมู่บ้านที่มีสตรีมากหน้าหลายตาอยากจับจองตำแหน่งภรรยาและแม่ของลูกชาย

"ก็หลายปีก่อนจาคอปกับพวกข้าไปพิสูจน์ความจริงเกี่ยวกับนางด้วยกัน แล้วก็พบว่าร่างกายของนางน่ะอัปลักษณ์จนยากจะมองได้ ขนาดข้าเองยังแทบกินกระไรไม่ลงไปเป็นอาทิตย์" จามรีบอกพลางทำสีหน้าผะอืดผะอมเมื่อหวนจำความได้

"ตั้งแต่นั้น ก็มิมีผู้ใดกล้ายุ่งเกี่ยวกับนางอีกเลย หรือหากจักพูดให้ถูก ไม่มีผู้ใดอยากจักยุ่งเกี่ยวกับนางสักคน ขนาดแม่แท้ๆ ของนางกับพวกญาติยังหนีไปที่อื่นโดยทิ้งนางไว้ นับประสากระไรกับผู้คนอื่นในหมู่บ้าน" จามิวเสริม "เจ้าคิดดูก็แล้วกัน นางทำผิดมหันต์จนพระผู้เป็นเจ้ายังหันหลังให้กับนาง นางมีสัญลักษณ์ของมารร้ายประทับทั่วเรือนร่างและกลิ่นเหม็นเน่าราวกับศพเป็นเครื่องตีตรา บางผู้คนเพียงแค่เข้าใกล้นางยังรับมิได้ นี่หากได้เห็นเรือนร่างของนางทั้งตัว คงช็อคตายเป็นแน่ เพราะแบบนั้นถึงไม่ค่อยมีผู้คนอยากยุ่งเกี่ยวกับนางเท่าใดนัก"

"ทุกผู้คนอยากลบเลือนนางออกไปจากใจ ทุกผู้คนแทบอยากจักสังหารนางเสียด้วยซ้ำ แต่ด้วยเพราะใบหน้าและกลิ่นเหม็นเน่านั้นทำให้มิมีผู้ใดกล้าเข้าใกล้ แค่ได้กลิ่นอาหารที่ทานก็ขย้อนออกจนเกือบหมด ยิ่งหากลมพัดเห็นใบหน้าของนาง ก็ยิ่งทำให้ฝันร้าย ทุกคนถึงได้ปล่อยนางไว้หากนางมิเข้ามายุ่มย่ามกับผู้คนอื่น ข้ามิรู้ว่าไฉนเลยนางถึงได้มีชีวิตรอดจนถึงบัดนี้ หากข้าเป็นนาง ข้าคงฆ่าตัวตายนับแต่คราแรกที่ถูกมารร้ายตีตรา แต่ก็อย่างว่าล่ะ นางนั่นโง่ดักดาน แค่สายตารังเกียจกับคำสาปแช่ง ยังมิรู้เลยว่าจักรู้จักรึไม่?ร" จามรีหัวเราะคิกคักสลับกับสีหน้าผะอืดผะอมเพราะความทรงจำที่ยังมิจางหาย

"มีก็แต่ยัยป้าพายิขี้งกคนเดียวเท่านั้นล่ะที่ยอมเลี้ยงนางไว้ เพราะนางทำงานมากกว่าคนอื่นเป็นเท่าตัวแต่ขอค่าตอบแทนแค่ขนมปังไม่ก็เศษอาหารนิดหน่อยให้พอประทังชีวิตได้ มิเช่นนั้น ใครเล่าจะอยากไปยุ่งเกี่ยวกับคนของมารร้าย"

"ดูท่าเจ้าสองคนจักรังเกียจมารร้ายนัก" ริมฝีปากหนากระตุกเล็กน้อยอย่างไม่ค่อยพอใจนัก

"ใครเล่าจักชื่นชอบผู้ที่ล่อลวงบรรพบุรุษของพวกเราจนถูกขับไล่ออกจากสวรรค์" จามรีพูด ?มิเช่นนั้นป่านนี้พวกเราคงมีความสุขอยู่บนสวนอีเดน สวนสวรรค์ของพระผู้เป็นเจ้าไปแล้ว?

?รึไม่ ชีวิตความเป็นอยู่ของพวกเราคงจักดีขึ้นกว่านี้ มิต้องเผชิญกับความโหดร้ายของผืนทรายร้อนระอุ มิต้องอดอยากเป็นบางมื้อเพราะถูกพระผู้เป็นเจ้าลงโทษด้วยเภทภัย เหตุที่พวกเรายังต้องรับการลงโทษจากพระองค์ก็เพราะมีพวกบูชามารร้ายเช่นนางอยู่ในหมู่บ้านแห่งนี้ เพราะยัยป้าพายิขี้งกคนเดียวเชียวถึงพาให้พวกเราเดือดร้อนกันไปหมด? จามิวแค่นเสียงอย่างมิพอใจ ?เหตุไฉนนางถึงมิตายไปให้พ้นสายตาเสียที?

"ดูเจ้าจักโทษสภาพอันแสนโหดร้ายนี้ว่าเป็นการลงทัณฑ์จากพระผู้เป็นเจ้า" เขายิ้มหยัน

"หากพวกเราศรัทธาในพระองค์ พระผู้เป็นเจ้าย่อมอ้าแขนรับพวกเราสู่สวรรค์" จามิวบอก "แต่เพราะนางกลับบูชามารร้ายและมิยอมไปให้พ้นจากหมู่บ้านแห่งนี้เสียที เพราะเหตุนั้นพวกเราถึงได้ยังมีชีวิตตกต่ำอยู่เยี่ยงนี้ไงเล่า"

"ท่านน่าจักรู้ลูฟา คนที่นี่ศรัทธาในพระผู้เป็นเจ้าและเกลียดชังมารร้ายเช่นลูซิเฟอร์"

เขาหยักยิ้. แววตาเป็นประกายวาวโรจน์จนจามิวและจามรีถึงกับสะดุ้งโหยงด้วยความตกใจ เขายื่นแอปเปิ้ลมาเบื้องหน้าระดับสายตาของพวกนางก่อนจะจงใจปล่อยแอปเปิ้ลในมือให้ร่วงหล่นสู่พื้น สายตาของพวกนางมองตามการร่วงหล่นนั้น ก่อนเขาจะจงใจเหยียบแอปเปิ้ลผลนั้นจนแตกเละ!

พวกนางกอดกันกลมและเงยหน้ามองเขา ใบหน้าคร้ามเต็มไปด้วยสีหน้าชิงชังและสมเพช แววตาแข็งกร้าวเป็นประกายดุดัน ทำให้พวกนางถึงกับตัวสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว

"เช่นนั้นเจ้าน่าจักรู้ไว้ว่าข้าอยู่ข้างมารร้ายที่เจ้าว่า" ลูฟาหยักยิ้มเย้ย ก่อนเขาจะเดินต่อไปยังเส้นทางของเขาที่ผู้คนพร้อมใจกับเปิดทางให้ เส้นทางที่มิมีผู้ใดแม้เพียงสักคนที่จะเข้าใจ แม้กระทั่งพระผู้เป็นเจ้าของเขาก็ตาม

ตอบกลับโพส

ย้อนกลับไปยัง “ก้าวแรก(สู่นักเขียนมืออาชีพ)”