ศิตา..หญิงสาวที่หมดลมหายใจในคืนวันแต่งงาน(ตอนที่ 7)

ถ้าเพื่อนๆ มีเรื่องที่น่าสนใจและต้องการแบ่งปันเนื้อหา หรือร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการเป็นนักเขียนมืออาชีพ

Moderator: Gals, B.Comics, พี่บี

ตอบกลับโพส
เมเปิ้ล
โพสต์: 10
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร 31 ม.ค. 2012 4:41 pm

ศิตา..หญิงสาวที่หมดลมหายใจในคืนวันแต่งงาน(ตอนที่ 7)

โพสต์ โดย เมเปิ้ล »

ตอนที่ 7 บ่มรัก

ห้องเสื้อชื่อดังที่มีครบวงจรในการเนรมิตงานแต่งงานที่แสนอลังการถูกเรียกมาที่บ้านจารุเวศวงศ์ อัญชลิตาผู้เป็นมารดาและเป็นแม่งานเป็นผู้จัดการทุกสิ่งทุกอย่างจนครบครัน คู่บ่าวสาวไม่ต้องทำอะไรทั้งสิ้น เพียงแค่ยืนให้ช่างวัดตัวเท่านั้นก็หมดหน้าที่ ว่าที่เจ้าบ่าวและว่าที่เจ้าสาวต่างก็แยกย้ายกันไปทำงานประจำตามปกติ
คุณอัญชลิตาชักชวนให้เพื่อนรักอย่างครูดวงใจ มาช่วยกันเตรียมงานแต่งงาน ต่างก็เหน็ดเหนื่อยกันไปตามๆกัน แต่ทั้งสองก็ยังคงยิ้มเบิกบานอย่างมีความสุข
?ภูโชคดีมากๆนะ ที่ได้รับความเมตตาจากเธอและคุณอรรถ? ครูดวงใจเปรยขึ้นขณะที่กำลังเลือกแบบการ์ดแต่งงานอยู่ในห้องนั่งเล่นกับอัญชลิตา
?เธอก็พูดเกินไปนะตุ้ม ภูน่ะเป็นเด็กดี ตั้งแต่ฉันเห็นครั้งแรกก็รู้สึกถูกชะตา แล้วฉันก็ดูคนไม่ผิดจริงๆ เขาเป็นคนดีรู้จักวางตัว จนฉันและคุณอรรถต้องลงมาจัดการเองแบบนี้ไง? เจ้าของร่างอวบผิวขาวละเอียด วาดแขนเหนือโต๊ะกระจกตัวเล็ก ที่วางแบบการ์ดอยู่เต็มไปหมด
?ฉันยังจำวันแรกที่ภูถูกพามาอยู่บ้านสงเคราะห์เด็กชายได้ติดตาอยู่เลย? ครูดวงใจเหม่อมองออกไปที่ระเบียงห้องนั่งเล่นซึ่งสามารถเปิดไปสู่สระว่ายน้ำขนาดใหญ่ได้
?ใช่ ครั้งแรกที่ฉันเห็นเด็กคนนี้นะ ดูเหมือนลูกคนมีเชื้อมีแถวเลยล่ะ ถึงแม้จะผอมเก้งก้างเสื้อผ้ามอมแมม แต่ผิวพรรณยังกับผู้ดี? อัญชลิตาเอ่ยสมทบ ครูดวงใจหันมาสบตาเพื่อนรัก
?นั่นสิ นึกแล้วก็อดสะเทือนใจกับความสูญเสียของเด็กที่อายุเพียงเก้าขวบไม่ได้? พูดจบแล้ว ประหนึ่งว่าภาพในอดีตกำลังฉายวนอยู่ตรงหน้าครูดวงใจ เสียงเด็กชายภูรินท์ยังแว่วอยู่ในโสต เสียงสั่นเครือเล่าเรื่องราวของบิดาให้ครูดวงใจฟังหลังจากเข้ามาอยู่บ้านสงเคราะห์เด็กชายได้สองเดือน

?พ่อของภูเป็นคนดีมากครับแม่ตุ้ม ท่านมักจะคอยพร่ำสอนให้ภูเป็นคนดี?
ครูดวงใจนั่งฟังนิ่งพลางคิดว่า คำสอนนั้นคงจะไม่ซึมซับได้มากเท่านี้ ถ้าไม่มีตัวอย่างที่ดีจากผู้เป็นบิดา
?พ่อไม่ชอบดื่มเหล้าครับ แต่มักจะขัดเพื่อนฝูงไม่ได้ และพ่อของภูก็เป็นคนใจกว้างกับทุกคน ถ้าวันนั้นพ่อไม่ไว้ใจเพื่อนใจคดจนเกินไป ครอบครัวของเราคงไม่จบลงแบบนี้? เสียงเศร้าของเด็กชายทำให้ครูดวงใจสะเทือนใจจนต้องเบือนหน้าหนี
?ทุกคนมีข้อดีก็ต้องมีข้อเสียด้วยกันทั้งนั้น แต่เท่าที่ครูฟังภูเล่ามา ข้อเสียของพ่อน่ะมาจากความใจดี และไม่อยากขัดเพื่อนมากกว่าจะทำร้ายครอบครัวนะ? ครูดวงใจเอ่ยปลอบพลางลูบศีรษะเกรียนอย่างอ่อนโยน
?ใช่ครับแม่ตุ้ม พ่อรักครอบครัวมาก อาชีพเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยก็ยามน่ะแหละครับ ถึงแม้จะดูต่ำต้อยด้อยค่าในสายตาคนอื่น แต่พ่อทำให้ภูภาคภูมิใจในอาชีพสุจริตที่พ่อทำ ถึงแม้พ่อจะมีเวลาให้ในวันหยุดเพียงวันเดียว บางครั้งก็ไม่ตรงกับวันเสาร์อาทิตย์ แต่พ่อก็จะให้เวลากับภูเต็มที่ครับ? เด็กชายเงยหน้าสบตาครูดวงใจ ประกายตาสดใสขึ้นเมื่อพูดถึงวันหยุดของพ่อที่อยู่กับเขาทั้งวัน
?เอ๊ะ..แล้วแม่ของภูล่ะลูก? สิ้นเสียงจากครูดวงใจ เด็กชายภูรินท์ใบหน้าสลดหมองเศร้าลงทันใด
?แม่ไม่ได้ทำงานหรอกครับ เพราะร่างกายแม่ไม่ค่อยแข็งแรง พ่อถึงต้องทำงานหนักทำล่วงเวลาทุกวันถึงจะทำให้รายได้พอเลี้ยงครอบครัวได้ แม่จึงมีเวลาคอยดูแลบ้านและภูอย่างเต็มที่? ครูดวงใจได้ฟังแล้วก็รู้สึกเสียดายครอบครัวที่แสนอบอุ่นของภูรินท์ เสียงเด็กชายเล่าถึงเหตุการณ์ที่ทำให้พ่อต้องจากเขาไปเรียกความสนใจให้ครูดวงใจกลับมาตั้งใจฟัง
?วันนั้น..เมื่อหนึ่งปีที่ผ่านมาครับแม่ตุ้ม พ่อต้องเฝ้ายามอยู่กะกลางคืน เพื่อนยามที่พ่อไปรับกะต่อจากเขา ชวนพ่อกินเหล้า แต่พ่อปฏิเสธ พ่อจะไม่ดื่มเหล้าในเวลางานเด็ดขาด แต่เพื่อนใจคดของพ่อก็หาหนทางที่จะให้พ่อดื่มน้ำโดยผสมยานอนหลับลงไป พ่อหลับไปโดยไม่รู้สึกตัว เมื่อตื่นขึ้นมาอีกที พบว่าโรงงานที่เฝ้ายามอยู่นั้น มีตำรวจเต็มไปหมด พ่อลุกขึ้นมาแบบงงๆ แล้วก็ตกใจที่มีมีดเปื้อนเลือดอยู่ในมือของพ่อ ภูไปถึงที่เกิดเหตุพยายามจะวิ่งเข้าไปหาพ่อ เห็นพ่อมองไปรอบตัวด้วยใบหน้าเลิ่กลั่กคงจะตกใจมากน่ะครับ? เด็กชายภูรินท์เล่าไปก็นึกถึงน้ำเสียงและแววตาที่พ่อส่งมาให้
?เกิดอะไรขึ้น!!? เสียงพ่อตะโกนเสียงลั่น
?พ่อ..? เขาตะโกนเรียกพ่อพยายามให้พ่อตั้งสติ ซึ่งตัวเขาถูกตำรวจนายหนึ่งรั้งตัวไว้ไม่ให้เข้าไปใกล้
?หลังจากวันนั้น พ่อถูกจองจำทั้งที่ตนเองไม่ได้กระทำความผิด ภูได้ไปเยี่ยมพ่อครับ พ่อเล่าความจริงทุกอย่างเท่าที่พอรู้ให้ฟัง และยังย้ำอีกว่าไม่ให้ผูกใจเจ็บอาฆาตแค้นกับคนที่ทำกับพ่อ ขอให้ภูเป็นคนดีตั้งใจเรียนหนังสือ? เสียงเด็กชายภูรินท์ขาดหายไป ครูดวงใจจึงจ้องมองใบหน้าเด็กชายที่กำลังเหม่อลอย เธอจึงถามขึ้นเพื่อให้เขากลับมาสนใจบทสนทนาที่คุยค้างกันไว้
?แล้วเกิดอะไรขึ้นต่อจากนั้นจ๊ะ? ครูดวงใจแกล้งถามไปอย่างนั้นเอง จุดประสงค์ก็เพื่อให้เด็กชายสนใจคนรอบข้าง และให้เขาสานต่อบทสนทนาให้จบ เพราะประวัติและเรื่องราวของเด็กแต่ละคนที่เข้ามาอยู่ ณ บ้านแห่งนี้ เธอจะต้องมีแฟ้มเก็บประวัติอย่างละเอียดไว้ทุกคน
?เพื่อนร่วมอาชีพของพ่อเป็นคนขโมยสินค้าในโกดังออกไป เหตุการณ์รุนแรงก็เพราะมีคนงานในกะกลางคืนที่ทำงานล่วงเวลามาพบเข้าพอดี เห็นพ่อบอกว่าหนุ่มคนนั้นโวยวาย ไม่กลัวและไม่สนใจด้วย ยังขู่อีกด้วยว่าถ้าไม่เลิกทำจะรายงานเจ้านาย คนที่ดื่มเหล้าจนขาดสติน่ะครับ ไม่มีใครคิดว่าแค่พูดไม่กี่คำจะถูกแทงจนตาย แต่ที่น่าเจ็บใจก็คือ คนผิดกลับไม่ได้รับโทษ เพราะมันเอามีดมายัดใส่มือพ่อของภู ตำรวจคนนึงบอกว่าจะช่วยพ่อ แต่ก็ไม่ทัน...พ่อ...พ่อ...? เสียงสะอื้นของเด็กชายแทรกขึ้นมาแทนคำพูด ครูดวงใจคว้าร่างผอมมาโอบกอดปลอบโยน เมื่อสงบจิตใจได้ภูรินท์จึงเล่าต่อด้วยเสียงเจือสะอื้น
?เหตุการณ์มันกำลังจะดีอยู่แล้ว ตำรวจคนที่ภูบอกน่ะ เขาพูดกับภู เขาเชื่อว่าพ่อของภูรินท์เป็นคนดี เพราะเคยได้รับความช่วยเหลือจากพ่อหลายครั้งในตอนที่เขายังเป็นวัยรุ่นจึงพยายามหาหลักฐานมาหักล้าง
?น่าเสียดายนะภู ในวันเกิดเหตุ เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ได้ตรวจสอบแอลกอฮอล์ในเส้นเลือดของพ่อน่ะ คนที่มันตั้งใจโยนความผิดให้พ่อเรา มันเล่นเอาเหล้าราดทั่วตัวพ่อจนกลิ่นฉุนไปหมด ไม่น่าพลาดเลย? เสียงตำรวจคนนั้นยังดังก้องชัดเจน
?ตำรวจคนนี้ยังบอกให้ภูคอยให้กำลังใจพ่อมาก ๆ สองเดือนเท่านั้นพ่อ..ฮือๆ..พ่อก็ถูกฆ่าตายในคุก แม่ของภูร่างกายอ่อนแอและเป็นโรคหัวใจอยู่แล้ว เมื่อรู้ข่าวก็ช็อก และแม่..ฮือๆ? ครูดวงใจกอดปลอบเขาอีกครั้ง คำพูดที่เก็บอัดอยู่ภายในใจเด็กชาย พร่ำรำพันว่า แม่ไม่ฟื้นขึ้นมาอีกเลย แม่ที่คอยปลอบโยนไม่มีอีกแล้ว

?ตุ้ม...ตุ้ม? อัญชลิตาเรียกพลางเขย่าแขนเพื่อนรัก ครูดวงใจตกใจสะดุ้งจากภวังค์ในอดีต
?เป็นอะไรน่ะเธอ นั่งเหม่อเชียว ฉันเรียกตั้งหลายครั้ง? อัญชลิตายังถามด้วยความห่วงใย
?ไม่มีอะไรหรอก นึกถึงภูน่ะ นึกถึงวันที่ภูเล่าให้ฉันฟัง ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับครอบครัวที่แสนจะอบอุ่นของเขา? ครูดวงใจตอบพลางถอนหายใจยาวเสียงดัง
?จะไปคิดถึงทำไมล่ะ เรื่องมันก็ผ่านไปแล้ว ที่สำคัญเธอก็ดูแลเด็กคนนี้จนจิตใจเขาเข้มแข็ง และเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ดีขนาดนี้ ยังจะไปคิดถึงเรื่องเศร้าหมองอีก แปลกคนจริง? อัญชลิตาค้อนเพื่อนพร้อมส่ายหน้าในความคิดมากของเพื่อน
?ก็แค่อยากจะภาวนาให้ภูมีความสุขซะที? ครูดวงใจเอ่ยออกมาอย่างหวั่นในหัวอกแปลกๆ
?มาดูแบบการ์ดต่อดีกว่า นี่ฉันว่าแบบนี้ก็ดีนะ แปลกดี..ดูสวยโรแมนติก..? อัญชลิตาบรรยายไม่ทันจบ ครูดวงใจก็ปิดปากหัวเราะคิก
ผู้ใหญ่ทั้งสองต่างก็ช่วยกันเลือก การ์ด ของชำร่วย อาหาร เครื่องดื่ม ชุดเจ้าบ่าว ชุดเจ้าสาว แม้แต่รูปแบบการจัดงาน รูปภาพที่ให้ว่าที่เจ้าบ่าวเจ้าสาว ถ่ายไว้ที่บ้านหลังนี้ ก็นำมาช่วยกันเลือก และแน่นอนโรงแรมที่จัดงานยิ่งใหญ่เช่นนี้ ก็ต้องเป็นโรงแรมของตระกูลจารุเวศวงศ์ ซึ่งเป็นเจ้าของโรงแรมระดับห้าดาวหลายแห่ง ตั้งอยู่ในจังหวัดที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวนิยมของชาวต่างชาติ
เสียงใสที่คุ้นเคยดึงความสนใจให้หญิงสูงวัยทั้งสองหันไปมองที่ประตู เห็นว่าที่บ่าวสาวเดินเคียงกันมา ผู้ใหญ่ทั้งสองต่างยิ้มปลื้มขึ้นพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย ศิตาเดินตรงมานั่งข้างมารดากอดร่างอวบพร้อมกับหอมแก้ม ภูรินท์เดินมานั่งที่โซฟาอีกตัวตรงข้ามกับครูดวงใจ
?ว่าไงจ๊ะว่าที่เจ้าสาว มาประจบอะไรแม่อีกล่ะ? มืออวบลูบเรือนผมนุ่มอย่างเอ็นดู
?แหม...คุณแม่คะ ศิจะแสดงความรักบ้าง ก็ว่าศิประจบอีก? ศิตาผละจากอ้อมกอดมารดา แกล้งทำหน้างอ แต่ริมฝีปากยังระบายรอยยิ้มละมัย
?อย่ามาทำเป็นงอนแม่เลย ตกลงว่ามีอะไรกัน หือ..ภู? ท้ายประโยคอัญชลิตาหันไปถามภูรินท์ที่เอาแต่นั่งยิ้ม
?เราสองคนจะมาบอกแม่อัญ กับแม่ตุ้ม ว่าพรุ่งนี้จะต้องเดินทางไปต่างจังหวัดน่ะครับ? เสียงทุ้มอธิบายเรียบเรื่อย แต่หญิงสูงวัยทั้งสองที่ฟังเบิกตาโตเมื่อได้ยิน
?อะไรกันภู จะไปไหนกันลูก? เป็นเสียงของครูดวงใจที่กล่าวขึ้น
?นั่นสิ...มีธุระปะปังอะไรกันนักหนา ถึงต้องเดินทางกันตอนนี้? อัญชลิตา เอ่ยสนับสนุน
?คุณแม่จำไม่ได้แล้วหรือคะ ว่าช่วงเวลานี้พวกเราจะต้องพาเด็กๆ ไปพักผ่อนกันน่ะค่ะ? ศิตาหันไปหามารดาหลิ่วตาล้อทำหน้าทะเล้น
?อย่ามาทำล้อคนแก่ขี้หลงขี้ลืมนะยายศิ? อัญชลิตาบีบปลายจมูกบุตรสาวเบาๆอย่างหยอกเอิน ครูดวงใจหัวเราะเบาๆ กับภาพแม่ลูกหยอกกัน ภูรินท์เพียงแต่ยิ้มน้อยๆ
?คราวนี้คงไม่ได้พาไปไกลหรอกครับ ตั้งใจว่าจะไปแค่พัทยา ที่ประชุมก็เห็นด้วย เตรียมของกันเสร็จเรียบร้อยแล้วล่ะครับ เหลือแต่น้องศิคนเดียว ที่ยังไม่ได้จัดกระเป๋า? ชายหนุ่มเพียงคนเดียวอธิบายให้ผู้มีพระคุณฟัง
?อ้าว! ทำไมศิไม่จัดกระเป๋าล่ะลูก? อัญชลิตาหันมาถามบุตรสาว
?ศิใช้เวลาแป๊บเดียวเท่านั้นล่ะค่ะคุณแม่? เธอบอกมารดา แต่ส่งสายตาไปค้อนว่าที่เจ้าบ่าวของตนเอง
?คนขี้ฟ้อง? แล้วยื่นใบหน้าไปทางเขา
?ไม่ต้องไปว่าพี่เค้าเลย เราน่ะ...? ไม่ทันพูดต่อ ครูดวงใจก็พูดตัดบทสนทนา
?พอเถอะอัญ เด็กๆก็แค่หยอกกัน อย่าไปว่าอะไรหนูศิเลย? ครูดวงใจยิ้มอ่อนโยนกับศิตา
?ขอบคุณค่ะครูตุ้ม ที่เข้าใจศิ?
?เรานี่เหลือเกินจริงๆน้า? ผู้เป็นมารดายีผมบุตรสาวอย่างเอ็นดู

เสียงหัวเราะร่าเริงของเด็กชายในวัยประมาณแปดถึงสิบสองปีจำนวนยี่สิบคน ที่กำลังช่วยกันขนสัมภาระขึ้นรถตู้สองคัน ดังเข้าไปในอาคารของมูลนิธิโลกสีขาว ซึ่งภูรินท์ได้ให้รถตู้ทั้งสองคันไปรับเด็กๆมาจากบ้านสงเคราห์เด็กชายเพื่อมารวมตัวกันที่สำนักงานของมูลนิธิ เมื่อต่างก็ช่วยกันลำเลียงสัมภาระไม่ว่าจะเป็นกระเป๋าเสื้อผ้า อาหาร เครื่องดื่ม และขนม เสร็จเรียบร้อย ครูดวงใจจึงเรียกขานตามรายชื่อจากกระดาษในมือ เพื่อให้ขึ้นรถเตรียมตัวเดินทาง อัญชลิตา ศิตา และภูรินท์ ขึ้นรถตู้คันหนึ่ง ส่วนครูดวงใจ เพียงฤทัย และรามิล ขึ้นรถตู้อีกคันหนึ่ง แล้วทั้งหมดก็เริ่มเดินทางออกจากสำนักงานมูลนิธิ
?ทำไมถึงมีเด็กไปแค่ยี่สิบคนล่ะ...ภู? อัญชลิตาเอ่ยถามเมื่อเดินทางมาได้สักระยะหนึ่ง
?มันเป็นไปตามกฎเกณฑท์ที่ทางบ้านสงเคราะห์เด็กชายวางเอาน่ะครับ แม่อัญ? ภูรินท์อธิบายด้วยความนอบน้อม
?อ๋อ...แม่จำได้ล่ะ ตุ้มเคยบอกเอาไว้เหมือนกัน เด็กที่ฟื้นฟูจนเป็นปกติถึงเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ และเด็กที่ตั้งใจเรียนมีผลการเรียนตั้งแต่ปานกลางขึ้นไป จะได้ไปเที่ยวพักผ่อนกับมูลนิธิ ที่มีการจัดสันทนาการให้เด็กๆ ทุกปี? หญิงสูงวัยผู้มีจิตใจและใบหน้าเปี่ยมไปด้วยความเมตตาบอกเล่าถึงสิ่งที่เพื่อนรักเคยบอกถ่ายทอดให้หนุ่มสาวทั้งสองฟัง
?ถูกต้องแล้วล่ะค่ะคุณแม่ เพราะเหตุนี้แหละค่ะ เด็กๆที่บ้านสงเคราะห์จึงไม่มีใครเรียนต่ำกว่ามาตรฐานเลยสักคน แค่พวกแกเรียนได้ถึงระดับปานกลางก็นับว่าดีมากแล้วล่ะค่ะสำหรับคนที่ไม่ได้เรียนเก่งอย่างพี่ภู? ศิตาผู้เป็นบุตรสาวกล่าวสนับสนุนกับกฎเกณฑ์ที่บ้านสงเคราะห์เด็กชายกำหนดขึ้น
?ปีนี้เด็กที่อายุอยู่ในเกณฑ์ที่เรากำหนดมีเพียงยี่สิบคนเท่านั้นครับ แต่ปีหน้าเห็นทีต้องใช้รถบัสแล้วล่ะครับแม่อัญ? ภูรินท์อธิบายเพิ่มเติมถึงจำนวนเด็กชายที่ไปในครั้งนี้

ประกายตาระริกไหวหลายสิบคู่กำลังสะท้อนแสงแดดระยิบระยับท่ามกลางระลอกคลื่น เสียงครูดวงใจปรามให้เด็กๆ มาช่วยกันขนของเข้าไปในบ้านพักริมทะเลหลังใหญ่ของตระกูลจารุเวศวงศ์ก่อนจะไปเล่นสนุกกันในทะเลสีคราม เด็กชายต่างวัยยี่สิบคนกรูกันเข้าไปยังกองสัมภาระช่วยกันคนละไม้ละมือเพียงยี่สิบนาที ก็ขนของเข้าไปในบ้านได้หมด
ศิตาเกณฑ์เด็กๆ ให้แยกกันไปจัดที่พักของตนเอง ห้องละสิบคน ซึ่งห้องนอนใหญ่สองห้องนี้ได้ทำการเปลี่ยนแปลงก่อนที่จะทำการตกแต่งเสร็จ จากที่ตั้งใจจะตกแต่งห้องนอนใหญ่สองห้องให้เป็นห้องชุด ก็ยกเลิกทั้งหมดหลังจากที่ศิตารับเป็นประธานมูลนิธิ เธอจัดการให้ตกแต่งห้องนอนสำหรับให้เด็กเข้าพักได้หลายคน ซึ่งขนาดของห้องนอนใหญ่ทั้งสองห้อง ได้จัดเตียงนอนสำหรับเด็กไว้ห้องละสิบเตียง ส่วนห้องนอนที่เหลือเป็นขนาดกลางอีกสี่ห้อง เธอได้จัดการให้ช่างตกแต่งเป็นห้องพักแบบเดียวกับห้องนอนใหญ่ สามารถจัดวางเตียงได้ห้องละหกเตียง และเตียงที่จัดวางไว้ทุกห้องเป็นเตียงขนาดมาตรฐานที่ผู้ใหญ่สามารถนอนได้อย่างสบาย
?เอ้า...เด็กๆ เปลี่ยนเสื้อผ้ากันได้แล้ว เดี๋ยวเราจะลงไปเล่นน้ำทะเลกัน? ศิตาพูดจบก็เดินไปที่ห้องนอนใหญ่อีกห้องหนึ่ง พบเพียงฤทัยเดินสวนออกมาพอดี
?เรียบร้อยมั๊ยเพียง? เธอเอ่ยทักเพื่อนพร้อมยิ้มกว้างอย่างอารมณ์ดี
?เรียบร้อยจ้ะ เดี๋ยวเราไปเปลี่ยนเสื้อผ้ากันบ้างดีกว่า? เพียงฤทัยพูดพลางจูงมือศิตาไปยังห้องนอนทางริมทะเล
?แล้วพวกหนุ่มๆ เขาพักกันห้องไหนล่ะเพียง? ศิตาถามก่อนจะตามเพียงฤทัยเข้าห้องไป
?ก็ถัดจากห้องเราก็เป็นห้องของคุณแม่กับครูตุ้ม ส่วนห้องของนายราม กับพี่ภูน่ะอยู่ตรงข้ามกับห้องนอนใหญ่ที่มีชื่อเธออยู่หน้าห้องน่ะ...ฮั่นแน่! ถามทำไมเนี่ย จะแอบไปหาว่าที่เจ้าบ่าวล่ะสิ? เพียงฤทัยแกล้งล้อเพื่อนสาว
?จะบ้าใหญ่แล้วนะยัยเพียง ฉันก็ถามไปอย่างนั้นเอง เพื่อจะได้ระวังไม่ไปแถวห้องนั้นต่างหาก อ้อ! แล้วห้องนอนใหญ่ที่เธอว่าน่ะเขาชื่อ สวนศิตา จ้ะ ไม่ใช่ชื่อฉันติดไว้ซะหน่อย? คนที่เป็นว่าที่เจ้าสาวค้อนเพื่อนที่มาแกล้งพูดแหย่
?มันก็คือๆกันน่ะแหละ สวนศิตา ก็ชื่อเธอน่ะแหละที่ไปตั้งเป็นชื่อสวน ไม่เอาและ อย่ามาเถียงกันเลย ไปเล่นน้ำทะเลกับพวกเด็กๆดีกว่า? พูดจบเพียงฤทัยก็จับจูงมือนุ่มของเพื่อนออกจากห้องตรงไปยังชายหาดทันที
สองสาวเดินมาถึงระเบียงบ้านพักหน้าชายหาดเห็นผู้อาวุโสทั้งสองนั่งสนทนากันอยู่ ก็ตรงเข้าไปทักทาย
?คุณแม่ ครูตุ้ม ไม่ลงไปเล่นน้ำทะเลด้วยกันหรือคะ? เสียงศิตาเรียกให้ผู้ใหญ่ทั้งสองหันมายิ้ม
?ไม่ล่ะจ้ะ เชิญสาวๆเถอะ? เป็นครูดวงใจที่ตอบ
?งั้นเราไปกันเถอะศิ? เพียงฤทัยชักชวนเตรียมจะก้าวเดิน แต่ศิตากลับทรุดกายลงนั่งเก้าอี้ข้างมารดา
?แป๊บนึง? ศิตาหันมาบอกเพื่อน
?อะไรอีกล่ะ? เพียงฤทัยนั่งตาม
?ขอทาโลชั่นกันแดดแป๊บนึง? ศิตาลากเสียงยาวในตอนท้าย เพียงฤทัยยิ้ม พลางคิดว่าศิตาไม่ใช่คนผิวดำเสียหน่อย หญิงสาวชอบคิดว่าตนเองผิวดำ ทั้งที่ผิวของเธอใสเนียนละเอียด ที่เขาเรียกว่าผิวน้ำผึ้ง
?นี่...ถามจริงๆเถอะ กลัวจะดำนักหรือไง? เพียงฤทัยอดแซวไม่ได้
?ใช่น่ะสิ...ใครจะไปขาวจั๊วอย่างเธอล่ะ โดนแดดเท่าไหร่ก็ไม่รู้จักดำลงมั่งซะที? ศิตาค้อนลมขณะที่มือกำลังไล้โลชั่นบนผิวตนเอง
?ฉันล้อเล่น จะบอกอะไรให้นะ ผิวเธอน่ะสวย ไม่ต้องมามองตาขวางเลย ฉันพูดจริงๆ ผิวอย่างเธอนะเขาเรียกว่าน้ำผึ้งเดือนห้าสวยใสเนียนละเอียด ไม่ใช่น้ำผึ้งค้างปีดำปิ๊ดปี๋? เพียงฤทัยอธิบายพร้อมเสียงหัวเราะ แม้ได้ฟังคำชมของเพื่อนสนิท แต่ศิตาก็ยังตั้งใจทาโลชั่นให้ทั่ว จนสองหนุ่มเดินออกมาสมทบด้วยทันเวลา
?อ้าว..สองสาวได้ยินเสียงออกจากห้องตั้งนานแล้ว ยังเดินทางไม่ถึงทะเลอีกรึนี่? เสียงกวนๆของรามิลดังเข้ามาก่อนที่ตัวจะเดินมาถึง
?แล้วมันเกี่ยวอะไรกับนายด้วยล่ะ? เพียงฤทัยแหวเข้าให้ พร้อมกับค้อนจนตาแทบกลับ ยังผลให้ศิตาและภูรินท์แอบสบตาและยิ้มให้กันอย่างมีความหมาย
?สองคนนี่เป็นยังไงนะเจอกันไม่ได้เลย ฉะกันทุกที? ภูรินท์เอ่ยขึ้นเพื่อยุติสงครามที่กำลังจะเกิดขึ้น
?พี่ภูก็ดูเพื่อนพี่สิคะ พูดจาดีๆแบบคนอื่นเค้าเป็นมั๊ยล่ะ ยียวนตลอด? ท้ายประโยคเพียงฤทัยทำปากยื่นใส่รามิล
?ดูนะน้องศิ เพื่อนของน้องศิน่ะไม่ยอมเรียกพี่ ทั้งที่พี่อายุก็เท่ากันกับเจ้าภูมัน ทีกับภูนะพูดซะหวาน พี่ภูคะพี่ภูขา? รามิลแกล้งทำเสียงเล็กเสียงน้อยล้อเลียนเพียงฤทัย ส่งผลให้ตนเองได้รับค้อนวงใหญ่จากคนที่ถูกพาดพิง
?พอเถอะเพียง ทำเป็นไม่ถูกกันเหมือนละครไปได้ เดี๋ยวตอนจบก็ต้องมารักกัน เฮ้อ...ฉันล่ะไม่อยากจะเชียร์เล้ย? ศิตาแกล้งเย้าเพื่อนอีกแรง จนเพียงฤทัยหน้าแดงผลักไปที่ต้นแขนศิตาแก้เขิน ทั้งที่เธอเองไม่คิดว่าจะรู้สึกอะไรได้เลย
?ศินะ เธอเป็นเพื่อนชั้นรึเปล่าเนี่ย อย่ามาแกล้งล้อกันนะ? เสียงเข้มที่พยายามปิดบังความอาย ทำให้ศิตาหัวเราะเพราะรู้จักเพื่อนดีว่าเป็นคนอย่างไร
?โอ๋ๆ พูดเล่นนะอย่าโกรธเลย ปะ...เราไปเล่นน้ำทะเลกันดีกว่านะ? ศิตาพูดพร้อมกับโอบไหล่เพื่อนพาเดินลงบันไดไป โดยมีภูรินท์และรามิลเดินตามไปห่างๆ
เสียงหัวเราะสนุกสนานของบรรดาเด็กชายที่แบ่งเป็นกลุ่มเล็กกลุ่มน้อยตามอายุตามวัย บ้างก็โยนลูกบอล เล่นกันอยู่ที่ชายหาด บ้างก็เล่นลิงชิงบอลกันในน้ำ เด็กชายที่อายุน้อยที่สุดคือในวัยแปดปีซึ่งมีอยู่เพียงสี่คนนั่งก่อปราสาททรายกันอยู่ริมหาดนั่นเอง
ศิตาและเพียงฤทัยเดินไปทักทายเด็กๆทุกคน สุดท้ายก็เดินลุยน้ำลงทะเลไปเล่นลิงชิงบอลกับกลุ่มเด็กที่โตที่สุดในทะเล ภูรินท์และรามิลเดินตามดูอยู่ห่างๆ ทั้งสองเดินไปนั่งแช่น้ำทะเลอยู่ริมหาดที่คลื่นซัดสาดเข้ามาตลอด ด้วยเป็นห่วงความปลอดภัยของเด็กที่เล่นอยู่ในทะเล ถึงแม้จะเป็นเด็กที่โตที่สุดแต่ก็อยู่ในวัยเพียงสิบสองปีเท่านั้น เสียงหัวเราะร่าเริงของศิตาทำให้ภูรินท์เผลอยิ้มตามเธอไปด้วย
หนุ่มร่างสันทัดผิวเข้มที่มีจมูกโตสันจมูกโด่งเด่นชัด เผลอจ้องมองความร่าเริงของหญิงสาวร่างเล็กอีกคนหนึ่งที่กำลังพยายามไขว่คว้ากระโดดแย่งลูกบอลจากมือของเด็กชายที่ตัวโตที่สุด ใบหน้าของชายหนุ่มที่ฉาบความทะเล้นไว้ตลอดเวลา บัดนี้กำลังเหม่อมองพร้อมกับรอยยิ้มอ่อนละมุนประดับริมฝีปากสีชมพู จนเพื่อนที่นั่งข้างกันหันมามองผ่านๆ แล้วก็ต้องดึงใบหน้ากลับมามองรามิลอย่างจดจ้องอีกครั้ง
ภูรินท์มองตามสายตาของเพื่อน ที่บัดนี้เป็นประกายระยับแต่กลับจ้องนิ่งอยู่ที่จุดหนึ่งราวกับถูกสะกด และภาพที่เขาเห็นก็คือ เพียงฤทัยหญิงสาวผิวขาวร่างเล็ก ที่กำลังกระโดดโลดเต้นเล่นบอลอยู่กับเด็กๆและศิตาคนรักของเขา ซึ่งภาพนั้นกำลังอยู่ในสายตาของรามิล แล้วแววตาแปลกๆ ก็ผุดขึ้นในดวงตาเรียวของภูรินท์ รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ประดับริมฝีปาก พอจะมองเห็นอะไรลางๆ
?น่ารักดีเนอะ? ภูรินท์พูดขึ้นลอยๆ
?ใคร? เสียงห้วนๆ ถามกลับมาโดยที่สายตายังไม่ละจากภาพที่จ้องมองอยู่
?ก็...เพียง...เอ๊ย...น้องศิของฉันสิวะ? เขาแกล้งเรียกชื่อผิดเพื่อดูปฏิกิริยาของเพื่อน
?แล้วไป? เสียงพูดพร้อมกับถอนหายใจโล่งอกของรามิล เรียกรอยยิ้มจากภูรินท์ได้อีกครั้ง
?หมายความว่าไงวะ...แล้วไปของแกน่ะ? ภูรินท์กำลังพยายามต้อนให้รามิลจนมุม
?ก็ไม่หมายความว่าไง? รามิลตอบแบบกำปั้นทุบดิน
?แล้วไม่หมายความว่าไงน่ะ มันหมายความว่าไงล่ะวะไอ้ราม? ภูรินท์พูดกลั้วหัวเราะ จนรามิลเริ่มรู้สึกตัวหันกลับมามองหน้าเพื่อน
?ไอ้ภู!? พูดพร้อมกับยกกำปั้นตั้งฉากกับข้อศอกใส่หน้าเพื่อน
?อะไรวะ พูดแค่นี้ถึงกับจะลงไม้ลงมือเลยรึไง? คราวนี้ภูรินท์ปล่อยหัวเราะก๊าก จนรามิลหน้าแดงที่ถูกเพื่อนจับได้ว่าแอบมองเพียงฤทัยอยู่
?ขำให้ตายไปเลย ไอ้เพื่อนเฮงซวย? รามิลพูดจบก็หันหน้าหนีแล้วก็ไปเจอภาพของเพียงฤทัยที่เขามองอย่างไรก็กระจุ๋มกระจิ๋มน่ารัก แต่ทำไมเธอถึงไม่ชอบหน้าเขา คิดแล้วก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ แล้วหันหน้ามองตรงไปที่ทะเล
?โทษทีว่ะเพื่อน ก็มันอดขำไม่ได้นี่หว่า ฉันจะบอกอะไรแกให้นะ? ภูรินท์หยุดหัวเราะได้ในที่สุด
?บอกอะไร?
?ก็บอกให้แกลุยไงล่ะ อย่างนี้ต้องจีบได้แล้ว มัวแต่ไปชวนเค้าทะเลาะเมื่อไหร่จะได้หัวใจเค้าวะ? เสียงดอกเตอร์หนุ่มจริงจังขึ้นมาทันที
?แหม...ไอ้ดอกเตอร์เลิกวิจัยพวกสารเคมีแล้วหรือไงวะ เดี๋ยวนี้แกเปลี่ยนมาวิจัยหัวใจมนุษย์แล้วงั้นสิ? ความทะเล้นกลับมาเยือนรามิลเหมือนเคย เสียงใสๆของศิตา ดึงทั้งสองออกจากบทสนทนา
?พี่ภูคะ...พี่ภู...ลงมาเล่นน้ำกันเถอะค่ะ เด็กๆขึ้นกันหมดแล้ว? ศิตาโบกไม้โบกมืออยู่ไม่ห่าง ภูรินท์มองตามก็เห็นจริงว่าเด็กๆ เริ่มเดินเรียงแถวขึ้นที่พักแล้ว คงเป็นครูดวงใจที่กำหนดกฎเกณฑ์เอาไว้
?ไป...ราม? ภูรินท์ลุกขึ้นพลางฉุดให้รามิลลุกตาม
เสียงหนุ่มสาวทั้งสี่คนที่อยู่ในทะเล ทำให้อัญชลิตาและดวงใจต่างหัวเราะให้แก่กันอย่างมีความสุข ตะวันเริ่มคล้อยต่ำ ทั้งสี่จึงได้ขึ้นจากน้ำทะเล เมื่ออาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้ากันเรียบร้อย ก็เตรียมออกมาย่างบาร์บีคิว ซึ่งแม่บ้านที่ดูแลบ้านพักแห่งนี้จัดเตรียมไว้ให้ตามคำสั่งของอัญชลิตาทั้งอาหารคาวหวานอีกหลายอย่าง เด็กชายทั้งสิบกว่าชีวิต ต่างนั่งล้อมวงกันที่ชายหาดซึ่งปูผ้าพลาสติกเอาไว้ เด็กชายที่โตกว่าอีกห้าคนมาช่วยหนุ่มสาวทั้งสี่ย่างบาร์บีคิว ต่างสนุกสนานกัน เด็กที่เหลือมาช่วยกันนำบาร์บีคิวที่สุกแล้วไปเสิร์ฟผู้ใหญ่สองท่านบนระเบียง
เมื่อย่างบาร์บีคิวเสร็จสิ้น ภูรินท์จึงแอบกระซิบให้รามิลทำตามหัวใจเรียกร้อง ส่วนตัวเขาเองถือจานบาร์บีคิวพาศิตาเดินไปชิดริมหาดห่างคลื่นเพียงห้าเมตร เขากระตุกมือหญิงสาวเบาๆ ให้นั่งลงบนผ้าพลาสติกที่เขาปูให้ ศิตาทรุดลงนั่งพร้อมกับมองหน้าคนรัก รอยยิ้มที่ทำให้โลกของภูรินท์สว่างสดใสประดับริมฝีปากอิ่มอีกครา
?พี่ภูชอบจัง เวลาน้องศิยิ้มกว้างแบบนี้? เขาบอกพร้อมกับส่งสายตาเป็นประกายแววววาว
?นี่พี่ภูว่าศิปากกว้างเหรอคะ? แกล้งหาเรื่องเขาแก้เขินไปอย่างนั้นแหละ
?ยิ้มของน้องศิทำให้โลกสว่างสดใส หัวใจของพี่ก็พลอยเบิกบานไปด้วย? ภูรินท์พูดต่อความคิดของตนเอง ไม่สนใจคำพูดแกล้งตีรวนของเธอ ทำให้คนที่แกล้งรวนถึงกับเขิน นิ้วเรียวม้วนปอยผมตนเองวนไปมาจนเริ่มพันที่นิ้วแน่นขึ้น เขาจ้องมองอาการของเธอพลางยิ้มสุขใจที่ทำให้คนช่างพูดเขินจนพูดไม่ออก
?พอแล้ว...พันซะแน่นดูซิปลายนิ้วเริ่มเป็นสีม่วงแล้วนะ? ภูรินท์พูดพร้อมกับแกะนิ้วออกจากผมที่เธอหมุนขมวดเอาไว้
?พูดเกินไปแล้วพี่ภู? ศิตาย้อนพร้อมกับหมุนนิ้วตนเองดู เห็นเพียงรอยแดงๆที่เธอพันเส้นผมไว้เมื่อสักครู่
ภูรินท์หัวเราะเบาๆ เขาเอื้อมมือมาแตะแก้มเนียนอย่างอ่อนโยนทะนุถนอม มือเรียวของศิตาแตะบนหลังมือของเขาแนบแก้มกับฝ่ามือหนาให้กระชับยิ่งขึ้น หัวใจของชายหนุ่มพองฟูปล่อยให้เธอจับกระชับไว้ตามความพอใจ สักพักหนึ่งหญิงสาวจึงดึงมือเขาออกจากแก้มแล้วนำมากุมไว้ มือใหญ่เปลี่ยนมากุมมือเล็กไว้มิดและบีบกระชับมือนุ่มครั้งหนึ่งก่อนจะปล่อยให้เป็นอิสระ
?มาทานบาร์บีคิวกันเถอะ เดี๋ยวจะเย็นซะหมด? ภูรินท์บอกพร้อมกับส่งบาร์บีคิวให้ศิตา

?เพียง...พี่....ผมเอาบาร์บีคิวมาให้ครับ? รามิลเดินตรงเข้ามาหาเพียงฤทัย ตั้งใจมั่นแล้วว่าจะพยายามเอาชนะใจหญิงร่างเล็กคนนี้ให้ได้ แต่เมื่อมายืนอยู่ตรงหน้าเธอกลับพูดติดๆ ขัดๆ
?จะเอายังไง พี่ หรือ ผม? หญิงสาวผิวขาวหันมาเลิกคิ้วถาม ด้วยยังไม่ไว้ใจว่าชายหนุ่มจะมาไม้ไหน
?ก็อยากจะแทนตัวเองว่าพี่น่ะแหละ แต่กลัวน้องเพียงจะโกรธ? รามิลทำท่ายิ้มประจบ
?แค่นี้ใช่มะ ขอบใจนะ? เพียงฤทัยพูดตัดบท ไม่ให้สนทนายืดเยื้อต่อไป เตรียมก้าวขาจะเดินหนี
?เดี๋ยวซิครับ? ด้วยความตกใจกลัวว่าเธอจะหนีไป จึงคว้าข้อมือไว้ ส่งผลให้เธอหันกลับมามองตาขวาง
?ขอโทษครับ พี่แค่อยากจะคุยด้วย? เขารีบปล่อยข้อมือเธอทันที
เพียงฤทัยจึงนั่งลงที่เก้าอี้ที่ห่างออกมาจากเตาที่ย่างบาร์บีคิวพอสมควร รามิลตามมานั่งข้างๆ ยิ้มทะเล้นส่งไปให้เธอก่อนที่จะเอ่ยปากพูดอะไรออกไป ทำให้รู้สึกขัดตา ดูไม่น่าไว้วางใจ
?ว่าไง มีอะไรก็พูดมา? เสียงห้วนทำให้คนหน้าทะเล้นหุบยิ้มในทันใด
?คือ...พี่ชอบผู้หญิงตัวเล็กๆน่ะ ดูน่ารักดี? คำพูดของรามิล ทำให้บาร์บีคิวที่กำลังจะส่งเข้าปากหญิงสาวชะงักค้างแล้ววางกลับลงไปในจาน หันหน้ามามองคนพูด
?ยิ่งผิวขาวยิ่งดูน่าทะนุถนอมนะ เพียงคิดเหมือนพี่มั๊ย? แม้เสียงที่พูดจะนุ่มแต่ดวงตาที่เป็นประกายไม่นิ่งบวกกับรอยยิ้มที่เพียงฤทัยมองว่าแสนจะยียวน ทำให้หญิงสาวไม่เชื่อในคำพูด คิดว่าเขาคงจะมีแผนมาแกล้งอะไรเธออีกแน่ๆ
?ลามกรึเปล่า? เธอทำจมูกย่นตอบไป
?ไม่ใช่อย่างนั้นนะ โธ่...อย่าเข้าใจพี่ผิดสิ พี่ชอบน้องเพียงจริงๆนะ? เสียงปฏิเสธละล่ำละลักตามด้วยเสียงสลดและแววตาละห้อยของรามิล ทำให้เพียงฤทัยหัวเราะคิก
?ประสาทรึเปล่า นายว่าอะไรนะ อย่างนายน่ะนะ จะ..ชอบ..ฉัน? ท้ายประโยคเธอเพิ่งรู้สึกว่าสามคำที่เขาพูดคือคำที่เขาบอกชอบเธอ นี่เขาแกล้งล้อเธอเล่นใช่มั๊ยเนี่ย ใบหน้ากระจุ๋มกระจิ๋มหันกลับไปจ้องคนหน้าทะเล้น รามิลพยักหน้าหงึกทำหน้าตาละห้อยน่าสงสารเหมือนสุนัขป่วย
?จริงๆนะครับ พี่พูดจากใจจริง พี่ชอบน้องเพียง แต่ไม่รู้จะทำให้น้องสนใจพี่ได้ยังไง ก็เลยหาเรื่องก่อกวนไปเรื่อย ยกโทษให้พี่นะครับ? เสียงนุ่มหูกับแววตาจริงจัง ทำให้เพียงฤทัยกระตุกวาบในอก ใบหน้าเริ่มรู้สึกชามือเล็กขาวๆจับแก้มตนเองรู้สึกถึงความร้อนราวกับคนเป็นไข้
?แล้ว...จะให้ยกโทษเรื่องอะไรล่ะ? เธอหันหน้าหนีก้มหน้ามองมือตนเองที่บีบกันอยู่บนตัก
?ก็เรื่องที่พี่เคยพูดจากไม่ดี แล้วก็ที่พี่เคยก่อกวนให้เพียงอารมณ์เสียน่ะครับ? เขาเอียงหน้ามาหาพยายามจะสบตาเธอให้ได้ แต่หญิงสาวไม่ยอมให้ความร่วมมือ
?ยกโทษให้หมดแล้วล่ะ นั่งดีๆเถอะ อย่ามาจ้องหน้ากันเลย? ถึงแม้จะเขินอาย แต่คนอย่างเพียงฤทัยก็ไม่ยอมปล่อยให้เขามาจู่โจมให้เธอเขินอายมากขึ้นอย่างแน่นอน
?แล้วถ้า...พี่...ขอคบน้องเพียงล่ะจะได้มั๊ย? รามิลอมยิ้มเพราะไม่เคยเห็นหญิงสาวคนนี้เขินอายสักครั้ง
?ได้ๆๆๆ เลิกมองหน้าฉันซะทีเถอะ? พูดไปโดยไม่ได้ตั้งใจฟังคำถาม เพราะอยากให้พ้นจากสถานการณ์ที่น่าอึดอัดเสียที
?ขอบคุณครับ น้องเพียง พี่ดีใจจริงๆ? พูดพร้อมกับคว้าสองมือเล็กขึ้นมาบีบย้ำความมั่นใจ
?อะไร...จะดีใจอะไรขนาดนั้น? ยังไม่รู้ตัวว่าตอบอะไรออกไป
?ก็ต้องดีใจมากสิครับ ที่น้องเพียงยอมคบกับพี่เป็นแฟน? แววตาและรอยยิ้มทะเล้นกลับมาฉาบใบหน้าเขาอีกครั้ง
?ว่าไงนะ! ฉันน่ะนะ ยอมคบนายเป็นแฟน? พูดแล้วก็ต้องกัดริมฝีปากตนเอง แล้วนึกทบทวนบทสนทนาที่ผ่านมา แล้วก็ต้องเบิกตาโต ใบหน้าขาวกลับกลายเป็นสีแดง จนตัวเองรู้สึกร้อนไปหมด รีบสะบัดมือหลุดจากการเกาะกุมของรามิล แล้ววิ่งหนีเข้าไปในบ้านพักตรงเข้าห้องนอนตนเองทันที รามิลยิ้มและมองตามด้วยความปิติสุขสมหวัง เขาลุกขึ้นยืนกางแขนสองข้าง เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้ามืดดำ พลางตะโกนดังก้องท้องฟ้า
?สำเร็จแล้ว ขอบคุณคร้าบ?

เสียงตะโกนของรามิลทำให้หนุ่มสาวที่นั่งอยู่ริมหาดหันมามองหน้ากัน ภูรินท์เพียงแต่ยิ้มออกมาเพราะพอจะคาดเดาสาเหตุได้ ส่วนศิตานั้นคิ้วเรียวขมวดมุ่นจ้องหน้าคนรัก และพอจะมองเห็นสิ่งผิดปกติ
?เกิดอะไรขึ้นคะพี่ภู เล่ามาให้หมดนะ? เสียงเข้มคาดคั้น
?ก็ไม่มีอะไรมากหรอกน้องศิ พี่สงสัยว่าเจ้ารามมันคงจีบเพื่อนเราสำเร็จน่ะ? เสียงพูดเรียบๆ แต่คนที่นั่งฟังอยู่เบิกตาโต
?พี่ภูว่าอะไรนะคะ พี่รามกับเพียงน่ะเหรอ? ภูรินท์พยักหน้าตอบคำของศิตา
?มันเกิดขึ้นตอนไหนน่ะ ศิงงไปหมดแล้วล่ะค่ะ ก็ศิเพิ่งจะล้อยัยเพียงเมื่อตอนบ่ายนี่เอง ไม่คิดว่า...มันจะกลายเป็นความจริง? หญิงสาวตาลอยพยายามคิดว่าสองคนนั่นไปชอบกันตอนไหน คืนนี้ต้องไปหาคำตอบกับเพื่อนรักให้ได้
?พี่ก็เพิ่งเห็นรามชัดเจนวันนี้แหละ ก็เลยยุให้มันบอกความในใจไปเลย อย่ามัวแต่ไปชวนเขาทะเลาะ? เขามองหน้าหญิงคนรักแล้วอดขำไม่ได้ อธิบายรายละเอียดให้เธอพอเข้าใจ
?แหม...พี่ภูยุให้เพื่อนใช้วิธีเดียวกับตัวเองเลยนะ ผู้หญิงชอบไม่ชอบไม่รู้ล่ะ คนอย่างภูรินท์บอกความในใจให้รู้กันไปเลย? พูดจบเธอก็ปิดปากหัวเราะ
?แล้วมันได้ผลมั๊ยล่ะ? ภูรินท์หันมายิ้มใส่หน้าศิตา
?จะไปรู้เรอะ? พูดแล้วหันหน้าหนี
?ไม่รู้จริงๆอ่ะ? เขายังยั่วเธอไม่เลิก เอียงหน้าเข้ามาใกล้
ศิตานั่งนิ่งเมื่อแก้มสัมผัสถึงลมหายใจที่ใกล้ชิดของชายหนุ่ม ภูรินท์มองคนรักด้วยหัวใจที่มีความรักเพิ่มขึ้นทุกนาที สองแขนแข็งแรงโอบรอบเอวหญิงสาวพร้อมกับวางคางบนไหล่เนียนนุ่ม เธอขยับตัวนิดหน่อยเมื่อรู้สึกว่าคางสากระคายสัมผัสผิวเนื้อที่พ้นจากเสื้อแขนกุด
?ตกลงว่า น้องศิรู้รึยังครับ ว่ามันได้ผลมั๊ยวิธีของภูรินท์น่ะ?
ภูรินท์ขยับใบหน้าเข้าใกล้มากขึ้น จมูกโด่งคลอเคลียอยู่ที่แก้ม ศิตาไม่ตอบเมื่อโดนเขาจู่โจมด้วยวิธีนี้ เพราะรู้คำตอบดีอยู่แก่ใจตนเอง เสียงสูดลมหายใจของคนที่กำลังโอบเอวเธออยู่ ทำให้ไม่กล้ากระดิกตัวและเผลอกลั้นลมหายใจด้วยเกรงว่าเขาจะได้ยินเสียงหัวใจที่เต้นแรง
?ขอหอมทีนะ? พูดจบก็ฉกจมูกฝังไปที่แก้มเนียนพร้อมกับสูดความหอมอย่างแรง จนหญิงสาวสะท้านอาย
?ยังไม่ได้อนุญาตซะหน่อย? เสียงประท้วงไม่ดังนัก และพยายามแกะมือเขาออกจากเอวตนเอง
?แต่เมื่อกี้พี่เห็นน้องศิพยักหน้านะ?
?พอได้แล้ว เอาจมูกออกจากแก้มศิซะที? แม้จะเขินแต่ถ้าปล่อยให้เขาฝังจมูกอยู่อย่างนั้น หัวใจคงต้องทำงานหนักเกินไป
?อืม...ชื่นใจจัง? พูดเย้าคนรักหลังจากถอนจมูกออกมา พลางปล่อยแขนข้างหนึ่งจากการโอบเอว เหลือเพียงข้างเดียวโอบไหล่ไว้หลวมๆ และจับศีรษะเธอให้พิงที่หัวไหล่ตนเอง
?พี่ไม่คิดเลยว่าจะโชคดีขนาดนี้? หันไปหอมที่กระหม่อมของหญิงสาว
?ยังจำวันแรกที่พี่บอกรักศิได้เลย วันนั้นนะพี่ไม่คิดหวังอะไรทั้งสิ้น แค่อยากให้ศิรับรู้ว่าพี่คิดยังไงกับศิ?
?เลิกคิดได้แล้วค่ะ อีกไม่กี่เดือนก็จะแต่งงานกันอยู่แล้ว ยังจะคิดมากอยู่อีกนะท่านอาจารย์? ศิตาเอ่ยล้อ
?ก็มันเป็นความภูมิใจของพี่นี่ครับ ชีวิตวัยเด็กอาจจะรู้สึกขาดหายไปเมื่อพี่เสียพ่อกับแม่ไป แต่พอมาเจอแม่ตุ้มพี่ก็เริ่มมีกำลังใจ ยิ่งได้คุยกับตุ๊กตาบรายตัวน้อยยิ่งทำให้อยากต่อสู้ และแม่อัญก็เป็นคนสำคัญที่ทำให้ความฝันของพี่เป็นจริง? ระหว่างพูดมือเขาลูบผมนุ่มไปด้วย
?ฝันที่เป็นจริงของพี่ภู ใช่เรื่องศิรึเปล่าคะ? ถามทั้งที่รู้ว่าเขาพูดถึงโอกาสทางการศึกษา
?พี่พูดถึงทุนที่แม่อัญให้พี่เรียน ถ้าไม่ใช่เพราะศิพี่คงรับทุนจากท่านจนจบดอกเตอร์ ไม่ไปสอบชิงทุนไปต่อที่เมืองนอกหรอก? เขาหันกลับมามองแล้วเชยคางให้เธอหันมาสบตา
?สำหรับเรื่องศิ เป็นยิ่งกว่าฝันที่เป็นจริง แต่เป็นเรื่องมหัศจรรย์มากที่แม่อัญ กับคุณพ่อของศิ มอบความไว้วางใจให้พี่ดูแลลูกสาวของท่าน ถึงขนาดจัดงานแต่งงานให้เราสองคน พี่ไม่รู้จะขอบคุณท่านทั้งสองอย่างไรให้สมกับความปรานีที่มีให้พี่? พูดจบก็แตะริมฝีปากตนเองกับริมฝีปากอิ่มนุ่มนวลหวานละมุน
ศิตาไม่ขัดขืน เพราะตลอดเวลาที่คบกับเขามา ผู้ชายคนนี้ไม่เคยล่วงเกินมากกว่าการหอมแก้ม และอีกไม่นานก็จะเข้าสู่ประตูวิวาห์กันแล้ว เพียงแค่นี้ทำไมจะให้คนรักไม่ได้
ภูรินท์รับรู้ถึงการตอบรับของคนรัก เขาพยายามหักห้ามใจไม่ล่วงล้ำเข้าไปให้มากเกินควร แต่ก็สุดจะห้ามใจไหว คงปล่อยให้อารมณ์พลิ้วไหวกับกลีบปากนุ่ม สองแขนกอดรัดร่างเธอแน่นขึ้น พลางถอนริมฝีปากละลงมาตามลำคอเนียนระหง แผงอกแข็งแรงสัมผัสจังหวะหัวใจของหญิงสาวที่เต้นแรงจนกระทบกับอกตนเอง ความคิดกระจัดกระจาย ถูกสติสัมปชัญญะรวบรวมให้เข้าที่เข้าทาง แล้วรีบผละตนเองออกจากร่างนุ่มนิ่มที่กำลังอ่อนแรง
?พี่ขอโทษ? เสียงแผ่วเบาทำให้ศิตาต้องตั้งสติสูดลมหายใจยาว เพื่อระงับความตื่นเต้น
?ไม่ต้องขอโทษหรอกค่ะ เราจะแต่งงานกันอยู่แล้ว อย่ารู้สึกผิดเลยนะคะ ถ้าเป็นผู้ชายอื่นศิคงไม่พูดแบบนี้หรอกค่ะ แต่สำหรับพี่ภู? เธอกอดแขนเขาพลางแนบแก้มที่ต้นแขนหนา
?สุภาพบุรุษตัวจริงของศิ ถึงขั้นนี้แล้ว พี่ภูยังมีสติพอที่จะยับยั้งได้เลย ศิว่าศิโชคดีกว่าพี่ภูอีกนะคะ?
ทั้งสองหันมาสบตากัน เพียงอึดใจก็หัวเราะออกมาพร้อมกัน เสียงประสานหัวเราะสดใส และทุ้มกังวาน ได้ยินเข้าไปถึงห้องพักของหญิงสูงวัยทั้งสอง พาให้อิ่มใจที่เห็นคนที่ตนเองรักทั้งสองคนมีความสุขสมวัย หลังจากที่คร่ำเคร่งกับงานกันตลอดเวลา

ตอบกลับโพส

ย้อนกลับไปยัง “ก้าวแรก(สู่นักเขียนมืออาชีพ)”