ศิตา..หญิงสาวที่หมดลมหายใจในคืนวันแต่งงาน(ตอนที่ 8)

ถ้าเพื่อนๆ มีเรื่องที่น่าสนใจและต้องการแบ่งปันเนื้อหา หรือร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการเป็นนักเขียนมืออาชีพ

Moderator: Gals, B.Comics, พี่บี

ตอบกลับโพส
เมเปิ้ล
โพสต์: 10
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร 31 ม.ค. 2012 4:41 pm

ศิตา..หญิงสาวที่หมดลมหายใจในคืนวันแต่งงาน(ตอนที่ 8)

โพสต์ โดย เมเปิ้ล »

ตอนที่ 8 หอมหวาน

?อีกไม่กี่วันก็จะถึงวันสำคัญแล้ว ยังจะลงใต้อีกเหรอยายศิ? เสียงปรามของอรรถสิทธิ์ เรียกรอยยิ้มให้กับบุตรสาว
?โธ่..คุณพ่อคะ ปัญหามันไม่ได้นัดหมายเราล่วงหน้า หรือว่าเลื่อนนัดได้นี่คะ แล้วที่ศิต้องลงไปจัดการ มันก็เป็นโรงแรมของคุณพ่อนะคะ? ศิตาเกาะแขนบิดา ท่าทีที่ทำเหมือนตอนเป็นเด็ก ทำให้ภูรินท์ที่นั่งอยู่ตรงข้ามหัวเราะเบาๆ
?ก็ของพ่อคนเดียวเมื่อไหร่ล่ะ ทุกอย่างที่ศิทำอีกหน่อยก็ต้องเป็นของศิทั้งหมดน่ะแหละ ใช่มั๊ยภู? พูดกับบุตรสาว แต่หันไปหาเสียงสนับสนุนจากว่าที่เขยขวัญ
?หัวเราะอะไรพี่ภู?
?แน่ะ..ยังจะไปพาลพี่เค้าอีก? อัญชลิตาว่าบุตรสาวไม่จริงจังนัก
?งั้นเอางี้ พ่อจะให้ภูไปเป็นเพื่อนเรา แม่เค้าจะได้สบายใจ? อรรถสิทธิ์ยังกังวลโดยไม่ทราบสาเหตุ จึงต้องอ้างว่าภรรยาเป็นห่วงในความปลอดภัยของบุตรสาว
?ศิขึ้นเหนือลงใต้มาไม่รู้เท่าไหร่แล้วนะคะ ไม่ต้องให้พี่ภูไปหรอกค่ะ? ยังคงยืนยันที่จะไปคนเดียว
?แม่เห็นด้วยกับพ่อ? อัญชลิตาเสริมขึ้นมาอีกเสียงหนึ่ง
?ฮ้า...สองต่อหนึ่งเสียง ยังไงศิก็ต้องยอมให้ภูไปด้วยแล้วล่ะ? ผู้เป็นบิดาหัวเราะร่าอย่างผู้ชนะ
?เดี๋ยวค่ะ...ยังมีอีกหนึ่งคนที่ยังไม่ได้ออกเสียง? พูดพร้อมกับปรายตาไปยังคู่หมั้นของตนเอง บิดามารดามองตามสายตาของบุตรสาว
?พี่ไปเกี่ยวอะไรด้วยล่ะศิ? ภูรินท์ทำท่าจะลุกเดินหนีออกไปจากห้องรับแขก
?อย่าเพิ่งไปนะคะ เสียงของพี่ภูสำคัญกับศิ? เสียงเข้มของเธอทำให้ภูรินท์จำต้องนั่งลงที่เดิม
?ดีเหมือนกัน งั้นภูก็ออกเสียงด้วยแล้วกัน? อรรถสิทธิ์รีบตัดบทก่อนที่หนุ่มสาวจะโต้ตอบอะไรกันต่อไป สีหน้ากระอักกระอ่วนของภูรินท์ทำให้อัญชลิตาเอ่ยออกมา
?แม่ว่าไม่น่าให้ภูต้องมาลำบากใจในการออกเสียงเลยนะพ่อ?
?ไม่เป็นไรครับแม่อัญ ตกลงหนูศิ พี่ขอ..งดออกเสียง? แค่เผลอเรียกหนูศิก็ทำให้คนตาขวางได้แล้ว ยังจะมางดออกเสียงอีก ศิตาค้อนคนที่เพิ่งทำเสียงนุ่มจบลง
?งั้นก็เป็นอันว่าที่ประชุมลงมติว่า ศิต้องยอมให้ภู ไปเป็นเพื่อนด้วยเท่านั้น...จบ? อรรถสิทธิ์ลุกขึ้นทันทีที่สรุปผลเสร็จเรียบร้อย ทิ้งให้บุตรสาวกระฟัดกระเฟียดกับว่าที่เจ้าบ่าว

?ยังไม่หายโกรธพี่อีกหรือครับ? ภูรินท์เอ่ยขึ้นระหว่างนั่งอยู่บนรถที่โรงแรมส่งมารับทั้งสองที่สนามบิน
?ก็พี่ภูงดออกเสียงทำไมล่ะ? ใบหน้างอง้ำจนคนที่นั่งข้างๆต้องแอบยิ้ม
?ไม่เห็นใจพี่เลยนะ ถ้าพี่ออกเสียงเห็นด้วยกับคุณพ่อ ก็จะกลายเป็นว่าพี่อยากจะไปกับศิ ไม่สนใจความเหมาะสม แล้วถ้าพี่ออกเสียงคัดค้านก็จะกลายเป็นว่าพี่ไม่ห่วงลูกสาวท่านเลย ศิอย่าใจร้ายกับพี่นักเลย? เขาหันมานั่งจ้องหน้าเธอนิ่ง ผ่านไปสักครู่เมื่อเห็นหญิงสาวยังหันหน้าออกหน้าต่างรถนิ่งอยู่จึงต้องงอนกลับบ้าง
?ถ้าศิไม่อยากให้พี่มาด้วย งั้น...เดี๋ยวรถส่งศิที่โรงแรมเรียบร้อยพี่จะให้เขาพาพี่กลับไปที่สนามบินขึ้นเครื่องกลับเลยดีมั๊ย? ตอนนี้ภูรินท์หันหน้าหนีออกหน้าต่างรถบ้างแล้ว
ศิตาได้ยินทุกคำชัดเจน รอฟังว่าเขาจะพูดอะไรต่ออีกหรือไม่ แต่ในรถยังคงรักษาระดับเสียงเงียบได้เป็นอย่างดี คนขี้งอนค่อยๆหันหน้ามามองเห็นเพียงไรหนวดเขียวครึ้มด้านข้าง เธอมองเขาแล้วก็ค่อยๆคิดทบทวนการกระทำของตนเอง รู้สึกผิดต่อคนรักขึ้นมาทันที มือเรียวนุ่มเกาะแขนเพื่อง้องอนชายหนุ่ม
?ศิขอโทษนะคะพี่ภู ความจริงศิก็แค่เสียหน้า ที่คุณพ่อน่ะเริ่มจะเข้าข้างพี่ภูซะแล้ว?
ภูรินท์หันกลับมาพร้อมกับยกแขนขึ้นโอบไหล่คนสำนึกผิด เขาพอจะเข้าใจคนรักดี แต่ถ้าจะปล่อยให้เธอไม่มีเหตุผลไปเรื่อยๆคงไม่ดีแน่
?โธ่เอ๊ย...ที่แท้ก็อิจฉาพี่น่ะเอง?
?ไม่ใช่นะคะ? ศิตารีบปฏิเสธ ภูรินท์แตะนิ้วชี้ตนเองที่ริมฝีปากนุ่ม
?พี่ภูล้อเล่นครับ ความจริงแล้วพี่อยากจะมาดูแลศิ...พี่เป็นห่วงศิเหมือนกับที่คุณพ่อบอกน่ะแหละ?
ศิตาอิงแอบแนบแก้มตนเองกับต้นแขนแข็งแรง ครุ่นคิดว่ามัวแต่งอนอะไรอยู่ได้ ในเมื่อภูรินท์เป็นห่วงเป็นใยและยอมเธอมาตลอด ไม่เคยว่ากลาวอะไรรุนแรง เมื่อคิดได้ดังนั้น จึงขยับไปนั่งเบียด แล้วเงยหน้าขึ้นหอมแก้มสากๆที่มีไรหนวดจางๆ
?ศิรักพี่ภูค่ะ?
ภูรินท์ตบที่หลังมือเธอเบาๆ แล้วหันมาหอมหน้าผากมน เอ่ยย้ำให้หัวใจเธอตอกตรึงคำพูดเขาชั่วนิรันดร์
?พี่ภูก็รักน้องศิมากครับ?
รถมาถึงโรงแรมพอดีทั้งสองจึงต้องผละออกจากกัน จากนั้นภูรินท์ก็ไม่ได้พบคนรักของเขาอีกเลย เธออยู่ในห้องประชุมตลอดบ่ายวันนั้น จนค่ำจึงได้ขึ้นมานอนแช่น้ำอุ่นที่ห้องสวีทของโรงแรม ที่สั่งเปิดไว้สำหรับเขาและเธอ เมื่อหายเหนื่อยล้า จึงแต่งตัวสวยชวนคนรักไปดินเนอร์ใต้แสงเทียน ที่สั่งให้ผู้จัดการเตรียมไว้
?ทำไมน้องศิไม่นอนพักผ่อนล่ะครับ? ระหว่างเดินควงแขนกันมา ภูรินท์อดไม่ได้ที่จะแสดงความห่วงใย
?ศิได้แช่น้ำอุ่นครึ่งชั่วโมงก็หายเหนื่อยแล้วล่ะค่ะ?
ทั้งสองเดินเข้ามาในส่วนที่ผู้จัดการจัดไว้ ภูรินท์เลื่อนเก้าอี้ให้หญิงสาว เธอส่งยิ้มพร้อมคำขอบคุณ
?ชอบมั๊ยคะพี่ภู?
?ชอบ? น้องศิน่ะหรือ พี่ภูรักเลยหล่ะ? เขาแกล้งรวนเธอ
?เรื่องนั้นศิรู้แล้วล่ะค่ะ ศิหมายถึงดินเนอร์มื้อนี้ต่างหากล่ะ? แกล้งค้อนใส่ คนที่ทำเป็นไม่รู้ความ
?พี่ประทับใจมากครับ? ศิตาได้ฟังคำตอบก็ยิ้มแก้มปริ
ทั้งสองรับประทานอาหารกันเพียงครึ่งชั่วโมง ก็กลับขึ้นห้องพัก เพราะภูรินท์ไม่ยอมให้ศิตาไปเที่ยวต่อ แววตาอ่อนล้าไม่อาจพ้นสายตาเขาไปได้ จึงอยากให้คนรักได้นอนพักผ่อน เพื่อให้เธอมีกำลังที่จะลุยงานต่อในวันพรุ่งนี้ หลังจากอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยศิตาก็มานั่งคุยกับภูรินท์ที่ห้องนั่งเล่น
?พี่ว่าศิน่าจะพักผ่อนได้แล้วนะ งานยังไม่เสร็จไม่ใช่หรือ? ความห่วงใยทำให้จำใจไล่เธอไปนอน
?ศินั่งอย่างนี้ก็ได้พักผ่อนแล้วล่ะค่ะ? เสียงงอนที่ตอบกลับมาทำให้ภูรินท์ยอมแพ้
?งอแงอีกแล้วนะเรา?
ศิตาขดตัวเข้าไปซุกในอ้อมกอดของภูรินท์ ทำให้เขาตกใจอยู่ชั่วขณะหนึ่ง ไม่ได้กอดตอบเธอ
?ศิก็แค่ต้องการกำลังใจจากพี่ภู ถ้าพี่ภูไม่เต็มใจศิเข้านอนก็ได้ค่ะ? เสียงสั่นเครือแสดงความน้อยใจ ทำให้ภูรินท์รีบลดแขนลงกอดร่างบางที่ขดจนกลมในอ้อมกอดทันที
?คิดถึงตอนที่ไปเที่ยวแฟร์ฟิลด์นะคะ? การขดตัวอยู่ในอ้อมแขนเขาทำให้ภาพในห้องพักที่แฟร์ฟิลด์ฉายชัดเข้ามา ริมฝีปากสีชมพูธรรมชาติเผยรอยยิ้มที่กลั่นความสุขออกมาจากใจ
?หือ..? ภูรินท์ก้มลงมองคนในอ้อมแขน ศิตาเงยหน้าขึ้นมาสบตา พลางตัดพ้อ
?หรือว่าพี่ภูลืมหมดแล้ว?
?พี่จะลืมได้ไงล่ะครับ ทำไมช่างหาเรื่องพี่จริงเลยน้า? คำตอบมาพร้อมกับหยิกแก้มหยอกเอินเบาๆ
หญิงสาวเหนื่อยกับคณะกรรมการบริหารรุ่นเก่า จนแทบจะท้อ ถ้าไม่ได้กำลังใจจากภูรินท์เธอคงบินกลับกรุงเทพ แล้วให้บิดาลงมาจัดการเองดีกว่า คิดพลางสองแขนเรียวสวมกอดร่างหนากระชับแน่น
ภูรินท์ตกใจกับสัมผัสที่ถูกบดเบียดที่แผงอกตนเอง เขามองใบหน้าเรียวที่กำลังเอนซบที่บ่า จ้องมองจนเพลิน ใบหน้าคมโน้มลงมาซบลงที่ลำคอเนียนหอมพลางสูดดม ความรักที่ต่างถ่ายทอดให้แก่กันและกันมันมากมายจนเอ่อล้น ทำให้ใบหน้าคมอดไม่ได้ที่จะซุกซนระปลายจมูกไปทั่วลำคอและไหล่ลาดมน
?อย่าค่ะพี่ภู? ศิตาพยายามยับยั้งธรรมชาติที่กำลังถูกปลุกเร้าจากการจำศีล
ภูรินท์ผละจากผิวเนียนละเอียดหอม ขึ้นมองใบหน้าที่กำลังแดงขึ้นจากการกระทำของเขา ยิ่งมองก็ยิ่งทำให้หัวใจหวามไหว จึงจรดริมฝีปากที่หน้าผากเนียน ระจมูกลงมาตามสันจมูกของหญิงสาว และหยุดลงเมื่อริมฝีปากสัมผัสกัน เขาและเล็มกลีบปากรูปกระจับ และรุกล้ำมากขึ้น หัวใจสองดวงต่างเรียกร้องหากัน การที่เคยเป็นผู้ใหญ่เคยตักเตือนหญิงสาวที่ตนเองรัก ทำให้สามารถครองสติกลับมาได้ไม่ทำอะไรเกินเลยไปมากกว่านี้
ศิตาไม่คิดอะไรมากมายเหมือนภูรินท์ ในเมื่ออีกไม่กี่วันก็จะต้องแต่งงานกันแล้ว ถ้าสุภาพบุรุษของเธอจะตบะแตก ล่วงเกินว่าที่เจ้าสาวนิดๆ หน่อยๆ จะเป็นไรไป จึงเปลี่ยนความคิดที่จะห้ามปราม ปล่อยเลยตามเลย เพราะคิดว่า ?พี่ภู? ของเธอคงจะยับยั้งชั่งใจได้ ความคิดต่างๆ ถูกกระชากปลิดปลิวไปตามรสสัมผัสที่ภูรินท์กำลังมอบความหวานให้
ภูรินท์คิดว่ามาไกลเกินไปแล้ว แม้เศษเสี้ยวของสมองยังครุ่นคิดไม่เข้าใจตนเอง ทำไมถึงกลัวจะต้องสูญเสียเธอไป ความคิดนี้ทำให้เขาอยากจะครอบครองเธอ ไม่อาจรอวันวิวาห์ได้ แต่ความรับผิดชอบที่ได้รับมอบหมายมาจากบิดาของหญิงสาวเลยไม่อาจทำตัวเป็นคนไร้เหตุผลได้ จึงรีบถอนริมฝีปากออกมาด้วยความเสียดาย
?พี่ขอโทษ? ศิตานำมือมาปิดปากคนที่เพิ่งมอบความหวานให้กับเรียวปากตนเอง
?เลิกพูดคำว่าขอโทษซะทีเถอะค่ะพี่ภู?
?พี่ไม่น่า...?
?ถ้าพี่ภูไม่เลิกพูด ศิจะถือว่าพี่ภูดูถูกศิ ถ้าจะผิดก็ผิดด้วยกันทั้งสองคนนี่ล่ะค่ะ?
?พี่กลัว ไม่อยากจะเสียศิไป ทำให้ห้ามใจไม่ได้? เขากอดกระชับยืนยันคำพูดตนเอง
?ศิเชื่อใจพี่ภูนะคะ อีกไม่กี่วันเราก็จะใช้ชีวิตร่วมกันแล้ว ที่สำคัญพี่ภูยังไม่ได้...? ความกระดากอายทำให้ไม่กล้าพูดต่อในเรื่องที่ยังไม่ได้เกิดขึ้น
?พี่รักศิมากนะครับ? ภูรินท์พูดแทรกขึ้น
?ศิก็รักพี่ภูมากเหมือนกันค่ะ? พูดจบหญิงสาวก็ซุกตัวเองอยู่ในอ้อมกอดแข็งแรงที่แสนจะอบอุ่นสำหรับเธอ ภูรินท์พรมจูบไปทั่วใบหน้า แล้วลุกขึ้นช้อนร่างบางอุ้มเข้าห้องนอน ไม่คิดจะกระทำการชิงสุกก่อนห่าม
ทั้งสองเข้ามานอนซุกตัวอยู่ใต้ผ้าห่มบนเตียงนุ่ม ภูรินท์ยังคงกอดเธอไว้ไม่ให้ห่างกาย ศิตานอนมองหน้าคนรักนิ่งนาน เห็นคิ้วหนาขมวดเข้าหากันจนเกิดรอยย่น
?คิดอะไรอยู่คะ? เสียงติดกังวลทำให้ภูรินท์หันกลับมาสนใจคนข้างๆ
?คิดว่าพี่ไม่น่าใจร้อนเลย ดีนะที่พี่หยุดยั้งตัวเองไว้ได้? ตอบพร้อมกับหอมแก้มนุ่ม
?เลิกคิดมากเถอะค่ะ ก็เพราะสาเหตุนี้แหละที่ศิพยายามคัดค้านคุณพ่อ ไม่ให้พี่ภูมาด้วย? เธอก้มหน้าหลบสายตาเต้นระริก เมื่อยอมเปิดเผยความจริงในใจ
?อ๋อ...เพราะกลัวอดใจไม่ไหวนี่เอง ถึงไม่อยากให้พี่มาด้วย? เอ่ยพร้อมรอยยิ้มกว้างและกอดรัดร่างนุ่มที่ซุกซ่อนอยู่ภายในชุดนอนแน่นขึ้น
ศิตาทุบไปที่ต้นแขนแข็งแกร่งเบาๆ แก้เขิน สองมือเล็กที่แทบไม่มีแรงพยายามจะผลักอกกว้างให้ห่างจากตนเอง
ภูรินท์จึงใช้คางสากระคายคลึงที่ลำคอ ศิตาจั๊กกะจี้ยิ่งดิ้นหนักกว่าเดิม และมันส่งผลทำให้เขาไม่สามารถข่มตาหลับลงได้อีก ใบหน้าคร้ามคมโน้มลงมาประทับริมฝีปาก เพื่อยุติอาการดิ้นรน เพียงแค่เธอสงบนิ่งก็รีบตัดใจผละออกห่างด้วยเกรงว่าจะอดใจไม่ไหว
ศิตากอดเขาแน่นประหนึ่งว่าถ้าคลายอ้อมกอดแล้วเขาจะหนีหายไป ใบหน้าที่แนบอยู่กับแผ่นอก ได้ยินเสียงหัวใจเต้นดังโครมครามเป็นจังหวะเดียวกันกับตนเองผ่านเสื้อนอนเข้ามากระทบโสต ความสุขโอบล้อมร่างทั้งสองด้วยไอรักกรุ่นกำจายท่วมท้น จนแทบไม่อยากผละแยกจากกัน หัวใจรักสองดวงพันเกี่ยวกันแนบแน่น จนหญิงสาวคิดว่าชาตินี้คงไม่มีสิ่งใดมาพรากความรักของเธอและเขาให้ขาดสะบั้นลงได้
?ศิรักพี่ภูค่ะ? กอดแน่นพลางซุกหน้าที่อกหนา
?พี่ภูก็รักศิครับ...เอ่อ...ศินอนหนุนหมอนเถอะ อย่าซุกหน้าอยู่แบบนี้เลย...? ภูรินท์พยายามช้อนศีรษะให้เธอขยับไปหนุนหมอน ศิตาขืนตัวไว้ แล้วเงยหน้าขึ้นมายิ้มทะเล้นส่งประกายตาเจ้าเล่ห์พลางเอ่ย
?กลัวอดใจไม่ไหวใช่มั๊ยล่า? อยากจะทำแก่นเซี้ยวแต่พูดแล้วตนเองก็ต้องหน้าแดง
?อย่ามาทำอวดเก่งเลย ศิน่ะแค่กลบเกลื่อนความอายของตัวเองพี่รู้? เขาเชยคางเธอมาจุ๊บเบาๆ ที่ปากช่างพูด
หญิงสาวมุดหน้าหนีซุกไปใต้ผ้าห่ม ภูรินท์อมยิ้มรู้สึกว่าความสุขมันช่างมาง่ายดายเสียจริง ตั้งใจอย่างมั่นคงว่าจะรักษาความรักที่มีให้คนในวงแขนนี้ไม่ให้จืดจาง จะทะนุถนอมไม่ให้เธอต้องบอบช้ำทั้งร่างกายและจิตใจ พลางนึกฝันถึงอนาคต อีกไม่กี่วันก็จะได้ใช้ชีวิตร่วมกัน ได้นอนเคียงกันทุกค่ำคืน ตื่นขึ้นมาก็ยังคงมีเธออยู่ในอ้อมกอด ชีวิตนี้เขาไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว

ดวงตาเรียวเปิดเปลือกตาขึ้นอย่างยากลำบาก เป็นเพราะมัวแต่หยอกล้อแกล้งคนรักกว่าจะหลับก็เกือบสว่าง เขาหรี่ตาเมื่อแสงสว่างแยงเข้ามา แล้วเพ่งมองไปที่นาฬิกา เก้าโมงเช้าแล้ว ดวงตาเรียวเบิกโพลงทันที หันไปหาคนข้างๆพบเพียงที่นอนว่างเปล่า ร่างหนากระเด้งลุกขึ้นนั่งมองไปที่ห้องน้ำ ทุกอย่างเงียบสงบ จึงลุกขึ้นเดินเข้าห้องน้ำชำระร่างกายให้สดชื่น เมื่อแต่งตัวเรียบร้อย ก็หยิบโทรศัพท์เตรียมจะโทรหาคนรัก พลันสายตาเหลือบไปเห็นกระดาษโน้ตแผ่นเล็กติดอยู่ที่โคมไฟ ?ศิมีประชุมแปดโมงเช้าค่ะ ไม่เกินสิบเอ็ดโมงน่าจะประชุมเสร็จ พี่ภูสั่งอาหารเช้าทานคนเดียวไปก่อนนะคะ?
ภูรินท์แปะกระดาษโน้ตไว้ที่เดิม ใบหน้าระบายรอยยิ้มอิ่มเอมความสุขประกายตาสดใส เขานั่งลงที่เตียงนึกถึงเมื่อคืนถ้าหยุดยั้งตัวเองไม่ได้ คงต้องล่วงเกินเธอและความมั่นใจในการควบคุมตนเองคงหมดสิ้นกันคราวนี้เอง คิดถึงความน่ารักตรงไปตรงมาก็ยิ่งรู้สึกรักศิตามากขึ้นไปอีก มากมายจนหาคำจำกัดความไม่ได้ อิ่มใจจนไม่รู้สึกอยากอาหาร นั่งอยู่นานเท่าไรไม่รู้ตัว จนได้ยินเสียงใสที่คุ้นหูดังขึ้นพร้อมกับประตูห้องนอนเปิด
?พี่ภูตื่นรึยังคะ? ศิตาเปิดประตูเข้ามาเห็นคนรักนั่งยิ้มอยู่ที่เตียง จึงเดินเข้ามานั่งข้างๆ
?พี่ภูคะ? เสียงศิตาดังอยู่ใกล้ๆ ทำให้คนที่ตกอยู่ในภวังค์กระพริบตาปริบๆ
?ใจลอยไปถึงไหนคะ? ดวงตากลมโตเป็นประกายระยับล้อเลียนคนนั่งเหม่อ
?เปล่าครับ พี่กำลังคิดถึงศิ? เสียงทุ้มหวานนุ่มหูอย่างที่เธอไม่เคยได้ยินมาก่อน
?คิดถึงศิหรือคะ?? หญิงสาวเลิกคิ้วถาม
?ใช่...พี่คิดถึงเรื่องเมื่อคืน...โอ๊ย? พูดไม่ทันจบประโยค ก็ถูกกำปั้นเล็กๆ รัวบนต้นแขนถี่ยิบ
?แหม...นึกว่าคิดถึงเรื่องอะไร กลายเป็นคนทะลึ่งไปตั้งแต่เมื่อไหร่คะ? พูดพร้อมกับหันหน้าหนี ภูรินท์จึงได้เห็นแต่ใบหูที่กำลังแดงขึ้น เห็นเธออายก็ยิ่งอยากแกล้ง
?ก็ตั้งแต่เมื่อคืนไง ถ้าพี่ทะลึ่งจริง ศิคงไม่รอดแล้วล่ะ?
?หยุดเลยนะ...พอเลย? ศิตาหันมายกมือตนเองปิดปากชายหนุ่ม
?ดูสิ จมูกแดงเหมือนโบโซเลย? ภูรินท์ใช้สองนิ้วคีบจมูกเธอเบาๆ ยิ้มกริ่มล้อเลียนคนขี้อาย
?โบราณจังพี่ภูเนี่ย โบโซนี่ผลไม้ประเทศไหนคะ? ศิตากลั้นหัวเราะย้อนถาม
?อย่ามาแกล้งไม่รู้จักเลย พี่ไม่เชื่อหรอกว่าศิไม่รู้จักตัวตลกในคณะละครสัตว์? ตอบพร้อมกับขโมยหอมแก้มอีกครั้ง
?อุ๊ย..? ศิตาอุทานพร้อมยกมือขึ้นมาลูบแก้ม
?มาล้อศิอยู่ได้ ไม่พาไปเที่ยวแล้วล่ะ? เธอขยับห่างพร้อมกับหันหน้าไปอีกทาง
?โอ๋...อย่างอนเลยนะ พี่ภูชอบเวลาน้องศิอาย น่ารักดี อย่าโกรธเลยนะ...นะคนดี? เขาขยับตามมาโอบเอว แค่ได้ยินคำชมว่าตัวเองอายน่ารัก ก็หายงอนแล้ว หญิงสาวกลั้นยิ้ม
ภูรินท์รู้นิสัยคนรักดี เขาชะโงกหน้าไปหา เห็นรอยยิ้มที่พยายามเก็บเอาไว้ ก็หัวเราะออกมา แล้วเปลี่ยนเรื่องในทันใด
?ไหน...ว่าจะพาพี่ภูไปเที่ยวไหนครับ แล้ว..งานเสร็จเรียบร้อยแล้วเหรอ?
?ก็ว่าจะพาไปไหว้เจ้าแม่กวนอิมน่ะค่ะ แล้วเราก็ไปกินอาหารทะเลกัน? ตอบกลับมาพร้อมยิ้มกว้าง
?แล้วงานศิล่ะ? ยังคงกังวลเรื่องงานของศิตา
?งานศิเสร็จเรียบร้อยแล้วล่ะค่ะ ท่านผู้คุม? เธอย่นจมูกใส่คนหน้าเคร่ง

ศิตาสั่งให้ผู้จัดการจัดรถยนต์ของโรงแรมพร้อมทั้งคนขับไว้คอยบริการ เพื่อพาตนเองและคู่หมั้นไปตามสถานที่ต่างๆ ตามต้องการ หลังจากไปไหว้พระและไหว้เจ้าแม่กวนอิมเสร็จเรียบร้อย ก็พากันเดินชมวิวทิวทัศน์ไปเรื่อยๆ ผ่านซุ้มกระโจมที่สร้างจากไม่ไผ่ ดวงตาดำขลับแววเป็นประกายด้วยความสนใจ เธอชวนภูรินท์ให้เข้าไปดูไพ่ยิบซีด้วยกันแต่เขาไม่ยอม ศิตาจึงต้องทั้งฉุดทั้งลาก จนชายหนุ่มอ่อนใจตามเข้าไป
ภูรินท์ไม่เคยเชื่อเรื่องที่วิทยาศาสตร์พิสูจน์ไม่ได้ เขาจึงไม่มีความศรัทธาและไม่อยากเข้าไปรับรู้ แต่ก็ขัดใจหญิงสาวไม่ได้ เมื่อเข้าไปนั่งเคียงข้างศิตาดวงตาเรียวมองหญิงชราที่นั่งฝั่งตรงข้ามเพียงแวบเดียว แล้วก็เบือนหน้าหนี ไม่สนใจจะฟัง นั่งอยู่สักพักคำว่าถึงฆาตกระตุกความสนใจของนักวิทยาศาสตร์ให้หันหน้ามาตั้งใจฟัง
?อายุครบยี่สิบห้าปี นังหนูเอ๋ย...เขาจะมารับไป ออกจากกระโจมของยายไปแล้วอย่าลืมไปทำบุญนะลูกนะ ดวงถึงฆาตแบบนี้ ยายเองก็ไม่รู้จะช่วยได้ยังไง? เสียงแหบตามวัยที่แก่ชราหยุดชะงัก เมื่อเสียงทุ้มถามขัดขึ้น
?เป็นไปไม่ได้ ดวงใครจะถึงฆาต ต้องไม่ใช่ศิ ยายดูผิดรึเปล่า ผมไม่เชื่อหรอก? ภูรินท์เสียงเข้มขึ้นในตอนท้าย
?เฮ้อ..พ่อหนุ่ม..เตรียมใจไว้บ้างนะ ยายเองก็ไม่อยากจะเชื่อ พอเห็นไพ่ยิปซีออกมาแบบนี้ ยายก็เลยผูกดวงให้นังหนูมัน เพราะเชื่อมั่นในตำราโหราศาสตร์ของบ้านเรามากกว่า จะได้รายละเอียดชัดเจนกว่า ยายแนะได้เพียงให้รีบไปทำบุญ ไถ่ชีวิต ให้ชีวิต ซื้อโลง อุทิศร่าง หรืออะไรก็ได้ที่เป็นการทำบุญหรือทำทานครั้งใหญ่ ยายไม่มีอะไรจะบอกแล้วล่ะ เอ็งสองคนกลับไปเถอะ รีบไปทำบุญกันนะ? หญิงชราโบกมือให้หนุ่มสาวกลับไป
ศิตาลุกขึ้นพร้อมกับหยิบกระเป๋าสตางค์ รู้สึกร่างกายแข็งค้างราวกับตนเองกลายเป็นหุ่นยนต์ มีเพียงสมองที่หมุนติ้ว คำพูดของหญิงชรากระเด้งกระดอนอยู่ในหัว กระจัดกระจายจนจับต้นชนปลายไม่ถูก
?ยายไม่คิดค่าดูเอ็งหรอกนะ ไปเถอะรีบไปทำบุญซะนะ? เสียงแหบพร่าสำทับซ้ำมาอีกครา
ภูรินท์ประคองคนรักเดินออกจากกระโจม เห็นอาการเหม่อตาค้างของเธอยิ่งทำให้กังวล เขาหันไปมองกระโจมที่เพิ่งผละจากมาอีกครั้ง แล้วก็ต้องตกใจเมื่อพบว่ากระโจมนั้นมีชายคนหนึ่งนั่งอยู่ และสิ่งของที่ห้อยระย้าอยู่กระโจมก็มีเพียงของที่ระลึก ไม่มีหญิงชราและไพ่ยิปซีไม่มีแม้แต่ร่องรอยของกระโจมที่รับดูดวง สะบัดศีรษะด้วยไม่อยากจะเชื่อเรื่องราวและคำทำนายทายทักนั้น แต่ภาพทั้งหมดที่หายไปมันคืออะไร และมันกำลังสั่นคลอนความมั่นใจแทบหมดไม่หลงเหลือ ถึงแม้เขาจะเป็นนักวิทยาศาสตร์ ถึงแม้เขาจะไม่เชื่อคำพูดของหญิงชรา แต่ภาพทั้งหมดที่เห็นเมื่อสักครู่หายไปไหน การพาเธอไปทำบุญตามคำแนะนำของหมอดูเฒ่าก็ไม่เสียหายอะไรไม่ใช่หรือ
หลังจากภูรินท์สั่งคนขับรถให้พาตระเวนไปทำบุญจนครบเก้าวัด จนกระทั่งคนขับพามาที่โรงฆ่าสัตว์ เขาหันมาบอกชายหนุ่มด้วยความนอบน้อมให้เกียรต์ไม่ต่างจากหญิงสาวผู้เป็นนายจ้าง
?ผมขออนุญาตแนะนำ ให้ดอกเตอร์พาคุณหนูไปไถ่ชีวิตโคกระบือก็ดีนะครับ? ที่เขากล้าแนะนำเพราะหญิงสาวผู้เป็นเจ้านายโดยตรงไม่เคยถือตัว และทั้งสองก็ยังคุยกันไม่ปิดบังให้เขาได้ยินเรื่องโชคชะตาของศิตา
?ขอบใจมากนะ ผมคิดไม่ถึงจริงๆ? พูดจบก็จูงมือคนรักลงจากรถที่คนขับพามาจอดด้านหน้าโรงฆ่าสัตว์ พากันเดินตรงไปยังเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่กำลังต้อนวัวลงจากรถบรรทุกที่บรรทุกวัวมาเต็มคัน
เสียงวัวร้องระงมจนรู้สึกหูอื้อไปหมด ศิตากวาดสายตามองไปยังแถววัวที่กำลังถูกต้อน สะดุดตาวัวตัวหนึ่งที่ดวงตามีน้ำตาไหลพราก ราวกับคนคนหนึ่งกำลังร้องไห้ สองขาเรียวเดินตรงเข้าไปถามเด็กหนุ่มที่กำลังจะนำวัวตัวนั้นเดินเข้าไป
?น้องคะ ถ้าพี่จะขอซื้อวัวทั้งรถได้มั๊ยคะ? ศิตาตัดสินใจเหมือนกับมีอะไรมาดลใจให้เธอทำ
?ได้ครับพี่ ผมก็สงสารมันเหมือนกันมีแม่วัวท้องแก่ด้วยครับ แต่พี่ต้องไปติดต่อกับ...? เด็กหนุ่มที่พยายามพูดภาษากลางแต่ยังติดสำเนียงทองแดง ตอบด้วยใบหน้าเศร้าเพราะเห็นน้ำตาของเม่วัว
?จริงเหรอ แล้วทำไมเค้าไม่รอให้มันตกลูกก่อนล่ะ?
?ศิ? ภูรินท์สะกิด แล้วเดินนำไปติดต่อคนที่ยืนคู่อยู่กับคนขับรถบรรทุกที่ดูท่าทางแล้วน่าจะเป็นเจ้าของวัว เพื่อขอซื้อแม่วัวตัวที่เธอกำลังให้ความสนใจทันที หญิงสาวรีบวิ่งตาม
เมื่อเสร็จจากการทำบุญไถ่ชีวิตโคทั้งหมด ศิตารู้สึกสบายใจขึ้นมาก รีบโทรเข้าโรงแรมให้นำรถมารับแม่วัวไปเลี้ยงในโรงแรม ซึ่งมีส่วนที่เป็นสวนเป็นป่าอยู่ด้านหลังโรงแรม ภูรินท์เองก็รู้สึกสบายใจ จึงเริ่มรู้สึกหิว เพราะตั้งแต่เช้าเขายังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลย จนบัดนี้เวลาล่วงเลยเข้าไปบ่ายสามโมงแล้ว
ทั้งสองพากันไปนั่งรับประทานอาหารทะเล ใช้เวลาไม่ถึงชั่วโมง ก็รีบกลับไปโรงแรมเตรียมตัวบินกลับกรุงเทพฯทันที

ตอบกลับโพส

ย้อนกลับไปยัง “ก้าวแรก(สู่นักเขียนมืออาชีพ)”