ศิตา..หญิงสาวที่หมดลมหายใจในคืนวันแต่งงาน(บทนำ)

ถ้าเพื่อนๆ มีเรื่องที่น่าสนใจและต้องการแบ่งปันเนื้อหา หรือร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการเป็นนักเขียนมืออาชีพ

Moderator: Gals, B.Comics, พี่บี

ตอบกลับโพส
เมเปิ้ล
โพสต์: 10
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร 31 ม.ค. 2012 4:41 pm

ศิตา..หญิงสาวที่หมดลมหายใจในคืนวันแต่งงาน(บทนำ)

โพสต์ โดย เมเปิ้ล »

สวัสดีค่ะขอแนะนำตัวหน่อยนะคะ เมเปิ้ลเองค่ะ จากที่ท่องมาหลายเว็บเห็นใช้ชื่อเมเปิ้ลกันมาก แต่เมเปิ้ลคนนี้มีนิยายเรื่อง สัญญาฤาลิขิตรัก ตีพิมพ์เป็นรูปเล่มแล้วค่ะ
ฝากคอมเม้นท์เรื่องศิตาด้วยนะคะ
ขอบพระคุณค่ะ

ศิตา
โดย เมเปิ้ล
บทนำ

ห้องแกรนด์บอลรูมของโรงแรมชั้นนำในระดับแนวหน้าของกรุงเทพมหานคร ถูกตกแต่งด้วยดอกกุหลาบสีขาวสะอาดกลีบบางทั่วทั้งห้อง จนกลิ่นหอมอวลไปทั่วบริเวณ ผ้าม่านสีงาช้างขลิบริมสีทองแต่งชายด้วยเกลียวเชือกสีทองทอดชายอยู่ตามผนังที่ปิดไว้แต่ละด้าน ซุ้มประตูทุกบานตกแต่งดอกกุหลาบสีชมพูหวานสลับกับสีขาวเป็นโค้งประตูราวกับเป็นห้องของมวลบุปผชาติ หน้าประตูใหญ่ทางเข้าห้องจัดเลี้ยงมีรูปคู่บ่าวสาวขยายเท่าตัวจริงในกรอบลวดลายวิจิตรสีทองตั้งเด่นอยู่เคียงข้างซุ้มดอกไม้สำหรับแขกผู้มีเกียรติถ่ายรูปคู่กับบ่าวสาว ทุกคนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าบ่าวสาวคู่นี้สมกันดั่งกิ่งทองใบหยก
เจ้าบ่าวผู้มีผิวขาวสะอาดราวกับมีเชื้อสายผู้ดี ในตาคมเข้มภายใต้คิ้วดก จมูกโด่งเป็นสัน ริมฝีปากบางระบายยิ้มน้อย ๆ เมื่อได้รับคำชมไม่ขาดปากจากแขกผู้ใหญ่ที่เข้ามาอวยพร รูปร่างสูงเพรียว แต่ไม่ถึงกับผอม เป็นเพราะไม่เคยได้ใช้แรงงาน จึงมีรูปร่างสะโอดสะองเมื่อเทียบกับชายหนุ่มหลายคนที่มักนิยมร่างกายมีมัดกล้ามเหมือนนักกีฬา แต่เมื่อเทียบกับเจ้าสาว เขาก็ยังคงดูร่างกายใหญ่โตสมชายชาตรี และดูสง่างามยิ่งขึ้นในชุดสูทสีงาช้าง
เจ้าสาวผู้เป็นทายาทเพียงคนเดียวของตระกูลจารุเวศวงศ์ และเป็นเจ้าของโรงแรมแห่งนี้ และโรงแรมชั้นนำหลายแห่งในต่างจังหวัดที่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวขึ้นชื่อที่ชาวต่างชาตินิยม หญิงสาวผิวเนียนละเอียดราวน้ำผึ้งชั้นดี ดวงตากลมโตสีดำสนิทแวววาวตลอดเวลาภายใต้ขนตาดกหนางอนงาม จมูกโด่งราวกับมีเชื้อสายทางยุโรป ริมฝีปากกระจับได้รูปแย้มยิ้มตลอดเวลา รูปร่างโปร่งบางสมส่วนในชุดเจ้าสาวสีขาวบริสุทธิ์เกาะอก ชุดรัดรูปช่วงใต้อกถึงเอวช่วยขับเน้นให้อกอิ่มเด่นชัดยิ่งขึ้น
แขกเหรื่อมีทั้งนักธุรกิจชื่อดัง และผู้ใหญ่ในกระทรวงสาธารณสุขซึ่งเป็นต้นสังกัดของเจ้าบ่าว ทะยอยมาร่วมแสดงความยินดีกับบ่าวสาวเป็นระยะ ความเหน็ดเหนื่อยจากงานรดน้ำ ทำบุญตักบาตรตอนเช้ายังไม่จางหาย แต่ทั้งเจ้าบ่าวและเจ้าสาวยังคงโปรยยิ้มที่ความสุขระบายทั่วใบหน้าของทั้งสอง ให้กับแขกที่มาร่วมงานตลอดเวลา
?ดีใจด้วยจริง ๆ ว่ะแว่น? รามิลเพื่อนสนิทคนหนึ่งของเจ้าบ่าวตั้งแต่เล็ก เพราะมาจากสถานที่เดียวกัน จับมือแสดงความยินดีกับเจ้าบ่าวด้วยความจริงใจ และหันไปค้อมศีรษะให้เจ้าสาวนิดหนึ่งก่อนจะเอ่ย
?ยินดีด้วยนะครับ คุณศิตา ไอ้ดอกเตอร์เพื่อนผมมันโชคดีจริง ๆ ที่ครอบครัวของคุณเห็นความจริงใจของมัน? รามิลโอบไหล่เพื่อนรักทั้งที่ตนนั้นเตี้ยกว่าเจ้าบ่าวภาพที่ออกมาจึงดูเหมือนเขาโหนตัวเจ้าบ่าวอยู่ยังไงยังงั้น ทำให้ศิตาเจ้าสาวแสนสวยยิ้มรับกับภาพนั้นพร้อมตอบทันที เกรงว่าแขกคนอื่นได้ยินแล้วจะเข้าใจเจ้าบ่าวเธอผิดไป
?พี่รามก็พูดเกินไปค่ะ คุณพ่อคุณแม่ของศิ ชื่นชมพี่ภูมาตั้งนานแล้ว..? ศิตาพูดไม่ทันจบ รามิลผละจากเจ้าบ่าวและละล่ำละลักอธิบายเจ้าสาวเป็นพัลวัน
?โอ๊ะ ๆ พี่ล้อเล่น พี่ไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น พี่รู้ว่าเพื่อนพี่มันเป็นคนดีร้อยเปอร์เซ็นต์ และครอบครัวของน้องศิก็เป็นผู้มีพระคุณของพวกพี่ อย่าเข้าใจผิดสิครับ? รามิลยิ้มแห้ง ๆ เกรงว่าเจ้าสาวของเพื่อนเขาจะเข้าใจผิด
?ดูเจ้าบ่าวขี้อาย เพื่อนพี่สิ เอาแต่ยิ้มอย่างเดียว ไม่พูดอะไรสักคำ สงสัยจะบรรยายเป็นอย่างเดียว? รามิลยังไม่วายแซวเจ้าบ่าวเพื่อนรัก
ภูรินท์รู้สึกเหมือนตนเองฝันไป ไม่คิดว่าจะมีวันนี้ วันที่ดอกฟ้าโน้มกิ่งมาหาหมาวัดอย่างเขา ความรู้สึกอิ่มเอมพอกพูนจนคับอก ได้แต่ยิ้มปลาบปลื้มกับความสุขที่ไม่คิดไม่ฝัน ว่าตนเองจะประสบความสำเร็จทั้งหน้าที่การงานและความรักรวดเร็วเช่นนี้ เขาสะดุ้งจากห้วงคำนึง เมื่อรามิลใช้ข้อศอกกระทุ้งเบา ๆ ที่ท่อนแขน เสียงแซวของเพื่อนลอยเข้าหูมากระทบให้เขาได้เปิดปากตอบเพื่อนออกไป
?คนมันกำลังมีความสุขโว้ยไอ้ราม เอ็งไม่ต้องมาอิจฉาเลย? เสียงเจ้าบ่าวทำให้ผู้ใหญ่หลายคนหันมามองพร้อมรอยยิ้มยินดี ภูรินท์ยกมือทำความเคารพผู้ใหญ่ที่ทะยอยเข้ามาในงาน ศิตายกมือไหว้ตามทันที พร้อมยิ้มหวาน
?มา..ขอถ่ายรูปคู่เจ้าบ่าวเจ้าสาวหน่อยว่ะ? รามิลพูดพร้อมเดินไปคล้องแขนเจ้าสาว ภูรินท์แกล้งเอื้อมมือข้ามเจ้าสาวมาตีที่แขนเพื่อนรัก
ทั้งสามคนสนิทกันมาตั้งแต่เด็ก ศิตาเป็นน้องเล็กที่ภูรินท์และรามิลคอยดูแล ยามที่คุณพ่อคุณแม่ของเธอ ไปเยี่ยมเยียนพวกเขา ภูรินท์ใส่แว่นตั้งแต่เด็กจึงทำให้เพื่อน ๆ เรียกกันว่า แว่น โดยที่ไม่มีใครสนใจว่าชื่อของเขานั้นคืออะไร ส่วนรามิลชายหนุ่มร่างเล็กผิวเข้ม จมูกโด่งเป็นสันที่ดูเด่นที่สุดในใบหน้าของเขา เป็นคนขี้เล่น เพื่อนทุกคนจะเรียกเขาว่า รามิล มีเพียงภูรินท์คนเดียวที่เขาบอกชื่อเล่นและเขาก็สนิทมากที่สุด ภูรินท์จึงเรียกเขาว่ารามตลอดมา ศิตาเป็นคุณหนูไฮโซเป็นเด็กอ่อนโยนจิตใจดี ชอบเรียกชื่อจริงของรุ่นพี่ทั้งสองมากกว่า เพราะเธอว่ามันเพราะเสนาะหูกว่าเป็นไหน ๆ

?พี่ภูคะ เห็นอะไรรึเปล่าคะ? ศิตาสะกิดเจ้าบ่าวกระซิบถามพอให้ได้ยินเพียงสองคน ในขณะที่ยืนกันอยู่บนเวที
?หืม..อะไรหรือ? ภูรินท์แค่เอียงคอกระซิบไม่ได้หันหน้ามาทางเจ้าสาว
ศิตารู้สึกว่าขนบนเรียวแขนลุกชัน กระซิบตอบเสียงสั่นด้วยความรู้สึกหวาดกลัว
?เงาอะไรสักอย่าง คอยมาป้วนเปี้ยนให้เห็นทางหางตาน่ะค่ะ พอศิหันไปก็ไม่เห็นมีอะไร? ในขณะนั้น สิ่งที่เธอหวาดหวั่นไม่ได้คิดถึงตนเองแม้แต่น้อย กลับพรั่นพรึงถึงเจ้าบ่าวข้างกายเกรงว่าจะต้องสูญเสียเขาไป โดยตนเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าอะไรดลใจให้คิดเช่นนั้น
?คิดมากรึเปล่า ตาฝาดมั้ง? นักวิทยาศาสตร์หนุ่มปลอบด้วยมุมมองเป็นเหตุเป็นผลที่พิสูจน์ได้
เธออยากจะค้านออกไป แต่รู้คำตอบดีว่านักวิทยาศาสตร์ผู้เป็นเจ้าบ่าวของเธอในวันนี้ คงไม่มีทางคิดเป็นอื่นไปได้ แต่สังหรณ์แปลก ๆ ที่เกิดขึ้นมันคอยรบกวนจิตใจเธออยู่ จนไม่มีสมาธิรับฟังคำอวยพรจากญาติผู้ใหญ่ ทั้งฝ่ายเจ้าบ่าวและฝ่ายเจ้าสาว และเมื่อพิธีกรส่งไมโครโฟนให้เธอกล่าวขอบคุณบรรดาแขกผู้มีเกียรติที่มาร่วมงาน เธอก็ตกใจสะดุ้งสุดตัว จนเจ้าบ่าวต้องเข้ามาบีบมือ
ภูรินท์สัมผัสความชื้นเย็นจากมือนุ่ม จึงได้หันไปสบตาเจ้าสาว และบีบมือให้กำลังใจ เขาคิดว่าเธอคงตื่นเต้นไม่ต่างไปจากเขา แล้วเจ้าสาวก็กล่าวขอบคุณเพียงสั้น ๆ จนเขาเองยังแปลกใจ เขารับไมโครโฟนมาจากเจ้าสาวเพื่อกล่าวขอบคุณแทนเธอ ที่เธอพูดสั้นเหลือเกิน
ศิตาแทบผงะล้มทั้งยืน เมื่อเงาวูบวาบที่เห็นมาตลอดค่ำคืนนี้ ปรากฎให้เธอเห็นเด่นชัดขึ้น แม้เพียงสองสามวินาที แต่ดวงตาโปนแดงบนใบหน้าดำทมึนที่สบตาผ่านหน้าเธอไปเมื่อสองสามวินาทีนั้น มันชัดเจนจนหัวใจเธอเต้นเร็วแรงจนรู้สึกอึดอัดปวดร้าวไปทั่วโพรงอก เธอรู้สึกราวกับกำลังขาดอากาศที่จะหายใจ ระหว่างที่เจ้าบ่าวจับจูงมือเธอให้เดินตาม เธอรู้สึกวิงเวียนคล้ายจะเป็นลม และเพียงเสี้ยววินาทีทุกอย่างก็มืดมิดไปหมด พร้อมกับความรู้สึกอึดอัดที่เธอพยายามจะสูดหายใจเข้าแล้วความรู้สึกเธอก็จมหายไป
เมื่อภูรินท์ผู้เป็นเจ้าบ่าวกล่าวขอบคุณแขกผู้มีเกียรติจบ เขาก็จุมพิศแผ่วเบาที่นวลแก้มเจ้าสาวตามเสียงเชียร์ของบรรดาแขกเหรื่อและเพื่อนพ้อง สัมผัสเย็นเยียบจากแก้มนุ่มของศิตา ทำให้เจ้าบ่าวเหลือบสายตามองเจ้าสาวของเขา เห็นใบหน้าขาวซีดริมฝีปากที่ยังยิ้มค้างอยู่สั่นระริก ดวงตาเบิกโต เขาจึงรีบจูงมือเธอเพื่อก้าวลงจากเวทีและตั้งใจว่าจะพาเธอไปพักผ่อน คิดว่าเธอคงเหน็ดเหนื่อยเกินไป แต่แล้ว..
ขณะที่เจ้าสาวกำลังก้าวลงจากเวที อยู่ ๆ เธอก็ล้มตึงลงไปเมื่อก้าวพ้นจากเวที เจ้าบ่าวที่จับมือนุ่มไว้มั่น รีบถลาเข้าไปประคองเธอไว้ก่อนที่ศีรษะจะฟาดพื้น พลางเขย่าและเรียกเจ้าสาวที่สงบแน่นิ่งไป
บรรดาผู้มาร่วมงานทุกคนครางฮือขึ้นยืนพร้อมกัน แพทย์และพยาบาลซึ่งนั่งอยู่ที่โต๊ะด้านหน้าเวทีใกล้กับโต๊ะของท่านผู้หญิงละเอียด กูลทองสวัสดิ์ ต่างกรูกันเข้าไปด้านหน้าเวที เพื่อปฐมพยาบาลเจ้าสาว เมื่ออัญชลิตามองผ่านแพทย์และพยาบาลที่กำลังช่วยกันดูแลบุตรสาว จึงหันไปหาบรรดาแขกที่กำลังยืนชะเง้ออยู่ที่โต๊ะและกล่าวขึ้นด้วยเสียงอันดังแต่สุภาพ
?รบกวนแขกผู้มีเกียรติทุกท่านเชิญนั่งรับประทานอาหารตามปกติที่โต๊ะของท่านก่อนนะคะ คงไม่มีอะไรมากค่ะ เจ้าสาวคงเหนื่อยและเป็นลมไป? พูดจบอัญชลิตาถลาร่างท้วมลงไปนั่งเคียงข้างเจ้าสาว ศิตาเจ้าสาวหมาด ๆ นอนแน่นิ่ง อัญชลิตาผู้เป็นมารดานั่งบีบมือที่เย็นเฉียบ ด้วยความกังวลใจกอปรกับท่าทีของเจ้าบ่าวที่มองหน้าแพทย์และศิตาสลับกัน ทำให้เธอไม่สบายใจจึงถามออกไป
?ภู..น้อง..น้องเป็นยังไง? เสียงคุณอัญชลิตาตะกุกตะกักถามภูรินท์ ด้วยน้ำเสียงและแววตาตื่นตระหนก
ภูรินท์เห็นเจ้าสาวของเขานอนนิ่งไม่ไหวติง ความรู้สึกผิดปกติถาโถมเข้าอย่างไม่อาจจะยอมรับได้ แม้ทีมแพทย์และพยาบาลกำลังช่วยกันปฐมพยาบาลอยู่ก็ตาม เขามองไปยังจุดที่หัวใจควรจะเต้น ไม่มีการขยับ เขายื่นมือสั่นระริกไปอังที่จมูกของเจ้าสาวในใจก็ภาวนาอย่าให้เป็นอย่างที่สังหรณ์เลย แล้วก็ต้องผงะ เมื่อนิ้วเรียวของเขาไม่ได้สัมผัสถึงแรงปะทะจากลมหายใจของร่างที่นอนนิ่ง ภูรินท์ไม่รอช้าทำการปั้มหัวใจอย่างร้อนรน แต่ถูกนายแพทย์จับแขนไว้ พลางพยักหน้าว่าปล่อยให้เป็นหน้าที่ของทีมแพทย์และพยาบาลจะดีกว่า
?ศิ..ศิ....ไม่..หายใจ..แล้ว? เสียงแหบแห้งของภูรินท์ตะกุกตะกักตอบเหมือนลมหายใจตนเองกำลังสะดุด ราวกับตนเองกำลังขาดลมหายใจตามไปด้วย ดวงตาของเขาแดงก่ำ หยาดน้ำคลอคลองเต็มสองตา เขาพยายามกลืนก้อนแข็ง ๆ ที่วิ่งขึ้นมาจุกอยู่ที่คอ หันไปสบตาคุณอัญชลิตา แล้วก้มลงกอดเจ้าสาวแน่น น้ำตาลูกผู้ชายรินไหลหยดลงบนชุดเจ้าสาวแสนสวย
เวลาผ่านไปนานเท่าไร ภูรินท์ไม่ได้รับรู้ ทุกอย่างสำหรับเขาเหมือนมันหยุดนิ่ง ไม่เคลื่อนไหว มันลอยตามลมหายใจของหญิงสาวอันเป็นที่รักของเขาไปแล้ว เธอจะรู้หรือไม่ ลมหายใจที่ขาดหาย วิญญาณที่หลุดลอยออกจากร่างเธอได้กระชากเอาหัวใจของเขาไปกับเธอแล้ว แล้วเขาจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร ถ้าไม่มี..ศิตา
เจ้าหน้าที่จากรถพยาบาลสองคนพากันจับเขาให้คลายอ้อมกอดจากเจ้าสาว เพื่อเปิดทางให้แพทย์ปั๊มหัวใจกู้สัญญาณชีพอย่างรวดเร็ว พร้อมกันนั้นก็นำอ๊อกซิเจนช่วยเจ้าสาวได้ทันภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งนาที จากนั้นนำตัวเจ้าสาวขึ้นรถพยาบาล เจ้าหน้าที่คนหนึ่งพาเขาเดินไปขึ้นรถพยาบาลคันเดียวกับเจ้าสาว โดยมีมารดาของเธอนั่งไปด้วย คุณอัญชลิตาคร่ำครวญปิ่มจะขาดใจ เมื่อบุตรสาวคนเดียว ล้มไปต่อหน้าต่อตาในงานแต่งงานที่ควรจะมีความสุข
ศิตารู้สึกมีสติขึ้นมา ในสภาพที่ตนเองบอกได้คำเดียวว่ามันเบาบาง เยียบเย็นแปลก ๆ เธอพยายามกระพริบตาถี่ ๆ เพื่อเรียกสติที่สมบูรณ์กลับมามากกว่าความรู้สึกที่เป็นอยู่ พลันนึกได้ว่าตนเองเป็นลมไปใจประหวัดถึงร่างกายตนเองว่าล้มลงไปได้รับบาดเจ็บอันใดหรือไม่ เมื่อขณะนี้ไม่รับรู้ถึงความเจ็บปวดอะไรเลย ระหว่างที่กำลังจะก้มลงสำรวจร่างกายตนเอง ก็รู้สึกเหมือนร่างกายเบาหวิวล่องลอยราวกับดอกฝ้ายที่ถูกลมพัดปลิวกระจาย เมื่อลืมตาอีกครั้งก็พบตนเองนั่งอยู่ข้างมารดา
ในขณะที่คุณอัญชลิตานั่งเกาะเตียงคนป่วยในรถพยาบาล จ้องมองร่างไร้สติของบุตรสาว เธอไม่อาจทราบได้เลยว่าข้าง ๆ เธอนั้นมีเงาสีขาวจาง ๆ นั่งชิดติดกันอยู่ เจ้าของเงาสีขาวมองตนเองที่นอนนิ่งอยู่บนเตียง ที่ปากกับจมูกมีพลาสติกใส ๆ ครอบอยู่ คงเป็นอ็อกซิเจน เธอเริ่มเข้าใจแล้วว่าเหตุใดเธอจึงรู้สึกเบาบางเหมือนลอยอยู่ในอากาศ เธอกอดแขนอวบของมารดาแน่นเท่าที่พลังงานอย่างเธอจะทำได้ พยายามจะปลอบประโลมท่าน แต่หญิงกลางคนรูปร่างอวบไม่มีทีท่าว่าจะรับรู้สิ่งที่เธอกระทำสักนิด
?พี่ภู..? ศิตาพยายามเรียกเจ้าบ่าวของเธอที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม เขาได้แต่นั่งเหม่อกุมมือเธอที่นอนนิ่งอยู่เอาไว้ข้างหนึ่ง เธอแค่คิดว่าจะลุกไปนั่งข้างเขา แล้วร่างกายก็เหมือนไร้น้ำหนัก ไม่ทันได้กระพริบตาเธอก็มานั่งข้างเจ้าบ่าวของเธอแล้ว เธอเอื้อมมือไปกุมมือเขาไว้ไม่อาจสัมผัสเขาได้ดั่งใจ มือหนานั้นขยับเล็กน้อย เธอก้มลงมองมือที่บางเบาของตนเอง แล้วเงยหน้าจ้องเข้าไปในดวงตาเขา ความเสียใจในการพรากจากปรากฎชัด และยังหยาดน้ำที่แวววาวอยู่ เหมือนเขาพยายามบังคับไม่ให้มันไหลออกมา เธอเองก็สะเทือนใจไม่น้อย
?ทำไม? ต้องเป็นแบบนี้ด้วย? เสียงวิญญาณสาวสั่นเครือ แต่ไม่มีใครรับรู้ว่าเธออยู่ตรงนี้

ศิตาในสถานะวิญญาณเกาะแขนตามภูรินท์ไปจนถึงห้องฉุกเฉิน เธอมองทีมแพทย์ที่กำลังพยายามปั๊มหัวใจช่วยชีวิตเธอ เดี๋ยวเธอคงได้กลับเข้าไปในร่างตัวเอง แต่ทำไมทุกอย่างยังสงบนิ่ง พลันหางตาสัมผัสถึงเงาดำ เธอจึงหันไปมองแล้วก็ต้องตกใจเมื่อสายตาสัมผัสกับร่างกายใหญ่โต เธอแหงนเงยมองใบหน้าเจ้าของร่างยักษ์ที่สูงราวสองเมตร เมื่อเธอได้สบดวงตาแดงก่ำประดุจเปลวไฟ จมูกใหญ่โต ริมฝีปากหนาเป็นสีแดงจัดราวกับสีเลือดตัดกับสีผิวที่ดูดำทมึนเป็นใบหน้าเดียวกันกับที่เธอมองเห็นขณะอยู่บนเวทีในงานแต่งงานของเธอกับเขา เธอไล่สายตามองตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า เขาไม่ได้ใส่เสื้อ อาภรณ์ที่ห่อหุ้มร่างกายมีเพียงผ้าสีแดงที่นุ่งสั้น ๆ เหน็บชายไว้ที่ด้านหลังคล้ายโจงกระเบน ดูเหมือนการแต่งกายของนักมวยคาดเชือกสมัยก่อนมากกว่า เธอย้อนกลับขึ้นไปมองใบหน้าดุดันหน้ากลัวอีกครั้ง เส้นผมที่หยิกสั้นติดหนังศีรษะ ทำให้ใบหน้ายิ่งดูหน้ากลัวมากขึ้นไปอีก วิญญาณสาวสั่นสะท้านหนาวเหน็บ เสียงทุ้มกังวานอ่อนโยนสะท้อนมาจากชายผิวดำร่างกายใหญ่โตที่ยืนมองจ้องเธออยู่
?สาวน้อย เจ้าต้องจากบุพการีไปเดี๋ยวนี้แล้ว?
เสียงที่เอื้อนเอ่ยออกมานั้นช่างขัดกับภาพที่ปรากฎแก่สายตาเธอยิ่งนัก หมายความว่าเธอหมดอายุขัยแล้วกระนั้นหรือ ดวงตาดำขลับหันกลับไปมองร่างกายสงบนิ่งของตนเองในห้องฉุกเฉิน ร่างกายของเธอยังแน่นิ่งไม่สนองตอบการช่วยชีวิตของทีมแพทย์ เธอหันไปมองภูรินท์เจ้าบ่าวของเธอด้วยสายตาอาลัยอาวรณ์ แล้วหันไปอ้อนวอนขอความเมตตาจากยมทูตร่างยักษ์ เธอรับรู้ในทันใดว่าชายร่างกายใหญ่โตใบหน้.ี่อยู่ตรงหน้าเธอนี้คือยมทูต
?ได้โปรดเถิดท่าน ขอให้ฉันได้ร่ำลาคนที่ฉันรักทั้งสามก่อนเถิด? ความหมายของเธอยมทูตเข้าใจดี ว่าหญิงสาวต้องการกลับเข้าไปในร่างกายที่หมดอายุขัยแล้ว
?ไม่ได้! เอ็งไม่มีเวลาแล้ว? เสียงกร้าวกังวานออกมาจากริมฝีปากหนา
แล้วยมทูตก็หันกลับไปทันที ร่างกายใหญ่โตดำทมึนคล้ายลอยไปไร้น้ำหนัก วิญญาณสาวลอยตามไปโดยมิอาจต้านทานได้ เธอไม่สามารถควบคุมตนเองได้ ทุกอย่างเบาหวิว ภาพที่วิ่งผ่านเริ่มพร่าเลือนคล้ายกับว่าได้ผ่านไปอย่างรวดเร็ว แต่ทำไมไม่รู้สึกถึงความเร็วนั้น น้ำตารินไหลเป็นสาย ดวงจิตยังคงผูกพันยึดเหนี่ยวอยู่กับความรักที่มีต่อชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าบ่าว วิญญาณสาวรำพันออกมาด้วยความห่วงหาอาวรณ์
?นี่เราต้องตายแล้วจริง ๆ หรือ? แล้วภาพต่างๆ ตั้งแต่เธอพบกับเขาในต่างแดน ก็เคลื่อนเข้ามาในความทรงจำ ดั่งเกรงว่าทุกอย่างจะลืมเลือนไปจากหัวใจ

ตอบกลับโพส

ย้อนกลับไปยัง “ก้าวแรก(สู่นักเขียนมืออาชีพ)”