ศิตา..หญิงสาวที่หมดลมหายใจในคืนวันแต่งงาน(ตอนที่ 5)

ถ้าเพื่อนๆ มีเรื่องที่น่าสนใจและต้องการแบ่งปันเนื้อหา หรือร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการเป็นนักเขียนมืออาชีพ

Moderator: Gals, B.Comics, พี่บี

ตอบกลับโพส
เมเปิ้ล
โพสต์: 10
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร 31 ม.ค. 2012 4:41 pm

ศิตา..หญิงสาวที่หมดลมหายใจในคืนวันแต่งงาน(ตอนที่ 5)

โพสต์ โดย เมเปิ้ล »

ตอนที่ 5 จารจำในหัวใจ

เสียงคนคุยกันสร้างความประหลาดใจให้กับคนที่ยังคงนอนหลับตาอยู่บนเตียง หัวคิ้วหนาขมวดเข้าหากัน พยายามเงี่ยหูฟังทั้งที่ยังไม่ลืมตา พลางคิดว่าใครนะเข้ามาคุยกันในห้องพักของเขาได้ แล้วศิตา..เมื่อชื่อนี้ผุดขึ้นในความทรงจำ เขากระเด้งตัวลุกขึ้นนั่ง ลืมตาตื่นเต็มที่ ดวงตาเรียวประดุจเหยี่ยวกวาดสายตาไปรอบๆห้อง ไม่พบบุคคลใด แต่เสียงพูดคุยยังคงได้ยินอยู่ จึงหันไปมองเตียงข้างๆ เห็นหญิงสาวที่เป็นห่วงอยู่ทุกขณะจิตหลับใหล พลันสายตาเหลือบไปเห็นคนในโทรทัศน์กำลังพูดคุยกันอย่างออกรส ร่างสูงลุกขึ้นยืนสะบัดแขนขาแล้วตรงไปปิดโทรทัศน์ จากนั้นก็ตรงเข้าห้องน้ำอาบน้ำให้ร่างกายสดชื่น
ไม่เกินสิบห้านาที ภูรินท์อาบน้ำแต่งตัวเสร็จเรียบร้อย จึงเดินมาดูคนที่หลับ เขาคุกเข่าลงที่พื้นพรมหน้าเตียงของหญิงสาว พินิจดวงหน้าเนียนยิ่งใกล้ก็ยิ่งเห็นความเนียนละเอียด ขนตาดกหนายังคงปิดสนิท ไม่รับรู้ว่ากำลังมีคนสำรวจใบหน้างามอย่างใกล้ชิด ใบหน้าห่างกันไม่กี่นิ้ว จนคนหลับสัมผัสถึงลมอุ่นๆที่รินรดอยู่บนแก้มนวล แพขนตากระพือเปิดขึ้น สบประสานกับดวงตาเรียวเข้าอย่างจัง ต่างคนต่างกระพริบตาปริบๆ ไม่มีใครขยับร่างกาย ลมหายใจอุ่นยังคงรินรดทำให้แก้มใสสีเข้มขึ้น ภูรินท์เห็นความผิดปกติเกิดขึ้นกับใบหน้าเนียน จึงรู้สึกตัวหยัดกายขึ้นยืนเต็มความสูง
?พี่ตั้งใจจะปลุกน้องศิไปเดินเล่นที่ชายหาดกัน..เอ่อ? เขาจะพูดอะไรต่อดีล่ะ มือใหญ่ลูบท้ายทอยตนเองแก้เขิน ไม่รู้ว่าเผลอทำอะไรแบบนั้นได้อย่างไร
?แล้ว..ทำไมไม่ปลุกล่ะคะ? เสียงใสที่ตอบกลับมาไม่ได้ต่อว่า แต่ก็ไม่รู้จะพูดอะไรดีเช่นกัน
?เอ่อ..พี่แค่จะดูให้แน่ใจว่าน้องศิหลับจริงๆน่ะ? ฟังไม่ค่อยขึ้นเท่าไรนะ ตอบพลางคิดเอาเอง
?งั้นขอศิไปล้างหน้าล้างตาก่อนนะคะ รอแป๊บเดียวค่ะ? ศิตาลุกขึ้นเดินเข้าห้องน้ำ เพื่อให้พ้นจากเหตุการณ์ที่ต่างก็ขวยใจกันทั้งสองฝ่าย
ภูรินท์เดินจูงมือศิตาไปตามถนนเลียบชายหาดแฟร์ฟิลด์(Fairfield Beach Road) แล้วมาเลี้ยวเข้าตรงไลท์เฮ้าส์พอยท์(Lighthouse Point) หญิงสาวเดินแกว่งมือที่เขาจับจูงไว้อย่างร่าเริง มองสองข้างทางที่มีบ้านพักเป็นระยะ ความร้อนแรงจากแสงอาทิตย์ลดน้อยลงไปมาก อีกไม่นานดวงอาทิตย์คงจมหายไปกับทะเล
?หิวรึยัง? ภูรินท์ถามขึ้น
?ยังค่ะ? เสียงใสตอบกลับมา ประกายตาสดใสมองไปที่ท้องฟ้า แม้อากาศจะเย็นแต่ก็ไม่ถึงกับหนาวมากนัก ที่สำคัญยังไม่มีเกล็ดสีขาวบดบังทัศนียภาพของท้องทะเลยอีกด้วย
?เย็นนี้เราดินเนอร์กันค่ำหน่อยแล้วกันนะ? เสียงทุ้มเรียกความสนใจดวงตากลมโตสดใสหันมามอง พร้อมกับเลิกคิ้ว
?ก็พี่จะนั่งชมพระอาทิตย์ตกกับน้องศิ สวยมากเลยนะ สนใจมั๊ย? ร่างสูงตอบพร้อมกับโน้มใบหน้าลงมาใกล้คนตัวเล็ก เพื่อสบตากับเธอ
?สนสิคะ? ศิตากระพริบตามองคนที่โน้มใบหน้าเข้ามาใกล้ พลางหันหน้าหนีซ่อนใบหน้าร้อนเป็นริ้วไล่ขึ้นมาตามแก้ม หัวใจเต้นเร็วแรงจนต้องดึงมือออกจากการจับจูง และเดินหนีไปเบื้องหน้าที่เริ่มเห็นหาดทรายและน้ำทะเลอยู่ไม่ไกล
?รอพี่ด้วยสิ? ภูรินท์ยิ้มสุขใจที่ทำให้เธอขวยเขินได้บ่อยๆ คนที่เดินนำหน้าขณะนี้ต้องมีใจให้เขาบ้างล่ะ ถึงได้เกิดอาการเช่นนี้ คิดแล้วก็ให้รู้สึกพองฟูข้างในหัวใจ จนเก็บความดีใจเอาไว้ไม่อยู่
ศิตาเดินมานั่งหย่อนกายลงบนหาดทราย เหยียดขาเรียวไปด้านหน้า ทอดสายตามองผืนฟ้าและท้องทะเล อากาศสดชื่นถูกสูดเข้าไปอย่างแรง เขาทรุดลงนั่งข้างหญิงสาว
?เงียบสงบดีจังค่ะ? เธอเอ่ยโดยไม่ละสายตาจากความงามที่กำลังซึมซับอยู่
?แฟร์ฟิลด์เป็นเมืองเล็ก เงียบสงบ เหมาะที่จะพักผ่อน พี่ถึงได้เลือกที่นี่ไง? ตอบพร้อมกับหันมาพิศมองคนข้างๆ แววตาหวานจากก้นบึ้งหัวใจทอประกายระยิบชื่นชมความสดใสของเธอ
ศิตารู้สึกว่าถูกจ้องมองจึงหันกลับมาตั้งใจจะแกล้งให้เข็ด แต่เมื่อสบประสานสายตาที่ประกาศความในใจชัดเจน ทำให้คนช่างพูดหาเสียงตัวเองไม่เจอ ดวงตาหวานของชายหนุ่มกำลังทำให้เธอตกประหม่า หัวใจวูบไหวอิ่มเอิบล้นอยู่ข้างใน ความรู้สึกที่เกิดขึ้นตลอดระยะเวลาสองวันนี้คืออะไร
?นี่ถ้าเป็นชายหาดบางแสนนะ ศิจะสั่งส้มตำไก่ย่างมากินให้สะใจเลยล่ะ? ศิตาหันหน้าออกสู่ทะเล พูดกลบเกลื่อนความประหม่าที่เกิดขึ้น
?กินมั๊ยล่ะ พี่จะสั่งให้? ภูรินท์แกล้งเย้ากลับ
?สั่งได้จริงอ่ะ? หญิงสาวไม่รู้เท่าทัน ทำหน้าตาตื่นหันกลับมาถาม จึงได้เห็นสายตาเจ้าเล่ห์ ริมฝีปากเม้มแน่นกลั้นยิ้มอย่างเต็มที่ กำปั้นเล็กๆ จึงทุบไปที่ต้นแขนแข็งแรง
?อำศิอีกแล้วนะ พี่ภูน่ะ? เธอสะบัดหน้าหนีไปอีกทาง
?โธ่...พี่ก็แค่ล้อเล่น ทีศิยังพูดในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ แล้วทำไม...?
?พอค่ะพอ ด็อกเตอร์เลิกบรรยายได้แล้ว จำนนแล้วค่ะ? เจ้าของใบหน้างามหันมาหัวเราะพลางยกมือขึ้นตรงหน้าชายหนุ่มเพื่อบอกให้เขาหยุดพูด เพราะเธอเองก็แกล้งงอนเหมือนกันน่ะแหละ
ทั้งสองต่างหัวเราะให้แก่กันประสานความสุขแข่งกับเสียงคลื่นที่ซัดสาดเข้ามาเป็นระยะสม่ำเสมอ เพียงไม่นานแสงสว่างเริ่มโรย ดวงอาทิตย์กลมโตคล้อยลงเกือบแตะเส้นขอบน้ำทะเล ฉาบสีส้มเต็มผืนฟ้าสะท้อนลงแผ่นน้ำทะเล ที่ระลอกคลื่นทำให้เกิดประกายระยิบระยับ
ความสวยงามของดวงอาทิตย์อัสดงที่ย้อมสีสันให้ผ้าใบผืนฟ้ากลายเป็นภาพวิจิตร ประหนึ่งศิลปินได้สะบัดปลายภู่กันแต่งแต้มไล้สีอย่างลงตัว ศิตาเผลอเอนศีรษะพิงไปที่ไหล่ของภูรินท์ดื่มด่ำความงดงามเบื้องหน้า ดวงกลมๆ สีส้มจัดเริ่มจมลงผืนน้ำอย่างช้าๆ
ภูรินท์หันมามองคนข้างๆ ที่เอนมาซบไหล่หนาของตนเอง ได้เห็นประกายตาพราวระยับ สะท้อนดวงอาทิตย์ที่กำลังจมลงท้องทะเล ดวงตาเธอสุกใสเป็นประกายประดุจคริสตัลที่กระทบแสง รอยยิ้มอาบไปทั่วริมฝีปากและดวงตาของชายหนุ่ม หัวใจเหมือนติดปีกบินล่องลอยท่ามกลางปุยแห่งความสุข เพียงหวังว่าความสุขที่ได้รับในเวลานี้ จะไม่ลอยหายไปเร็วนัก แขนแข็งเรงยกขึ้นโอบไหล่มนของเธอที่กำลังเอนซบ สิ่งที่เขาทำในขณะนี้มีเพียงหัวใจเท่านั้นที่กำลังบงการให้มันเป็นไป เสียงสดใสช่วยให้มีสติละสายตาจากใบหน้าเรียวสวยหันกลับไปมองดวงอาทิตย์ที่บัดนี้จมลงไปเกือบครึ่งแล้ว
?สวยมากนะคะพี่ภู? เสียงแผ่วเบาที่เอ่ยออกมาเหมือนรำพึง โดยที่ดวงตายังไม่ละจากภาพที่ธรรมชาติกำลังสรรค์สร้างแสดงให้ชม
?สวยค่ะ สวยซึ้งจริงๆ? ภูรินท์ตอบหันกลับมาจ้องมองด้านข้างของใบหน้าเรียวอีกครั้ง
ศิตาเริ่มรู้สึกตัวว่าถูกจ้องมอง และความอบอุ่นกำลังดีที่ถูกเขาโอบกอดอีกล่ะ ถ้าซื่อตรงต่อหัวใจตัวเองก็คือ เธอไม่อยากผละออกจากอ้อมแขนที่แสนอบอุ่นนี้เลย และถ้าทำตามใจปรารถนาเช่นนั้น จะเป็นการปล่อยตัวปล่อยใจเกินไปหรือเปล่า คิดทบทวนไม่นานจึงตัดสินใจหันไปสานสบนัยน์ตาเรียว สิ่งที่ตั้งใจไว้มลายหายไปหมดสิ้น กลับกลายเป็นความเขินอายปรากฎขึ้นมาอีกระลอก ประกายตาหวานซึ้งของภูรินท์สะกดให้ศิตาสานสบนัยน์ตานิ่งดั่งต้องมนตร์ แต่หัวใจนั้นเล่ากับเต้นโครมครามอยู่ข้างใน
ภูรินท์ยังคงจ้องลึกเข้าไปในดวงตากลมโตแวววาว เปิดเผยความในใจโดยไม่คิดปิดบัง เขาโน้มใบหน้าลงมาใกล้ใบหน้านวลเนียน มือข้างหนึ่งจับคางเธอเชยขึ้นอย่างนุ่มนวล ศิตานั่งนิ่งราวกับถูกสะกดด้วยสายตาเรียวประดุจเหยี่ยว ทำให้เจ้าของดวงตาเรียวได้ใจ จรดปลายจมูกโด่งลงบนหน้าผากนวล ลากไล้ลงมาแผ่วเบาตามสันจมูกโด่งงามของหญิงสาว เธอกลั้นหายใจโดยไม่รู้ตัว ริมฝีปากบางของเขาแตะกับริมฝีปากอิ่มนุ่มอย่างทะนุถนอม ยังคงแตะค้างอยู่เช่นนั้น ไม่ได้คิดรุกรานล่วงเกิน ไม่ถึงนาทีก็ผละออกพลางใช้นิ้วโป้งตนเองไล้เบาๆ ที่แก้มเนียนร้อนผ่าว แขนอีกข้างที่โอบไหล่เธอกระชับเข้ามา มืออีกข้างปล่อยให้ใบหน้าเธอเป็นอิสระ
ศิตารีบหันกลับไปมองทะเลทันที ความเขินอายจากสัมผัสที่ไม่เคยเกิดขึ้น ทำให้เธอไม่กล้าสบตาเขาอีก พยายามจ้องมองดวงอาทิตย์ที่กำลังจะจมหายไปใต้ทะเล อย่างตั้งอกตั้งใจ ภูรินท์มองกิริยาอาการของหญิงสาวข้างๆ ตลอดเวลา เขาเผลอยิ้มออกมา และอดไม่ได้ที่จะหันไปสูดความหอมจากเรือนผมหยักศกนุ่มสีน้ำตาล
?พี่อยากจะหยุดเวลาไว้ตรงนี้? เสียงทุ้มพูดขึ้นมาลอยๆ ดึงความสนใจของหญิงสาวให้ละสายตาจากท้องทะเล เขารู้สึกด้วยหางตาว่าเธอกำลังมองอยู่
?จริงๆ นะ? เขาหันมาประสานสายตากับเธอ พลางจับไหล่ให้เจ้าของร่างบางหันมาหา เธอจ้องมองนิ่งรอฟังสิ่งที่เขากำลังจะพูด
?พี่มีความสุขมาก ไม่คิดว่าจะได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจจากน้องศิ? ดวงตาเรียวของชายหนุ่ม จ้องลึกเข้าไปในดวงตากลมโตแวววาว เพื่อแสดงความจริงใจ
?ก็...พี่ภูเป็นคนดี แล้วก็..ก็...? ความอายที่จู่โจมมาพร้อมกับถ้อยคำที่ชะงักค้างไว้ ทำให้เธอไม่กล้าที่จะเอ่ยต่ออย่างที่ตั้งใจ
?ก็อะไรครับ พูดให้จบสิ พี่รอฟังอยู่? เขาบีบกระชับสองมือนุ่มนิ่มขึ้นมาหอม
?เอ่อ..ก็...แล้วก็พี่ภูก็..รัก...ศิ? สองคำสุดท้ายเสียงเบาหวิว พร้อมกับเจ้าของเสียงก้มหน้างุดหลบสายตามุ่งมั่นของภูรินท์
แม้เสียงที่เคยสดใสเจื้อยแจ้วจะเบาจนแทบไม่ได้ยิน แต่มันกลับเป็นมวลเสียงที่อัดแน่นกระจายก้องไปทั่วห้องหัวใจของเขา สองแขนกระหวัดรัดร่างนุ่มนิ่มเข้ามากอดซึมซับความรักทึ่เขารับรู้ด้วยหัวใจ ว่าเธอเองก็รักเขาเช่นกัน แม้จะไม่ได้เอ่ยออกมา เพราะเจ้าตัวยังคงปฏิเสธที่จะยอมรับ แต่เขาก็มั่นใจ หันไปมองท้องฟ้าที่บัดนี้แสงสีส้มสีทองจมหายไปหมดแล้ว คงเหลือแต่ริ้วจางๆ ที่กำลังถูกช่วงเวลาแห่งรัตติกาลกลืนกิน
ภูรินท์แนบแก้มสากกับแก้มนุ่มนวลของศิตา โดยที่หญิงสาวไม่ได้ขัดขืน เธอยอมรับความรักจากหัวใจที่แสนพิสุทธิ์ของเขาและอิ่มเอิบไปพร้อมกัน นี่เธอก็รักเขาใช่ไหม ถึงได้เต็มใจให้เขากอดและประทับความสุขจารจำไว้ในหัวใจตนเอง ริมฝีปากอิ่มนุ่มนวลแย้มออกยิ้มรับกับความรู้สึกที่เพิ่งเกิดขึ้น พลางยกแขนเรียวขึ้นกอดตอบร่างหนา
?พี่จะไม่ถาม และไม่ต้องการคำตอบจากน้องศิหรอกนะ ว่ารักพี่ภูรึเปล่า ศิอาจจะยังไม่รู้ใจตัวเอง แต่สำหรับพี่? เสียงทุ้มหยุดพูดเหลือบสายตามองใบหน้าที่กำลังเพิ่มอุณหภูมิ เพราะสัมผัสได้จากแก้มตนเองที่แนบอยู่กับแก้มนุ่มๆ แล้วจึงมองไปยังท้องทะเลที่กำลังมืดลงไปทุกขณะ ก่อนจะพูดต่อ
?พี่สัมผัสความรู้สึกจากหัวใจของน้องศิด้วยหัวใจของพี่ภู และพี่อาจจะรู้ใจน้องศิมากกว่าตัวน้องศิเองด้วยนะ? เขายิ้มปลื้มปรีเปรมอิ่มเอมอบอวลไปทั่วโพรงอก
?ไม่มีทาง... ใครจะมารู้ใจศิมากกว่าตัวศิเอง พี่ภูน่ะมั่นใจตัวเองเกินไปแล้ว? เธอย้อนพร้อมกับผละออกจากอ้อมกอดอบอุ่น แล้วก็ต้องสะท้านเยือกถูสองมือนุ่มของตนเองไปมา
?หนาวเหรอ? เขาไม่สนใจคำพูดของหญิงสาว ความห่วงใยมันมากมายจนสิ่งใดๆก็ไม่สามารถเรียกความสนใจเขาไปได้
?ไปกันเถอะ มืดแล้วไปกินข้าวกัน? ร่างสูงลุกขึ้นยืนพร้อมกับฉุดมือเรียวเล็กให้ลุกขึ้นตาม
?สั่งไปกินบนห้องพักได้มั๊ยคะ? หญิงสาวห่อไหล่พร้อมกับบอกจุดประสงค์
?ได้สิ ว่าแต่...น้องศิไม่อยากไปนั่งกินอะไรกันที่ร้านสวยๆ หรอกหรือ? เขาหันมามองหน้าเธอ พลางโอบกระชับไหล่บอบบางเย็นเฉียบเพื่อส่งผ่านความอบอุ่นให้ร่างเย็นๆ มีอุณหภูมิที่อุ่นขึ้น
?อยากก็อยากอยู่หรอกค่ะ แต่เรานั่งริมทะเลนาน จนศิ...เย็นแล้วล่ะค่ะ คิดถึงที่นอนอุ่นๆ มากกว่า ไปเถอะค่ะ พรุ่งนี้ก็ยังมี ไว้เราค่อยไปดินเนอร์ใต้แสงเทียนวันพรุ่งนี้ก็ยังทันนะคะ?
ภูรินท์พยักหน้ารับโดยดี แล้วพากันเดินกลับที่พัก ก่อนขึ้นห้องพักเขาแวะสั่งอาหาร เมื่อขึ้นมาถึงห้องพักก็รีบบังคับให้ศิตาอาบน้ำอุ่นคลายหนาว หลังจากหญิงสาวอาบน้ำใส่เสื้อผ้าที่อบอุ่นเรียบร้อย เขาจึงจัดการกับตนเองอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยก็มานั่งรออาหารที่เตียงตนเอง
จู่ๆ ศิตาก็ลุกจากเตียงตนเองมานั่งเบียดกับภูรินท์เพื่อขอไออุ่นจากเขา สิ่งที่เธอทำคิดว่าเป็นเรื่องธรรมดามากเพราะความรักที่ไม่เคยเรียกร้องเอาเปรียบที่ชายหนุ่มมีให้เธอ จึงทำให้กล้าที่จะทำตามหัวใจเรียกร้อง
แต่...สำหรับภูรินท์แล้ว สิ่งที่หญิงสาวคนเดียวในดวงใจกระทำนั้น ราวกับเกิดสิ่งมหัศจรรย์ ความสุขมันขยายอัดแน่นจนแทบหายใจไม่ออก เขาจึงโอบกอดห่อหุ้มร่างที่ขดเล็กลงให้คลายหนาว
?ยังไม่หายหนาวอีกเหรอ? เขาก้มหน้าถามคนในอ้อมกอด
?ยังค่ะ? เธอตอบตรงๆ เงยหน้าส่งดวงตาใสซื่อเป็นประกาย เสียงกริ่งหน้าประตูห้องพักดังขัดจังหวะหนุ่มสาวทั้งสอง
?พี่ไปรับอาหารก่อน เด็กคงมาส่งแล้วล่ะ? ภูรินท์พูดพลางคลายอ้อมแขน แต่มือเล็กๆ กลับจับกระชับแขนแกร่งไม่ยอมให้เขาคลายออก ใบหน้าคมค่อนข้างขาวก้มลงมองคนที่จับแขนเขาไว้แน่น พลางเลิกคิ้วด้วยความสงสัย
?ศิกำลังอุ่นน่ะค่ะ ให้เขาวางไว้หน้าประตูก็ได้นี่ค่ะ? เสียงกระเง้ากระงอดงอแงราวกับเธอได้ย้อนกลับไปเป็นเด็กเล็กที่กำลังอ้อนพี่ชายตัวโต
ภูรินท์ยิ้มเจ้าเล่ห์ อุ้มร่างบางในอ้อมแขนยกขึ้น ลุกเดินไปที่ประตู
?ว้าย! พี่ภู ทำอะไรคะ? เสียงร้องดังลั่น แต่ก็รีบคว้าคอเขาไว้ เกรงว่าจะหล่นลงไปกระแทกกับพื้น
?ก็ศิไม่อยากให้พี่ปล่อย พี่เองก็ไม่อยากปล่อย วิธีนี้แหละดีที่สุด? พูดจบเขาก็เปิดประตูออกกว้าง
บริกรเข็นอาหารเข้ามา ก้มหน้าแอบยิ้มไม่ให้ทั้งสองเห็น อดคิดไม่ได้ว่าคู่รักคู่นี้หวานกันจริงๆ แล้วตรงเข้าไปจัดโต๊ะอาหารวางจานเสต็กสองที่ตรงข้ามกัน พร้อมทั้งรินไวน์จัดวางตามที่ได้รับการอบรมมา ตรงกลางโต๊ะอาหารวางแจกันกระเบื้องเคลือบสีขาวปักดอกกุหลาบสีแดงดอกโต ตามด้วยเชิงเทียนโค้งเป็นช่อติดเทียนสีชมพูหวานสามเล่ม บริการควักไฟแช็คขึ้นมาจุด เขาถอยออกมาโค้งให้อย่างสวยงามหลังจากได้รับทิปจากฝ่ายชาย พร้อมกับเอ่ยกับแขกผู้เข้าพักทั้งสอง
?ขอให้มีความสุขมากๆ นะครับ? บริกรออกไปพร้อมกับปิดล็อกประตูให้อย่างสุภาพ
คำอวยพรของบริกรที่นำอาหารมาส่ง เพิ่มอุณหภูมิที่ใบหน้าเนียนใสระเรื่อสีเข้มขึ้น ภูรินท์ยังคงอุ้มหญิงสาวแล้วนำไปวางลงอย่างนุ่มนวลที่เก้าอี้ซึ่งบริกรจัดโต๊ะอาหารไว้ให้อย่างสวยงาม ศิตาหัวเราะกับการกระทำของเขา
ภูรินท์เดินไปดับไฟหมดทั้งห้องพัก เหลือเพียงแสงสว่างนวลตาของเปลวไฟจากเทียนสีชอมพู เขาเดินกลับมานั่งลงที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามศิตา ประกายตาทั้งสองดวงสะท้องเปลวเทียนต่างสบสายตาประสานกันชั่วอึดใจหนึ่ง ชายหนุ่มจึงเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นก่อน
?ชอบมั๊ยครับ? เสียงอ่อนโยนถามโดยที่ยังไม่ละสายตาจากดวงตาคู่งาม
?ชอบค่ะ พี่ภูสั่งเขาหรือคะ? เธอเลิกคิ้วถาม
?ใช่ครับ พี่สั่งให้เขาทำ และก็ทำได้ตรงใจพี่ที่สุด? ประกายตาไหวระริกเต้นแข่งกับแสงเทียน
?โรแมนติกจังค่ะ? พูดจบก็ก้มหน้าหลบสายตา เสหยิบส้อมและมีดเตรียมรับประทานเสต็กตรงหน้า
ภูรินท์หยิบจับอุปกรณ์อย่างรวดเร็ว เอื้อมมือมาพร้อมมีดและส้อมเริ่มหั่นชิ้นเสต็กพอดีคำเอาไว้ให้คนที่ครอบครองหัวใจเขาหมดทั้งดวง ศิตามองดูไม่มีทีท่าว่ามือที่กำลังหั่นเสต็กในจานจะหยุดมือได้เลย จึงต้องทักท้วงขึ้น
?พอแล้วล่ะค่ะพี่ภู ที่เหลือศิจัดการเองค่ะ พี่ภูหั่นของตัวเองเถอะ แค่นี้ศิก็รู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองกำลังจะลอยแล้วล่ะค่ะ? ศิตายิ้มพลางสบตาเรียวของเขาอย่างตั้งใจ และเป็นครั้งแรกที่เธอจะไม่หลบสายตาอีก
?พี่เต็มใจนี่ครับ? เสียงงอนๆของเขาเรียกรอยยิ้มกว้างจากเธอ
?แต่ศิไม่สบายใจค่ะ ที่พี่ภูจะขุนให้ศิเป็นหมูอยู่คนเดียว ตัวเองไม่ยอมกิน? ดวงตาสดใสแกล้งค้อน โดยที่ริมฝีปากยังแตะแต้มรอยยิ้มค้างอยู่
?ก็ได้ครับ พี่ยอมแพ้แล้ว แม่ตุ๊กตาบรายจอมดื้อ? ภูรินท์เอื้อมมือมายีศีรษะเธออย่างมันเขี้ยว
?อื้อ...ผมศิยุ่งหมด? ศิตาพยายามเอนศีรษะหลบ
หนุ่มสาวสองคนในบรรยากาศที่แสนโรแมนติก ดินเนอร์ท่ามกลางแสงเทียนสีหวาน บรรยากาศอบอวลไอรักทอประกายความสุขราวกับว่ามีหัวใจดวงเล็กๆติดปีกโบยบินอยู่รายรอบร่างของทั้งสอง ดวงตาของหญิงสาวที่มีประกายไหวระริกเต้นอยู่ตลอดเวลา ราวกับประกายแห่งดวงดาวเข้ามาอยู่ในดวงตาคู่งามนั้น ชายหนุ่มเผลอจ้องมองดวงดาวที่กำลังเปล่งประกายสดใสบนใบหน้างามตามธรรมชาติ ความสุขกำลังลูบไล้หัวใจเขาอย่างแผ่วเบา มือหนาปล่อยมีดแล้วนำมาทาบหัวใจตนเองกดไว้นิ่ง เกรงว่าความสุขจะปลิดปลิวหายไป
หลังจากรับประทานอาหารกันเรียบร้อย ก็พากันมานั่งบนเตียงของภูรินท์ เปิดโทรทัศน์ดูเรื่อยเปื่อย เหมือนกับเปิดเป็นเพื่อนมากกว่าจะตั้งใจดูจริงจัง ศิตายังคงซุกตัวอยู่ในแผงอกกว้างแข็งแรงแบบนักกีฬา
?ถ้า..คืนนี้? เสียงศิตากระท่อนกระแท่นกล้าๆ กลัวๆ
?หืม? ภูรินท์เลิกคิ้วละสายตาจากโทรทัศน์จ้องมองคนในอ้อมอก เพื่อตั้งใจฟัง
?อืม...คืนนี้ถ้าศิจะของนอนกับพี่ภู...เอ่อ...?
?ไม่มีปัญหาครับ พี่รู้สึกยินดีเสียอีก ที่น้องศิเชื่อใจพี่มากขนาดนี้? ภูรินท์รีบพูดอธิบายเพื่อไม่ให้เธอต้องกระดากอายไปมากกว่านี้
?ศิจะถูกมองไม่ดีรึเปล่าคะ พี่ภูจะมองว่าศิปล่อยตัวรึเปล่า? หัวคิ้วเรียวขมวดเข้าหากันอย่างกังวล
?ไม่หรอกครับ ไม่มีวันที่พี่จะมีความคิดแบบนี้กับน้องศิในหัวพี่ภู เรารู้จักกันมานาน ที่สำคัญพี่ดีใจมากที่ศิเชื่อใจว่าพี่จะไม่ทำให้น้องเสื่อมเสีย? พูดจบเขาก็หอมผมนุ่มที่ขมับเธอเบาๆ
ความอบอุ่นจากชายหนุ่มแผ่ซ่านไปยังหญิงสาว ศิตารู้สึกได้ ความประทับใจในตัวชายหนุ่มเพิ่มพูนทวี มันถูกตราตรึงไว้เต็มหัวใจ เธอซุกตัวด้วยรู้สึกปลอดภัยเมื่ออยู่ในอ้อมแขนนี้ แพขนตาหนากระพือปิดลง ริมฝีปากนุ่มแย้มเป็นรอยยิ้มจางๆ แล้วเธอก็ผล็อยหลับไปอย่างเป็นสุข

เสียงโทรศัพท์มือถือที่ดังอยู่บนโต๊ะตั้งโคมไฟ ซึ่งอยู่ตรงกลางระหว่างสองเตียง ดวงตาเรียวขยับเปลือกตาเปิดขึ้นพลางยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดู เวลาบอกห้านาฬิกา เขาเอื้อมหยิบโทรศัพท์ของตนเองที่ยังส่งเสียงไม่เลิก
?ฮัลโหล? เมื่อเห็นชื่อที่ปรึกษางานวิจัยเขากดรับและกรอกเสียงลงไปทันที
?ทำไมล่ะครับ!? เสียงเขาดังขึ้นด้วยความตกใจ เมื่อฟังปลายสายซึ่งพูดภาษาอังกฤษรัวเร็วจบ
?งั้นผมขอถอนตัวนะครับแอดไวเซอร์(Adviser)? สำเนียงพูดภาษาอังกฤษที่ชัดเจนเปล่งออกมาพร้อมกับเสียงทอดถอนใจ มิอาจปิดบังปลายสาย ว่าเขาเสียดายงานวิจัยชิ้นนี้มากเพียงใด โทรศัพท์สายด่วนวางสายไปแล้ว แต่คิ้วหนายังคงขมวดเป็นปม ครุ่นคิดหาสาเหตุในสิ่งที่ได้รับฟังมา ซึ่งที่ปรึกษาเคยบอกเอาไว้และยังเตือนให้ระวังตัวแต่ก็ไม่เคยให้ความกระจ่างว่าระวังเรื่องอะไร เขาก็แค่ตั้งใจจะทำวิจัยชิ้นนี้ให้บรรลุผลสำเร็จก็เท่านั้นเอง
?มีอะไรรึเปล่าคะ? เสียงหวานใสเอ่ยถาม ทำให้คนที่กำโทรศัพท์มือถือค้างไว้สะดุ้งออกจากภวังค์
?เอ่อ..ไม่มีอะไรหรอกจ้ะ? เขาตอบพลางขยับขาลงจากเตียง
?พี่ภูรู้ตัวมั๊ยคะ ว่าเป็นคนโกหกไม่เก่งเลย? เธอลุกขึ้นนั่งตามเขา เอียงใบหน้ามามองอย่างคาดคั้น
?เรื่องงานวิจัยน่ะ น้องศิอย่าสนใจเลย? เขาพยายามบอกปัด ไม่อยากเล่ารายละเอียดให้รับรู้
ศิตาลุกขึ้นจากเตียง เดินมายืนตรงหน้าคนปากแข็ง เรือนร่างบอบบางภายใต้เสื้อผ้าสำลีหนานุ่ม คุกเข่าลงบนพื้นพรม จ้องลึกเข้าไปในดวงตา ภูรินท์ไม่อาจหลบสายตาเธอได้จึงตัดสินใจบอกความจริง
?คือ...งานวิจัยมีปัญหานิดหน่อย? เขาบอกพร้อมกับถอนหายใจยาว ศิตากำลังดึงถุงเท้าออก ถูกมือใหญ่จับไว้ จึงหันไปมองด้วยความสงสัย
?ยังหนาวอยู่อย่าเพิ่งถอดเลยถุงเท้าน่ะ? ภูรินท์ตอบใบหน้าขี้สงสัยของหญิงสาว
?แอดไวเซอร์โทรมากบอกว่างานวิจัยที่พี่ทำไว้น่ะต้องยกเลิก เปลี่ยน...เปลี่ยนแบบว่าพลิกไปเลยน่ะ พี่ก็เลยขอถอนตัว แอดไวเซอร์ก็อธิบายว่าถ้าพี่ถอนตัวจะเสียโอกาส เสียอะไรต่อมิอะไร แต่พี่ไม่สนใจหรอกนะ สิ่งที่ทำให้พี่คิดหนักก็คือ...? สองมือใหญ่ลูบใบหน้าตนเองราวกับว่าจะรีดความเครียดออกไปให้หมด
?อะไรคะ อะไรที่ทำให้พี่ภูคิดมากขนาดนี้? ดวงตาใสแจ๋วจ้องมองเขาไม่กระพริบ
?ก็...พี่จะต้องกลับเมืองไทย ต้องจากกับศิตอนนี้น่ะซิ? เสียงอ่อยเศร้ายังไม่เท่าใบหน้าที่หมองหม่นลงไป
ศิตาลุกขึ้นมานั่งเคียงข้างภูรินท์บนเตียง พลางจับสองมือหนามากุมไว้ เพื่อถ่ายทอดกำลังใจ เธอไม่อาจกล่าวอะไรได้ มันเป็นอนาคตที่เขาจะต้องตัดสินใจเอง
?พี่รับทำงานวิจัยต่อดีมั๊ย? แววตาไหวระริกแสดงความหวาดหวั่นสานสบกับดวงตากลมโตสดใส
?แล้วพี่ภู จะมีความสุขกับมันรึเปล่าล่ะคะ? เสียงเรียบหนักแน่น มาพร้อมกับมือเล็กที่บีบกระชับอย่างให้กำลังใจ ภูรินท์ส่ายหน้า
?ใช่..พี่ไม่มีความสุขหรอก กับงานวิจัยที่แค่ผลาญงบประมาณเล่นๆ หาประโยชน์อะไรไม่ได้ พี่ถึงตัดสินใจขอถอนตัวไปแล้ว?
?ก็ดีแล้วนี่คะ แล้วจะมานั่งเศร้าทำไมล่ะ? หญิงสาวเริ่มบีบนิ้วมือเขาเล่นทีละนิ้ว เมื่อคิดว่าเรื่องไม่น่าหนักใจอย่างสีหน้าที่เขาแสดงออก
?ดีอะไรล่ะ...น้องศิ พี่ต้องไปรายงานตัวกับแอดไวเซอร์สิบโมงเช้าวันนี้ เพื่อไปรับตั๋วเครื่องบินกลับประเทศไทย มันเป็นข้อตกลงน่ะ ถ้าพี่ไม่รับทำงานวิจัย ก็ต้องกลับไปทำงานใช้ทุนที่เมืองไทย? เสียงที่เคยทุ้มนุ่มชวนฟัง แหบพร่าหายไปในลำคอ
ศิตาเองก็ใจหาย ไม่คิดว่าเขาจะกลับเมืองไทยก่อนเธอ อดไม่ได้ที่จะคิด...ใช่...คิดถึงเขา ไม่อยากจาก อยากจะกลับเมืองไทยพร้อมๆ กัน แล้วทำไม... ดวงตางามส่องประกายจากหยาดน้ำที่รื้นขึ้นกลบตา
ภูรินท์เห็นหญิงสาวเงียบไป จึงดึงมือตนเองออกจากการกุมแล้วนำมาลูบแก้ม บังคับแผ่วเบาให้เธอหันมาสบตา หยดน้ำอุ่นๆ เม็ดโตหยดกระทบหลังมือใหญ่ สองมือเขารีบประคองใบหน้าเรียว เห็นหยาดน้ำเต็มดวงตาคู่งาม เขาดึงร่างบางเข้ามากอดปลอบ
?อย่าร้องนะคนดี ศิอยากให้พี่อยู่มั๊ย พี่จะยอมรับทำงานวิจัยชิ้นใหม่? เขาละล่ำละลักปลอบเธอ หญิงสาวสั่นหน้าจนผมกระจายลงมาปรกหน้า มือใหญ่เกลี่ยปอยผมให้อย่างเบามือ
?ไม่ค่ะ พี่ภูกลับไปก่อนเถอะค่ะ ศิจะต้องเข้มแข็ง แค่อย่าลืมโทรหาศิก็แล้วกัน อย่าหายเงียบไปแบบครั้งนั้น? ขอคำมั่นพร้อมกับประสานสายตา ราวกับว่าจะจารึกคำมั่นนั้นตรึงแน่นอยู่ในดวงตา
?พี่สัญญา ว่าจะโทรหาศิให้บ่อยที่สุดเท่าที่จำทำได้? แววตาเศร้าที่พยายามซ่อนเร้น เพื่อไม่ให้เธอเป็นกังวล
?แล้วศิก็ต้องสัญญากับพี่ ว่าจะตั้งใจเรียน แล้วรีบกลับไป...เอ่อ..ไปหาพี่...นะ? ท้ายประโยคพูดไม่เต็มเสียงนัก
?ศิสัญญาค่ะ การจากกันครั้งนี้ทำให้ศิรู้หัวใจตัวเองมากขึ้น พี่ภูคงจะพูดจริงแล้วล่ะค่ะ? เธอยิ้มอายๆ เขาจึงถามเร่งให้เธอพูดต่อ
?เรื่องอะไร อะไรที่พี่พูดจริง อ๋อ พี่มั่นใจเลยล่ะ? คำตอบที่แสดงความมั่นใจ เรียกค้อนวงใหญ่จากสาวตรงหน้าขวับเข้าให้
?ถ้าไม่ใช่เพราะวันนี้เราต้องจากกัน โอ๊ะ..ไม่เอาๆ? เธอโบกมือตีปากตนเองเบาๆ เขามองดูเธอด้วยความขบขัน
?ศิหมายความว่า พี่ภูต้องกลับก่อน ทำให้ศิใจหาย เลยไม่อยากปฏิเสธหัวใจตัวเองอีกแล้ว? คำพูดของศิตาที่พูดเรียบเรื่อย แต่กลับทำให้คนฟังหัวใจพองโตยิ่งนัก รีบจับสองมือเล็กมากระชับถามมั่น
?จริงนะศิ นี่หมายความว่า...? ยังไม่ทันพูดจบประโยค ศิตาก็พยักหน้ารับโดยหลบสายตาค้นหาของเขา
?ค่ะ ศิคิดว่า...เอ่อ...คือ...ความรู้สึกของศิคงไปในทิศทางเดียวกับพี่ภูค่ะ?
ภูรินท์กอดร่างบางแน่นด้วยความดีใจ หญิงสาวซุกใบหน้ากับแผงอกด้วยความเขินอาย พลางคิดว่าจะมีผู้ชายสักกี่คน ที่จะทะนุถนอมคนรัก โดยไม่คิดล่วงเกินชิงสุกก่อนห่าม ทั้งที่มีโอกาสมากมาย แล้วเธอจะมัวปฏิเสธหัวใจตัวเองไปทำไม
แม้จำต้องจากกันไปก่อน ทั้งสองยังมั่นใจในความรู้สึก ที่คิดว่ามีความมั่นคงเพียงพอ ต่างให้คำมั่นกันไว้ และรอคอยเวลาแห่งความสำเร็จในการศึกษาของหญิงสาว และคอยชื่นชมกับผลงานดอกเตอร์ภูรินท์ ที่จะกลับไปสร้างผลงานที่จะเป็นประโยชน์กับแผ่นดินเกิด
คิดว่าทำใจได้แล้ว แต่เมื่อภูรินท์ขับรถมาส่งเธอที่หอพัก ก็อดไม่ได้ที่จะต้องปล่อยน้ำตาให้รินไหล ศิตาไม่ยอมขึ้นห้องพัก
?ให้ศิไปส่งพี่ภู ที่สนามบินเถอะนะคะ? เสียงอ้อนวอนสั่นเครือ
?อย่าทำให้พี่เป็นห่วงเลย พอส่งพี่เสร็จศิก็ต้องกลับมาคนเดียว พี่เป็นห่วง แล้วพี่ก็กลัวทำใจไม่ได้ เบี้ยวทุนซะดื้อๆน่ะสิ? เขาจับศีรษะเธอโยกไปมาเบาๆ กล่าวทีเล่นทีจริง
ศิตาโผเข้ากอดร่างสูง สะอื้นจนหัวไหล่สั่นไหว ภูรินท์กอดปลอบเธอ จับสองไหล่ให้เงยหน้ามาสบตากัน และเช็ดน้ำตาบนแก้มนวลให้อย่างเบามือ
?พี่จะโทรหาศิบ่อย ๆ นะ หลังจากวันนี้ ศิก็เริ่มทำงานอย่างที่ศิตั้งใจได้เลย ติดปัญหาอะไร โทรมาหาพี่ได้นะ หรือจะส่งเมลล์มาก็ได้? เขาดันร่างเธอให้ออกห่างจากตนเอง และแกะมือเล็กออกจากเอวเขาอย่างนุ่มนวล
?พี่ต้องไปรายงานตัวแล้ว ดูแลตัวเองนะ?
ดวงตาเรียวที่มองใบหน้าเนียนใสสีน้ำผึ้ง เศร้าไม่ต่างจากดวงตากลมโตที่เคยสดใส ซึ่งบัดนี้แววโศกจับให้ประกายหม่นลง สองมือใหญ่ยังคงกุมมือเล็กไว้มั่น บีบกระชับอีกครั้ง ก่อนจะปล่อยมือ แต่มือเล็กยังเกี่ยวไว้ไม่ยอมปล่อย ในที่สุดภูรินท์จึงตัดใจหันหลังเดินจากไป ทั้งที่มือเล็กยังไม่ยอมปล่อยมือตนเอง พยายามเกี่ยวไว้จนเหลือเพียงหนึ่งนิ้วที่จะผละจากกัน ความห่วงใยในคนรัก เห็นความโศกเศร้าที่ฉาบไว้ทั่วใบหน้า ทำให้เขาตัดสินใจคว้านิ้วนั้นไว้ก่อนที่จะหลุดมือไป แล้วดึงตัวหญิงสาวเข้ามากอดกระชับไว้ พร้อมกับพรมจูบไปทั่วใบหน้า และดูดซับน้ำตาให้หมดไป เขาจับศีรษะเธอแนบกับอกตนเอง จุมพิตเรือนผมอย่างปลอบประโลม พยายามสูดความหอมให้ได้มากที่สุด นานหลายนาทีกว่าจะผละออกจากกัน เขาจับสองไหล่เธอออกห่าง เพื่อมองหน้ากันและกัน
?เข้มแข็งนะคนดี? พูดจบก็หันหลังเดินจากไปขึ้นรถสตาร์ทออกไปทันที โดยไม่หันกลับมามองอีก
ศิตายืนโบกมือให้ท้ายรถที่กำลังห่างออกไป จนเกือบลับตาจึงมีเสียงสั่นเครือเอ่ยออกมา
?เดินทางปลอดภัยนะคะพี่ภู?

ตอบกลับโพส

ย้อนกลับไปยัง “ก้าวแรก(สู่นักเขียนมืออาชีพ)”