ศิตา..หญิงสาวที่หมดลมหายใจในคืนวันแต่งงาน(ตอนที่ 9)

ถ้าเพื่อนๆ มีเรื่องที่น่าสนใจและต้องการแบ่งปันเนื้อหา หรือร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการเป็นนักเขียนมืออาชีพ

Moderator: Gals, B.Comics, พี่บี

ตอบกลับโพส
เมเปิ้ล
โพสต์: 10
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร 31 ม.ค. 2012 4:41 pm

ศิตา..หญิงสาวที่หมดลมหายใจในคืนวันแต่งงาน(ตอนที่ 9)

โพสต์ โดย เมเปิ้ล »

สวัสดีค่ะ นักอ่านที่น่ารักทุกท่าน หลังจากที่อัพนิยาย เรื่อง ศิตา ตั้งแต่บทนำ มาจนถึงตอนที่ 9 เมเปิ้ลอยากจะรบกวนนักอ่านที่น่ารักทุกท่าน
ช่วยบอกความรู้สึกที่มีต่อนิยายเรื่องนี้ จะเป็นพระคุณอย่างยิ่งค่ะ
นิยายเรื่อง ศิตา เมเปิ้ล เริ่มเขียนตั้งแต่เดือนกันยายน 2554 ณ ปัจจุบัน ก็ใกล้จะจบแล้วค่ะ เหลืออีกประมาณ 15%
ขอบกราบขอบพระคุณล่วงหน้าค่ะ(
และขอฝากนิยายเรื่องสัญญาฤาลิขิตรัก ไว้สักเล่มนะคะ
http://www.myrosebooks.com/index.php?pa ... t&Itemid=1

ตอนที่ 9 วันวิวาห์

หญิงสาวผิวเนียนละเอียดใสราวน้ำผึ้งชั้นดี ดวงตากลมโตสีดำสนิทแวววาวตลอดเวลาภายใต้ขนตาดกหนางอนงาม จมูกโด่งราวกับมีเชื้อสายทางยุโรป ริมฝีปากกระจับได้รูปแย้มยิ้มตลอดเวลา รูปร่างโปร่งบางสมส่วนในชุดเจ้าสาวสีขาวบริสุทธิ์เกาะอก ชุดรัดรูปช่วงใต้อกถึงเอวช่วยขับเน้นให้อกอิ่มเด่นชัดยิ่งขึ้น สองแขนยกขึ้นมาท้าวคางนั่งรอฤกษ์หน้ากระจกโต๊ะเครื่องแป้งอยู่ในห้องแต่งตัวเพียงคนเดียว เงาวูบไหวด้านหลังทำให้ศิตาหันกลับไปมอง พบเพียงความว่างเปล่า เธอสะบัดศีรษะแล้วเลิกสนใจ คิดว่าตนเองตาฝาดไป
ขณะเดียวกัน ภายในห้องจัดเลี้ยงกำลังวุ่นวาย ต้อนรับท่านผู้หญิงละเอียด ทองสวัสดิ์ ซึ่งเป็นบุคคลที่ อรรถสิทธิ์และอัญชลิตา เคารพนับถือประหนึ่งเป็นญาติผู้ใหญ่ที่ใกล้ชิด ด้วยวัยแปดสิบสองปีที่รับเป็นประธานงานมงคลสมรสงานนี้งานเดียว เจ้าของงานจึงจัดรถพยาบาลที่ทันสมัยพร้อมแพทย์และพยาบาลครบครันไว้พร้อมสรรพ
?คุณอัญชลิตา ช่วยจัดโต๊ะให้พวกผมอยู่ใกล้กับท่านผู้หญิงด้วยนะครับ? แพทย์หนุ่มที่ประจำรถพยาบาลเอ่ยขึ้นหลังจากครุ่นคิดจนรอบคอบดีแล้ว
?ได้สิคะ คุณหมอแต่ฉันคิดว่าไม่น่าจะได้ใช้บริการหรอกนะคะ? อัญชลิตาตอบอย่างอารมณ์ดียิ้มแย้มกลับไป
?ครับ...หมอก็หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น? นายแพทย์ตอบกลับด้วยรอยยิ้มเช่นกัน
?แล้วคุณหมอจะต้องเตรียมอุปกรณ์อะไรเข้ามาด้วยรึเปล่าคะ ฉันจะได้ให้เด็กไปช่วยยกเข้ามาในงาน? อัญชลิตาเห็นด้วยกับความรอบคอบ
?ก็คงเตรียมออกซิเจน และกระเป๋าพยาบาลแค่นั้นเอง ไม่ต้องให้เด็กไปช่วยยกหรอกครับ? แพทย์อธิบาย ?อืม...คุณหมอรอบคอบดีจัง ถ้างั้น...ก็เชิญทางนี้เลยค่ะ? อัญชลิตาผายมือเดินนำไป
?โต๊ะนี้ค่ะ เชิญคุณหมอได้เลย และโต๊ะกลางหน้าเวทีนั่นเป็นโต๊ะที่ท่านผู้หญิงนั่งค่ะ? อัญชลิตาอธิบายรายละเอียดเพิ่มเติม

ศิตาที่กำลังนั่งเหม่อครุ่นคิดถึงเงาวูบไหวที่เกิดขึ้นด้านหลัง สะท้อนให้เห็นในกระจกมันคืออะไร อยากจะปักใจเชื่อว่าตัวเองตาฝาด แต่อาการหวิวๆ ในอกนี่มันเกิดขึ้นได้อย่างไร คนในชุดเจ้าสาวสะดุ้งสุดตัวเมื่อได้ยินเสียงประตูห้องแต่งตัวเปิดออก
?ศิ ได้ฤกษ์แล้วล่ะ ฉันมารับ? เพียงฤทัยเยี่ยมหน้าเข้ามา ศิตาจึงลุกขึ้นเดินไปหา
?ท่านผู้หญิงมาถึงแล้วเหรอเพียง? เจ้าสาวเอ่ยถามพลางดึงประตูปิดตามหลัง แล้วก้าวเดินตามเพื่อนไป

อรรถสิทธิ์ผู้เป็นบิดาเดินควงคู่มากับอัญชลิตาผู้เป็นมารดา เพื่อมารับเจ้าสาว ร่างสวยสง่าในชุดเจ้าสาวเดินมาคล้องแขนบิดามารดา เจ้าบ่าวในชุดสูทสีงาช้างเดินมารับเจ้าสาวแสนสวยเพื่อพาเธอไปกราบประธานที่มาเป็นเกียรติในงานมงคลสมรสของทั้งสอง
?อืม...สวย หล่อ สมกันจริงๆ? เสียงสั่นตามวัยของท่านผู้หญิงละเอียดเอ่ยทัก เมื่อเจ้าบ่าวเจ้าสาวเงยหน้าขึ้นจากการกราบทำความเคารพ
?ได้ฤกษ์รึยังล่ะ แม่อัญ? ผู้เป็นประธานเอ่ยถามมารดาของเจ้าสาวด้วยรอยยิ้มปรานี
?อีกสักครู่ค่ะท่าน ต้องรบกวนท่านนั่งรออีกสักครู่นะคะ ระหว่างนี้ให้บ่าวสาวถ่ายรูปคู่กับท่านก่อนแล้วกันนะคะ? เสียงนอบน้อมของอัญชลิตายิ่งทำให้หญิงชราเอ็นดูมากยิ่งขึ้น
เมื่อคู่บ่าวสาวถ่ายรูปกับท่านผู้หญิงละเอียดเสร็จเรียบร้อย ก็ไปยืนรอถ่ายรูปกับแขกตรงซุ้มที่จัดไว้ ศิตายืนชื่นชมความสวยงามของดอกกุหลาบที่นำมาจัดซุ้ม เธอแตะดอกหนึ่งพร้อมกับสูดความหอมตามธรรมชาติ
?ดอกกุหลาบเวลารวมกันเยอะๆ ทั้งสวยทั้งหอมเลยนะคะพี่ภู? ศิตาชวนเจ้าบ่าวคุย เขาเพียงแค่พยักหน้ายิ้มๆ
รามิลเดินเข้ามาสมทบคู่บ่าวสาว ความที่เป็นคนร่าเริง รามิลอดแซวเพื่อนไม่ได้ คุยสักพักจึงขอถ่ายรูปคู่กับบ่าวสาว ยังไม่ทันที่ช่างภาพจะกดชัตเตอร์ ก็มีเสียงหนึ่งตะโกนมา
?เดี๋ยวๆ รอก่อน พี่รามนะ..จะถ่ายรูปคู่กับเจ้าบ่าวเจ้าสาว ไม่รอกันมั่งเลย ขาดเพียงฤทัยได้ไงเนี่ย? เพียงฤทัยพูดพร้อมกับแทรกกายเข้าไประหว่างศิตากับรามิล
?อื้อหือ...เดี๋ยวนี้เรียกพี่รามเต็มปากเต็มเลยนะเพียง? เจ้าสาวแซวเพื่อนรักและหลิ่วตาล้อ
?บ้า..ไม่มีอะไรจะทักทายฉัน ก็เงียบไปเลยดีกว่า เดี๊ยเถอะ..จะยุพี่ภูให้ลงโทษซะให้เข็ดเลย? เพียงฤทัยแซวศิตากลับบ้าง หญิงสาวทั้งสองต่างก็เขินอายไปตามๆกัน
หลังจากถ่ายรูปกับแขกผู้มีเกียรติสักพัก พิธีกรก็ประกาศเรียนเชิญประธานขึ้นเวที เจ้าบ่าวเจ้าสาวจึงพากันจูงมือเดินขึ้นเวทีตามไป ท่านผู้หญิงละเอียดคล้องมาลัยให้กับบ่าวสาวพร้อมทั้งกล่าวอวยพร เจ้าบ่าวนั้นตั้งใจฟังยิ้มรับแววตาเป็นประกายปลื้มปิติ ส่วนเจ้าสาวนั้นกำลังมีสิ่งอื่นให้เธอสนใจ อดรนทนไม่ไหวจึงเอ่ยถามคนที่ยืนเคียงข้างกันอยู่
?พี่ภูคะ เห็นอะไรรึเปล่าคะ? ศิตาสะกิดเจ้าบ่าวกระซิบถามพอให้ได้ยินเพียงสองคน ในขณะที่ยืนกันอยู่บนเวที
?หืม..อะไรหรือ? ภูรินท์แค่เอียงคอกระซิบไม่ได้หันหน้ามาทางเจ้าสาว
ศิตารู้สึกว่าขนบนเรียวแขนลุกชัน กระซิบตอบเสียงสั่นด้วยความรู้สึกหวาดกลัว
?เงาอะไรสักอย่าง คอยมาป้วนเปี้ยนให้เห็นทางหางตาน่ะค่ะ พอศิหันไปก็ไม่เห็นมีอะไร? ในขณะนั้น สิ่งที่เธอหวาดหวั่นไม่ได้คิดถึงตนเองแม้แต่น้อย กลับพรั่นพรึงถึงเจ้าบ่าวข้างกายเกรงว่าจะต้องสูญเสียเขาไป โดยตนเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าอะไรดลใจให้คิดเช่นนั้น
?คิดมากรึเปล่า ตาฝาดมั้ง? นักวิทยาศาสตร์ดอกเตอร์หนุ่มปลอบด้วยมุมมองเป็นเหตุเป็นผลที่พิสูจน์ได้ และต่างก็ลืมถ้อยคำทำนายของแม่หมอเฒ่าที่เคยบอกไว้เมื่อหลายวันก่อน ในครั้งที่ลงใต้ไปกับศิตา
แม้อยากจะค้านออกไป แต่รู้คำตอบดีว่านักวิทยาศาสตร์ผู้เป็นเจ้าบ่าวของเธอในวันนี้ คงไม่มีทางคิดเป็นอื่นไปได้ แต่สังหรณ์แปลก ๆ ที่เกิดขึ้นมันคอยรบกวนจิตใจอยู่ตลอดเวลา จนไม่มีสมาธิรับฟังคำอวยพรจากญาติผู้ใหญ่ ทั้งฝ่ายเจ้าบ่าวและฝ่ายเจ้าสาว และเมื่อพิธีกรส่งไมโครโฟนให้เธอกล่าวขอบคุณบรรดาแขกผู้มีเกียรติที่มาร่วมงาน เธอก็ตกใจสะดุ้งสุดตัว จนเจ้าบ่าวต้องเข้ามาบีบมือ
ภูรินท์สัมผัสความชื้นเย็นจากมือนุ่ม จึงได้หันไปสบตาเจ้าสาว และบีบมือให้กำลังใจ เขาคิดว่าเธอคงตื่นเต้นไม่ต่างกัน แล้วเจ้าสาวก็กล่าวขอบคุณเพียงสั้น ๆ จนเขาเองยังแปลกใจ เจ้าบ่าวรับไมโครโฟนมาจากเจ้าสาวเพื่อกล่าวขอบคุณแทนเธอ ที่พูดสั้นเหลือเกิน
ศิตาแทบผงะล้มทั้งยืน เมื่อเงาวูบวาบที่เห็นมาตลอดค่ำคืนนี้ ปรากฎให้เธอเห็นเด่นชัดขึ้น แม้เพียงสองสามวินาที แต่ดวงตาโปนแดงบนใบหน้าดำทมึนที่สบตาผ่านหน้าเธอไปเมื่อสองสามวินาทีนั้น มันชัดเจนจนหัวใจเธอเต้นเร็วแรงจนรู้สึกอึดอัดปวดร้าวไปทั่วโพรงอก เธอรู้สึกราวกับกำลังขาดอากาศที่จะหายใจ ระหว่างที่เจ้าบ่าวจับจูงมือเธอให้เดินตาม เธอรู้สึกวิงเวียนคล้ายจะเป็นลม และเพียงเสี้ยววินาทีทุกอย่างก็มืดมิดไปหมด พร้อมกับความรู้สึกอึดอัดที่พยายามจะสูดหายใจเข้าแล้วความรู้สึกเธอก็จมหายไป
เมื่อภูรินท์ผู้เป็นเจ้าบ่าวกล่าวขอบคุณแขกผู้มีเกียรติจบ เขาก็จุมพิศแผ่วเบาที่นวลแก้มเจ้าสาวตามเสียงเชียร์ของบรรดาแขกเหรื่อและเพื่อนพ้อง สัมผัสเย็นเยียบจากแก้มนุ่มของศิตา ทำให้เจ้าบ่าวเหลือบสายตามองเจ้าสาวของเขา เห็นใบหน้าขาวซีดริมฝีปากที่ยังยิ้มค้างอยู่สั่นระริก ดวงตาเบิกโต เขาจึงรีบจูงมือเธอเพื่อก้าวลงจากเวทีและตั้งใจว่าจะพาเธอไปพักผ่อน คิดว่าเธอคงเหน็ดเหนื่อยเกินไป แต่แล้ว..
ขณะที่เจ้าสาวกำลังก้าวลงจากเวที อยู่ ๆ เธอก็ล้มตึงลงไปเมื่อก้าวพ้นจากเวที เจ้าบ่าวที่จับมือนุ่มไว้มั่น รีบถลาเข้าไปประคองเธอไว้ก่อนที่ศีรษะจะฟาดพื้น พลางเขย่าและเรียกเจ้าสาวที่สงบแน่นิ่งไป
บรรดาผู้มาร่วมงานทุกคนครางฮือขึ้นยืนพร้อมกัน แพทย์และพยาบาลซึ่งนั่งอยู่ที่โต๊ะด้านหน้าเวทีใกล้กับโต๊ะของท่านผู้หญิงละเอียด กูลทองสวัสดิ์ ต่างกรูกันเข้าไปด้านหน้าเวที เพื่อปฐมพยาบาลเจ้าสาว เมื่ออัญชลิตามองผ่านแพทย์และพยาบาลที่กำลังช่วยกันดูแลบุตรสาว จึงหันไปหาบรรดาแขกที่กำลังยืนชะเง้ออยู่ที่โต๊ะและกล่าวขึ้นด้วยเสียงอันดังแต่สุภาพ
?รบกวนแขกผู้มีเกียรติทุกท่านเชิญนั่งรับประทานอาหารตามปกติที่โต๊ะของท่านก่อนนะคะ คงไม่มีอะไรมากค่ะ เจ้าสาวคงเหนื่อยและเป็นลมไป? พูดจบอัญชลิตาถลาร่างท้วมลงไปนั่งเคียงข้างเจ้าสาว ศิตาเจ้าสาวหมาด ๆ นอนแน่นิ่ง อัญชลิตาผู้เป็นมารดานั่งบีบมือที่เย็นเฉียบ ด้วยความกังวลใจกอปรกับท่าทีของเจ้าบ่าวที่มองหน้าแพทย์และศิตาสลับกัน ทำให้เธอไม่สบายใจจึงถามออกไป
?ภู..น้อง..น้องเป็นยังไง? เสียงคุณอัญชลิตาตะกุกตะกักถามภูรินท์ ด้วยน้ำเสียงและแววตาตื่นตระหนก
ภูรินท์เห็นเจ้าสาวของเขานอนนิ่งไม่ไหวติง ความรู้สึกผิดปกติถาโถมเข้าอย่างไม่อาจจะยอมรับได้ แม้ทีมแพทย์และพยาบาลกำลังช่วยกันปฐมพยาบาลอยู่ก็ตาม เขามองไปยังจุดที่หัวใจควรจะเต้น ไม่มีการขยับ เขายื่นมือสั่นระริกไปอังที่จมูกของเจ้าสาวในใจก็ภาวนาอย่าให้เป็นอย่างที่สังหรณ์เลย แล้วก็ต้องผงะ เมื่อนิ้วเรียวของเขาไม่ได้สัมผัสถึงแรงปะทะจากลมหายใจของร่างที่นอนนิ่ง ภูรินท์ไม่รอช้าทำการปั้มหัวใจอย่างร้อนรน แต่ถูกนายแพทย์จับแขนไว้ พลางพยักหน้าว่าปล่อยให้เป็นหน้าที่ของทีมแพทย์และพยาบาลจะดีกว่า
?ศิ..ศิ....ไม่..หายใจ..แล้ว? เสียงแหบแห้งของภูรินท์ตะกุกตะกักตอบเหมือนลมหายใจตนเองกำลังสะดุด ราวกับตนเองกำลังขาดลมหายใจตามไปด้วย ดวงตาของเขาแดงก่ำ หยาดน้ำคลอคลองเต็มสองตา เขาพยายามกลืนก้อนแข็ง ๆ ที่วิ่งขึ้นมาจุกอยู่ที่คอ หันไปสบตาคุณอัญชลิตา แล้วก้มลงกอดเจ้าสาวแน่น น้ำตาลูกผู้ชายรินไหลหยดลงบนชุดเจ้าสาวแสนสวย
เวลาผ่านไปนานเท่าไร ภูรินท์ไม่ได้รับรู้ ทุกอย่างสำหรับเขาเหมือนมันหยุดนิ่ง ไม่เคลื่อนไหว มันลอยตามลมหายใจของหญิงสาวอันเป็นที่รักของเขาไปแล้ว เธอจะรู้หรือไม่ ลมหายใจที่ขาดหาย วิญญาณที่หลุดลอยออกจากร่างเธอได้กระชากเอาหัวใจของเขาไปกับเธอแล้ว แล้วเขาจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร ถ้าไม่มี..ศิตา
เจ้าหน้าที่จากรถพยาบาลสองคนพากันจับเขาให้คลายอ้อมกอดจากเจ้าสาว เพื่อเปิดทางให้แพทย์ปั๊มหัวใจกู้สัญญาณชีพอย่างรวดเร็ว พร้อมกันนั้นก็นำอ๊อกซิเจนช่วยเจ้าสาวได้ทันภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งนาที จากนั้นนำตัวเจ้าสาวขึ้นรถพยาบาล เจ้าหน้าที่คนหนึ่งพาเขาเดินไปขึ้นรถพยาบาลคันเดียวกับเจ้าสาว โดยมีมารดาของเธอนั่งไปด้วย คุณอัญชลิตาคร่ำครวญปิ่มจะขาดใจ เมื่อบุตรสาวคนเดียว ล้มไปต่อหน้าต่อตาในงานแต่งงานที่ควรจะมีความสุข
ศิตารู้สึกมีสติขึ้นมา ในสภาพที่ตนเองบอกได้คำเดียวว่ามันเบาบาง เยียบเย็นแปลก ๆ เธอพยายามกระพริบตาถี่ ๆ เพื่อเรียกสติที่สมบูรณ์กลับมามากกว่าความรู้สึกที่เป็นอยู่ พลันนึกได้ว่าตนเองเป็นลมไปใจประหวัดถึงร่างกายตนเองว่าล้มลงไปได้รับบาดเจ็บอันใดหรือไม่ เมื่อขณะนี้ไม่รับรู้ถึงความเจ็บปวดอะไรเลย ระหว่างที่กำลังจะก้มลงสำรวจร่างกายตนเอง ก็รู้สึกเหมือนร่างกายเบาหวิวล่องลอยราวกับดอกฝ้ายที่ถูกลมพัดปลิวกระจาย เมื่อลืมตาอีกครั้งก็พบตนเองนั่งอยู่ข้างมารดา
ในขณะที่อัญชลิตานั่งเกาะเตียงคนป่วยในรถพยาบาล จ้องมองร่างไร้สติของบุตรสาว เธอไม่อาจทราบได้เลยว่าข้าง ๆ นั้นมีเงาสีขาวจาง ๆ นั่งชิดติดกันอยู่ เจ้าของเงาสีขาวมองตนเองที่นอนนิ่งอยู่บนเตียง ที่ปากกับจมูกมีพลาสติกใส ๆ ครอบอยู่ คงเป็นอ็อกซิเจน เธอเริ่มเข้าใจแล้วว่าเหตุใดเธอจึงรู้สึกเบาบางเหมือนลอยอยู่ในอากาศ เธอกอดแขนอวบของมารดาแน่นเท่าที่พลังงานอย่างเธอจะทำได้ พยายามจะปลอบประโลมท่าน แต่หญิงกลางคนรูปร่างอวบไม่มีทีท่าว่าจะรับรู้สิ่งที่เธอกระทำสักนิด
?พี่ภู..? ศิตาพยายามเรียกเจ้าบ่าวที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม เขาได้แต่นั่งเหม่อกุมมือเธอที่นอนนิ่งอยู่เอาไว้ข้างหนึ่ง แค่คิดว่าจะลุกไปนั่งข้างเขา ร่างกายก็เหมือนไร้น้ำหนัก ไม่ทันได้กระพริบตาร่างบางเบาก็มานั่งข้างเจ้าบ่าวแล้ว พลางเอื้อมมือไปกุมมือเขาไว้แต่ไม่อาจสัมผัสเขาได้ดั่งใจ มือหนานั้นขยับเล็กน้อย เธอก้มลงมองมือที่โปร่งแสงของตนเอง แล้วเงยหน้าจ้องเข้าไปในดวงตาเขา ความเสียใจในการพรากจากปรากฎชัด และยังหยาดน้ำที่แวววาวอยู่ เหมือนเขาพยายามบังคับไม่ให้มันไหลออกมา เธอเองก็สะเทือนใจไม่น้อย
?ทำไม? ต้องเป็นแบบนี้ด้วย? เสียงวิญญาณสาวสั่นเครือ แต่ไม่มีใครรับรู้ว่าเธออยู่ตรงนี้

ศิตาในสถานะวิญญาณเกาะแขนตามภูรินท์ไปจนถึงห้องฉุกเฉิน เธอมองทีมแพทย์ที่กำลังพยายามปั๊มหัวใจช่วยชีวิตร่างไร้วิญญาณ คิดว่าสักเดี๋ยวคงได้กลับเข้าไปในร่างตัวเอง แต่ทำไมทุกอย่างยังสงบนิ่ง พลันหางตาสัมผัสถึงเงาดำ จึงหันไปมองแล้วก็ต้องตกใจเมื่อสายตาสัมผัสกับร่างกายใหญ่โต อดไม่ได้ต้องแหงนเงยมองใบหน้าเจ้าของร่างยักษ์ที่สูงราวสองเมตร เมื่อได้สบดวงตาแดงก่ำประดุจเปลวไฟ จมูกใหญ่โต ริมฝีปากหนาเป็นสีแดงจัดราวกับสีเลือดตัดกับสีผิวที่ดูดำทมึนเป็นใบหน้าเดียวกันกับที่เธอมองเห็นขณะอยู่บนเวทีในงานแต่งงาน ดวงตากลมโตไร้แววไล่สายตามองตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า เขาไม่ได้ใส่เสื้อ อาภรณ์ที่ห่อหุ้มร่างกายมีเพียงผ้าสีแดงที่นุ่งสั้น ๆ เหน็บชายไว้ที่ด้านหลังคล้ายโจงกระเบน ดูเหมือนการแต่งกายของนักมวยคาดเชือกสมัยก่อนมากกว่า วิญญาณสาวย้อนกลับขึ้นไปมองใบหน้าดุดันหน้ากลัวอีกครั้ง เส้นผมที่หยิกสั้นติดหนังศีรษะ ทำให้ใบหน้ายิ่งดูหน้ากลัวมากขึ้นไปอีก รู้สึกสั่นสะท้านหนาวเหน็บขึ้นฉับพลัน เสียงทุ้มกังวานอ่อนโยนสะท้อนมาจากชายผิวดำร่างกายใหญ่โตที่ยืนมองจ้องเธออยู่
?สาวน้อย เจ้าต้องจากบุพการีไปเดี๋ยวนี้แล้ว?
เสียงที่เอื้อนเอ่ยออกมานั้นช่างขัดกับภาพที่ปรากฎแก่สายตาเธอยิ่งนัก หมายความว่าเธอหมดอายุขัยแล้วกระนั้นหรือ ดวงตาดำขลับหันกลับไปมองร่างกายสงบนิ่งของตนเองในห้องฉุกเฉิน ร่างนั้นยังคงแน่นิ่งไม่สนองตอบการช่วยชีวิตของทีมแพทย์ หันไปมองภูรินท์ด้วยสายตาอาลัยอาวรณ์ แล้วหันไปอ้อนวอนขอความเมตตาจากยมทูตร่างยักษ์ เธอรับรู้ในทันใดว่าชายร่างกายใหญ่โตใบหน้.ี่อยู่ตรงหน้านี้คือยมทูต
?ได้โปรดเถิดท่าน ขอให้ฉันได้ร่ำลาคนที่ฉันรักทั้งสามก่อนเถิด? ความหมายของวิญญาณดวงนี้ยมทูตเข้าใจดี ว่าหญิงสาวต้องการกลับเข้าไปในร่างกายที่หมดอายุขัยแล้ว
?ไม่ได้! เอ็งไม่มีเวลาแล้ว? เสียงกร้าวกังวานออกมาจากริมฝีปากหนา
แล้วยมทูตก็หันกลับไปทันที ร่างกายใหญ่โตดำทมึนคล้ายลอยไปไร้น้ำหนัก วิญญาณสาวลอยตามไปโดยมิอาจต้านทานได้ เธอไม่สามารถควบคุมตนเองได้ ทุกอย่างเบาหวิว ภาพที่วิ่งผ่านเริ่มพร่าเลือนคล้ายกับว่าได้ผ่านไปอย่างรวดเร็ว แต่ทำไมไม่รู้สึกถึงความเร็วนั้น น้ำตารินไหลเป็นสาย ดวงจิตยังคงผูกพันยึดเหนี่ยวอยู่กับความรักที่มีต่อชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าบ่าว วิญญาณสาวรำพันออกมาด้วยความห่วงหาอาวรณ์

อรรถสิทธิ์ เพียงฤทัยและรามิลวิ่งตามเข้ามาหลังจากขับรถตามรถพยาบาลมาตลอด ทั้งตรงมาที่ห้องฉุกเฉิน พบอัญชลิตานั่งร่ำไห้อยู่ที่เก้าอี้ ส่วนภูรินท์นั้นเดินไปเดินมาคอยชะเง้อมองเข้าไปในห้องฉุกเฉิน สิ่งที่บ่งบอกชัดเจนว่าชายหนุ่มในชุดเจ้าบ่าวเสียใจและปวดร้าวคือดวงตาที่แดงก่ำมีหยาดน้ำแวววาวอยู่ตลอด แต่เขาไม่ปล่อยให้มันไหลออกมาอีก
?หมอว่าไงบ้างวะภู? รามิลเดินมาโอบไหล่ปลอบเพื่อน
?หมอยังไม่ออกมา? ตอบสั้นๆด้วยเสียงสั่นฝืนสะอื้น
?คุณแม่ทำใจดีๆไว้นะคะ? เสียงเพียงฤทัยปลอบมารดาของเพื่อน ซึ่งเธอเดินไปนั่งเก้าอี้ข้างๆผู้สูงวัย
อรรถสิทธิ์เดินไปมองตรงช่องกระจกของประตูห้องฉุกเฉิน เมื่อทุกอย่างในห้องนั้นยังไม่มีใครเคลื่อนไหวออกมา ผู้เป็นบิดาจึงหันกลับมานั่งข้างภรรยาโอบกอดร่างอวบเพื่อปลอบโยน ความเป็นผู้นำทำให้ไม่อาจปล่อยน้ำตาแสดงความอ่อนแอออกมาได้ ฝืนกลืนก้อนสะอื้นลงในอก บุตรสาวที่แสนดีเพียงคนเดียว ซึ่งกว่าจะได้เธอไว้เชยชมก็แสนยากเย็น
เด็กหญิงศิตาใช้เวลาร่วมสิบปีจึงได้มาเกิดกับภรรยาของเขา อรรถสิทธิ์ยังจำความรู้สึกนั้นได้ดี ว่าดีใจมากมายขนาดไหน เฝ้าทะนุถนอมประคับประคองให้เธอเติบโตเป็นหญิงสาวที่เข้มแข็งเพียบพร้อม เพียงยี่สิบห้าปีเท่านั้น ก็จะมาพรากดวงใจเขาไปอีก มือหนาที่มีริ้วรอยแห่งวัยและการทำงาน ลูบเรือนผมที่จัดทรงไว้เป็นอย่างดีของอัญชลิตา ไม่มีคำพูดใดที่จะกล่าวออกมาทดแทนความสูญเสียนี้ได้
สายตาทุกคู่จ้องมองไปที่ประตูซึ่งแพทย์กำลังก้าวออกมา คนแรกที่เข้าถึงตัวของนายแพทย์คือภูรินท์ แต่เสียงที่เปล่งขึ้นก่อนใครทั้งที่ร่างยังมาไม่ถึงคืออัญชลิตา
?ลูกสาวดิฉันเป็นยังไงบ้างคะคุณหมอ? เสียงเจือสะอื้นของผู้เป็นมารดาตะโกนถามมา
?ใจเย็นๆนะครับ เอ่อ...ก่อนจะบอกถึงอาการของคนไข้ หมอขอถามญาติสักหน่อยนะครับ? ความอึดอัดใจฉายชัดบนใบหน้าของนายแพทย์ ถึงแม้จะทำงานอยู่กับความเป็นความตายมาเป็นสิบปี แต่เมื่อต้องบอกญาติของคนไข้ที่อาจจะยื้อชีวิตไว้ไม่ไหว ก็ทำให้เขาลำบากใจทุกครั้งไป
?เชิญครับคุณหมอ? อรรถสิทธิ์เอ่ยตอบ ด้วยเสียงเรียบที่พยายามเก็บอารมณ์แห่งความเสียใจ
?คนไข้เคยมีอาการของโรคหัวใจมั๊ยครับ ? นายแพทย์ถามพร้อมแจกแจงรายละเอียดเพื่อความชัดเจน
?ไม่มีค่ะ หนูศิแข็งแรงดีทุกอย่าง? อัญชลิตาที่ยืนเกาะแขนสามีอยู่เป็นผู้ตอบ
?คือ...คนไข้มีอาการหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน ซึ่งอาการแบบนี้สามารถเกิดได้กับทุกเพศทุกวัย แม้จะไม่เคยเป็นโรคหัวใจ? นายแพทย์อธิบายอย่างใจเย็น
?ซึ่งเคสของคุณศิตานับว่าโชคดีมาก ที่มีแพทย์และออกซิเจนช่วยเหลือได้ทัน ทำให้สมองไม่ขาดออกซิเจนขึ้นไปหล่อเลี้ยง สมองของคนไข้จึงอยู่ในสภาพสมบูรณ์? นายแพทย์หยุดนิดหนึ่งเพื่อให้ทุกคนซึมซับข้อมูล
?แปลว่าเธอปลอดภัยแล้วใช่มั๊ยครับ? เสียงกระตือรือร้นของภูรินท์เอ่ยออกมาเป็นครั้งแรก
?อืม...แม้จะมีความโชคดี แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเธอ..เอ่อ..หมอไม่รู้จะพูดยังไงดี คืออย่างนี้ครับ คนไข้จำเป็นที่จะต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ และคงต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด?
?นี่ลูกศิต้องอยู่ห้องไอซียูหรือคะคุณหมอ? ผู้เป็นมารดาถามขึ้นมาทำให้นายแพทย์ต้องหยุดคำอธิบาย
?ใช่ครับ ระหว่างนี้คงต้องให้คนไข้อยู่ห้องไอซียูไปก่อนหมอจะทำการตรวจและรอดูอาการ เพราะคนไข้ยังไม่รู้สึกตัว?
?ต้องขอบคุณหมอมากนะครับ? ภูรินท์พูดขึ้นเมื่อเห็นว่าแพทย์กำลังจะบอกเรื่องใด
?แต่หมอยังมีความหวังนะครับ อย่างที่บอกไว้ว่าคนไข้ได้รับออกซิเจนทันเวลา หมอจึงเชื่อว่าเมื่อฟื้นขึ้นมาคนไข้จะเป็นปกติดี? แพทย์ยิ้มปลอบใจให้ทุกคนแล้วขอตัวเดินจากไป

ตอบกลับโพส

ย้อนกลับไปยัง “ก้าวแรก(สู่นักเขียนมืออาชีพ)”