ศิตา..หญิงสาวที่หมดลมหายใจในคืนวันแต่งงาน(ตอนที่ 3)

ถ้าเพื่อนๆ มีเรื่องที่น่าสนใจและต้องการแบ่งปันเนื้อหา หรือร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการเป็นนักเขียนมืออาชีพ

Moderator: Gals, B.Comics, พี่บี

ตอบกลับโพส
เมเปิ้ล
โพสต์: 10
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร 31 ม.ค. 2012 4:41 pm

ศิตา..หญิงสาวที่หมดลมหายใจในคืนวันแต่งงาน(ตอนที่ 3)

โพสต์ โดย เมเปิ้ล »

ตอนที่ 3 บอสตัน คอมมอน

ศิตาเดินออกจากฮาร์วาร์ด ฮอลล์ (Harvard Hall) วันนี้เธอมาเก็บหนังสือและของใช้ออกจากล็อกเกอร์ เพราะหลังจากวันนี้แล้วมหาวิทยาลัยจะเริ่มปิด และหยุดยาวไปจนถึงวันปีใหม่ เมื่อเดินผ่านเมมโมเรียล เชิร์ช(Memorial Church) เธออดนึกถึงวันแรกที่ได้พบภูรินท์ไม่ได้ สองขาเรียวภายใต้กางเกงยีนส์สีเข้มกำลังก้าวพาเจ้าของเดินไปยังไวดเนอร์ ไลเบรรี่ (Widener Library) แล้วหยุดยืนอยู่หน้าบันไดขึ้นห้องสมุดที่มีหนังสือมากที่สุดในโลก และไวดเนอร์ ไลเบรรี่ ก็เป็นห้องสมุดที่ใหญ่เป็นอันดับสองในอเมริกาอีกด้วย นี่เธอกำลังรออะไร ดวงตากลมโตใสกระจ่างกวาดมองไปทั่วบริเวณ เพียงแค่หวังว่าจะได้เจอคนที่หายหน้าหายตาไป
ใช่..ตั้งแต่วันที่ภูรินท์พาเธอไปเที่ยวที่ เบคอน ฮิลล์ (Beacon Hill) หลังจากเขาส่งเธอขึ้นรถแท็กซี่กลับที่พัก ก็ไม่พบกันอีกเลย คิดถึงหรือ? ศิตาถามใจตนเอง คำตอบมันชัดเจน เมื่อความรู้สึกเหงาเศร้ากำลังเกาะกินหัวใจ พอจะเข้าใจอยู่ว่าเขากำลังยุ่งอยู่กับงานวิจัยไม่ค่อยเวลามากนัก หญิงสาวยืนนิ่งดวงตาที่เคยส่องประกายสุกใสหม่นหมองลงเมื่อสายตามองไปทั่วบริเวณแล้วไม่พบคนที่กำลังคิดถึง
?อย่างน้อยก็น่าจะโทรหาศิบ้าง? เธอบ่นออกมาเบาๆ คนเดียว ด้วยน้ำเสียงแง่งอน
เสียงเพลงเรียกเข้าดังอยู่ในกระเป๋าเสื้อแจ็คเก็ตตัวสั้น มือเรียวภายในถุงมือหนังสอดเข้าไปในกระเป๋าเสื้อ หยิบเครื่องมือสื่อสารขนาดเล็กกะทัดรัดออกมาดูสายที่โทรเข้า ชื่อที่ปรากฏบนหน้าจอ ทำให้แววหม่นในดวงตาคู่งามเปล่งประกายสดใสด้วยความปิติยินดี
?สวัสดีค่ะ? ศิตาพยายามบังคับเสียงให้เป็นปกติ ระงับความตื่นเต้นดีใจแทบไม่อยู่
?น้องศิอยู่ไหนครับ? ปลายสายถามกลับมาสั้นๆ
?อยู่หน้าเมมโมเรียล เชิร์ชค่ะ? ตอบพร้อมยิ้มกว้างกับโทรศัพท์
?รออยู่ตรงนั้นนะครับ พี่กำลังจะไปถึงอยู่แล้ว? พูดจบภูรินท์ก็ตัดสายทันที
?เดี๋ยว..ซิ..โธ่? ศิตาบ่นพึมพำอยู่คนเดียว ที่ภูรินท์ตัดสายไปดื้อๆ
เธอยกโบกมือทักทายตอบเพื่อนที่กำลังพากันเดินผ่านไปเพื่อออกจากมหาวิทยาลัย และนักศึกษาอีกหลายคนที่ออกมาจากห้องสมุด ก็กำลังทยอยพากันเดินกลับ มีแต่เธอเท่านั้นที่ยังคงยืนเด่นอยู่คนเดียว หันไปมองที่บันไดแล้วก้าวเดินขึ้นไปนั่งที่บันไดชิดเสาโรมันสูงเรียงรายเลือกพิงที่ต้นหนึ่ง หญิงสาวยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูทุกห้านาที ยิ่งรอนานใบหน้างามก็ยิ่งงอง้ำ
?ไหนบอกว่าใกล้จะถึง เกือบครึ่งชั่วโมงแล้ว จะให้รอไปถึงไหนนะ? บ่นอยู่คนเดียวแล้วก็พิงศีรษะกับเสา ไม่ทันได้มองว่าใครเดินขึ้นเดินลงบ้าง เพราะกำลังหงุดหงิดเต็มที
?รอครึ่งชั่วโมงแค่นี้ก็บ่น? ภูรินท์พูดอยู่ด้านหลังหญิงสาว จนร่างบางสะดุ้งหันกลับมาโดยเร็วไม่ทันระวัง ขมับจึงโขกกับเสาที่ใช้เป็นที่พักพิงเมื่อครู่ ?โป๊ก!?
?โอ๊ย? หญิงสาวร้องออกมาพร้อมกับมือภายใต้ถุงมือคลำที่ขมับตรงหางคิ้ว สัมผัสได้ทันทีว่ามันนูนขึ้น
?เป็นอะไรมากรึเปล่าศิ!? ชายหนุ่มตกใจรีบเดินอ้อมมาด้านหน้า รู้สึกผิดที่แกล้งเธอจนตกใจแล้วเกิดอุบัติเหตุเช่นนี้ ?พี่ขอโทษ?
?เจ็บค่ะ แล้วพี่ภูขอโทษศิเรื่องอะไรล่ะคะ? เธอเงยหน้ามองเข้าตาใส
?ก็..ที่พี่แกล้งแอบมาข้างหลังศิ ทำให้ศิตกใจน่ะ? เขาสารภาพพร้อมกับมือใหญ่สัมผัสที่รอยนูน ใบหน้าสลดจนศิตาอดหัวเราะออกมาไม่ได้
?ขำอะไร? ภูรินท์เสียงเข้ม รู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเอง เมื่อเจอความสดใสของคนตรงหน้า
?ก็ขำพี่ภูน่ะซิ แกล้งเค้าแท้ๆ แทนที่จะสนุกหัวเราะชอบใจ แล้วดูพี่ภูทำหน้าสิคะ? ศิตาจับมือเขาที่แตะขมับเธออยู่มากุมไว้บนตักตนเอง ภูรินท์จึงนั่งลงข้างเธอ แล้วใช้ลมหายใจอุ่นๆ ของตนเองเป่าไปที่รอยนูนตรงหางคิ้ว
ศิตาชะงักแต่ก็หนีไปไหนไม่ได้เมื่อเธอนั่งชิดเสา แล้วเขาก็กักทางด้านหน้าไว้หมดแล้ว ลมอุ่นๆ ที่เป่าลงมา สร้างความอบอุ่นไปทั่วใบหน้าและกระแสอุ่นวาบเล็กๆ ก็ไล้แผ่วเบาที่ริมขอบหัวใจของหญิงสาว เสียงเข้มจริงจังของเขา ทำให้เธอมองข้ามกระแสอุ่นๆ ที่ซ่านซึมเข้ามา
?แต่พี่ไม่ขำหรอกนะ ที่เป็นต้นเหตุให้ศิเจ็บตัว? พูดโดยไม่สบตา แต่ดวงตาเรียวของชายหนุ่มจ้องมองมือตนเองที่ถูกมือนุ่มกุมเอาไว้ ถึงแม้จะมีถุงมือกั้นอยู่ แต่ความอบอุ่นที่มาจากใจก็ทำให้เขาสุขใจจนอยากหยุดเวลาไว้ตรงนี้
?โธ่! พี่ภู? ศิตาพูดพร้อมกับตีมือหนาที่อยู่ในอุ้งมือตนเอง
?ศิซุ่มซ่ามเองไม่เกี่ยวกับพี่ซักหน่อย ศิไม่เป็นไรแล้วล่ะค่ะ พูดธุระของพี่ภูดีกว่าว่าวันนี้มาหาศิทำไม? เธอนำมือเขาไปวางไว้บนต้นขาแข็งแกร่ง แล้วยกแขนตนเองขึ้นกอดอกเอียงคอมองชายหนุ่ม
?เอ่อ..? ยังไม่ทันที่ภูรินท์จะได้เอ่ยอะไร ศิตาก็พูดขึ้นก่อน
?ไม่ต้องเอ่อเลย ศิโกรธพี่ภูแล้วล่ะ? ทำแก้มป่องแล้วนั่งหันหลังให้เขาทันที
?อ้าว..โกรธพี่เรื่องอะไรครับเนี่ย? ภูรินท์ทำหน้าเหรอ งงงันสุดขีด ก็เมื่อกี้ยังคุยกันดีๆ อยู่เลย แล้วอยู่ๆ ก็งอน บอกว่าโกรธ แล้วก็นั่งหันหลังให้ซะงั้น
?ก็พี่ภูน่ะ หายหน้าไปเลย หายไปเป็นเดือนเลยนะ ยุ่งขนาดไม่มีเวลาโทรหาศิเลยรึไง? เธอยังคงนั่งหันหลังให้ ทำเสียงงอนใส่เขา
?ถ้าเป็นเพราะเรื่องนี้ พี่ขอโทษนะครับ ดีกันนะ? ชะโงกหน้ามาง้อ พร้อมกับยื่นนิ้วก้อยให้หญิงสาว
ศิตาค้อน แล้วแกล้งขยับแขนหนีมือเขา พยายามซ่อนยิ้มให้มิดชิด เธอเข้าใจเขาก่อนที่จะเจอเสียอีก แต่ก็อดน้อยใจไม่ได้นี่นา ต้องแกล้งงอนให้ง้อซะให้เข็ด
?เรารึอุตส่าห์รีบทำงานให้เสร็จก่อนคริสต์มาส ตั้งใจว่าจะพาไปเที่ยวซะหน่อย แล้วพอวันคริสมาสต์เราก็ค่อยไปฉลองกัน จะได้ไม่ต้องกังวลว่าหลังปีใหม่จะต้องกลับไปเร่งรีบทำงานวิจัยขั้นต้นให้จบ ทำงานดึกดื่นทุกคืน กลับไม่เห็นความดี มางอนใส่อีกแน่ะ รู้งี้ไม่รีบทำงานให้เสร็จ คริสต์มาสก็ไม่ต้องหยุดทำงานไปเรื่อยๆ ก็ดี? เสียงอ่อยๆ ผสมกับงอนนิดๆ ทำให้ศิตากลั้นยิ้มไว้ไม่อยู่
หญิงสาวหันมามองเขาเต็มตา ประกายสดใสในดวงตาไหวระริก ริมฝีปากบางเปิดยิ้มกว้าง แล้วจับนิ้วก้อยเขามาเกี่ยวกับนิ้วก้อยตนเอง
?ดีกันก็ได้ โอ๋ๆ อย่าน้อยใจน้า? มืออีกข้างตบไปที่แก้มเขาเบาๆ
?ไป?
มือหนากระชับมือที่เกี่ยวก้อยเมื่อสักครู่ แล้วดึงให้ลุกขึ้นพาเดินลงบันไดไปด้วยรอยยิ้มที่ไม่เคยเกิดขึ้นในชีวิตเขาเลย ยิ้มแบบนี้เขามีไว้เพื่อเธอคนเดียว และอดนึกถึงชีวิตในวัยเยาว์ไม่ได้...

ครูดวงใจจากสถานสงเคราะห์เด็กชายจูงมือเด็กชายภูรินท์ในวัยเก้าปีซึ่งเดินกอดกระเป๋าเสื้อผ้าเก่าๆแน่น ประหนึ่งว่าจะให้มันทดแทนอ้อมกอดของบิดามารดา ทั้งสองพากันเดินมาถึงบ้านพักแห่งหนึ่งหญิงสูงวัยกว่าบอกเขาว่าชื่อ ?บ้านดรุณธรรม? เขาเดินตามขึ้นไปชั้นบนโดยไม่รู้อนาคตข้างหน้า เมื่อขาดบุพการีชีวิตเขาจะเป็นเช่นไร ความตระหนกหวาดกลัวกับสถานที่ซึ่งไม่คุ้นเคยบีบกดหัวใจดวงเล็กๆ แทบหายใจไม่ออก
เรือนนอนเป็นห้องสี่เหลี่ยมผืนผ้าทั้งกว้างและยาว สองฝั่งของผนังมีเตียงนอนเหล็กปูด้วยที่นอนหนาเกือบสามนิ้ว แต่ละเตียงวางเรียงรายห่างกันเป็นระยะที่เท่า ๆ กัน มองดูคร่าว ๆ ฝั่งหนึ่งจัดไว้ประมาณแปดถึงสิบเตียง เขาไม่กล้ามองสำรวจนาน ๆ ได้แต่มองผ่าน ๆ ซึ่งมีหมอนวางที่หัวนอนเรียบร้อยโดยหัวนอนตั้งชิดติดผนัง และผนังทั้งสองฝั่งมีหน้าต่างบานคู่ เป็นกระจกใสตลอดแนวเปิดกว้าง โดยมีหน้าต่างมุ้งลวดปิดไว้ พัดลมเพดานติดไว้เป็นระยะอยู่ตรงกลางทางเดินที่กว้างพอสมควร ผนังห้องที่ทาสีขาวยิ่งทำให้รู้สึกว่าเรือนนอนนี้กว้างขวางโปร่งสบาย ภูรินท์กวาดสายตามองด้วยความประหลาดใจ ผู้ที่ผ่านโลกมามากกว่าเหมือนจะอ่านความคิดเขาได้
?เพื่อน ๆ ของภู ตอนนี้ไปเรียนกันหมดจ้ะ? หญิงร่างท้วมลูบศีรษะเด็กชายด้วยความเอ็นดู
?ตามมาทางนี้สิ? เสียงอ่อนโยนทำให้ภูรินท์พอคลายความกังวลลงได้บ้าง เด็กชายก้าวตามไปยังเตียงสุดท้ายด้านในสุด
?นี่เป็นเตียงของภูนะลูก? ดวงใจหรือตุ้มนั่งลงที่เตียงเคียงข้างภูรินท์
?หนู..เอ่อ..ผม..? ภูรินท์ไม่รู้จะพูดอะไรดี คำถามมันมีมากมายไปหมด ไม่รู้จะเริ่มตรงไหนก่อน เด็กชายรู้สึกสับสน และขวัญเสียที่ต้องสูญเสียบิดามารดาในเวลาไล่เลี่ยกัน
?เรียกฉันว่าแม่ตุ้มเถอะ เพื่อน ๆ ของภูเขาเรียกกันอย่างนี้ทุกคน? ดวงใจโอบไหล่เพื่อให้เด็กชายคลายอาการหวาดหวั่น อยากให้เขารู้ว่า เขาไม่ได้อยู่คนเดียวในโลก
?ครับ..แม่ตุ้ม..ผม..กลัว? เสียงกระท่อนกระแท่นมาพร้อมกับน้ำตาที่ทะลักไหลออกมา เมื่อได้ยินคำว่าแม่จากปากของหญิงร่างท้วมหน้าตาใจดีคนนี้ มันสะกิดให้เขาหวนคิดถึงมารดาที่จากไปโดยไม่ให้เขาได้มีโอกาสทำใจแม้แต่น้อย
ใบหน้าอวบอิ่มมีเมตตาของดวงใจจ้องมองเด็กน้อยด้วยความสะเทือนใจระคนหดหู่ เธอรวบตัวเด็กชายเข้ามากอดปลอบประโลม สักพักหนึ่งจึงจับสองไหล่ผอมเกร็งของภูรินท์ออกห่างเพียงเล็กน้อย แล้วจ้องลึกเข้าไปในดวงตาที่ฉายแววหวาดหวั่น ก่อนจะบอกด้วยน้ำเสียงหนักแน่นแต่อ่อนโยนว่า
?ไม่เป็นไรนะลูก ร้องไห้ให้พอ และต่อจากนี้ไปลูกจะได้เข้มแข็ง อยู่กับแม่ตุ้มและเพื่อน ๆ พี่ ๆ น้อง ๆ อีกเป็นร้อยคน ภูจะอบอุ่นจนลืมความทุกข์เชียวล่ะ มีอะไรไม่สบายใจบอกแม่ตุ้มอย่าเก็บไว้คนเดียว ไม่ต้องกลัวนะ เดี๋ยวถ้าภูเจอเพื่อน ๆ ที่อยู่ที่นี่ บ้านดรุณธรรมที่เป็นวัยเดียวกับภู ภูจะรู้เองว่าทุกคนยินดีต้อนรับภู..เราเป็นครอบครัวเดียวกัน? หญิงร่างท้วมลูบศีรษะเด็กชายอีกครั้ง ถอดแว่นสายตาของเด็กชายออกก่อนจะค่อย ๆ ซับน้ำตาให้ด้วยผ้าเช็ดหน้าของเธอ แล้วจึงสวมแว่นกลับไปให้เด็กชายเหมือนเดิม
?สงสัยจะเรียนเก่งนะเรา สายตาสั้นเท่าไหร่ล่ะเนี่ย? ดวงใจเสเปลี่ยนเรื่องคุยเพื่อให้ภูรินท์ลืมความเศร้าที่เกิดจากความสูญเสีย
?ครับ..ภูสั้นร้อยห้าสิบครับ? ความเป็นกันเองของดวงใจ ทำให้เด็กชายแทนชื่อตัวเองได้อย่างสนิทใจ และรอยยิ้มก็เริ่มประดับใบหน้าเรียวของเด็กชายเป็นครั้งแรกในรอบหกเดือนที่ผ่านมา
?ยิ้มหล่อนะเนี่ย ต้องยิ้มให้แม่ตุ้มบ่อย ๆ นะ แล้วชอบวิชาอะไรล่ะ? ดวงใจยังคงชวนคุยเพิ่มความสนิทสนม
?ชอบวิชาวิทยาศาสตร์ครับ ภูอยากเป็นนักวิทยาศาสตร์ ภูได้ทุนเรียนดีทั้งป.1 และป.2 เลยครับ? ภูรินท์เริ่มพูดคุยมากขึ้น เมื่อรู้สึกว่าผู้หญิงตรงหน้าเปี่ยมเมตตา และเอาใจใส่ไม่ต่างจากคนเป็นแม่
?งั้นก็แปลว่าเรียนเก่งมาก ตั้งใจเรียนก็แล้วกัน ที่นี่ก็มีทุนสำหรับเด็กเรียนดีเหมือนกัน? ดวงใจลุกขึ้น ก่อนจะผละไป ?พักผ่อนก่อนนะ ประมาณห้าโมงเย็น แม่ตุ้มจะมารับ อาบน้ำแต่งตัวให้เรียบร้อย เราจะต้อนรับสมาชิกใหม่กันที่โรงอาหารทุกครั้ง

แรงกระตุกที่มือ ทำให้ภูรินท์สะดุ้งจากภวังค์ในอดีต กระพริบตาไล่ภาพสะเทือนใจออกไปจากห้วงคำนึง เขามองไปที่มือตนเองเมื่อเดินไปได้ไม่กี่ก้าวแล้วต้องชะงัก เพราะเจ้าของมือเล็กขืนตัวเองไว้ เขาขมวดคิ้วแปลกใจ เงยหน้ากลับไปมองใบหน้างาม
?เดี๋ยวๆ พี่ภูจะพาศิไปไหนคะ? หญิงสาวโวยวายออกมา
?ก็จะพาไปเที่ยวไปดูการประดับไฟตกแต่งฉลองคริสต์มาสน่ะซิ เขาเริ่มเฉลิมฉลองกันแล้วนะ? ตอบแล้วก็กระตุกมือให้เธอเดินตาม
?ศิเคยเห็นแล้ว ไม่อยากไปหรอก? เธอแกล้งทำงอแง เหมือนที่เคยทำกับเขาบ่อยๆ ตอนที่เธอยังเป็นเด็ก
?เห็นที่ไหน ไปดูกับใคร? เสียงภูรินท์เข้มขึ้น
?ก็ที่กรุงเทพฯไง เวลามีงานวันเฉลิมฯน่ะ ประดับไฟกันสวยไปทั้งเมือง? ศิตาลอยหน้าตอบ ยิ้มทะเล้นใส่
?เฮ้อ..ขี้เกียจเถียงด้วยแล้ว งั้นไปกินข้าวกันดีกว่า? ภูรินท์ปล่อยมือนุ่มนิ่มของคนจอมยวน แล้วเดินนำหน้าโดยไม่หันกลับมามอง ศิตารีบวิ่งตามมาเกาะแขน แล้วเดินเคียงกันไป ภูรินท์จึงคว้าของในอ้อมแขนเธอมาช่วยถือ
เมื่อออกจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ภูรินท์พาศิตาเดินไปตามถนนเบิร์กลีย์(Berkeley Street) จนมาถึงถนนการ์เด้น(Garden Street) จึงเรียกรถแท็กซี่เพื่อพาหญิงสาวไปรับประทานอาหารตามที่ตั้งใจ
?อากาศเย็นลงเรื่อยๆนะพี่ภู? ศิตาชวนคุยระหว่างนั่งรถแท็กซี่
?ฮื่อ? ภูรินท์พยักหน้าโดยไม่เงยหน้าจากหนังสือของเธอที่เขาเอามาถือไว้
?เอามานี่ ใครอนุญาตให้อ่านน่ะ? หญิงสาวดึงไดอารี่ที่ภูรินท์กำลังก้มหน้าก้มตาอ่าน แล้วนำมากอดไว้แนบอก
?ขออ่านหน่อยน่า..นะ? ภูรินท์ทำเสียงอ้อน ศิตาสั่นศีรษะ ?แค่นี้ก็หวงด้วย? เขาตัดพ้อ แล้วสายตาก็มองตรงไปข้างหน้า
?จะถึงแล้วล่ะ? เขาบอกเมื่อรถแท็กซี่เลี้ยวเข้าสู่ถนนโฮลีโยก(Holyoke Street)
เมื่อลงจากรถแท็กซี่ภูรินท์จับมือศิตาให้เดินไปทางฝั่งขวา หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองป้ายชื่อร้านตัวอักษรภาษาอังกฤษที่ออกแบบไว้สวยงามว่า Spice อยู่ที่หน้าจั่วสีแดงหม่นที่ตกแต่งเหนือประตูทางเข้าร้านอาหาร แนวยาวด้านข้างเหนือผังกระจกกรอบไม้มีตัวอักษรภาษาอังกฤษเป็นทางการว่า Fine Thai Cuisine
ศิตานั่งลงที่เก้าอี้ที่ภูรินท์เลื่อนให้นั่ง ซึ่งชายหนุ่มเลือกให้นั่งริมกระจกที่เพิ่งเดินผ่านเข้ามา หญิงสาวหยิบเมนูขึ้นมาดูรายการอาหาร
เมื่ออาหารยกมาเสิร์ฟเรียบร้อย ต่างก็นั่งรับประทานกันเงียบๆ ภูรินท์แปลกใจกับอาการเหม่อของศิตา
?อาหารไม่อร่อยเหรอ? ถามพร้อมกับตักกุ้งตัวโตใส่จานให้หญิงสาว
?อร่อยค่ะ ต้มยำกุ้งรสแซ่บเหมือนบ้านเราเลย? สีหน้าของคนตอบดูไม่รื่นเริงเอาเสียเลยในสายตาคนถาม
?แล้วน้องศิเป็นอะไร ทำไมซึมไปล่ะ? เขาวางช้อนและจิบน้ำรอฟังคำตอบ
?ศิ...คิดถึงบ้านน่ะค่ะ? เสียงเหงาที่ตอบมา ทำให้ภูรินท์ตัดสินใจพูดคุยเรื่องที่จะทำให้เธอหายเหงาทันที
?พี่ภูสัญญาว่าจะทำให้หนูศิหายเหงา? เสียงกระตือรือร้นของชายหนุ่ม เรียกความสนใจของหญิงสาวได้พอสมควร
?ทำไม ศิถึงจะหายเหงาคะ? เธอเอียงคอครุ่นคิด
?วันนี้วันที่เท่าไหร่จ๊ะ? ภูรินท์ถามพร้อมรอยยิ้มที่เป็นประกายทั้งตาและปาก
?วันที่สอง เดือนธันวา..ทำไมหรือคะ? ใบหน้าศิตาบ่งบอกว่างงเต็มที่
?ใกล้ค่ำและ หนูศิอิ่มรึยัง เรารีบไปกันเถอะ? เขาขยับเรียกให้พนักงานมาเก็บเงิน เธอจึงรวบช้อนแล้วรีบดื่มน้ำตามเกือบครึ่งแก้ว
?บอกว่าไม่ให้เรียกหนูศิ..ก็ยังเรียกอยู่ได้? เธอพูดเสียงขึ้นจมูกเหมือนเด็กงอแง พลางลุกขึ้นเดินตามเขาออกจากร้านหลังชำระค่าอาหารเรียบร้อยแล้ว
?ผมขอโทษนะคร้าบ..คุณศิตา? ภูรินท์แกล้งก้มหัวให้อย่างนอบน้อมล้อเลียนหญิงสาว
?แล้วนี่จะพาศิไปไหนคะ? ถึงแม้จะเดินตามแรงจูงของชายหนุ่ม แต่ก็ยังไม่วายสงสัย
?ไปบอสตันคอมมอน(Boston Common) นั่นแท็กซี่มาแล้วเร็ว? ภูรินท์เร่งศิตา เขาโบกรถแล้วบอกจุดหมายกับคนขับ แล้วหันมาคุยกับคนที่นั่งข้างๆ
?พี่ขอให้เขาขับไปส่งเราใต้สวนสาธารณะ แล้วค่อยขึ้นลิฟต์ไปข้างบนกัน? ชายหนุ่มอธิบายยาว ตุ๊กตาบรายของเขาได้แต่พยักหน้ารับรู้
?ก็แล้วทำไมเราไม่หาอะไรกินกันแถวๆ มหา?ลัยล่ะ ต้องนั่งรถมากินแล้วก็นั่งรถย้อนไปอีก? ศิตาแกล้งว่าเขาไปอย่างนั้นเองเพื่อลดความประหม่า ที่มือตนเองยังถูกเขากุมไว้ไม่ปล่อย
?ว้า...เรานี่ไม่โรแมนติกซะเลย เอางี้ดีกว่า เดือนธันวาปีที่แล้วศิไปเที่ยวไหนล่ะ? เขาหันหน้ามาถามเธอ มือข้างหนึ่งจับปอยผมหยักศกขึ้นมาหอม
?อุ๊ย? เธออุทานเมื่อหันมาเห็นการกระทำของเขา ภูรินท์ยิ้มตอบปล่อยผมลงทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้
?ปีที่แล้ว ศิกลับเมืองไทย? เธอก้มหน้าตอบซ่อนใบหน้าร้อนผ่าว
ศิตาอายได้ไม่กี่นาทีรถแท็กซี่ก็มาส่งถึงที่หมายแล้ว มือใหญ่แต่นุ่มราวกับมือสตรียังคงกุมมือเล็กจับจูงไปตามทางเพื่อไปขึ้นลิฟต์ ซึ่งขณะนี้เขาและเธออยู่ที่จอดรถซึ่งเป็นชั้นใต้ดินของสวนสาธารณะใหญ่ใจกลางเมืองที่ชื่อ บอสตัน คอมมอน (Boston Common)
เมื่อหนุ่มสาวทั้งสองขึ้นมาบนสวนสาธารณะ ท้องฟ้าก็ถูกม่านสีดำคลี่ปกคลุมเสียสนิท แสงระยิบระยับกระทบสายตาหญิงสาว เธอหันไปมองแล้วสาวเท้าเดินตามแสงไปดั่งถูกสะกด ร่างบางไปหยุดยืนอยู่หน้าต้นคริสมาสต์สูงใหญ่ที่มีไฟประดับหลากสีสันละลานตา บนยอดปลายแหลมนั้นมีดาวดวงใหญ่ประดับด้วยไฟกระพริบพราวเต็มไปหมด
?สวยค่ะ อุ๊ย..หิมะตก? เธออุทานออกมาแต่ดวงตาเป็นมันแวววาวสะท้อนแสงไฟบนต้นคริสมาสต์ที่เธอกำลังจ้องดูอยู่
?เขาเรียกพิธีโคมไฟบนต้นไม้จ้ะ นั่นไง..ดูซิ เขาประดับไฟที่ต้นไม้ทุกต้นในสวนสาธารณะแห่งนี้หมดเลย? ภูรินท์อธิบายอย่างคนที่มีประสบการณ์
?ค่ะ? ศิตาตอบรับสั้นๆ ดวงตางามยังกวาดสายตาชื่นชมไปทั่วบริเวณ
เขายังอธิบายไปเรื่อยๆ พร้อมกับจูงมือหญิงสาวเดินไปทั่วบริเวณ เมื่อเห็นเธอปิดปากหาวจึงเอ่ยชวนกลับที่พัก
?กลับกันดีกว่า น้องศิง่วงแล้ว? มือหนานุ่มลูบเรือนผมแผ่วละมุน สร้างกระแสธารอบอุ่นให้หญิงสาว เธอลูบผมตนเองทับรอยเขาแก้เขิน
?กลับก็ได้ค่ะ? พูดจบก็เดินนำไปอย่างรวดเร็ว ราวกับจะหนีอะไรบางอย่าง
?เดี๋ยวสิ น้องศิ? ภูรินท์วิ่งตามไปคว้าข้อมือเล็กๆ ไว้ทัน
?กลับไปถึงที่พักเตรียมกระเป๋าเดินทางให้เรียบร้อยด้วยนะ พรุ่งนี้เช้าพี่จะไปรับ? เขาบอกออกไปโดยไม่ทันตั้งตัวเธอหันกลับมามองด้วยดวงตาใสสุกสกาว
?ขอบคุณพี่ภูมากนะคะสำหรับคืนนี้ที่บอสตันคอมมอน? มือเล็กหันมาคว้ามือใหญ่ไปจับบีบเบาเพื่อแสดงความขอบคุณ เจ้าของมือใหญ่ยิ้มรับหัวใจพองฟู
?พี่เต็มใจครับ แล้วอย่าลืมจัดกระเป๋านะ..? ริมฝีปากบางยิ้มกับใบหน้าฉงนของคนตรงหน้า
?ไปไหนคะ? เธอถามสั้นๆ ดวงตากลมโตจ้องเขาเขม็ง
?จะพาไปเที่ยวล่ะน่า หลายวัน เตรียมเสื้อผ้าไปเยอะหน่อยนะ แล้วจะโทรไปปลุกแต่เช้านะ? เขาบอกพร้อมกับรุนหลังเธอให้เข้าไปในรถแท็กซี่ ร่างสูงโปร่งยืนโบกมือจนไฟท้ายลับหายไป
ภูรินท์เดินทอดน่อง ปล่อยให้หิมะเกาะเส้นผมสะท้อนกับแสงไฟใน บอสตัน คอมมอน เขาเงยหน้าขึ้นรับเกล็ดหิมะ ริมฝีปากบางยิ้มกว้างด้วยความสุขความอิ่มเอมที่ได้อยู่ใกล้ชิดหญิงสาวที่เขารัก มันสุขล้นจนอยากจะตะโกนก้องกับท้องฟ้า เขาก้มหน้าลงส่ายศีรษะยิ้มขำตัวเอง

ตอบกลับโพส

ย้อนกลับไปยัง “ก้าวแรก(สู่นักเขียนมืออาชีพ)”