ศิตา..หญิงสาวที่หมดลมหายใจในคืนวันแต่งงาน(ตอนที่ 4)

ถ้าเพื่อนๆ มีเรื่องที่น่าสนใจและต้องการแบ่งปันเนื้อหา หรือร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการเป็นนักเขียนมืออาชีพ

Moderator: Gals, B.Comics, พี่บี

ตอบกลับโพส
เมเปิ้ล
โพสต์: 10
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร 31 ม.ค. 2012 4:41 pm

ศิตา..หญิงสาวที่หมดลมหายใจในคืนวันแต่งงาน(ตอนที่ 4)

โพสต์ โดย เมเปิ้ล »

ตอนที่ 4 แฟร์ฟิลด์ คอนเนตทิคัต

เกล็ดสีขาวบางเบาเกาะพราวตามกิ่งไม้รายทาง ซึ่งมาพร้อมกับความเย็นชื้น ไม่สามารถเปลี่ยนความตั้งใจของภูรินท์ที่จะพาตุ๊กตาบรายของเขาไปเที่ยว เพื่อพักผ่อนและคลายเหงาจากความคิดถึงเมืองไทย ร่างสูงโปร่งภายใต้กางเกงยีนส์สีดำกับเสื้อแจ็คเก็ตสีน้ำตาลบุผ้าขนสัตว์ด้านในซึ่งสวมทับเสื้อกันหนาวสีเดียวกับแจ็คเก็ตยืนพิงรถเอสยูวีสีน้ำเงินที่เช่าไว้ล่วงหน้าสองสามวันแล้ว สองมืออบอุ่นภายใต้ถุงมือหนังสอดอยู่ในกระเป๋าเสื้อแจ็คเก็ต
ร่างสูงเปลี่ยนอิริยาบถเมื่อรู้สึกว่าความหนาวเย็น กำลังโอบล้อมรอบร่างโดยเฉพาะที่ศีรษะรู้สึกเย็นจนแสบจมูก เขาเปิดประตูรถหยิบหมวกยีนส์มาสวม ขณะที่กำลังจะปิดประตูรถ เสียงใสๆที่ดังแว่วมากระทบโสต ทำให้ชายหนุ่มชะงักหันกลับไปมองตามทิศทางต้นเสียงนั้น
?พี่ภู...มานานรึยังคะ? ดวงตาสดใสเป็นประกายวิ่งมาหยุดยืนตรงหน้าร่างสูง ชายหนุ่มยิ้มพร้อมรับกระเป๋าจากมือเล็กมาถือไว้
?หนาวแย่เลยนะคะ วันนี้เมฆเยอะซะด้วย ยังไม่เห็นแสงตะวันเลย? แววตาห่วงใยของคนที่แหงนหน้าพิศมองดวงตาเรียวของร่างสูง ทำให้เขารู้สึกอบอุ่นจนไม่คิดต้องการความอบอุ่นจากแสงอาทิตย์
?พูดยังกับแม่แก่? เอ่ยปากแซวเพื่อกลบเกลื่อนความปลื้มปิติที่หญิงสาวตรงหน้าแสดงความห่วงใย
?แม่แกยังไง พูดดีๆนะ? นิ้วเรียวเล็กชี้ขึ้นมาเฉี่ยวจมูกโด่งของภูรินท์ มือเรียวใหญ่คว้านิ้วเรียวนั้นไว้
?ก็..คนรุ่นคุณย่าคุณยายน่ะ มักจะพูดคำว่าตะวันแทนดวงอาทิตย์ไง แม่..แก่...? แกล้งลากเสียงยาวตอนท้าย เจ้าของนิ้วเล็กกระตุกมือกลับมา ค้อนร่างสูงใบหน้างอง้ำ
?ไม่เอาน่ะ..อย่าอารมณ์เสียเลย พี่ล้อเล่นนะคะ? พูดพร้อมกับมือใหญ่ลูบไปบนผมหยักศกนุ่มสลวย
?ทำไมใส่แจ็คเก็ตบางจัง พี่บอกให้ใส่เสื้อหนาๆ อากาศมันหนาวมากนะ? พูดพลางไล่สายตาสำรวจเสื้อแจ็คเก็ตหนังตัวสั้นสีน้ำตาลอ่อนบุผ้าสำลีสีเดียวกัน ดูแล้วไม่น่าจะเพียงพอกับอุณหภูมิไม่กี่องศานี่เลย
?นี่..ดูให้เต็มตา ตัวนี้ต่างห่างที่หนานุ่ม จนศิไม่อยากจะใส่เสื้อกันหนาวเทอะทะเลยล่ะ? เธอขยับยกปกเสื้อให้เห็นเสื้อคอเต่าสีส้มเนื้อหนานุ่มตัวในใต้เสื้อแจ็คเก็ต
ภูรินท์ยิ้มพอใจพลางพยักหน้าให้เธอเดินไปขึ้นรถ พร้อมกันนั้นเขาก็เปิดประตูหลังวางกระเป๋าเสื้อผ้าเธอ แล้วจึงขึ้นมานั่งประจำที่คนขับ หันมายิ้มกับใบหน้าเนียนใสสีน้ำผึ้งอีกครั้ง
?พร้อมรึยัง? ผู้ทำหน้าที่สารถีหันมาถามพร้อมกับรอยยิ้มกว้างอย่างสุขใจ
?พร้อมค่ะ? ศิตายิ้มตอบพยักหน้ารับจนผมหยักศกพลิ้วไหวตามแรง
ภูรินท์เริ่มเคลื่อนรถวิ่งมาจนถึงถนนทรีมอนท์(Tremont Street) เลี้ยวขวาตามถนนเส้นเดิม ศิตามองอาคารทรงกลมสีน้ำตาลทางขวามือ ด้านหน้ามีลักษณะนูนสูงขึ้นเป็นรูปไม้กางเขนอันใหญ่สีเดียวกับตัวอาคารดูแปลกตา ว่าจะเอ่ยปากถามแต่รถแล่นผ่านไปเสียแล้วจึงได้แต่ชื่นชมสิ่งก่อสร้างแปลกตา แล่นไปสักระยะหนึ่ง ภูรินท์ก็บังคับรถเลี้ยวขวาเข้าสู่ถนนมาร์จินอล(Marginal Road) เมื่อถึงทางแยกก็วิ่งตรงไปโดยใช้ทางลาด ศิตาสอดส่ายสายตามองตามป้ายไปตลอดเอ่ยถามขึ้น
?เส้นนี้จะไป I-90 W ใช่มั๊ยคะ? เธอมองตามป้ายบอกทางและถามย้ำกับคนขับเพื่อความมั่นใจ พลางมองขึ้นไปเมื่อรถขับลอดใต้สะพาน
?ถูกต้องแล้วครับ? คนที่กำลังทำหน้าที่ขับรถ ตอบโดยไม่ได้หันมามอง สายตาเขาก็มองตามป้ายเช่นเดียวกัน ขับรถต่อมาได้อีกประมาณ 30 นาที ภูรินท์จึงชวนคุยเมื่อเห็นหญิงสาวข้างกายเงียบไป
?เป็นไงพอจะรู้จักบ้างมั๊ย? หันมายิ้มพร้อมคำถาม แล้วหันกลับไปจ้องถนนเบื้องหน้า
?ก็นิดหน่อยค่ะ ไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่? เสียงใสที่ตอบกลับมาไม่ได้หันมามองคนขับสักนิด ยังคงมองสองข้างทาง
?ตึกสูงๆ หายไปหมดแล้วนะคะ ตั้งแต่ใช้ทางออกหมายเลขเก้าตัดเข้ามา?
?เก่งนี่? เขาละมือข้างหนึ่งจากการบังคับรถ มาจับศีรษะเธอโยกเบาๆ
?ศิมองตามป้ายน่ะค่ะ ไม่ได้เก่งอะไรหรอก? เธอหันมามองหน้าคนขับ แล้วจึงหันไปมองที่ถนนเบื้องหน้าต่อ
?นั่น! ป้ายบอกไปนิวยอร์คนี่คะพี่ภู? หญิงสาวอุทานเมื่อเห็นป้ายสีเขียวด้านบนชี้บอกเส้นทางซึ่งภูรินท์กำลังขับไปตามเส้นทางนั้น
?ช่างสังเกตจริง ดีเหมือนกันจะได้รู้จักเส้นทางไว้บ้าง ก็แค่ทางไปนิวยอร์คเท่านั้นแหละ เดี๋ยวเราก็ต้องตัดออกทางที่ยี่สิบ เพื่อไปทอร์ริงตัน(Torrington)? คนขับทำหน้าที่อธิบาย
ศิตามองทิวทัศน์เบื้องหน้าที่เริ่มมีเนินเขาอยู่ลิบๆ ส่วนสองข้างทางก็มีแต่ต้นไม้ ซึ่งใบไม่ค่อยจะมีกลับมีเกล็ดสีขาวส่องประกายเยือกเย็นเกาะพราวตลอดสองข้างทาง แสงแดดที่ส่องกระทบเกล็ดหิมะให้แวววาวเพียงครู่เดียว ก็ถูกเมฆกลุ่มใหญ่บดบังเสียสนิท แถมยังมีหมอกลงจางๆอีก เธอหันไปมองหน้าคนขับ
?พี่ภูว่าหมอกตอนนี้เป็นอุปสรรคในการขับรถรึเปล่าคะ? ถามด้วยความห่วงใย
?หมอกจางๆ ไม่มีปัญหาหรอกครับ ไม่ต้องกังวล อีกประมาณชั่วโมงกว่าก็ถึงแล้วล่ะ? ตอบให้คนถามมั่นใจพร้อมส่งรอยยิ้มอบอุ่นมาให้
หญิงสาวถอนหายใจโล่งอก ซึมซับทัศนียภาพที่เลื่อนผ่านตามความเร็วของรถด้วยความสบายใจ เมื่อไร้กังวลกอปรกับอากาศภายในรถที่อบอุ่นสบาย ทำให้ดวงตาสวยเริ่มหรี่ปรือแล้วผล็อยหลับไปในที่สุด
ภูรินท์รู้สึกว่าเสียงเจื้อยแจ้วเงียบไปจึงเหลือบหางตามาดูอีกครั้ง แล้วก็ต้องอมยิ้มเมื่อเห็นภาพเด็กไม่รู้จักโตนอนหลับคอพับคออ่อน จนเขาต้องหาที่จอดชิดข้างทางเพื่อปรับเบาะเอนให้คนช่างพูดหลับอย่างสบาย เพียงสองชั่วโมงเศษเขาก็พารถเข้าเขตเมืองคอนเนตทิคัต เมื่อเห็นคนข้างๆยังหลับอย่างเป็นสุข จึงเดินทางต่อไปให้ถึงจุดหมายที่ตั้งใจไว้ทันที
ดวงตาเรียวของชายหนุ่มมองป้ายที่ติดอยู่ตามถนน เมื่อเห็นเส้นทางที่ตั้งใจมุ่งไปจึงเลี้ยวเข้าสู่ถนนบั๊คกิ้งแฮม(Buckingham Street) เขาขับไปตามทางเลี้ยวขวาพบทางแยกจึงเลี้ยวขวาอีกสามครั้ง ก็ถึงทางออกยี่สิบสอง มุ่งหน้าไปถนนเบนสัน(Benson Road) จากตรงนี้เลี้ยวซ้ายหนึ่งครั้ง ตามด้วยเลี้ยวขวา ก็เข้าสู่ถนนเลียบชายหาด(Beach Road) วิ่งไปไม่ถึงครึ่งไมล์ ก็พารถเอสยูวีเข้ามาจอดที่พิพิธภัณฑ์แห่งแฟร์ฟิลด์ (Fairfield Museum and History Center)
?ศิ..น้องศิ? ภูรินท์เรียกคนที่หลับอย่างเป็นสุขเบาๆ เมื่อยังนอนนิ่ง จึงแกล้งหยิกแก้มนวลเบาๆ แต่คนที่กำลังพริ้มหลับก็ยังไม่กระดุกกระดิก จึงโน้มใบหน้าลงไปใกล้หมายจะเรียกที่ข้างหู แต่แล้วความตั้งใจทั้งหมดต้องหยุดชะงัก
ดวงตาเรียวสำรวจใบหน้าเนียน แพขนตายังทาบทับปิดสนิท จมูกโด่งเป็นสัน กลิ่นหอมอ่อนๆกรุ่นกำจาย เขาเผลอสูดความหอมจากแก้มนวลโดยไม่รู้ตัว
?อุ๊ย!? เจ้าของแก้มสะดุ้งกระเด้งลุกขึ้นนั่งตัวตรง มือบางลูบแก้มตนเองที่ได้รับสัมผัสนุ่มนวล แต่กลับสร้างความตระหนก จนหญิงสาวทำหน้าไม่ถูกเสมองออกไปนอกหน้าต่างรถเพื่อซ่อนพวงแก้มร้อนผ่าว
?พี่ขอโทษ? เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นหงอยๆ เกรงว่าเจ้าของแก้มจะโกรธ พลางคิดว่าตนเองทำอะไรลงไป ช่างไม่รู้จักหักห้ามใจเสียบ้างเลย
?ที่นี่ที่ไหนคะ? เธอเปลี่ยนเรื่องเพื่อให้ผ่านพ้นเหตุการณ์ที่ทำให้อุณหภูมิบนใบหน้าทะยานสูงขึ้นเรื่อยๆ แม้จะไม่ค่อยเข้าใจตัวเองสักเท่าไรที่ไม่ต่อว่าหรือโกรธเคืองที่เขาทำไม่เหมาะสมกับเธอ ทั้งยังกลบเกลื่อนไม่รู้ไม่ชี้กับสิ่งที่เกิดขึ้นอีก
?พิพิธภัณฑ์แฟร์ฟิลด์จ้ะ เป็นออร์เดิฟสำหรับโปรแกรมเที่ยวครั้งนี้ เดินดูนิดหน่อยแล้วเราค่อยไปหาอะไรกินกัน? ภูรินท์พูดพร้อมกับปลดเข็มขัดนิรภัยให้ศิตา เธอปรับเบาะให้ตั้งขึ้นเหมือนเดิมก่อนจะก้าวลงจากรถ
มือใหญ่จับมือเล็กบีบกระชับก่อนจะก้าวเข้าไปด้านในของพิพิธภัณฑ์ บริเวณรอบๆ ช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย ศิตาเดินตามเขาเข้าไป ภูรินท์ปล่อยมือเธอเดินไปหาเจ้าหน้าที่ หญิงสาวจึงเพลิดเพลินกับสรรพสิ่งรอบตัว จนร่างสูงเดินกลับมา
?ค่าเข้าคนเท่าไหร่คะ? เธอถามทันทีที่เขาเดินเข้ามาใกล้
?คนละห้าเหรียญ(US.Dollars)? เขาตอบแล้วจับมือเล็กมากระชับอีกครั้ง
ศิตาเพลิดเพลินกับศิลปะและประวัติศาสตร์ ดวงตาสวยสุกใสเป็นประกาย ไล่สายตามองการจัดแสดงตั้งแต่รากอาณานิคมคอนเน็กไปที่ความสำคัญของทีมเบสบอลในช่วงศตวรรษที่ยี่สิบ
ทั้งสองพากันเดินมาจนถึงฮอลล์ที่ประชุม มีการบรรยายและอภิปรายร่วมกัน ต่างหยุดฟังเพียงครู่เดียวก็ผละจากมาก ภูรินท์สังเกตคนที่เดินข้างๆ อยู่นาน ในที่สุดก็ตัดสินใจเอ่ยถาม
?ไม่สนุกเหรอน้องศิ?
?ก็...ศิไม่ค่อยชอบเที่ยวพิพิธภัณฑ์เท่าไหร่หรอกค่ะ? ตอบไม่เต็มเสียงเพราะเกรงว่าคนพามาจะเสียน้ำใจ
?ไม่ชอบ...อืม...งั้นเราไปหาอะไรกินกันดีกว่า...ปะ? ภูรินท์ตัดสินใจทันทีโดยไม่ได้คิดมากอย่างที่หญิงสาวกังวล เขาหันกลับมามองใบหน้าเรียวเลิกคิ้วถาม เมื่อเธอยื้อยุดฉุดแขนเขาไว้
?เอ่อ...คือศิอยากจะไปดูที่ร้านค้าของพิพิธภัณฑ์ก่อนได้มั๊ยคะ?
?ได้สิ...ศิไม่ต้องเกรงใจนะ อยากไปไหนบอกพี่ได้เลย พี่ตั้งใจพามาเที่ยวให้สนุก อันไหนไม่ชอบก็บอก เราจะได้ไปเที่ยวที่อื่นกันต่อ? เขาเดินนำเธอไปโดยที่พูดไม่หยุด จนศิตาต้องขัดขึ้น
?เข้าใจแล้วค่ะ ต่อไปนี้จะบอกตรงๆล่ะนะ? พูดพลางเดินตามมาเกาะแขน เงยหน้ามองร่างสูงด้วยประกายดีใจจนคนที่ถูกเกาะแขนยิ้มเขิน
เมื่อเข้ามาถึงร้านค้าพิพิธภัณฑ์ ภูรินท์จึงปล่อยให้เธอเดินนำหน้า มือเล็กๆ จับโน่นจับนี่ขึ้นมาดูตลอดเวลา ร้านค้าในสถานที่แห่งนี้สร้างความผ่อนคลายให้หญิงสาว ทำให้ความร่าเริงสดใสกลับมาเหมือนเดิม
?สวยมั๊ยคะ พี่ภู? ศิตาหยิบหมวกใบหนึ่งที่จัดวางอย่างเป็นระเบียบขึ้นมาสวมแล้วหันมาถามร่างสูงที่เดินทอดน่องตามมา จนเขาแทบจะชนเธอ
?น่ารักดี เอามั๊ย..พี่ซื้อให้? ชายหนุ่มเตรียมควักกระเป๋าสตางค์ มือเล็กของคนที่กำลังทดลองหมวก จับข้อมือเข้าไว้มั่น พลางส่ายหน้า
?ไม่ค่ะ ถ้าอยากได้ศิจะซื้อเอง? พูดและค้อนเขาในเวลาเดียวกัน
?เป็นเจ้าบุญทุ่มตั้งแต่เมื่อไหร่คะ? เสียงแง่งอนคล้ายจับผิด ทั้งที่ตนเองบอกว่ายังไม่คิดกับเขาฉันท์คนรัก
?พี่ไม่เคยทุ่มให้ใครซะหน่อย มีก็แต่...คนที่พี่รักอยากได้อะไร ก็อยากจะเป็นคนซื้อให้เอง เขาจะได้ระลึกถึงคนซื้อไงล่ะ? ริมฝีปากบางยกขึ้นยิ้มกว้าง ดวงตาเรียวจับจ้องที่ข้อมือตนเองซึ่งมีมือเล็กนุ่มนิ่มกำรอบอยู่ ส่งผลให้เจ้าของมือเล็กแก้มร้อนผ่าว จนต้องรีบปล่อยมือตนเองออกจากข้อมือแข็งแรงของเขา
?เอ่อ...? ศิตาพูดอะไรไม่ออก สมองทบทวนแต่คำพูดของเขา ที่อยากซื้อของให้คนรัก แล้วความหวามหวานก็โบกกระพือขึ้นรอบๆหัวใจ ส่งผลให้ใบหน้าสีน้ำผึ้งอ่อนใสยิ่งแดงมากขึ้นไปอีก
?ตกลงว่าชอบมั๊ย หมวกใบนี้น่ะ? ภูรินท์รีบเปลี่ยนบทสนทนา เมื่อเห็นอาการเขินอายของคนช่างพูดที่ตอนนี้กลายเป็นใบ้ไปแล้ว
?เอาใบนี้ก็แล้วกันค่ะ? เธอยื่นหมวกไปโดยไม่ได้เลือกด้วยซ้ำ ใบหน้างามไม่ยอมสบตาคนที่จะซื้อให้สักนิด ชายหนุ่มยิ้มรับหมวกมาพลิกดู แล้วก็วางลงพร้อมกับเลือกใบใหม่ให้เธอ ซึ่งมีแถบสีส้มสีพื้นส่วนใหญ่เป็นโทนสีเข้มตกแต่งลวดลายท้องถิ่นดูเก๋ไก๋
กว่าจะชำระค่าหมวกเรียบร้อย ศิตาก็เดินห่างจากเขาไปไกลแล้ว ภูรินท์จึงต้องก้าวยาวๆ จนเกือบจะวิ่ง เป็นห่วงว่าเธอจะพลัดหลงกันกับเขาเสียเท่านั้น เดินห่างจากร้านหมวกเพียงเล็กน้อย ก็สะดุดสายตากับคนที่เขากำลังจะวิ่งตาม
?ชอบเหรอ? ภูรินท์กระซิบถามข้างหลัง เมื่อเห็นเธอพลิกของในมืออยู่เป็นนานสองนาน
?สวยค่ะ แบบแปลกดี? ศิตายกเครื่องประดับชูให้เขาดูใกล้ๆ
ภูรินท์มองเครื่องประดับตรงหน้า ที่ตัวเรือนของจี้เป็นทรงกลมสีเงินเป็นมันวาว ตรงกลางมีอัญมณีสีเหมือนโกเมนผสมทับทิมส่องประกายสีสันแตกต่างกันตามมุมที่แสงตกกระทบ รอบๆอัญมณีมีเส้นเงินเล็กๆ เกี่ยวกระหวัดอ่อนช้อยสวยงามราวกับดอกไม้ มืออีกข้างของเธอที่ชูขึ้นมา เป็นสร้อยข้อมือเงินเข้าชุดกันกับสร้อยคอและจี้ แต่สร้อยข้อมือจะมีตุ้มที่เหมือนดอกไม้ทำจากเงินห้อยอยู่ตลอดเส้น สลับกับระฆังใบเล็กที่ทำจากเงินเช่นเดียวกัน แล้วแซมด้วยดอกไม้ที่เป็นอัญมณีสีเดียวกับจี้แต่มีขนาดเล็กกว่าประดับไปตลอดสร้อยข้อมือเส้นที่กำลังแกว่งอยู่ตรงหน้าของเขา
ศิตาลดมือทั้งสองลงวางเครื่องประดับบนตู้กระจก แล้วเตรียมหยิบกระเป๋าสตางค์ มือใหญ่แตะหลังมือเธอเบาๆ พลางเอ่ย
?ขอพี่ภูซื้อให้เถอะนะ? แววตาอ้อนวอนที่สบประสาน ทำให้ศิตายอมผละมือจากกระเป๋าตนเอง
?ขอบคุณค่ะพี่ภู ศิจะเก็บรักษาเป็นอย่างดีเลยค่ะ? เธอตอบรับเขาด้วยประกายตาสดใส ที่เขาหลงใหลดวงตากลมโตราวกับตุ๊กตามาตั้งแต่เธอยังเยาว์
ศิตายังคงชื่นชมผลงานเครื่องประดับที่จัดแสดงอยู่ ไม่ทันได้สนใจคนที่อาสาซื้อของให้ แล้วก็ต้องสะดุ้งเมื่อข้อมือสัมผัสถึงโลหะเย็นๆ จึงผินหน้าละสายตาจากเครื่องประดับในตู้กระจกมองมาที่ข้อมือตนเอง เพียงไม่กี่วินาทีสร้อยข้อมือที่เพิ่งตกลงใจซื้อเมื่อสักครู่ ก็กลายเป็นเครื่องพันธนาการข้อมือเธอเอาไว้ ราวกับว่าเจ้าของสร้อยจะจับจองหัวใจของหญิงที่พึงใจตรงหน้าจารจำไว้ไม่ให้ลืมเลือน
?รวบผม แล้วหันหลังให้พี่หน่อยครับ? เขาออกคำสั่งโดยไม่สนใจอาการตกตะลึงของดวงตากลมโต
?เร็วสิ พี่จะใส่สร้อยคอให้? ภูรินท์ย้ำอีกครั้ง เมื่อเห็นเธอยังยืนจ้องมองข้อมือตนเองนิ่งอยู่
ศิตายอมทำตามเขาอย่างงงๆ แม้ลมหายใจอุ่นๆ ที่โชยแผ่วเบากระทบต้นคอระหง เธอก็ยังไม่สนใจ มัวแต่ค้นหาความรู้สึกของตนเอง เพราะความดีใจแบบนี้จำได้ว่าไม่เคยได้สัมผัส ความหวงแหนในสร้อยสองเส้นที่เขาซื้อให้พร้อมทั้งใส่ให้ด้วยตัวเองอีกมันคืออะไร ยังไม่ทันได้คำตอบให้หัวใจ เสียงทุ้มก็กระซิบอยู่ข้างๆ ไหล่มน จนเธอกระตุกวาบอยู่ข้างใน
?อย่าถอดออกนะ พี่ฝากหัวใจลงไปในจี้เม็ดนี้แล้ว ดูแลให้ดีล่ะ? พูดจบก็ยืดตัวตรง แล้วจับข้อมือเนียนนุ่มพาเดินออกจากสถานที่แห่งนั้นทันใด
ภูรินท์พาหญิงสาวที่ครอบครองหัวใจเขาไว้ทั้งดวงมาถึงรถ ก็เตรียมจะปล่อยมือเธอเพื่อไขกุญแจรถ แต่เสียงหนึ่งที่ดังมาจากปฏิกิริยาทางร่างกายของคนที่นิ่งเงียบตั้งแต่เขาใส่สร้อยให้ ก็เรียกความสนใจให้เขาหันกลับไปมอง พลางพยายามกลั้นหัวเราะ
?ไม่ต้องมาหัวเราะเลย ก็คนมันหิวนี่...หรือว่าพี่ภูไม่เคยท้องร้องเลยรึ? แกล้งเลิกคิ้วทำหน้ายียวนถามกลับ
คนที่พยายามกลั้นหัวเราะจนหน้าแดง ไม่ตอบอะไรมือใหญ่แตะแผ่วเบาที่แก้มเนียน ยิ้มให้อ่อนโยน และไขกุญแจเปิดประตูขึ้นไปสตาร์ทรถรอคนที่ยืนงงอีกแล้ว มือบางลูบแก้มตนเองเหมือนคนละเมอ จนเขาต้องลดกระจกตะโกนเรียกเธออีกครั้ง นั่นล่ะ! เธอถึงเปิดประตูก้าวเข้ามานั่งฝั่งผู้โดยสารข้างกายเขาได้
เพียงไม่นานภูรินท์ก็ขับรถพาศิตามาเช็คอินที่ เดอะอินน์ แอท แฟร์ฟิลด์ บีช (The Inn at Fairfield Beach) ดวงตาใสกระจ่างกวาดสายตาไปทั่ว พลันกระทบเข้าป้ายต้อนรับ ?ยินดีต้อนรับเข้าสู่ สตูดิโอ ศิลปิน...? เธอไม่ได้สนใจเลยว่าชายหนุ่มได้ตกลงที่พักอย่างไร ถึงเวลาก็เดินตามเขาไป จนเข้าประตูห้องพัก เมื่อจ่ายทิปให้บอยเบลล์จนเขาออกจากห้องปิดประตูให้เรียบร้อย หญิงสาวจึงนึกขึ้นได้อุทานออกมา
?เอ๊ะ! พี่ภู นี่เราต้องพักห้องเดียวกันหรือคะ? เธอถามพลางชี้ที่อกตนเองกับเขา
?อืม? ภูรินท์พยักหน้าตอบในลำคอ
?ได้ไงล่ะ เราจะพักห้องเดียวกันได้ไง? เสียงใสสูงขึ้นโดยพลัน ด้วยความตกใจที่จะต้องพักห้องเดียวกับเขา
?ไม่เห็นจะเป็นไรเลย เตียงก็มีสองหลัง ไม่ได้นอนเตียงเดียวกันซักหน่อย? เสียงตอบเรียบเรื่อยไม่ได้ตระหนกตกใจตามไปด้วย สองมือของชายหนุ่มยังคงรื้อกระเป๋าออกมาเตรียมจัดเสื้อผ้าของตนเองเข้าตู้เสื้อผ้า
?พี่ภู? ศิตาเรียกเสียงเข้ม พลางกระแทกลงไปนั่งบนเตียงเดียวกับเขา ที่กำลังนั่งจัดเสื้อผ้าโดยไม่สนใจเงยหน้าขึ้นมามองเธอสักนิด
ภูรินท์ละสายตาจากเสื้อผ้า มองใบหน้าเนียนที่กำลังถลึงตามองเขา เพราะเสียงเข้มแปร่งหูของเธอทำให้ต้องสนใจคนที่กำลังทำหน้าบึ้งใส่ในขณะนี้
?เอ่อ...? เขาชะงักค้าง อึ้งกับคำถาม ซึ่งเขาลืมคิดไปได้อย่างไร มัวแต่ห่วงความปลอดภัย จึงได้ตัดสินใจ เลือกพักห้องเดียวกัน ความมั่นใจในตนเองทำให้ลืมคิดไปว่า เธอเป็นผู้หญิงจะมาพักกับเขาตามลำพังได้อย่างไร
?คะ?? ศิตาขานเสียงสูงต้องการคำตอบ
?ไว้ใจพี่มั๊ย? เสียงทุ้มถามคนตรงหน้าอย่างอ่อนโยน
?คือ...ศิ? เธอเองก็เกิดอาการนิ่งงันไปเหมือนกัน เมื่อสบสานตาเป็นประกายหวานที่มาพร้อมกับเสียงอ่อนโยน
?พี่ขอโทษนะ...เดี๋ยวพี่จะลงไปบอกให้เขาเปิดอีกห้องนึง ศิจะได้สบายใจ? ภูรินท์เห็นอาการอ้ำอึ้งของเธอ ก็พอเข้าใจไม่อยากทำอะไรให้เธอคิดมาก เพราะฝ่ายที่จะเสียหายก็คือหญิงสาวที่เขาเป็นห่วงเป็นใยจนลืมคิดถึงความเหมาะสม เขาลุกขึ้นยืนเพื่อไปทำอย่างที่บอก
?เดี๋ยวค่ะ? มือเล็กๆคว้าข้อมือใหญ่เอาไว้ กระตุกเบาๆ ให้เขานั่งลงที่เดิม
?ศิต้องขอโทษพี่ภู ที่เอาแต่โวยวายไม่ได้คิดหน้าคิดหลัง...? เธอไม่ทันได้พูดอะไรต่อ มือใหญ่ชูนิ้วขึ้นมาแตะริมฝีปากหญิงสาวไว้ กระแสอุ่นจากปลายนิ้วส่งผ่านจากริมฝีปากมาถึงแก้มนวล เธอหันหน้าหนีการสัมผัส
?พี่มัวแต่ห่วงกังวลในความปลอดภัยของศิน่ะ ก็เลยอยากให้นอนห้องเดียวกัน ถ้าให้ศิไปนอนคนเดียวอีกห้องนึง พี่คงนอนไม่หลับทั้งคืน เข้าใจพี่ใช่มั๊ย? เขาเชยคางเธอให้หันมาสบตา
?ค่ะ? ศิตาพยักหน้า หลุบตาลงมองมือเขาด้วยความเขินอาย แก้มซับสีระเรื่อขึ้น
?ขอบคุณครับ ที่เชื่อใจพี่ มา..เดี๋ยวพี่จัดเสื้อผ้าให้นะ? ความสบายใจไหลบ่าไล่ความกังวลไปหมดสิ้น จึงเอ่ยปากจัดเสื้อผ้าให้เธอโดยไม่คิดอะไร อยากทำทุกอย่างให้เธอ จนเสียงใสละล่ำละลักปฏิเสธเป็นพัลวัน
?ไม่ต้องค่ะพี่ภู เดี๋ยวศิจัดเอง? เธอรีบแย่งกระเป๋าจากมือใหญ่มาถือไว้ แค่ความห่วงใยที่เขามีให้ คอยดูแลปกป้อง และยังความเป็นสุภาพบุรุษของเขาที่เธอทำโวยวายไม่ไว้ใจเขาอีก ความจริงแล้วน่าจะรู้จักคนคนนี้ดีที่สุดว่าเป็นผู้ชายอย่างไร
?ศิแย่มากที่ไม่ไว้ใจพี่ภู ทั้งที่เรารู้จักกันมาตั้งแต่เล็ก ควรจะรู้จักพี่ภูดีกว่าใคร ขอโทษนะคะ? พูดพลางเปิดกระเป๋าเตรียมจัดเสื้อผ้าของตนเองเช่นกัน
?พอแล้วล่ะ ไม่ต้องขอโทษกันไปมาอย่างนี้หรอก นั่น! อาหารที่พี่สั่งไว้มาส่งแล้ว? เสียงกริ่งหน้าประตูทำให้ภูรินท์นึกขึ้นได้ว่าสั่งอาหารไว้ เขาลุกขึ้นไปส่องดูที่ช่องตาแมว แล้วจึงเปิดประตูให้บริกรนำอาหารเข้ามาวาง
เมื่อบริกรออกจากห้องไปแล้ว ศิตาจึงลุกขึ้นมาที่โต๊ะอาหาร เปิดฝาครอบอาหารออก พลางหันไปถามคนที่กำลังหยิบแก้วน้ำเดินมา
?จานไหนของศิคะ? เธอมองอาหารสองจานอย่างตัดสินใจไม่ถูก ระหว่าง สปาเก็ตตี้ผัดหอยเชลล์ราดครีมชีส กับ สลัดปลาแซลมอนที่เสิร์ฟพร้อมกับครีมซุป
?พี่ให้ศิเลือก จานไหนก็ได้? เขาเดินมานั่ง พร้อมกับวางแก้วน้ำให้หญิงสาวและของตนเอง
?ศิเลือกไม่ถูกค่ะ น่ากินไปหมด? ประกายตาแวววาวมองสลับไปมาระหว่างอาหารสองเมนู
?งั้นก็กินทั้งสองอย่าง? ภูรินท์บอกพลางอมยิ้มนั่งมองหน้าคนที่ตัดสินใจไม่ถูก
?โอ๊ย..ไม่ไหวหรอกค่ะ ศิกินไม่หมดหรอก? เธอส่ายหน้าตอบทั้งที่ยังไม่ละสายตาจากอาหารที่จัดมาอย่างสวยงาม
?อืม...งั้น..เรามาแบ่งกันกินดีมั๊ย?
?ดีค่ะ? ศิตาพยักหน้ารับทันที จนผมปรกลงมาปิดใบหน้า
?เอาจริงหรือเนี่ย พี่แกล้งแซวเล่นนะ? เขายิ้มกับประกายตาไหวระริกของหญิงสาว ไม่ต่างจากเด็กซุกซน ดวงตาเรียวกวาดมองทั่วใบหน้ารูปไข่ อดไม่ได้ต้องหยิบปอยผมที่ระลงมาปรกใบหน้าทัดหูให้เธออย่างนุ่มนวล
ศิตาชะงักค้างกับการกระทำของภูรินท์ ความอ่อนโยนที่เขาแสดงออกมา ทำให้เธอก้มหน้ามองอาหารนิ่ง ธรรมชาติของเขาคอยแต่จะกะเทาะหัวใจหญิงสาวให้หวิวไหว ดวงตากลมโตสุกสกาวเหลือบมองใบหน้าคมนิดหนึ่ง ไม่เห็นว่าเขาจะรู้สึกอะไรกับการกระทำของตัวเอง มันคงเป็นธรรมชาติของเขาเอง ศิตาจึงสูดหายใจลึกเพื่อลดความประหม่าของตนเอง
?จริงค่ะ เรามาแบ่งกันกินดีกว่าเนอะ? เธอตอบเขาหลังจากชะงักไปเพียงเสี้ยววินาที ที่เธอรู้สึกว่าเนิ่นนานเหลือเกิน
หลังจากที่ทั้งสองแบ่งกันรับประทานอาหารทั้งสองชุดเรียบร้อย ก็มาช่วยกันจัดเสื้อผ้าใส่ตู้ เมื่อเสร็จเรียบร้อย ศิตาก็เริ่มเดินสำรวจไปรอบห้องพัก ร่างบางทรุดนั่งลงบนเตียงที่อยู่ใกล้หน้าต่าง ซึ่งมีโต๊ะวางโทรทัศน์ขวางระหว่างเตียงกับหน้าต่างเอาไว้ ระหว่างเตียงสองหลังมีโต๊ะตัวเล็กๆ ตั้งโคมไฟคั่นกลางเอาไว้ ตรงกำแพงเหนือหัวเตียง ติดกระจกเงาบานใหญ่พอประมาณตรงกับโคมไฟ ซึ่งเป็นกระจกขอบเดินทอง
?พี่ภูดูสิคะ ภาพงานศิลปะเป็นของศิลปินชื่อดังจากออสเตรียเชียวนะคะ? เธออ่านจากคำบรรยายใต้ภาพบอกเล่าให้ภูรินท์รับรู้ เขาหันกลับมามองขณะที่สำรวจชุดชากาแฟที่เขาจัดไว้ให้แขกผู้เข้าพัก
?ไปอาบน้ำอาบท่าให้สบายเถอะ เดี๋ยวบ่ายๆ ลงไปเดินเล่นที่ชายหาดกัน? ภูรินท์พยักหน้าพลางเดินมาทิ้งตัวลงบนเตียงอีกหลังนอนลงพร้อมกับพริ้มตาหลับไปทันที คิดว่าพักสายตาสักครู่ระหว่างรอศิตาอาบน้ำ แต่เขาเผลอหลับไปจริงๆ ด้วยความอ่อนเพลียที่ต้องตื่นแต่เช้าและขับรถตลอดตั้งแต่เช้าจรดเที่ยง
ศิตาอาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อยก้าวออกมาจากห้องน้ำ เดินมาดูคนที่นอนเล่นอยู่อีกเตียงหนึ่ง เมื่อเข้ามาใกล้จึงได้รู้ว่าเขาหลับไปจริงๆ จึงปล่อยให้เขานอนพัก ตัวเองก็เปิดโทรทัศน์นอนดูอีกเตียงหนึ่งที่อยู่ใกล้กับโทรทัศน์ เพียงไม่นานหญิงสาวก็ผล็อยหลับไปเหมือนกัน

ตอบกลับโพส

ย้อนกลับไปยัง “ก้าวแรก(สู่นักเขียนมืออาชีพ)”