ศิตา..หญิงสาวที่หมดลมหายใจในคืนวันแต่งงาน(ตอนที่ 1)

ถ้าเพื่อนๆ มีเรื่องที่น่าสนใจและต้องการแบ่งปันเนื้อหา หรือร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการเป็นนักเขียนมืออาชีพ

Moderator: Gals, B.Comics, พี่บี

ตอบกลับโพส
เมเปิ้ล
โพสต์: 10
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร 31 ม.ค. 2012 4:41 pm

ศิตา..หญิงสาวที่หมดลมหายใจในคืนวันแต่งงาน(ตอนที่ 1)

โพสต์ โดย เมเปิ้ล »

ตอนที่ 1 ฮาร์วาร์ด

ศิตากึ่งวิ่งกึ่งเดินสองแขนหอบหนังสือไว้เต็ม พยายามเร่งฝีเท้าอ้อมด้านหลังมุมตึก เมมโมเรียล เชิร์ช(Memorial Church)ในมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ?ซึ่งเป็นโบสถ์ประจำสถาบันสร้างขึ้นเพื่อเป็นการรำลึกถึงศิษย์เก่าที่เสียชีวิตในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง และในปัจจุบันจะใช้ในงานพิธีสำคัญ เช่น พิธีรับปริญญา และประกอบพิธีแต่งงานของบรรดาศิษย์เก่า คณาจารย์และครอบครัว แต่จะต้องจองคิวในการขอใช้สถานที่แห่งนี้ ซึ่งปัจจุบันก็มีการจองคิวกันยาวข้ามปี? เสียงของรุ่นพี่ที่พาคณะนักศึกษาใหม่เที่ยวชมสถานที่พร้อมกับแนะนำประวัติคร่าว ๆ ให้ฟังในตอนที่เธอเข้ามาเรียนในวันแรกจะดังก้องกังวานเข้ามาทุกครั้งที่เธอผ่านสถานที่แห่งความทรงจำในอดีตนี้ นี่เธอมัวแต่คิดอะไรเรื่อยเปื่อยเนี่ย เธอต้องรีบนำตำราทั้งหมดนี้ไปคืนที่ห้องสมุด ไวดเนอร์ ไลเบรรี่ (Widener Library) ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับ เมมโมเรียล เชิร์ช แล้วต้องรีบไปเข้าคลาส เมื่อเธอจ้ำเท้าเลี้ยวตรงมุมอาคารสีน้ำตาลแดงเก่าแก่ เพื่อไปด้านหน้าโบสถ์และตัดข้ามไปยังห้องสมุด ทันใดนั้นเอง
โครม!!!
ศิตารู้สึกว่ามันดังสนั่นหวั่นไหว หนังสือที่หอบมาตั้งไกล ร่วงหล่นระเนระนาด เธอเงยหน้ามองร่างสูงแวบเดียวก่อนจะก้มลงมองหนังสือที่กระจัดกระจายอยู่บนพื้น ทันได้เห็นเขาก้มหน้าก้มตาทำหน้านิ่วใส่หนังสือ หญิงสาวจ้องลงไปที่พื้น ไม่ใช่เพียงหนังสือของเธอ ของเขาก็หล่นลงไปปะปนกับเธอ จนแยกไม่ออกว่าของใครเป็นของใคร
?ขอโทษน่ะเป็นมั๊ย? ศิตาก้มลงเก็บหนังสือบนพื้นกระชากเสียงถามเป็นภาษาอังกฤษโดยไม่มองหน้าคนที่ชนเธอ
ชายหนุ่มร่างสูงโปร่งคู่กรณีเงยหน้าขึ้นทันทีที่ได้ยินเสียงแหวแว้ด เขาจ้องมองศิตาราวกับต้องมนตร์ ผมหยักศกสีน้ำตาลประกายทองล้อมรอบใบหน้ารูปไข่กับดวงตากลมโตภายใต้แพขนตาหนา ภาพในอดีตลอยเข้ามาในมโนภาพของเขาอีกครั้ง
ดวงตากลมโตสีดำสนิทแวววาวภายใต้แพขนตางอน จมูกโด่งประกอบกับริมฝีปากเล็กบางดูกระจุ๋มกระจิ๋ม ใบหน้าล้อมกรอบด้วยเรือนผมหยักศกสีดำเป็นมัน คิ้วเข้มขมวดเล็กน้อยก่อนจะเอียงใบหน้าเข้าไปใกล้เด็กชายที่ตัวโตกว่า ก่อนจะเอ่ยปากถามชัดถ้อยชัดคำ
?พี่ชาย ทำอะไรอยู่คะ? ถามพร้อมกับกระตุกแขนเสื้อของคนที่นั่งยองหันหลังให้อยู่ตรงพุ่มมะลิซ้อนสูงเพียงสองฟุต
เด็กชายผิวขาวสะอาดหันมามองเจ้าของเสียงเล็ก ๆ ที่พูดชัดราวกับผู้ใหญ่ ดวงตาเรียวประดุจเหยี่ยวหรี่ตามอง ตุ๊กตาบราย ที่มีผิวสีน้ำผึ้งอ่อน ๆ ดูใสกระจ่างราวน้ำผึ้งเดือนห้า เขาหันกลับมาทั้งตัวเมื่อเห็นรอยยิ้มของเจ้าตัวเล็ก
?ชื่ออะไรน่ะเรา? ถึงแม้ภูรินท์ในวัยเก้าขวบจะแปลกใจที่อยู่ ๆ ก็มีเด็กหญิงเข้ามาในสถานสงเคราะห์เด็กชาย แต่ความน่ารักทำให้เขาอยากจะชวนแม่หนูน้อยคุยด้วย
?ชื่อ ศิ..?
?หืม..? ภูรินท์เลิกคิ้วฉงนกับชื่อแม่ตุ๊กตาตัวน้อย แต่กลับได้รับคำตอบมาเป็นดวงตาใสซื่อแวววาว
?ชื่อ ศิ เฉย ๆ หรือ? ภูรินท์อมยิ้มถามราวกับว่าตนเองเป็นผู้ใหญ่เสียเต็มประดา
?ชื่อ ศิตา ค่ะ แต่คุณแม่ชอบเรียกว่า ศิ เฉย ๆ? เด็กหญิงอธิบายยืดยาว ดวงตายังจับจ้องอยู่ที่มือเด็กชาย สลับกับมองพุ่มดอกสีขาวที่ซ้อนกลีบบอบบางเป็นชั้นๆ ส่งกลิ่นหอมระริน
?อายุเท่าไหร่คะ? ภูรินท์ถามพลางจับเส้นผมหยักศกสีดำยืดออกพอเหยียดตรงแล้วจึงปล่อย เส้นผมนุ่มกระเด้งกลับราวติดสปริง เด็กชายยิ้มขำ ลืมไปว่ามือของตนเองเลอะฝุ่นดินอยู่
?เป็นผู้หญิงรึงะ..เราน่ะ? เด็กหญิงลอยหน้าเข้าไปหาภูรินท์ ถามด้วยท่าทางยียวน
ภูรินท์ได้แต่อึ้ง คิดไม่ถึงว่าเด็กตัวเล็ก ๆ แค่นี้ อายุไม่น่าจะเกินสี่หรือห้าขวบ จะพูดจาได้เหมือนผู้ใหญ่เช่นนี้ แต่ก็..จะแปลกอะไรเล่า เขาเองอายุเพียงเก้าปี ยังทำตัวเป็นผู้หลักผู้ใหญ่จนตัวเองยังอดขำไม่ได้เลย
?เอ่อ..ก็พี่ เห็นน้องศิ เป็นผู้หญิงก็เลยอยากพูดเพราะด้วยไง? ภูรินท์อธิบายมุมปากยกขึ้น พยายามกลั้นยิ้มกับท่าทางของตุ๊กตาตรงหน้า
?ก็ตัวเองเป็นผู้ชาย อยากพูดเพราะก็ต้องพูดคับสิ?
?ครับ? ภูรินท์เน้นคำควบกล้ำชัดเจน ส่ายหน้าระบายยิ้ม พร้อมกับถามคำถามที่ยังคาใจอยู่ ?แล้วตกลงน้องศิ อายุเท่าไหร่แล้วครับ?
?ห้าขวบค่ะ แล้วพี่แว่นล่ะทำอะไรอยู่? เด็กหญิงยังคนสนใจใคร่รู้ว่าพี่ชายตัวโตทำอะไร
?เอ๊..ชื่อเค้าก็มีนะ เรื่องอะไรมาเรียกเค้าพี่แว่น? ภูรินท์เริ่มมีความสุขกับการโต้เถียงเล็ก ๆ โดยไม่รู้ตัว
?ก็หนูศิ เห็นพี่ใส่แว่น..? เด็กหญิงก้มหน้าสำนึกผิดราวกับตนเองทำความผิดใหญ่หลวง
?พี่ล้อเล่น? เด็กชายภูรินท์ลูบกลุ่มผมนิ่มเพื่อยืนยันคำพูด ?พี่ชื่อภูรินท์ เพราะมั๊ยล่ะ?
?งั้นหนูศิเรียกว่า พี่ภูนะ พี่ภูทำอะไรอยู่คะ? ยังคงไม่ล้มเลิกความตั้งใจในคำตอบ
?พี่กำลังพรวนดิน และเดี๋ยวก็จะรดน้ำต้นไม้ อยากช่วยมะ?
เด็กหญิงศิตาพยักหน้ารับทันที ภูรินท์นำบัวรดน้ำ มาเทน้ำออกเกินครึ่งแล้วจึงส่งให้ตุ๊กตาตัวน้อยตรงหน้าเขา
?อะ..ช่วยพี่รดน้ำต้นไม้ละกัน?
เด็กหญิงศิตารับบัวรดน้ำมาด้วยสองมือน้อย ๆ ของเธอ แม่หนูน้อยฉีกยิ้มจนตาหยี แล้วจึงลงนั่งยอง ๆ ข้าง ๆ พี่ชายตัวโต เธอเทน้ำจากฝักบัวไปที่โคนต้น และพุ่มดอกใบ ชุดกระโปรงสีขาวเป็นชั้นขลิบสีฟ้าระเรี่ยพื้นดิน ที่บัดนี้เริ่มมีน้ำไหลจากโคนต้นลงมาหาชายกระโปรงของหนูน้อย แต่เธอก็ไม่ได้สนใจ ยังคงสนุกสนานกับการช่วยพี่ชายตัวโตรดน้ำต้นไม้

?ตุ๊กตาบราย? ชายหนุ่มรำพึงแผ่วเบา หญิงสาวได้ยินไม่ถนัดแต่ยังพอจับใจความได้ว่าเป็นภาษาไทย
?อ้อ..? หญิงสาวพยักหน้ากับหนังสือในมือโดยไม่ได้เงยหน้ามองคนพูด ยื่นริมฝีปากล่างอย่างไม่พอใจ ?คนไทยเหมือนกัน อย่างนี้ค่อยด่าสะดวกหน่อย?
?Sorry? ชายหนุ่มโค้งศีรษะให้พร้อมเอ่ยคำขอโทษ จ้องมองเธอพร้อมกับกลั้นยิ้มอย่างเต็มที่ ใช่..เขาจำเธอได้ไม่ว่าเธอจะเปลี่ยนสีผมจากสีดำเป็นสีอะไรก็ตาม
?โอ๊ย..ไม่ต้องมาซอร่งซอรี่หรอก ช่วยกันแยกหนังสือก่อนว่าเล่มไหนของคุณ เล่มไหนของชั้น? ศิตาโวยวายเงยหน้าขึ้นมองคนที่เอ่ยคำขอโทษออกมา เมื่อเห็นหน้าคู่กรณีชัดเจน เธอจ้องมองค้าง เพียงเสี้ยววินาที่เท่านั้นก็จำได้ เธอยิ้มด้วยความยินดี กำลังจะเอ่ยทักทาย แต่แล้วแววตาที่จ้องเธอนิ่งสนิทราวต้องมนตร์ของเขา ทำให้คำทักทายชะงักค้างอยู่ที่ริมฝีปาก กลายเป็นความร้อนที่พุ่งขึ้นมาบนสองแก้ม ก็เขาเล่นจ้องตาไม่กระพริบ จนเธอนึกว่าเขากลายเป็นหินไปแล้ว ถ้าเขาไม่ขอโทษเป็นภาษาอังกฤษออกมา เธอคงจะก้มหน้าก้มตาต่อว่าเขาอีกเป็นกระบุงแน่นอน
?เอ่อ..ขอโทษจริง ๆ ครับ ใช่..หนูศิรึเปล่าครับ? ชายหนุ่มถูกกระชากออกจากมนตร์สะกดของหญิงสาวตรงหน้า เมื่อเจ้าหล่อนเงยหน้าขึ้นมาสบตาเขาอย่างจัง เขากระพริบตาปริบ ๆ นึกไม่ถึงว่าใบหน้าสวย ๆ จะโวยวายได้มากมายขนาดนี้
ทั้งสองนั่งลงเก็บหนังสือ ต่างคนต่างหยิบของตนมารวมไว้ ซึ่งความจริงแล้วไม่ได้แยกยากอย่างที่หญิงสาวโวยวายสักนิด ศิตารู้สึกว่าวันนี้เป็นวันซวยของเธอ ตื่นก็สาย และยังต้องหอบตำราที่ครบกำหนดคืนห้องสมุดตั้งหลายเล่มมาคืนอีก และยังมีเรียนตอนเช้า สงสัยวันนี้คงต้องโดดเรียนซะแล้ว ฤกษ์ไม่ดีเลย มือเรียวรวบรวมหนังสือตนเอง ด้วยอาการหงุดหงิด
ชายหนุ่มจ้องมองอาการของหญิงสาวตรงหน้าแล้วรู้สึกขำกับกิริยาของเธอ เหมือนเด็กไม่รู้จักโต เขายังคงเก็บหนังสือของเขาไปเรื่อย ๆ ใบหน้าแบบนี้ช่างคุ้นตานัก และยังท่าทางขี้หงุดหงิด ขี้วีน พาลพะโลเหมือนเด็ก ๆ อีก
?เล่มนี้ของคุณครับ คุณ..? ในเมื่อตุ๊กตาบรายตรงหน้ายังไม่ยอมรับว่าใช่คนที่เขารู้จักหรือไม่ จึงไม่กล้าเสียมารยาทเรียกชื่อเธอ
หญิงสาวจ้องมองชายหนุ่มอยู่นานไม่แน่ใจว่าจะใช่คนที่เธอรู้จักหรือไม่ แต่คนคนนั้นเขาใส่แว่นนี่นา ใช่หรือไม่ใช่ก็บอกชื่อไปก่อนก็ดีเหมือนกัน เป็นคนไทยด้วยกันทำให้เบาใจในการจะทำความรู้จัก
?ศิตาค่ะ? หญิงสาวคลายคิ้วที่ขมวดมุ่น ยิ้มรับไมตรีดวงตายังไม่ละจากใบหน้าชายหนุ่ม
?ศิตา..อืม? ชายหนุ่มคิดเพียงเสี้ยววินาที ?จารุเวศวงศ์รึเปล่าครับ? เขาถามพร้อมกับรอยยิ้มที่เก็บความดีใจไว้ไม่มิด
?เอ๊ะ..คุณรู้จักนามสกุลชั้น..?
?พี่ภูไง หนูศิ จำพี่ภูไม่ได้รึ? ชายหนุ่มละล่ำละลักบอกก่อนที่หญิงสาวจะถามจบ
?พี่ภู..พี่ภูจริง ๆ ด้วย? ศิตาวางกองหนังสือลง และตรงเข้าจับสองมือของภูรินท์ด้วยความยินดี ทำให้หนังสือของชายหนุ่มร่วงหล่นลงพื้นอีกครั้ง เธอไม่คิดเลยว่าโลกจะกลมถึงเพียงนี้ แต่ยังไงการมาศึกษาในต่างแดนเช่นนี้ เป็นความตั้งใจของเธอที่จะได้มาเจอะเจอคนที่รู้จัก โดยเฉพาะภูรินท์ คนที่แอบชื่นชมมาตั้งแต่ครั้งเยาว์วัย ยิ่งทำให้หญิงสาวรู้สึกอบอุ่นใจมากขึ้น เมื่อต้องห่างจากบิดามารดา
?หนูศิจะรีบเข้าคลาสรึเปล่า ยังไงไปหาที่นั่งคุยกันก่อน? ภูรินท์รวบหนังสือของเธอมารวมไว้ในอ้อมแขน และก้มเก็บหนังสือของตนเองมารวมไว้
?เอ่อ..? ศิตาคิดว่ากว่าจะไปคืนหนังสือที่ห้องสมุด ก็คงเข้าคลาสสายมาก ๆ จึงตัดสินใจตอบรับไมตรีจากคนที่เธออยากพบเจอมาหลายปี ?ดีค่ะ พี่ภูนำไปเลยค่ะ?

หลังจากที่ทั้งสองนำหนังสือไปคืนที่ ไวดเนอร์ ไลเบรรี่ เรียบร้อยแล้ว จึงพากันไปร้านแฮมเบอร์เกอร์ใกล้ ๆ ฮาร์วาร์ด เมื่อศิตาเลือกรายการอาหารเรียบร้อยจึงเดินไปเลือกที่นั่งโต๊ะริมกระจก ได้มองผู้คนเดินผ่านไปผ่านมา เพียงไม่นานภูรินท์ก็ถือถาดอาหารมายังโต๊ะที่หญิงสาวนั่งท้าวคางรออยู่ ศิตาช่วยยกแก้วกาแฟออกจากถาดจัดวางให้เขาและเธอ ภูรินท์วางถ้วยมันบดตรงหน้าหญิงสาว ศิตาใช้ช้อนตักชิมทันที จนภูรินท์อดแซวไม่ได้
?ไม่เปลี่ยนเลยนะเรา เห็นแก่กินเหมือนเดิม? เขากลั้นยิ้มเอ่ยปากแซว แล้วส่ายหน้าไปมา
?ไม่ต้องมาทำหน้าอย่างนี้เลย พี่ภูว่าหนูศิ เดี๋ยวจะถล่มให้หมดตัวเลย? หญิงสาวค้อนขวับเข้าให้
?ไปไงมาไงถึงได้มาเรียนที่นี่? ภูรินท์ถามเธอด้วยใบหน้าที่จริงจังขึ้น
ช้อนเล็กที่กำลังส่งมันบดเข้าปาก ชะงักค้างโดยที่ช้อนยังอยู่ในปาก ศิตาจ้องมองภูรินท์คำถามเขาลอยหายไปเมื่อได้สำรวจใบหน้าขาวมีไรหนวดเขียวจาง ๆ เขาดูสูงใหญ่ขึ้น ไม่ผอมกะหร่องเหมือนตอนเด็ก ๆ เธอไม่เจอเขาเกือบสิบปี เพราะเขาเรียนเก่งเกินมนุษย์ สอบชิงทุนไปเรียนนู่นเรียนนี่จนเธอตามไม่ทัน และสมองของเธอก็ยังปรับไม่ทันกับคำถามที่ดูจริงจังขึ้นของเขา
ภูรินท์เห็นหญิงสาวชะงักค้างโดยที่ช้อนยังอยู่ในปาก ได้แต่อมยิ้มกับเด็กไม่รู้จักโต ดูภายนอกเป็นหญิงสาวสวยคม จนผู้ชายต้องเหลียวหลัง แต่ดูผู้หญิงคนที่นั่งตรงหน้าเขานี่สิ
?เดี๋ยวช้อนก็ละลายอยู่ในปากน่ะแหละ จะอมไว้อีกนานมั๊ยเนี่ย? ภูรินท์เคาะที่หน้าผากหญิงสาวเบา ๆ
ศิตารีบนำช้อนออกจากปาก วางไว้ที่จานรองแก้วของตน รู้สึกเขินอายอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน จนไม่กล้าที่จะใช้ช้อนคันเดิมตักอะไรชิมอีก เธอได้แต่ก้มมองกาแฟกรุ่นควันที่ลอยอ้อยอิ่งขึ้นมากระทบจมูกตนเอง โดยไม่กล้าประสานสายตากับคนตรงหน้าอีก
?เอ้า..จะตอบพี่ได้รึยัง? ภูรินท์ทวงคำตอบด้วยใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม
?เอ่อ..คำตอบอะไรคะ? ศิตาเงยหน้าขึ้นมาสบตากับเขา ด้วยอาการเก้อเขิน
?ก็พี่ถามว่าไปไงมาไงถึงได้มาเรียนที่นี่? ชายหนุ่มส่ายหน้าระอาด้วยความเอ็นดู
?อ๋อ..ก็..มหา?ลัยเขาติดอันดับหนึ่งของโลกเชียวนะ ใครก็อยากมาเรียนทั้งนั้น? ศิตายังคงตอบด้วยดวงตาใสแจ๋ว ความใสซื่อของเธอทำให้ภูรินท์ถึงกับถอนหายใจ
?งั้นพี่ถามใหม่ หนูศิมาเรียนอะไร? แววตาวิบวับกับรอยยิ้มที่ไม่เลือนหายจากริมฝีปากชายหนุ่มยามถามเธอ ทำให้หญิงสาวตอบโดยไม่กล้าสบตาเขา
?ก็..มาเรียนเอ็มบีเอ(MBA)? ศิตาพูดสั้น ๆ ด้วยความเคยชินเวลาคุยกับเพื่อน ต่างเข้าใจความหมายกันดีให้หมู่บัณฑิตว่าหมายถึงการเรียนต่อปริญญาโทคณะบริหารธุรกิจ
?อืม..? ภูรินท์พยักหน้ารับรู้ ขณะที่เขากำลังส่งแฮมเบอร์เกอร์เข้าปากตนเอง
?แล้วพี่ภูล่ะ มาเรียนอะไร? ศิตาถามเขาโดยที่สายตาเธอจดจ้องอยู่ที่มุมปากด้านหนึ่งของชายหนุ่ม ซึ่งมันมีซอสและครีมชีสติดอยู่ เมื่อทนรำคาญไม่ไหว เธอจึงหยิบผ้าเช็ดปากของตนเองที่วางอยู่บนโต๊ะ เอื้อมมือไปเพื่อจะเช็ดให้อย่างนุ่มนวล
ภูรินท์ชะงักถอยหลังไปเล็กน้อยด้วยไม่รู้เหตุผลว่าหญิงสาวจะทำสิ่งใด เขาเผลอจับมือเธอที่เอื้อมมาหาเอาไว้ดวงตาเรียวของเขาประสานเข้ากับดวงตากลมโตสีดำสนิทแววววาว และเหมือนสิ่งรอบตัวกลายเป็นภาพพร่าเลือนเชื่องช้า มีเพียงใบหน้าของเธอที่แจ่มชัด และจังหวะหัวใจของเขาก็เปลี่ยนไป มันเต้นเร็วและรัวเมื่อหัวใจได้รับไอร้อนจากผิวกายสาวพุ่งตรงสู่กึ่งกลางใจ
ศิตาตกใจที่ภูรินท์คว้าข้อมือเธอเอาไว้ เธอประสานสายตากับเขา มือใหญ่ที่เขารวบข้อมือเธอไว้ คล้ายมีประจุไฟฟ้าวิ่งไปตามเรียวแขน ทำให้เธอรู้สึกอุ่นวาบเข้าไปข้างใน ความร้อนแผ่กระจายไปทั่วใบหน้า เธอไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมจึงไม่สามารถถอนสายตาจากดวงตาเรียวนี้ได้
เพล้ง!!
เสียงแก้วตกแตกจากโต๊ะอีกมุมหนึ่ง ช่วยดึงทั้งสองกลับมาสู่ความเป็นจริงอีกครั้ง สรรพสิ่งรอบ ๆ เริ่มชัดเจนและดำเนินไปตามปกติ หญิงสาวได้สติ ชักมือตนเองออกจากฝ่ามือร้อนของเขา
?ศิ..เอ่อ..แค่จะเช็ดปากให้? หญิงสาวก้มหน้าบอกเสียงอ่อย ซ่อนความเขินอาย
?ปากพี่เลอะหรือเนี่ย? ชายหนุ่มใช้นิ้วโป้งตนเองเช็ดมุมปากที่คาดว่าจะเลอะ พร้อมกับพูดออกไปด้วยความเก้อกระดาก
ความเงียบโอบล้อมทั้งสองเอาไว้ ราวกับเกิดสูญญากาศ ต่างคนต่างจมอยู่ในความคิดของตน โดยไม่รู้จะเริ่มต้นพูดคุยอะไรต่อ เป็นชายหนุ่มที่นึกถึงบทสนทนาท้ายสุดนั้นได้ จึงเอ่ยทำลายความเงียบขึ้น
?เอ่อ..ที่หนูศิถามเมื่อกี้ พี่มาต่อดอกเตอร์น่ะ แล้วหนูศิล่ะอยู่ปีไหน? ถามไปอย่างนั้นทั้งที่เขาสามารถคำนวณได้ว่าเธอควรจะอยู่ปีไหน
?ศิอยู่ปีสองแล้วค่ะ แล้วก็..พี่ภู เลิกเรียกศิว่าหนูศิเสียทีนะคะ ศิโตแล้วค่ะ? หญิงสาวบอกเขา พร้อมกับใบหน้าที่เริ่มซับสีชมพู เพราะเวลาถูกเขาเรียกว่าหนูศิทีไรเธอรู้สึกใบหน้าร้อนผ่าวทุกครั้ง ก็เธอไม่ใช่เด็กเล็ก ๆ เหมือนเมื่อก่อนแล้วนี่
?จริงด้วย พี่ก็ลืมไป? ภูรินท์ยิ้มรับ รู้สึกมือไม้ของตัวเองดูเกะกะไปหมด ไม่รู้จะวางไว้ตรงไหนดี จึงเสเอามือเสยผม ก่อนจะยิ้มเขิน ๆ ให้กับหญิงสาว
?นี่ศิไม่ได้เจอพี่ภูกี่ปีแล้วเนี่ย? หญิงสาวยกมือขึ้นมานับนิ้ว ?โอ้โห เกือบแปดปีแน่ะ มิน่าล่ะ ศิถึงจำพี่ภูไม่ได้ อีกอย่างนะ พี่ภูไม่ได้ใส่แว่นแล้วนี่? ศิตาใช้สองมือประสานกันแล้วเกยคางไว้บนหลังมือตนเองจ้องมองเขาตาใสแจ๋ว
?แต่พี่จำน้องศิได้นะ? เขามองโครงหน้าที่มีดวงตากลมโตไม่เคยเปลี่ยน เขาจะลืมตุ๊กตาที่ประทับอยู่ในความทรงจำเขาได้อย่างไร ?อ้อ พี่ใส่เลนส์น่ะ? เขาบอกเธอเมื่อนึกขึ้นได้ว่าเธอพูดถึงแว่นตาที่เขาเคยใส่ในวัยเด็ก
?ก็ดีนะคะ ไม่มีแว่นเกะกะ หล่อไปอีกแบบ ศินะ..อิจฉาผิวพี่ภูจริง ๆ เลย ผิวขาวละเอียดยังกับผู้หญิงแน่ะ? เธอไล่มองใบหน้าเขา และลดสายตาลงมาที่ท่อนแขนซึ่งโผล่พ้นจากแขนเสื้อแจ็คเก็ตที่ถูกดึงขึ้นเพื่อความสะดวกในการรับประทาน
?ผิวเราก็ดีใช่เล่น เนี่ยะ..ดูสิ ผิวเนียนละเอียดจนใสยังกับน้ำผึ้ง? ภูรินท์ไม่พูดเปล่าใช้นิ้วชี้ไล้ที่แขนของเธอแผ่วเบา โดยเจ้าตัวไม่ได้คิดจะลวนลาม แต่แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าแม่ตุ๊กตาตัวน้อยที่เขาเคยเจอ บัดนี้โตเป็นสาวเต็มตัวแล้ว ที่เขาทำไปดูไม่เหมาะสม จึงได้กล่าวขอโทษ ?เอ่อ..พี่ขอโทษนะ พี่ไม่ได้ตั้งใจจะล่วงเกิน?
ศิตาสะดุ้งเล็กน้อยกับสัมผัสเพียงแผ่วเบาที่ท่อนแขนเรียว ประจุไฟฟ้าจากปลายนิ้วสร้างความรู้สึกแปลก ๆ ในหัวใจของหญิงสาวและส่งผลกับหน้าเนียนใส
?ไม่เป็นไรค่ะ ศิเข้าใจ? ศิตาก้มหน้าตอบซ่อนใบหน้าที่รู้สึกว่ามันเริ่มร้อนขึ้นเรื่อย ๆ จากสัมผัสเพียงปลายนิ้วของชายหนุ่ม ที่เธอคิดถึงเขาตลอดเวลาหลายปี โดยที่ตัวเธอเองก็ไม่รู้เหตุผล ว่าทำไมต้องอยากเจอคนคนนี้
?น้องศิมายืมหนังสือที่ ไวดเนอร์ ไลเบรรี่ บ่อยมั๊ย? ภูรินท์ชวนคุย
?ก็บ่อยเหมือนกันค่ะ แล้วพี่ภูล่ะคะ? ศิตาย้อนถามเขา เพราะไม่รู้จะคุยอะไรกับเขาดี ทั้งที่ก่อนหน้านี้ เธอมีเรื่องตั้งมากมายตั้งใจว่าถ้าเจอเขาเมื่อไหร่จะคุยให้เขาหลับเลยทีเดียว แต่ ณ เวลานี้ เมื่ออยู่ต่อหน้าเขาเธอกลับพูดอะไรไม่ออก เรื่องที่อยากจะคุยอยากจะถามมันล่องหนหายไปไหนหมด
?พี่ก็มาสัปดาห์ละสองสามครั้งน่ะ บ่อยมั๊ยครับ? เขาตอบพร้อมอมยิ้มน้อย ๆ
เสียงของภูรินท์ปลุกหญิงสาวจากความคิดที่กำลังค้นหาเรื่องราวมาคุยกับเขา แล้วเธอก็ต้องนั่งเงียบอีกครั้งเมื่อนึกเรื่องที่จะคุยกับเขาไม่ได้ ครั้นเหลือบมองใบหน้าของชายหนุ่ม เขาจ้องเธออยู่แล้วด้วยสายตาเป็นประกายแปลก ๆ และยังมุมปากที่ยกขึ้นเหมือนขำอะไรสักอย่าง นี่หน้าตาเธอมีอะไรตลกอย่างนั้นหรือ หญิงสาวไม่มั่นใจในตัวเองเลย แล้วทำไมเธอต้องประหม่าด้วยล่ะ
ภูรินท์นั่งมองใบหน้าหญิงสาว ริมฝีปากเผลอยิ้มออกไปด้วยความสุข ที่เขาได้พบเจอเธออีกครั้ง ไม่คิดว่าตุ๊กตาบรายตัวน้อยโตขึ้นจะสวยคมขนาดนี้ การประสานสายตากับเธอเมื่อครู่ทำให้จังหวะของหัวใจผิดแปลกไป เขาไม่รู้ว่ามันจะเต้นระรัวไปถึงไหน รู้แต่เพียงว่าความพองฟูที่ขยายจนเต็มอกสร้างความปิติยินดีมากแค่ไหน อะไรก็ตามที่บันดาลให้เขาได้พบเธอ เขาจะไม่ปล่อยช่วงเวลานี้ให้เลยผ่านไป เมื่อคิดได้ดังนั้น
?พรุ่งนี้น้องศิมีเรียนมั๊ยครับ? ภูรินท์ถามอย่างคาดหวังว่าเธอจะว่าง
?อืม..เดี๋ยวขอศิดู ซเคจฯ(schedule)ก่อนนะคะ? ศิตาเปิดกระเป๋าสะพายค้นหาสักครู่ เธอหยิบสมุดเล็ก ๆ ขึ้นมาเปิดดูสักพักจึงเงยหน้าขึ้น หวังจะบอกหมายกำหนดการในวันพรุ่งนี้ของเธอ แต่เมื่อพบประกายตาแปลก ๆ ของภูรินท์จ้องอยู่ เธอจึงก้มหน้าเก็บสมุดเล่มเล็กลงกระเป๋า ก่อนจะบอกเขาโดยไม่เงยหน้าขึ้นมา
?พรุ่งนี้ศิว่างช่วงบ่ายเป็นต้นไปค่ะ?
?งั้นพรุ่งนี้พี่ไปรอศิหน้าประตูจอห์นสตัน เกท (Johnston Gate)นะ? ภูรินท์นัดแนะเสร็จสรรพโดยไม่ถามความสมัครใจของหญิงสาวสักคำว่าเธอยินดีจะไปกับเขาหรือไม่
?อุ๊ย..ไม่เอาหรอกค่ะ? ศิตาหยุดคิดนิดหนึ่ง ทำให้หัวใจคนฟังกระตุกหายไปด้วยกลัวว่าเธอจะปฏิเสธ ?ประตูนั้นน่ะ รุ่นพี่บอกว่ามีอาถรรพ์ ถ้าเดินผ่านเข้าออกทางประตูนี้เกินสองครั้ง จะมีเหตุให้เรียนไม่จบ?
?เหลวไหลน่า งมงายไม่เข้าเรื่อง..? ยังไม่ทันที่ภูรินท์จะว่ากล่าวอะไรอีกเสียงหวานใสของหญิงสาวตรงหน้าก็ขัดขึ้นอีกครั้ง
?ยังไงศิก็จะไม่ผ่านประตูนั่น พี่ภูไปรอศิหน้า ฮาร์วาร์ด ฮอลล์ แล้วกันค่ะ..ว่าแต่ จะไปไหนกันหรือคะ? ศิตาเพิ่งนึกได้ว่าเธอตอบรับเขาไปทั้งที่ยังไม่รู้เลยว่าเขาจะชวนเธอไปไหน
?ถ้าน้องศิว่างทั้งวันก็ดีน่ะสิ พี่ว่าจะพาไปเดินเที่ยวที่เบคอน ฮิลล์ (Beacon Hill) ในบอสตันนี่ล่ะรู้จักมั๊ย อากาศเย็น ๆ อย่างนี้ สองข้างทางของถนนบนเนินจะมีหิมะอยู่เต็มพี่ชอบ พี่ว่ามันสวยดีนะ น้องศิเคยไปมารึยัง? ภูรินท์ถามด้วยประกายตาบรรเจิดอย่างมีความหวัง เขาไม่รู้ตัวเองเหมือนกันว่าทำไมต้องดีใจมากมายนักกับคำตอบรับของหญิงสาว
?ยังไม่เคยไปค่ะ มุมานะเรียนอย่างเดียว อีกอย่างไม่กล้าไปเที่ยวคนเดียวด้วย? ศิตาทำจมูกย่นเล็กน้อย
ภูรินท์เลิกคิ้ว แปลกใจว่าทำไมศิตาไม่มีเพื่อนหรือไง คล้ายว่าเธอจะอ่านสายตาเขาออกจึงตอบออกไป
?ไม่ใช่ศิไม่มีเพื่อนหรอกค่ะ แต่เพื่อน ๆ เขาก็มีกลุ่มของเขา ศิเพิ่งมาเรียนที่นี่ไม่เท่าไหร่เอง?
?แล้วตกลงจะไปรึเปล่าล่ะ? ภูรินท์ยิ้มรับ
?อืม..จริงๆแล้ว ช่วงเช้าก็ไม่มีอะไรสำคัญเท่าไหร่ ศิอ่านล่วงหน้าไปเยอะแล้ว เดี๋ยวขอสำเนาเล็คเชอร์จากเพื่อนก็ได้ค่ะ แล้วพี่ภูจะไปสักกี่โมงดีคะ? ศิตาคำนวณดูแล้วคุ้มค่ากับการโดดเรียน จึงตอบรับภูรินท์ด้วยความยินดี หญิงสาวยกแก้วกาแฟขึ้นมาจิบนิดหนึ่ง
?สักหกโมงเช้าพี่ไปรับนะ ใส่เสื้อหนา ๆ ไปด้วยล่ะ?
ภูรินท์เช็คบิลแล้วเดินออกมาส่งศิตาขึ้นรถไฟฮาร์วาร์ด หลังจากเธอบอกสถานที่พักของเธอเรียบร้อยแล้ว เมื่อรถไฟเคลื่อนห่างออกไปเขาจึงเดินจากมาเพื่อกลับที่พักเช่นกัน

ตอบกลับโพส

ย้อนกลับไปยัง “ก้าวแรก(สู่นักเขียนมืออาชีพ)”