"คิดต่าง สร้างใหม่" หนังสือที่คุ้มค่ากับเวลาที่เสียไปในการอ่

ถ้าเพื่อนๆ มีเรื่องที่น่าสนใจและต้องการแบ่งปันเนื้อหา หรือร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการเป็นนักเขียนมืออาชีพ

Moderator: Gals, B.Comics, พี่บี

ตอบกลับโพส
com_mon
โพสต์: 2
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ 11 ม.ค. 2012 4:12 pm

"คิดต่าง สร้างใหม่" หนังสือที่คุ้มค่ากับเวลาที่เสียไปในการอ่

โพสต์ โดย com_mon »

ชายแก่ธรรมดาๆ คนหนึ่งนอนอยู่บนเตียงในโรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ในจังหวัดอุบลราชธานี ช่วงเวลาในชีวิตที่ยังหลงเหลืออยู่ในโลกที่สวยงามใบนี้ช่างเหลือน้อยลงเต็มแก่ แต่เมื่อผมมองไปที่ใบหน้าของชายแก่ธรรมดาๆคนนั้น สิ่งหนึ่งที่รู้สึกและรับรู้ได้ก็คือรอยยิ้มที่เปื้อนบนใบหน้าของแกมันทำให้คนที่อยู่ข้างๆอิ่มเอมใจในความสุขไปด้วย รอบๆห้องเต็มไปด้วยดอกไม้จากผู้คนที่ชื่นชมและยอมรับนับถือในตัวของแก ข้างๆเตียงนอนก็เพียบพร้อมไปด้วยลูกๆหลานๆ รวมถึงผมเองด้วยที่ทุกคนมีหยดน้ำตาไหลอาบที่แก้มทั้งสองข้าง แล้วอยู่ๆชายแก่คนนั้นก็พูดขึ้นมาว่า

ชายแก่ : นี่คือช่วงเวลาที่พ่อมีความสุขที่สุดแล้ว
?น้ำตา กับ รอยยิ้ม ถึงแม้ว่ามันจะเกิดขึ้นได้ไม่บ่อยนักในชีวิตของคนเรา
แต่ถ้าครั้งใดมันเกิดขึ้นพร้อมกันแล้ว เชื่อพ่อเถอะว่า มันเป็นสิ่งที่เข้ากันได้ดีที่สุดและมันก็จะเป็น
ช่วงเวลาที่ดีที่สุดในชีวิตของคนเราเช่นกัน? พ่ออยากเห็นลูกๆหลานๆมีความสุขเหมือนกันกับพ่อ
เพราะอย่างนั้นยิ้มไว้ให้พ่อดูหน่อยนะ

หลังจากที่ชายแก่คนนั้นพูดจบประโยคได้ไม่นานนัก ความเหน็ดเหนื่อยตลอดทั้งชีวิตของเขาก็พลันมลาญหายไป เขาจากพวกเราไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ ทุกคนต่างพากันร้องไห้ออกมาอย่างสุดเสียง ผมก็เป็นอีกคนหนึ่งที่เกิดความรู้สึกว่าตัวเองได้ ?สูญเสีย? บางอย่างในชีวิตไปอย่าง ?แท้จริง? เพราะผมได้สูญเสียคนหนึ่งคนซึ่งเป็นคนที่ผมรักมากกว่า ?ตัวผมเอง? ด้วยซ้ำไป
เอ่อ ! ลืมบอกไป ผมชื่อ ?อ๊อฟ? อายุ 21 ปี มีคุณตาชื่อว่า ?ธรรม? อายุ 86 ปี คนเดียวกันกับคนที่ผมพึ่งเสียน้ำตาให้ไปเมื่อตะกี้แหละ บอกตามตรงนะ ผมคิดว่าคุณตาของผมเนี่ยแหละเป็นคนที่มีความคิดที่ ?วิเศษ? ที่สุดในโลกแล้ว ทำไมผมกล้าที่จะฟันธงขนาดนั้นนะเหรอ? ก็เพราะว่า 2 สัปดาห์ก่อนที่แกจะเข้าโรงพยาบาล แกได้เอาบันทึกเล่มหนึ่งมาให้กับผมไว้ หลังจากที่ผมอ่านบันทึกเล่มนั้นจบ ความรู้สึกแรกที่เกิดขึ้นภายในใจเลยก็คือ ?นี่คือหนังสือเล่มที่ผมใช้เวลาตามหามาตลอดทั้งชีวิต? นี่คือสิ่งที่มีค่ากับชีวิตของผมยิ่งกว่า ?เงิน? ยิ่งกว่า ?ทอง? เสียอีก เกริ่นมาซะขนาดนี้หลายคนเริ่มคิดในใจแล้วว่า ?โม้? มากไปหรือเปล่า ก็นั่นแหละ! คุณต้องตัดสินมันเองหลังจากที่คุณได้อ่านบันทึกเล่มนี้จบ ดูซิว่ามันจะให้อะไรกับชีวิตของคุณบ้าง
หน้าปกของหนังสือที่คุณตาเขียนจะมีข้อความอยู่ด้านมุมล่างขวา เขียนไว้ว่า
?แด่หลานสุดที่รัก ได้เกิดมาทั้งทีจงใช้ชีวิตให้มันมีชีวิตอย่างแท้จริง? โดยเนื้อหาในบันทึกที่คุณตาผมเขียน ท่านจะเล่าถึงประสบการณ์ในชีวิตของแก ตั้งแต่จำความได้ในวัยเด็ก โตเป็นวัยรุ่น เติบโตจนทำงาน จนกระทั่งความแก่มาเยือน เอาละนะ! ต่อจากนี้ไปจะเป็นบันทึกของคุณตาผม คนที่มีความคิดที่ ?มหัศจรรย์? ที่สุดตั้งแต่ผมเคยรู้จักมา






หลังจากที่แม่คลอดผมออกมาลืมตาดูโลก ชื่อที่คนแถวบ้านเขาพากันเรียกผมก็คือ ?ธรรม? เป็นชื่อที่แม่ผมตั้งให้เองกับมือ อาจจะเป็นเพราะว่าแม่ของผมเป็นคนธรรมมะธรรมโม ชอบเข้าวัดเข้าวา ผมเลยได้ชื่อนี้มามั้ง? ?วัด? เป็นสถานที่ที่ผมจำความได้ดีเลยแหละในวัยเด็ก ในตอนเช้าของวันๆหนึ่งซึ่งเป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา แต่ผมจำไม่ได้ว่ามันเป็นวันอะไรเพราะผมยังเด็กอยู่มาก แม่ก็พาผมเข้าวัดไปทำบุญ ครั้งแรกที่เดินเข้าไปในวัดก็เห็นผู้ชายใส่เสื้อผ้าสีเหลืองหลายคนเดินอยู่แล้วแต่ละคนก็ไม่มีผมบนหัว ไอ้เราก็งง เลยถามแม่ไปว่าเขาเป็นใคร แม่ก็ตอบผมกลับมาว่า ?พระคับ? ด้วยความสนใจว่าพระคืออะไร เป็นคนปกติเหมือนกับผมหรือเปล่า ผมจึงเดินเข้าไปหาพระรูปหนึ่ง แล้วก็ถามพระท่านไปว่า

ธรรม : พระครับ! หัวใจพระอยู่ข้างไหนเหรอครับ

พระ : อยู่ข้างซ้ายลูก

ธรรม : อ่าว! พระเป็นคนเหมือนผมไหมนิ หัวใจพระไม่เห็นอยู่ที่เดียวกันกับของผมเลย

(พระรูปนั้นทำหน้าตางงๆ แล้วซักพักก็ตอบกลับมาใหม่)
พระ : งั้นหัวใจอยู่ตรงกลาง ใช่ไหมครับ

ธรรม : ไม่ใช่อยู่ดีครับ

พระ : งั้นอยู่ด้านขวาเลยละกัน

ธรรม : ก็ไม่ใช่อีกแหละครับ

พระ : อ่าว! แล้วหัวใจอยู่ข้างไหนละลูก

ธรรม : หัวใจนะพระ! หัวใจน่ะก็อยู่ ?ข้างใน? ไง

หลังจากที่ผมตอบท่านไป พระรูปนั้นท่านก็อมยิ้มแล้วก็หัวเราะออกมา หลังจากนั้นท่านก็เอามือมาลูบบนหัวของผมแล้วพูดกับผมว่า ?ขอบคุณนะลูก? ซึ่ง ณ ตอนนั้นผมก็ไม่ค่อยจะรู้เรื่องรู้ราวอะไรมากมายนักหรอก แต่แม่ผมเคยบอกไว้ว่าคนที่เป็นคนดีทุกคนจะมีหัวใจที่ดีงามซึ่งอยู่ ?ข้างใน? ของร่างกาย
หลังจากผมตอบพระรูปนั้นเสร็จ แม่ก็มาพาผมเข้าไปในโบสถ์ วันนั้นเป็นวันที่คนในวัดเยอะมากเพราะเป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา หลังจากที่พระท่านฉันอาหารเช้าเสร็จ พระรูปที่ผมเคยเข้าไปถามเมื่อก่อนหน้านี้ท่านก็ขึ้นนั่งบนธรรมมาตรเพื่อเทศน์ให้ญาติโยมฟัง คำแรกที่ท่านพูดออกมาก็คือ



พระ : ญาติโยมทั้งหลายมีใครรู้บ้างว่า หัวใจของคนเราน่ะอยู่ข้างไหน

(หลังจากที่พระท่านพูดจบ ผมซึ่งนั่งอยู่ทางด้านหลังของโบสถ์กับแม่ก็กำลังจะยกมือขึ้นตอบ แต่ท่านก็พูดต่อขึ้นมาทันที)
พระ : เอ้า! ตาจันทร์ หัวใจของตาอยู่ข้างไหน

ตาจันทร์ : หัวใจตาก็อยู่ข้างซ้ายนะซิพระ

พระ : แล้วยายข่องละ! หัวใจยายอยู่ด้านไหน

ยายข่อง : หัวใจอิฉันก็อยู่ด้านซ้ายเจ้าคะ

พระ : อืม!! แต่หัวใจของพระนะไม่ได้อยู่ข้างซ้ายหรอกนะ (หลายๆคนทำหน้างง) หัวใจของพระนะอยู่ ?ข้างใน? นี้
ต่างหาก ทั้งซ้าย ทั้งขวา ล้วนเป็นสิ่งที่มนุษย์สมมุติขึ้น จริงๆแล้วหัวใจของคนเราทุกคนล้วนอยู่ข้างใน เราไปยึด
ติดกับสิ่งสมมุติกันจนเกินไป ความสุขหรือความทุกข์ก็เช่นเดียวกัน มันไม่ได้เกิดมาจากทางซ้าย มันไม่ได้เกิดมา
จากทางขวา จะทุกข์ก็อยู่ข้างใน ทุกข์ที่ใจ จะสุขก็ไม่ได้ขึ้นอยู่กับรถ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับบ้าน ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเงิน
ทอง ไม่ได้ขึ้นอยู่กับของสมมุติทั้งหลายแหล่เหล่านั้นหรอก ถ้าจะสุขให้เป็น มันก็ต้องสุขจาก ?ข้างใน? มันก็ต้อง
สุขจาก ?หัวใจ? เรานี่แหละ

ผมก็ไม่รู้หรอกว่าวันนั้นผมได้พูดอะไรออกไป แต่รู้สึกเหมือนกับมันจะเป็นวันที่ได้ให้ข้อคิดอะไรกับชีวิตหลังจากนั้นของผมเยอะเลยทีเดียว

พอเริ่มโตขึ้นมาหน่อย แม่จับผมไปเข้าเรียนชั้นอนุบาลที่โรงเรียนแถวบ้าน เริ่มมีเพื่อน เริ่มอยากเรียนรู้ในทุกๆสิ่ง เริ่มมีคุณครูที่คอยชี้แนะแนวทาง แล้วอยู่มาวันหนึ่งคุณครูของผมก็เริ่มที่จะสอนเกี่ยวกับอวัยวะภายในร่างกายของตัวเรา คุณครูเริ่มสอนโดยพูดขึ้นมาว่า

คุณครู : คนเรานะค่ะเด็กๆ ใครที่เกิดมามีอวัยวะครบทั้ง 32 ประการ ก็ถือว่าโชคดีอย่างหาที่สุดไม่ได้แล้ว

(หลังจากที่ผมได้ยินคุณครูพูดขึ้นมาแบบนั้น ผมเลยยกมือขึ้นแล้วพูดกับคุณครู)
ธรรม : คุณครูครับ ผมไม่อยากมี ?เปลือกตา? เลยครับ

(คุณครูทำท่าทาง งงๆ แล้วก็ตอบผมกลับมา)
คุณครู : อ่าว! ทำไมถึงพูดแบบนั้นละครับ

ธรรม : ก็เพราะว่ามันเป็นส่วนที่กั้นระหว่าง ?ความฝัน? กับ ?ความจริง? ในชีวิตของผมนะซิครับ



(หลังจากที่ผมพูดเสร็จ คุณครูของผมท่านก็อึ้งไปซักพัก แล้วสักครู่ท่านก็พูดขึ้นมาสอนผม)
คุณครู : ธรรมครับ เปลือกตาไม่ได้เป็นสิ่งเลวร้ายที่เอาไว้กั้นระหว่าง ความฝันกับความจริง หรอกนะครับ แต่สิ่งที่มันจะ
ทำให้ความฝันของเรากลายมาเป็นความจริงได้ก็คือ ความตั้งใจ ความมุ่งมั่นและสิ่งที่สำคัญที่สุดคือการที่เราลงมือ
ทำมันให้สำเร็จตามความฝันต่างหากละครับ ให้ธรรมจำคำนี้ไว้นะครับ ?ความตั้งใจมันจะไร้ค่า ถ้าเราไม่ลงมือ
ทำ? ถ้างั้นครูขอถามธรรมอย่างหนึ่ง ความฝันของธรรมคืออะไรครับ โตขึ้นธรรมอยากเป็นอะไรเหรอ

ธรรม : ผมก็คิดอยู่ทุกวันแหละครับคุณครูว่าโตขึ้นแล้วผมจะเป็นอะไร แต่ก็ยังคิดไม่ออกซักที

คุณครู : จ้า! อย่ากังวลไปเลย แต่ในโลกนี้ก็มีอยู่หลายต่อหลายคนนะที่เกิดมาจนแก่แล้วแต่ก็ยังไม่รู้ว่าตัวเองชอบอะไร แต่
ช่างมันเถอะ อย่างน้อยถ้าเรารู้ว่าอะไรที่ไม่ใช่ อะไรที่เราไม่ชอบ ก็เท่ากับว่าเราเขยิบเข้าใกล้สิ่งที่ใช่ สิ่งที่เรา
อยากเป็นแล้วแหละครับ

สิ่งที่ผมได้รับจากคุณครูในวันนั้นก็คือ ต่อให้เราจะฝันไว้ดี ฝันไว้เลิศหรูซักเพียงใด แต่ถ้าไม่ลงมีกระทำมัน ทุกอย่างที่เราฝันไว้ มันก็จะยังคงเป็นแค่ฝันลมๆแล้งๆซึ่งอยู่ได้เพียงแค่ภายใน ?เปลือกตา? ของเราเท่านั้น ไม่มีทางที่มันจะเกิดขึ้นจริงในชีวิต หากตั้งใจจะทำอะไรซักอย่างในชีวิต ไม่ต้องสรรหาถ้อยคำที่เริดหรู ไม่ต้องมีคำสัญญา แต่ถ้าอยากให้มันประสบผลสำเร็จ คนเราล้วนต้องการแค่ ?คำพูดธรรมดา? แต่ว่า ?ลงมือทำ?

โดยส่วนตัวแล้วผมเป็นคนที่ชอบฝันบ่อยมาก อาจจะเป็นเพราะว่าผมเป็นคนชอบคิด ชอบจินตนาการก็เป็นได้ แล้วในตอนเช้าของวันๆหนึ่ง ในช่วงที่ผมกำลังเรียนอยู่ชั้นประถม ผมตื่นขึ้นมาพร้อมกับอากาศที่แจ่มใสเหมือนปกติในทุกๆวัน แต่มีบางสิ่งที่แตกต่างออกไปก็คือการตื่นขึ้นมาพร้อมกับคราบของรอยน้ำตาที่ใหลอาบบนแก้มทั้งสองข้าง ในตอนนั้นเองที่ผมรู้สึกมึนงงกับน้ำตาที่ไม่รู้ไหลออกมาตอนไหน เกิดความสงสัยอย่างมากจึงเดินเข้าไปถามแม่ในห้องครัว

ธรรม : แม่ ! เมื่อคืนผมฝันด้วยแหละ รู้สึกเหมือนกับว่ามันจะเป็นฝันดีด้วยนะแม่ ดีจนน้ำตาไหลเลยแหละ แต่พอตื่นขึ้นมากลับจำอะไรไม่ได้ซักอย่างเลย ทำไมมันเป็นแบบนั้นครับแม่

แม่ : แม่ว่านะครับ
?บางทีสมองของคนเรามันอาจจะสร้างมาเพื่อให้ชีวิตของเราอยู่กับโลกแห่งความเป็นจริง
มากกว่าอยู่กับโลกแห่งความฝันก็เป็นได้นะครับ? ลูกเลยจำอะไรไม่ได้ไงละครับ
แต่ลูกก็ไม่ต้องคิดมากหรอกนะ เพราะแม่คิดว่า
?คนเราจะเจอกับฝันที่สวยงามที่สุดในชีวิตได้ ก็เมื่อตอนตื่นนั่นแหละ?

หลังจากฟังที่แม่พูดจบ ผมก็เลิกที่จะนึกคิดว่าเมื่อคืนผมฝันถึงอะไรและน้ำตามันไหลออกมาตอนไหน
และผมก็หาคำตอบให้กับตัวเองได้แล้วว่าทำไมคนเราถึงมีความฝันในตอนที่นอนหลับอยู่ ผมคิดว่า ?บางครั้งการที่คนเรามีชีวิตอยู่กับความเป็นจริงจนเกินไป มันคงเจ็บปวดจนเกินที่จะทนรับได้ ดังนั้นคนเราจึงต้องมีสิ่งที่เรียกว่าความฝันไว้คอยเป็นส่วนเติมเต็มให้กับชีวิต? หรือมันอาจจะเป็นเพราะเหตุผลอะไรอื่นๆอีกมากมายก็ตาม แต่ ณ ตอนนี้ผมก็ดีใจที่ผมได้ ?ตื่น? ขึ้นมาและเจอกับสิ่งที่เป็นยิ่งกว่าในความฝันซะอีก นั่นก็คือโลกแห่งความเป็นจริงนั่นเอง
ชีวิตในวัยประถมเป็นชีวิตที่แสนจะสุขสบาย ไม่ต้องคิดมาก ไม่ต้องรับผิดชอบอะไรมากมาย ผมโชคดีมากๆที่มีพ่อแม่คอยดูแล คอยทำตามที่ท่านบอกท่านสอน ลูกที่เกิดมาในครอบครัวที่อบอุ่นมีฐานะค่อนข้างดีหรือปานกลาง พออยู่พอกินก็คงจะไม่ลำบาก ในแต่ละวันเรียนเสร็จแล้วก็วิ่งเล่น แต่กับคนที่เกิดมาในครอบครัวที่ยากจน ปากกัดตีนถีบไปในแต่ละวัน ลำบากลำบนข้นแค้น เชื่อผมเถอะว่า อย่าได้พยายามไปโทษพระเจ้าหรือกล่าวโทษใครต่อใครว่าลำเอียงแล้วทำให้เรามีชีวิตแบบนี้เลย ?ความลำบาก? นั่นอาจจะเป็นของขวัญที่คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยจะอยากได้กันซักเท่าไหร่ แต่จะคิดให้มันทุกข์ไปใย ในเมื่อเราคือคนพิเศษที่ได้รับของขวัญแห่งความยากจนข้นแค้นมาแล้ว จงเปิดใช้ของขวัญชิ้นนั้นให้ชีวิตมันแข็งแกร่งมากขึ้น จงคิดเสียว่า ?คุณเป็นคนที่ได้รับรู้ถึงความรู้สึกที่คนยากคนจนเท่านั้นถึงจะรับรู้มันได้ ได้เปรียบคนอื่นเห็นๆ? ก็มันเกิดมาแล้ว ?ความยากจนถึงแม้มันจะไม่ใช่ความสุข แต่มันก็ไม่ใช่ความทุกข์เสมอไป? ถึงแม้จะเลือกเกิดไม่ได้ แต่ชีวิตมันเลือกที่จะเป็นได้ หากใครคิดว่าตนเองเจอกับเหตุการณ์หรือสภาพแวดล้อมที่แล้วร้ายที่สุดแล้ว จงคิดไว้เสมอว่า ?ยังมีคนที่เลวร้ายกว่าเราเสมอในโลกใบนี้ หากวันนี้คุณยังไม่รวยพอให้หมุนคอไปดูเด็กที่ขอทานและหากยังบ่น ไม่สวยหล่อทรมานให้มองดูคนพิการที่คลานเดิน? อย่าได้พยายามหาคนที่เราจะไปกล่าวโทษเขา แต่จงหาข้อดีของมันให้เจอ ทุกอย่างมันไม่ได้มีแค่สองด้าน ทุกๆอย่างมันมีอยู่หลายๆด้านให้ชีวิตเราเลือกเสมอ เพราะขนาด ?คนที่เลวร้ายที่สุด เขาก็อาจจะให้คำแนะนำที่ดีที่สุดได้เช่นกัน? และถ้าเราเจอปัญหาเจอความทุกข์ ให้คิดไว้เสมอว่า นั่นคือความโชคดีอย่างสุดๆ เพราะว่า ?ความสุขไม่ได้ให้อะไรมากมายกับชีวิตนักหรอก ความทุกข์ต่างหากที่จะทำให้คนเราเรียนรู้และเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่อย่างสมบูรณ์แบบ?

จากเด็กบ้านนอกต่างอำเภอที่พอจะมีดีอยู่บ้าง พอเข้าเรียนชั้นมัธยมก็ต้องจากบ้านไปเข้าเรียนในโรงเรียนที่มีชื่อเสียงในตัวจังหวัด มัธยมต้นช่วงเวลาแห่งการอยากรู้อยากเห็นและเป็นช่วงเวลาแห่งการล้อชื่อพ่อชื่อแม่ ในห้องผมมันจะมีเด็กในตัวเมืองคนหนึ่งชื่อว่า ?เก่ง? มันเป็นเด็กเรียนดี หล่อ ผิวขาว เหมือนว่าจะเพียบพร้อมไปซะทุกอย่าง แต่เสียอย่างเดียวคือมันชอบดูถูกคนอื่น ตอนเข้าไปเรียนในวันแรกๆมันก็ไม่กล้าที่จะคุยกับผมเท่าไหร่นักหรอกเพราะผมเป็นเด็กบ้านนอก ตัวคล้ำๆดำๆ แต่แล้วอยู่มาวันหนึ่งระหว่างเปลี่ยนคาบเรียนมันก็เดินมาพูดกับผม

เก่ง : คนบ้าอะไรวะ ชื่อโครตเชยเลยวะ

(ผมมองหน้ามันแล้วก็นั่งอ่านหนังสือการ์ตูนต่อ)
เก่ง : เด็กบ้านนอกสอบเข้าโรงเรียนดังในตัวเมืองได้เนี่ย มึงว่ามึงเจ๋งนักเหรอวะ!

ธรรม : กูไม่เคยคิดว่ากูเจ๋งไปกว่าใครหรอกนะ แต่ถ้า ?ตอนไหนที่มึงดูถูกคนอื่น ณ ตอนนั้นใจมึงก็ต่ำกว่าเขาคนนั้นแล้วแหละเพื่อนเอ๋ย?

เก่ง : อ่าว! ไอ้นี่ มึงรู้หรือเปล่ากูเป็นใคร กูสอบเข้าโรงเรียนนี้ได้ที่หนึ่งนะโว้ย

ธรรม : แล้วไงวะ เกี่ยวอะไรกะกูละ กูจะบอกมึงไว้นะว่า ?อย่าคิดว่ามึงเหนือกว่าใคร เพราะขนาดหนังสือที่มึงใช้เรียนมันยังมีคนเขียนให้มึงอ่านเลย?
(หลังจากผมพูดจบ มันก็เงียบไปซักพัก ส่วนผมก็นั่งอ่านการ์ตูนของผมต่อ แต่สุดท้ายมันก็พูดขึ้นมาอีกว่า)
เก่ง : ดำเอ้ย! พ่อแม่มึงคน ?ผิวสี? หรือเปล่านิ เกิดมามึงถึงได้ดำขนาดนี้

(หลังจากมันพูดประโยคนั้นจบ ผมก็ลุกขึ้น ชกมันลงไปนอนกองกับพื้น จากนั้นผมก็ดึงคอเสื้อมันขึ้นมา )
ธรรม : ตอนกูเกิดมาน่ะ ผิวกูก็ ?สีดำ?
ตอนกูโตขึ้น ผิวกูก็ ?สีดำ?
ตอนกูออกไปเจอแสงแดด ผิวกูก็ ?สีดำ?
ตอนกูมีแผล ผิวกูก็ ?สีดำ?
ตอนกูเจ็บป่วย ผิวกูก็ ?สีดำ?
และเมื่อวันที่จะตายมาถึง ผิวกูก็ยังคง ?สีดำ?

แต่สำหรับมึง บุคคลผู้สง่างาม มีผิว ?ขาวผ่อง?
ตอนมึงเกิดมา ผิวมึง ?สีชมพู?
ตอนมึงโตขึ้น ผิวมึง ?สีขาว?
ตอนมึงออกไปเจอแสงแดด ผิวมึง ?สีแดง?
ตอนมึงมีแผล ผิวมึง ?สีเหลือง?
ตอนมึงเจ็บป่วย ผิวมึง ?สีเขียว?
และเมื่อถึงวันตายนะ มันอาจจะเป็นวันนี้ก็ได้ ผิวมึงก็จะเป็น ?สีเทา?

มึงได้คำตอบหรือยัง ว่าพ่อแม่กู ?ผิวสี? หรือเปล่า คำว่า ?ผิวสี? มันควรจะใช้กับใคร
มึงเข้าใจรึยัง !

เก่ง : เอ่อๆ ! กูเข้าใจละ กูขอโทษ

หลังจากที่ได้ ?คุย? กันในวันนั้น สิ่งที่ทำให้ผมคิดว่าผมเป็นคนที่ฉลาดกว่าไอ้เก่งก็คือ ?ผมเห็นความโง่ในตัวของผมเอง ในขณะที่ไอ้เก่งมันอวดฉลาดไปซะทุกเรื่อง? จงจำเอาไว้ว่า ?ความโง่? คือสิ่งที่ ?คนฉลาด? พึงมีเอาไว้ใช้ในเวลาที่เหมาะสมที่สุด แต่หลังจากวันนั้นเป็นต้นมา ไอ้เพื่อนคนนี้ของผมมันก็เริ่มเปลี่ยนไปนะ เลิกดูถูกและก็คอยช่วยเหลือเพื่อนคนอื่นๆ และมีอีกสิ่งหนึ่งที่มันเปลี่ยนก็คือ มันเรียกผมว่า ?ลูกพี่?
พ่อของผมเคยสอนเคล็ดลับในการเรียนเอาไว้ให้ผมหนึ่งข้อ โดยพ่อบอกผมว่าลูกไม่ต้องไปพึ่งการเรียนพิเศษหรอก แค่ตั้งใจเรียนในห้องก็พอแล้ว ไม่เข้าใจอะไรตรงไหนก็ถามคุณครู ?ถ้าลูกถามครู ลูกอาจจะดูว่าโง่เพียงแค่ 5 นาทีแต่คนที่ไม่เคยถามซักทีนั่นแหละ มันอาจจะโง่ไปตลอดชีวิต? เด็กหลายๆคนไม่กล้าถามครูในห้องเรียนเพราะกลัวถูกเพื่อนในห้องมองว่า ?โง่? แต่ในความเป็นจริง มันเป็นสิ่งที่กลับกันอย่างสิ้นเชิง คนที่กล้าถามในสิ่งที่ตนไม่เข้าใจและอาจโดนเพื่อนมองว่าโง่นั่นแหละ ต่อไปในอนาคตเขาจะเป็นคนที่ ?ฉลาด? ที่สุดในห้อง ส่วนคนที่ฉลาดตลอดเวลาเพราะถึงจะไม่เข้าใจก็ไม่เคยจะถามซักที เชื่อเถอะว่าคนประเภทนั้นคือคนที่ ?โง่? ที่สุด

พอเริ่มเข้าเรียนช่วงมัธยมปลาย รู้สึกว่ามันเป็นช่วงเวลาที่ ?ติดเพื่อน? อยากรู้อยากลองไปซะทุกอย่าง เริ่มรู้สึกว่าอยากมีแฟน เป็นช่วงเวลาของความ ?กวนตีน? ทะลึ่งตึงตัง สิ่งที่ผมจำได้เป็นอย่างดีในช่วงชีวิตวัยนี้ก็คือในคาบเรียนวิชาภาษาไทย ในวันนั้นมีคุณครูสาวสวยพึ่งจบใหม่มาสอนแทนอาจารย์ประจำวิชาที่แกลาป่วย หลังจากที่คุณครูคนสวยสอนเสร็จ คุณครูก็พูดขึ้นมาว่า

คุณครู : มีใครมีคำถามอะไรไหมค่ะ

(ผมยกมือขึ้นแล้วก็ถามคุณครู)
ธรรม : ผมมีคำถามครับคุณครู! อยากถามครูว่าใครเป็นคนคิดค้นคำว่า ?ผมรักคุณ? ขึ้นมาครับ

คุณครู : เอ่อ! เอ่อ! มันต้องคิดขึ้นมาเลยเหรอค่ะคำนี้ คุณครูไม่รู้ค่ะ ทำไมถึงถามแบบนั้น นักเรียนรู้เหรอว่าใครเป็นคนที่
คิดคำนี้ขึ้นมา

ธรรม : ผมว่าน่าจะเป็น ?ประเทศจีน? นะครับ

คุณครู : ทำไมว่าอย่างนั้นละ

ธรรม : ?ก็เพราะว่ามันไม่มีทั้งคุณภาพและการรับประกันนะซิครับ? หากมันได้ผลมันก็จะคงอยู่ตลอดไปแต่หากว่ามันไม่
ได้ผลมันก็จะไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นเลย

คุณครู : ฮาๆๆ คิดได้นะเราน่ะ! งั้นคุณครูขอถามคืนหน่อยละกัน ให้เธอแหละตอบ ครูจะถามว่า สสารคืออะไร
ไหนลองยกตัวอย่างของคำว่า ?สสาร? ดูซิ

ธรรม : ง่ายมากๆเลยครับคุณครู ตัวอย่างของสสารเอาแบบชัดๆเลยก็คือ น้ำแข็ง เพราะว่ามันมีอยู่บนโลกใบนี้จริง เรา
สามารถสัมผัสได้และมันไม่สูญสลายไปไหน อย่างเช่น น้ำแข็งสามารถเปลี่ยนกลายมาเป็นน้ำได้และจากน้ำ
สามารถเปลี่ยนกลายเป็นไอน้ำได้ด้วยเช่นกัน

คุณครู : เก่งมากๆเลยค่ะ! ถูกต้องที่สุด! แล้วอย่างนั้น ?ความรัก? ก็เป็น ?สสาร? เหมือนกันซิค่ะ

ธรรม : เอ่อ! ทำไมครูพูดแบบนั้นละครับ

คุณครู : ก็มัน ?เปลี่ยนสถานะ? ได้เหมือนกันนี่ค่ะ

หลังจากคุณครูพูดจบ นักเรียนในห้องทุกคนต่างพากันหัวเราะออกมา แล้วผมก็ประทับใจใน ?ไหวพริบ? ของคุณครูคนสวยคนนี้เป็นอย่างมาก เพราะในการใช้ชีวิตในสังคมของโลกแห่งความเป็นจริงแล้ว ไม่จำเป็นว่าคุณต้องเป็นคนที่เรียนเก่ง ไม่จำเป็นว่าคุณต้องเป็นคนที่มีการศึกษาสูง ขอเพียงแค่ในชีวิตมี ?ไหวพริบ? ในการใช้ชีวิตให้อยู่รอด ใช้ชีวิตให้มีความสุข แค่นั้นมันก็เพียงพอแล้วสำหรับการ ?ใช้ชีวิตให้มันมีชีวิตอย่างแท้จริง?
พอพูดถึงเรื่องไหวพริบ ผมก็นึกถึงเรื่องๆหนึ่งขึ้นมาได้ในทันที เพื่อนผมมันเคยเอาข่าวๆหนึ่งมาให้ผมอ่าน เนื้อหาในข่าวมันมีอยู่ว่า นักหนังสือพิมพ์ปากจัดนายหนึ่ง ถูกฟ้องร้องข้อหาหมิ่นประมาทเนื่องจากเขาไปเรียก รัฐมนตรีท่านหนึ่ง (จำไม่ได้ว่ามาจากรัฐบาลไหน) ว่า ?ควาย? หลังจากการไต่สวนหลายนัด ศาลก็ตัดสินให้นักหนังสือพิมพ์มีความผิดตามฟ้อง แล้วลงโทษปรับ 5,000 บาทกับจำคุก 1 เดือน โดยให้รอลงอาญาไว้ก่อน นักหนังสือพิมพ์รับคำตัดสินอย่างไม่ยินยอมพร้อมใจนัก เขาจึงถามผู้พิพากษาไปว่า

นักหนังสือพิมพ์ : ถ้ายังงั้น ถ้าผมเรียก ?ควาย? ว่า ?รัฐมนตรี? ผมจะมีความผิดไหมครับ

ผู้พิพากษา : อืม! ก็คงจะไม่ผิดอะไร

(นักหนังสือพิมพ์ยิ้มรับคำตอบอย่างพอใจ ก่อนจะหันไปหารัฐมนตรีคู่กรณี)
นักหนังสือพิมพ์ : ไงครับ! ท่านรัฐมนตรี

ข้อคิดของข่าวๆนี้ ทำให้รู้ว่าในประเทศไทย ?ควาย? สามารถเป็นได้ทุกๆอย่าง หลายต่อหลายคนเข้าใจผิดว่ามนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่ประเสริฐสุดบนโลกใบนี้ จะพยายามยกตนไว้สูงเหนือสัตว์อื่นทำไมละคนเอ๋ย เพราะสิ่งที่เราอยากเป็นนั้น "เยี่ยงสัตว์" ทั้งนั้น อยากบินได้เหมือนนก อยากอยู่ในน้ำเหมือนปลา อยากรวดเร็วปานเสือชีต้าและอยากมีความอดทนได้เหมือน "ควาย" ผมก็งงเหมือนกันนะ เวลามีใครด่ากันว่า ?ควาย? ทำไมต้องโกรธ แต่พอด่าว่า ไอ้ปลาดาว ไอ้กระต่าย ไอ้แมงกะพรุน กลับไม่มีใครสนใจที่จะเดือดร้อนซักนิด ?ควาย? อยู่อย่างเป็นสุขในขณะที่โดนมนุษย์กร่นด่า แต่มนุษย์กลับไม่เคยมองเห็นความสุขจากการ ?เพิกเฉย? ในสิ่งที่ไม่ควรสนใจของควายในขณะที่เราไปด่ามัน มนุษย์กลับไปคิดว่าควาย ?โง่? แต่ในความเป็นจริงแล้ว ควายไม่ได้สนใจซักนิดในสิ่งที่มนุษย์หลายคนถากถางแต่คนที่ร้อนรนกลับเป็นมนุษย์หลายๆคนที่ตนเองเป็นยิ่งกว่า ?ควาย? จงภูมิใจและอย่าใส่ใจถ้าใครเรียกเราว่า ?ควาย?

อีกหนึ่งช่วงเวลาที่เป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อในชีวิต คือชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ซึ่งมันก็มาพร้อมกับการสอบเข้าเรียนในมหาวิทยาลัย ในช่วงที่ใกล้จะสมัครสอบ ผมก็ยังตัดสินใจไม่ได้ซักทีว่าจะลงคณะไหน เรียนอะไร เย็นวันหนึ่งจึงเข้าไปคุยกับพ่อ

ธรรม : พ่อครับ! ผมจะเลือกเรียนคณะไหนดี ให้มันจบออกมาแล้วมีงานทำน่ะพ่อ

พ่อ : สิ่งที่ลูกจะเรียนนะ พ่อเลือกไว้ให้ตั้งแต่แรกแล้ว

ธรรม : อะไรเหรอพ่อ



พ่อ : สิ่งที่พ่อจะให้ธรรมเรียนก็คือสิ่งเดียวกันกับที่อยู่ในใจธรรมนั่นแหละ ชอบอะไรก็เรียนอันนั้นไปเลยเพราะสิ่งที่ลูก
ชอบกับสิ่งที่ลูกเรียนมันจะอยู่กับลูกไปตลอดชีวิต ดังนั้นลูกคือคนตัดสินใจ พ่อว่านะ! จะเรียนอะไรก็ตามแต่
ไม่ต้องไปห่วงหรอกว่าจบมาแล้วจะมีงานแบบไหนให้เราทำ เพราะว่ามัน ?ไม่มีงานใดหรอกที่ต่ำ
ถ้าเราทำด้วยใจที่สูง?

ธรรม : ครับพ่อ! แต่แม่หรือใครๆก็อยากให้ผมเรียนหมอ ก็มันมีทั้งเงิน มีทั้งเกียรติ สังคมไทยก็ยอมรับว่าเป็นอาชีพ
อันดับหนึ่ง แต่ผมก็ไม่ได้อยากเป็นเท่าไหร่หรอก เอาไงดีพ่อ!

พ่อ : งั้นพ่อขอถามอะไรซักข้อนะ ธรรมคิดว่าอะไรที่มันสำคัญที่สุดในโลกนี้ อากาศ, น้ำ, ดิน, มนุษย์, สัตว์
หรือว่าอะไรเหรอ

ธรรม : เอ่อ! เอ่อ! ไม่รู้ซิพ่อ

พ่อ : น้ำหยดเล็กๆมันทำให้เกิดป่า ป่าย่อยๆมันช่วยฟอกอากาศให้สดชื่น อากาศเพียงน้อยนิดทำให้เกิดสิ่งมีชีวิต ชีวิต
มนุษย์พักพิงอยู่บนผืนแผ่นดิน แม้แต่จุลินทรีย์ที่ดูไร้ค่ามันยังช่วยย่อยสลายสิ่งต่างๆให้เกิดสมดุล พ่อเองก็ไม่รู้
เหมือนกันว่าสิ่งไหนมันสำคัญที่สุดในโลก รู้แต่ว่าถ้าขาดสิ่งหนึ่งสิ่งใดไป โลกใบนี้มันก็จะไม่เป็นโลกอีกต่อไป
แล้วมันจะมีอาชีพไหนไหมละลูกที่ดีที่สุดหรือสำคัญที่สุด มันอยู่ที่ตัวเราจะมองจะตัดสินใจต่างหาก อย่าตัดสินใจ
อะไรเพียงเพราะบรรทัดฐานของสังคมจนเกินไป

ธรรม : เข้าใจแล้วครับพ่อ

พ่อ : สิ่งที่ลูกต้องเรียนก็คือ เรียนตามหัวใจตัวเองนั่นแหละ ไม่ต้องห่วงหรอกว่าจบออกมาแล้วจะมาทำอะไร เพราะไม่
ว่าจะทำอะไรขอแค่ทำให้มันสุดๆ เพราะมันจะเป็นความรู้สึกที่ยิ่งใหญ่เวลาที่เราบอกใครไปว่า
?เราเก่งในสิ่งที่เราเป็น? แม้ว่าหน้าที่นั้นมันจะเป็นเรื่องที่เล็กน้อยต้อยต่ำเพียงใดก็ตาม และมีอีกสิ่งหนึ่งที่พ่อ
อยากจะบอกลูกมากคือ อย่าไปดูถูกใครหรือดูถูกอาชีพใดๆเพียงเพราะเราคิดว่าเขา ?โง่? หรือต้อยต่ำ ในโลกนี้ไม่
เคยมีคนโง่ ทุกคนล้วนแต่เป็นคน ?อัจฉริยะ? เพราะถ้าเราไป ?ตัดสินปลาโดยใช้ความสามารถในการปีนต้นไม้
ทั้งชีวิตมันก็จะคิดว่ามันโง่?

ธรรม : ขอบคุณครับพ่อ

วันนั้นหลังจากที่ผมคุยกับพ่อเสร็จ ผมก็ตัดสินใจได้ว่าผมต้องการที่จะเรียนอะไรในมหาวิทยาลัยและมีอีกสิ่งหนึ่งที่ผมได้เรียนรู้มันก็คือ ?ใจเราเป็นเช่นไร โลกเราก็จะเป็นเช่นนั้น ถ้าใจเราแคบโลกของเรามันก็แคบ ถ้าใจเรากว้างโลกของเรามันก็กว้าง และถ้าใจเราสว่างต่อให้โลกมืดซักแค่ไหนก็จะยังคงเห็นทางไปเสมอ? อย่าไปดูถูกใคร อย่าไปดูถูกอาชีพใด เพราะถ้าขาดใครไป โลกนี้มันก็คงไม่น่าอยู่อีกต่อไป



หนึ่งในช่วงชีวิตที่มีความสุขมากที่สุดก็คือการได้เข้าเรียนในมหาวิทยาลัย ผมตัดสินใจสอบเข้าเรียนได้ที่คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ที่ผมเลือกคณะนี้เป็นเพราะผมเป็นคน ?ขี้โรค? มีโรคประจำตัวเยอะแยะไปหมด จึงอยากเรียนเกี่ยวกับยาเพื่อให้มีความรู้และไม่ไปเป็นภาระของคนอื่น สิ่งที่ประทับใจมากที่สุดในการเรียนเกิดขึ้นในคาบเรียนแรกของการเป็นนักศึกษา วิชานั้นก็คือจรรยาบรรณวิชาชีพ โดยหลังจากที่อาจารย์เดินเข้ามาในห้อง นักศึกษาทุกคนต่างก็นั่งเงียบ

อาจารย์ : สวัสดีและยินดีต้อนรับทุกคนเข้าสู่ช่วงชีวิตที่สนุกที่สุด

(หลังจากพูดจบ อาจารย์ก็หยิบตังค์แบงค์ 1,000 หนึ่งใบออกมาจากกระเป๋า แล้วก็ชูมันขึ้นเหนือหัว)
อาจารย์ : แบงค์ 1,000 ในมืออาจารย์เนี่ย! มีใครอยากได้บ้าง

(นักศึกษาในห้องต่างมองหน้ากันแล้วทำหน้างงๆ แล้วก็ยกมือขึ้นและตอบอาจารย์ไปว่า)
นักศึกษา : ผมอยากได้ครับ! เอาให้หนูก็ได้ค่ะอาจารย์!

อาจารย์ : แล้วหากว่าอาจารย์ขยำจนมันยับยู่ยี่แบบนี้แล้วยังจะมีใครอยากได้อยู่หรือเปล่า

นักศึกษา : ผมยังอยากได้ครับอาจารย์! อาจารย์ไม่เอาก็เอามาให้หนูเถอะค่ะ!

อาจารย์ : แล้วหากว่าแบงค์ 1,000 แบงค์นี้มันหล่นอยู่บนพื้นถนนที่เปื้อนไปด้วยโคลน พวกเธอยังอยากที่จะหยิบแบงค์ 1,000 แบงค์นี้มาอีกเหรอ

นักศึกษา : ผมไม่รังเกียจเลยครับ! ถ้าหนูเห็นต่อให้มันสกปรกแค่ไหน หนูก็จะหยิบขึ้นมาค่ะ!

อาจารย์ : นั่นคือสิ่งมีค่าที่พวกเธอได้เรียนรู้ไปในวันนี้
?ไม่ว่าพวกเธอจะทำอะไรกับธนบัตรใบนี้ มันก็ยังคงมีราคา 1,000 บาท
ชีวิตคนเราก็เช่นเดียวกัน บางครั้งล้มเหลว บางครั้งถูกคนอื่นเหยียบย่ำ จนบางครั้งเกิดความรู้สึกว่าตัวเองไร้ค่า แต่ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น พวกคุณก็ยังมีคุณค่าของความเป็นคนอยู่
ไม่ว่าพวกเธอจะสะอาดเอี่ยมหรือยับยู่ยี่อยู่ก็ตาม?

(นักศึกษาทุกคนในห้องต่างเงียบกริบ)
อาจารย์ : บางคนในที่นี้อาจใช้ชีวิตตั้งแต่เกิดมาจนถึง ณ ตอนนี้โดยที่ไม่เคยเจอกับความผิดหวังเลยแม้แต่ครั้งเดียว
เรียนหนังสือตามที่พ่อแม่บอก ไม่เคยเที่ยวกลางคืน สอบอะไรก็ผ่าน
แต่ต่อจากนี้ไปคือชีวิตที่ต้องรับผิดชอบด้วยตัวเราเอง คือเวลาแห่งการเติบโตเป็นผู้ใหญ่อย่างแท้จริง
และจากนี้ไป หากใครเจอเรื่องใดๆที่ทำให้ท้อแท้ใจในชีวิตก็ตาม
ขอให้จำแบงค์ 1,000 ในมืออาจารย์แบงค์นี้ไว้ให้ดีและจดจำมันไปตลอดชีวิต


บทสรุปสุดท้ายของวันนั้นก็คือ ไม่มีใครได้แบงค์ 1,000 ในมืออาจารย์ไปแต่ทุกคนล้วนอมยิ้มเพราะสิ่งที่ได้จากอาจารย์มันเป็นสิ่งที่มีค่าที่ประเมินเป็นราคาไม่ได้เลย ?ไม่ว่าจะสะอาดเอี่ยมหรือยับยู่ยี่เพียงใดก็ตาม แต่ทุกคนล้วนมีคุณค่าในความเป็นคนอยู่เสมอ?

ชีวิตในมหาวิทยาลัยเป็นอะไรที่ ?วิเศษ? อย่างมากมาย มีเพื่อนให้สนุกสนานร่วมกันอย่างมากมาย รับน้องก็ซึ้งอย่างมากมาย ใกล้วันสอบก็เครียดอย่างมากมาย รับผิดชอบชีวิตตัวเองอย่างมากมาย ทุกสิ่งทุกอย่างล้วน ?มากมาย? ผมอยากจะบอกน้องๆที่เรียนในชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายให้รู้ไว้ว่า ?อดเปรี้ยวไว้กินหวาน? ดีกว่า ความสนุกของช่วงชีวิตในตอนมอปลาย มันเทียบกันไม่ติดเลยกับช่วงเรียนมหาวิทยาลัย อยากบอกว่า ?ตั้งใจเรียน? เข้าไว้ เพื่ออนาคตที่ดี ความสนุกในชีวิตยังรอเราอยู่ในรั้วของมหาวิทยาลัย
ชีวิตของผมดำเนินไปในรั้วมหาวิทยาลัยอย่างมีความสุข มีแฟนอยู่หนึ่งคน เพราะถ้ามีหลายคน เค้าก็คงจะไม่เรียกกันว่า ?แฟน? ฮา เรียนมาจนใกล้จะจบปี 6 ปีสุดท้ายของการเป็นนักศึกษาเภสัชศาสตร์ ช่วงปลายปีก่อนจบต้องไปฝึกงานกับเพื่อนอีกหนึ่งคนอยู่ที่โรงงานยาแถวสมุทรปราการนาน 2 เดือน เริ่มที่จะห่างกันกับแฟนคนที่คบกันมาได้ประมาณ 2 ปี สิ่งที่เรียนรู้ได้จากประสบการณ์ในครั้งนั้นคือ รักแท้มันแพ้ความใกล้ชิดจริงๆ จากตอนเรียนอยู่ใกล้เจอกันทุกวัน แต่พอเขาเริ่มทำงานเราก็เปลี่ยนเป็นเจอกันทุกอาทิตย์ แต่ด้วยเหตุผลในหลายๆด้านทำให้หลายๆอย่างมันเริ่มเปลี่ยนไป จากที่คุยโทรศัพท์กันทุกวันก็เริ่มห่างหายไปเป็น 2 เป็น 3 วันและในวันสุดท้ายของความรู้สึกที่เริ่มไม่เหมือนเดิม ตัดสินใจโทรหาเพื่อที่จะคุยและเคลียร์ความรู้สึกในใจให้มันหมด

ธรรม : ฮัลโหล กวาง! วันนี้ขอถามอะไรตรงๆหน่อยได้หรือเปล่า

กวาง : อืม! เรื่องอะไรละ ถามมาซิ

ธรรม : กวางมีคนอื่นมาจีบเหรอ! ทำไมช่วงนี้กวางเหมือนเริ่มห่างหายไปจากชีวิตของเค้าเลย

กวาง : ก็มีอยู่นะ

ธรรม : มันเป็นใครเหรอ

กวาง : จะบ้าเหรอ! ไม่มี! เค้าแค่ล้อเล่น คิดมากไปหรือเปล่า

ธรรม : เค้ารู้ดีว่า ?มันมักจะมีความจริงไม่มากก็น้อยปนอยู่เสมอในทุกครั้งที่กวางพูดว่า แค่ล้อเล่น?
กวางยังจำได้ไหม วันแรกที่เค้าขอกวางเป็นแฟน มีสิ่งเดียวที่เค้าพูดและก็ขอกวางเพียงแค่ข้อเดียวคือ
ไม่ว่ามันจะมีเรื่องที่ร้ายแรงซักแค่ไหนหรือไม่ว่ามันจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น มีสิ่งเดียวที่เค้าอยากได้จากกวางก็คือ
?ความจริง? ก็แค่ไม่อยากเป็นคนโง่ที่คอยรับรู้เรื่องราวเป็นคนสุดท้าย อยากได้ยินจากปากกวางเอง
ดีกว่าไปได้ยินจากปากคนอื่น

กวาง : อืม! จำได้

(เงียบไปซักพัก)
ธรรม : กวางมีคนอื่นเข้ามาจีบเหรอ

กวาง : อืม! ก็มีอยู่ แต่ก็ไม่ได้มีอะไรมากมายหรอก

ธรรม : อ่าว! แล้วมันเป็นใครละ

กวาง : ก็ลูกค้าที่ทำงานแหละ

ธรรม : ไหนเอาเบอร์โทรมันมาซิ เค้าจะโทรไปเคลียร์กับมัน มาจีบแฟนเค้าได้ไงวะ

กวาง : จะเอาไปทำไม มันไม่มีอะไรจริงๆ

หลังจากที่กวางบอกว่าง่วงนอนแล้วก็วางสายไป เริ่มรู้สึกว่ามีอะไรเปลี่ยนแปลงไปจากผู้หญิงคนที่เคยไว้ใจมากที่สุดคนหนึ่ง แต่เพราะความเชื่อใจจึงยอมที่จะเชื่อว่ามันไม่มีอะไร ทั้งที่ลึกๆในใจแล้วมันจะบอกว่ามีก็ตาม และแล้วคืนนั้นก็นอนไม่หลับทั้งคืน ด้วยความคิดต่างๆนาๆที่มันพุ่งเข้ามาในหัวสมอง เช้าวันรุ่งขึ้นลุกขึ้นมาด้วยอาการหายใจไม่เต็มอิ่ม หัวสมองมึนตึบ ฝึกงานไม่รู้เรื่อง มัวคิดแต่ว่าคนๆนั้นมันเป็นใคร แต่สิ่งที่มีอยู่และไม่เปลี่ยนแปลงไปก็คือความเชื่อใจในตัวของกวาง แต่หลังจากที่โทรไปหาในคืนของวันต่อมา หารู้ไม่ว่า ทุกสิ่งที่เคยเชื่อในชีวิตมันได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง

ธรรม : ฮัลโหล! กวาง กลับถึงบ้านหรือยัง

กวาง : ถึงแล้ว มีอะไรเหรอ

ธรรม : ไม่มีอะไรแล้วโทรหาไม่ได้เหรอ ก็คนมันคิดถึงนิ

กวาง : ได้ๆ

ธรรม : กวาง! ขอถามตรงๆนะ ต่อให้ผลลัพธ์มันจะเป็นยังไงแต่สิ่งที่อยากได้มากที่สุดสำหรับเค้าก็คือ ความจริง
กวางชอบไอ้คนนั้นเหรอ?

(เงียบไปซักพัก)
กวาง : อืม ก็ชอบอยู่

ธรรม : อ่าว !! ไหงเป็นงั้นละ แล้วเค้าละ เอาเค้าไปอยู่ไหน

(ทั้งสองคนต่างก็เงียบไปอีกพักใหญ่)
ธรรม : งั้นเอาแบบนี้ เลือกมาเลย กวางจะเลือกใคร

กวาง : เค้าเลือกไม่ได้ธรรม อย่าบังคับเค้าเลย

ธรรม : แล้วกวางจะปล่อยให้เค้าทรมานอยู่อย่างนี้เหรอ ต่อให้คำตอบมันจะเป็นยังไงเค้าก็จะต้องรับมันให้ได้
แต่สิ่งที่อยากได้ก็คือความจริงที่อยู่ในใจของกวาง ต่อให้เค้าต้องเจ็บแค่ไหนแต่ถ้ามันจะจบ
เค้าก็พร้อมที่จะเจ็บ ดีกว่าต้องทรมานต่อไปอย่างนี้

กวาง : อย่าบังคับเค้าเลย เค้าเลือกไม่ได้จริงๆ

ธรรม : กวางรักมันใช่ไหม!

(กวางไม่ยอมตอบแล้วก็เงียบ ไม่ยอมพูดอะไร)
ธรรม : งั้นเค้าคงจะได้คำตอบแล้วแหละ คนที่ไม่มีใจให้กันแล้ว ต่อให้จะดึงจะรั้งไว้ มันก็คงไม่มีความหมาย
ใดๆแล้วแหละ แต่ตอบมาหน่อยเถอะ ความรู้สึกจริงๆที่อยู่ในใจนะ
?ณ ตอนนี้เรายังเป็นแฟนกันอยู่ไหมกวาง?

(จากนั้นกวางก็เงียบพร้อมกับร้องไห้)
ธรรม : กวาง! มันอาจจะเหลือเพียงสิ่งเดียวที่เค้าพอจะขอร้องได้แล้ว ตอบเค้าหน่อยเถอะ
?เราไม่ได้เป็นแฟนกันแล้วใช่ไหม?

กวาง : อื้อ! ผู้ชายคนนั้นเขาขอกวางแต่งงาน แล้วเค้าก็ตอบตกลงไปแล้วด้วยธรรม เค้าขอโทษ
(หลังจากนั้นกวางก็ร้องไห้ไม่หยุด)

หลังจากคำพูดสุดท้ายหลุดออกมาจากปากของผู้หญิงที่ครั้งหนึ่งเคยเชื่อใจเป็นอย่างมาก น้ำตามันก็เริ่มไหลออกมาจากทั้งสองตาโดยไม่รู้ตัว หูอื้อไปหมด อารมณ์เหมือนโดนคนตีด้วยไม้กลางกระหม่อนโดยที่ไม่ทันได้ตั้งตัว แล้วชีวิตนี้จะเป็นยังไงต่อไป คนที่คอยอยู่เคียงข้างกันเสมอมา คนที่เชื่อใจที่สุด ใครเป็นคนแย่งเอาเธอไป ในหัวสมองว่างเปล่า เคยแต่ด่าว่าให้คนอื่นพวกที่โดนแฟนทิ้ง อกหัก ทำไมต้องฆ่าตัวตาย? มันเป็นความคิดที่ไร้สาระสิ้นดี แต่พอมาถึงวันนี้พึ่งเข้าใจว่าความรู้สึกแบบนั้นมันเป็นเช่นไร มันตรงที่สุดกับคำที่ว่า ?ไม่โดนกับตัวเองคงไม่รู้สึก? แต่หลังจากที่ทุกอย่างสับสนวุ่นวายไปหมด ก็มีเสียงๆหนึ่ง ดังขึ้นมาว่า

แม็ค : เห้ย!! มึงเป็นอะไรวะ

(อ้าว! ลืมไปเลยว่ามาฝึกงานกับเพื่อนอีกคนหนึ่งนี่หว่า นึกว่าอยู่ในห้องคนเดียว)
ธรรม : แม็ค! กูโดนทิ้งวะ กูเลิกกับกวางแล้ววะ เขาจะไปแต่งงานแล้วเพื่อน

แม็ค : อ่าวเชี่ย! เรื่องไรวะ เลิกกันจริงเหรอวะ

(พูดไป น้ำตาก็ยังไหลไป)
ธรรม : เออ! กูคงไม่มีทางไหนที่จะไปเปลี่ยนใจให้เขากลับมาแล้วแหละ ก็คนมันหมดใจไปแล้วนี่หว่า
แม่งเอ้ย !!! วันนี้มันเป็นวันอะไรวะเนี่ย มันเป็นวันที่เลวร้ายที่สุดในชีวิตของกูละ

(น้ำตามันก็ไหลออกมาได้ไม่มีวันหมด)
แม็ค : มึงร้องออกมาให้มันพอ ร้องออกมาให้มันหมด
?อย่างน้อยข้อดีอย่างหนึ่งของวันที่เลวร้ายที่สุดในชีวิตมึงก็คือ พรุ่งนี้มันจะต้องดีขึ้นเสมอละวะ?

ธรรม : แม่ง ! แม่งเอ้ย !! กูแม่งโครตอ่อนแอเลยวะเพื่อน น้ำตามันไม่หยุดไหลซักที

แม็ค : มึงร้องออกมาให้มันหมดแล้วก็จำไว้
?ประโยชน์ของน้ำในตามึงที่มันไหลออกมานะ ก็เพื่อที่จะล้างให้ตากลับมาสดใสและก็มองโลก
ด้วยใจที่สดชื่นมากกว่าที่มึงเป็นอยู่ในตอนนี้ ดังนั้นน้ำตามันไม่ใช่สิ่งที่แสดงถึงความอ่อนแอหรอก
แต่มันหมายถึงความเข้มแข็งภายในจิตใจที่พร้อมจะลุกขึ้นมาสู้ใหม่อีกครั้งต่างหาก?
และมึงก็อย่าคิดว่ามึงไม่เหลือใคร อย่างน้อยๆก็พ่อกับแม่มึงแหละ แล้วก็กูอีกคนหนึ่งด้วย

ธรรม : ขอบใจมากวะเพื่อน กูคิดถึงแม่วะ อยากได้ยินเสียงแก

แม็ค : งั้นมึงก็โทรหาแกเลยดิ

อกหักครั้งแรกในชีวิตมันเจ็บแบบนี้นี่เอง สิ่งเดียวที่อยู่ในหัวสมองตอนนี้ก็คืออยากได้ยินเสียงแม่ เลยหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา โทรหาแม่ทันที
แม่ : ว่าไงลูก โทรมาซะดึกเชียว

ธรรม : ไม่มีอะไรหรอกแม่ (เสียงสะอึก)

แม่ : ธรรมเป็นอะไรลูก ไหนบอกแม่มาซิลูก

ธรรม : แม่! ผมเลิกกับกวางแล้ว เค้าไม่มีวันที่จะกลับมาอีกแล้ว เค้าไปกับคนอื่นแล้วแม่

(แล้วแม่ก็เงียบไปซักพัก)
แม่ : ฟังแม่นะลูก ผู้หญิงไม่ได้มีคนเดียวบนโลกแล้วลูกก็อย่าไปโกรธเค้าเลย
น่าจะขอบคุณเขามากกว่าที่เค้าเดินร่วมทางมากับเรา
?ใบไม้ร่วงบางใบ มันก็ไม่ได้หมายความว่า ต้นไม้จะต้องตาย
การสูญหายของบางคน มันก็ไม่ได้หมายความว่า ชีวิตของเรานี้มันจะต้องสิ้นสุดลงเช่นกัน?

ธรรม : ครับแม่แต่น้ำตามันไหลไม่หลุดเลย

แม่ : ร้องออกมาให้มันพอเลยครับ แล้วก็อย่าไปเสียใจเลยลูก
?ลูกนะแค่เสียคนที่ไม่เห็นค่าของลูกไปแค่หนึ่งคน
แต่กวางน่าจะเป็นคนที่เสียใจมากกว่า
เพราะเขานั้นเสียคนที่รักเขามากที่สุดไปตั้งหนึ่งคน?

ธรรม : ทำยังไงจะทำให้มันลืมได้ละแม่

แม่ : ในเรื่องของความรักนะครับ
?สิ่งที่มันยากมากกว่าการจำ มันก็คือ การลืม
แต่สิ่งที่มันยากมากกว่าการลืม มันก็คือ การยอมรับความจริง? นั่นคือสิ่งที่ลูกต้องทำ
?เวลามันอาจจะไม่สามารถเยียวยาได้ทุกสิ่ง
แต่การยอมรับความจริง มันจะรักษาทุกอย่างที่เหลือในชีวิตไว้นะลูก?
ในตอนไหนที่ลูกยอมรับได้ว่าไม่มีเค้าคอยเดินเคียงข้างไปด้วยกันอีกแล้ว
ตอนนั้นแหละลูกก็จะไม่เจ็บปวดอีกต่อไป แล้วแม่ว่าอย่าพยายามไปฝืนให้มันลืมเลย
?ความพยายามมันทำให้คนเราจำได้ แต่ความพยายามมันกลับไม่สามารถทำให้เราลืมได้หรอก?
ทุกอย่างมันคือประสบการณ์ มันคือส่วนเติมเต็มให้กับชีวิตของเรา
แล้วเราจะไปลืมให้มันขาดทุนทำไมกันละครับ


ผมสามารถบอกกับคนอื่นได้เป็นอย่างดีว่าความรู้สึกอยาก ?ฆ่าตัวตาย? เพียงเพราะอารมณ์ชั่ววูบมันเป็นเช่นไร เพราะผมเคยผ่านมันมา ความรักมันทำให้ผมเจ็บปวดเพียงใดผมรู้เป็นอย่างดี ในช่วงอารมณ์ที่คิดว่า ?ตัวเองไม่เหลือใคร? โดนเขาทิ้งไปอย่างไม่ใยดี แล้วเราจะอยู่ต่อไปอย่างไร แต่ผมกลับลืมคิดไปว่า ก่อนที่จะมีเธอคนนี้เข้ามาในชีวิต ผมก็ยังคงมีชีวิตที่ปกติสุขดี พ่อแม่ เพื่อนฝูง ไม่เคยมีใครที่คิดจะทิ้งผมไปซักคน แล้วทำไมคนๆเดียวถึงจะมีสิทธิมาทำลายชีวิตที่พ่อกับแม่ผมเฝ้าทะนุถนอมเลี้ยงดูมาจนเติบใหญ่ได้ ?เรานะแค่เสียคนที่ไม่เห็นค่าของเราไปแค่หนึ่งคน แต่เขานั้นกลับเสียคนที่รักเขามากที่สุดไปตั้งหนึ่งคน? ประโยคนี้ที่แม่บอกผม ทำให้ผมตระหนักได้ว่า คนที่เห็นคุณค่าในตัวผมนั้นไม่ได้มีใครหายไปจากชีวิตของผมซักคน แล้วจะมานั่งโศกเศร้าอะไรนักหนา แต่ก็อย่างว่าแหละ ?ความรัก? มันคือสิ่งมหัศจรรย์บนโลกใบนี้ที่ให้เราได้ทั้งความเศร้าเคล้าความสุข จะมานั่งปลอบใจตัวเองแค่ไหนแต่ผมก็ไม่เคยที่จะลืมเธอได้ซักวัน เคยคิดบ้างไหมว่าทำไมคนเราถึงไม่เคยที่จะลืม ?รักครั้งแรก? ได้เลย ถึงแม้ว่าความทรงจำนั้นมันจะค่อยๆจางหายไปกับกาลเวลา แต่ถึงแม้มันจะเลือนลางซักเพียงใดก็ตาม แต่มันไม่เคยที่จะ ?หาย? ไปจากความทรงจำของเราได้เลย เหตุผลที่เราไม่เคยที่จะลืมรักครั้งแรก มันอาจจะเป็นเพราะว่าเรารับมือกับมันด้วยหัวใจที่ ?ไร้เดียงสา? คาดหวังให้มันเป็นรักที่สมบูรณ์แบบ คาดหวังว่ามันจะเป็นความรักที่งดงามเหมือนดั่งในนิยายหรือในละคร แล้วก็มีอีกหลายต่อหลายคนที่ผิดหวังจากความรักครั้งแล้วครั้งเล่า จนกลัวที่จะเริ่มต้นใหม่กับใครซักคน เกือบทั้งหมดของความทุกข์ที่มาจากความรักล้วนเกิดจากการคาดหวังให้เขาเป็นหรือเกิดจากการไม่ได้ครอบครองเขา มันเป็นสิ่งที่บ่งบอกว่าคนเรานั้นล้วน ?เห็นแก่ตัว?
หากว่าใครอยากได้ความรักที่สมบูรณ์แบบจริงๆ อย่าได้พยายามบังคับ อย่าได้พยายามคาดหวังว่าเราต้องให้เขาเป็นอย่างที่เราต้องการเพราะใครต่อใครก็คงต้องการที่จะเป็นตัวของตัวเองให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ?ไม่คาดหวัง ไม่ทุกข์ นั่นคือความสุขของสิ่งที่เรียกว่า การปล่อยวาง? หลายๆคนเคยถามว่า ตอนไหนเราจะหายเศร้าซักที อย่าได้พยายามไปถามคนอื่นด้วยคำถามแบบนี้เด็ดขาด ทุกอย่างมันล้วนขึ้นอยู่กับตัวเรา ?ทุกที่ทุกเวลามีความเศร้า ตราบเท่าที่เราพกมันไปด้วย และทุกที่ทุกเวลาก็มีความสุข ตราบเท่าที่เราสนุกกับทุกสิ่งที่ผ่านเข้ามา? อย่าถามถึงเวลาว่าตอนไหนจะหายเศร้า เพราะเอาเข้าจริง คุณจะหายเศร้านะตอนนี้ก็ยังได้เลย
?ความรัก? คือสิ่งที่มหัศจรรย์ที่สุดในโลกเพราะมันสามารถทำให้คนเรามีความสุขได้อย่างมากมาย ในทางกลับกันมันก็สามารถทำให้คนเราเจ็บปวดได้อย่างเกินทนเช่นกัน หลายๆคนอกหัก หลายๆคนโดนทิ้ง และหลายๆคนคิดที่จะหลบหนีจากความผิดหวังเหล่านั้นด้วยการ ?ไม่อยู่บนโลกใบนี้? หลายๆคนบอกว่าผมคงอยู่บนโลกใบนี้ไม่ได้ถ้าไม่มีคุณ หลายๆคนรับไม่ได้กับความผิดหวังจนต้องทำร้ายตัวเอง หลายๆคนบอกว่าในชีวิตนี้ฉันคงไม่สามารถลืมคุณได้ ในเรื่องของความรัก สิ่งที่มันยากยิ่งกว่าการจำคือการลืม ส่วนสิ่งที่ยากมากกว่าการลืมคือการยอมรับความจริง นั่นคือสิ่งที่คุณต้องพยายามทำ ?ยอมรับความจริง? หลายๆคนมัวแต่ตามหาในสิ่งที่ตนเอง ?ขาด? ในชีวิตมันเลยมองไม่เห็นในสิ่งที่ตัวเอง ?มี? ซักที หลายๆคนใช้เวลาเกือบทั้งชีวิตเพื่อตามหา ?รักแท้? แต่กลับลืมไปว่า ?มันไม่ใช่สิ่งจำเป็นที่ต้องตาหาเลย เพราะตั้งแต่ออกมาจากท้องแม่ เราก็ได้รับมันมาเรียบร้อยแล้ว? ไม่ว่าความรักมันจะทำให้คุณเจ็บปวด ผิดหวังหรือชินชาในหัวใจมากน้อยเพียงไร แต่จงเชื่อมั่นไว้เถอะว่า ?ความรักที่ไม่ว่ามันจะมาจากใครก็ตามแต่ มันคือส่วนเติมเต็มที่ทำให้ชีวิตของเราสมบูรณ์แบบ? เพราะถึงแม้ว่าผมจะรู้ว่าสุดท้ายแล้วความรักมันจะจบลงด้วยความเจ็บปวด แต่ผมก็ยังยินดีที่จะเรียนรู้และให้มันเกิดขึ้นกับชีวิตของผมเช่นเดิม
หลังจาก ?ประสบการณ์? ในความรักครั้งแรกได้ผ่านพ้นไปอย่างบอบช้ำในหัวใจ ?เวลา? ก็ทำให้หลายสิ่งหลายอย่างในชีวิตเริ่มกลับมา ?คล้ายเดิม? แต่มันก็ไม่มีทาง ?เหมือนเดิม? 3 เดือนหลังจากที่ ?อกหัก? เพื่อนฝูง พ่อแม่ คือกลุ่มคนที่ช่วยได้มากในการทำให้ความทรงจำเศร้าๆค่อยๆเลือนรางหายไป หลายๆคนเคยเกิดคำถามที่ว่า ?ทำยังไงถึงจะลืมมันได้? แต่ผมกลับไม่คิดเช่นนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างที่ผ่านมาทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นเรื่องดีหรือเรื่องร้าย ทุกอย่างล้วนเป็นประสบการณ์ให้กับชีวิต ?แล้วทำไมผมจะต้องไปลืม ลบสิ่งเหล่านั้นออกจากความทรงจำให้มันขาดทุนด้วยละ? ความทรงจำมันเป็นสิ่งที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง หลายๆคนจึงเกิดอาการ ?เจ็บ? ในทุกๆครั้งหากพยายามไปลบเลือนมัน แล้วหลายๆคนก็เคยคิดว่า ?ในโลกนี้คงไม่มีใครแทนที่คนๆนี้ได้อีกแล้ว? ผมว่าคุณก็พูดถูกนะ! เพราะในเรื่องความรักมันก็ไม่มีใครแทนใครได้อยู่แล้ว ที่คุณคิดแบบนั้นอาจจะเป็นเพราะว่าตลอดชีวิตที่ผ่านมาคุณเคยเจอแต่คนๆนี้ แต่ใครจะไปรู้ละ ถ้าคุณได้เจอคนใหม่เขาอาจจะรักคุณได้มากกว่าที่คุณคิดก็เป็นได้ เหมือนกับผมยังไงละ

หลังจากความรู้สึกที่มีต่อผู้หญิงคนเก่าเริ่มเจ็บปวดน้อยลงถึงน้อยที่สุดแล้ว ก็ถึงเวลาที่ต้องเปิดโอกาสให้กับตัวเองเพื่อที่จะทำความรู้จักกับคนใหม่ๆ และแล้ววันที่ฟ้าเริ่มกลับมาสดใสก็มาถึง ผมได้รู้จักกับรุ่นน้องคนหนึ่ง เธอชื่อ ?อุ๊? เธอเป็นคนน่ารัก เป็นคนคุยเก่งและหลังจากที่รู้จักและคุยกันมาได้เกือบประมาณเดือนครึ่ง ในวันที่ครบรอบ 2 เดือน ผมก็ตัดสินใจจะขอเธอเป็นแฟน ผมรวบรวมความกล้าอยู่นานก่อนจะพูดกับเธอไปว่า

ธรรม : วันนี้อยากตัดผมไหม เดี๋ยวพี่พาไปตัด

น้องอุ๊ : ไม่อะ ไว้ผมยาวก็ดีอยู่แล้ว ไม่คิดจะตัดมันเลย ทำไมพี่พูดแบบนั้นละ

ธรรม : งั้นก็แสดงว่า ?คุณรักผม? มากเลยละซิ

น้องอุ๊ : ก็รักมากนะซิ

ธรรม : พูดเองแล้วนะ

น้องอุ๊ : อืม! อะไร งง?

ธรรม : เอ่อ! ไม่มีอะไรหรอก

(หลังจากมุกเสี่ยวๆของผมที่ปล่อยออกไป ไม่เป็นที่เข้าใจของน้องอุ๊ ผมเลยคิดว่าคงพูดแบบอ้อมค้อมๆกับเธอไม่ได้แล้วแหละ จึงรวบรวมความกล้าอีกครั้งก่อนจะพูดไป)
ธรรม : อุ๊! เป็นแฟนกับพี่นะ

น้องอุ๊ : เอ่อ! ถามกันตรงๆแบบนี้เลยเหรอพี่ เอ่อ! แล้วถ้าอุ๊เป็นแฟนกับพี่แล้วอุ๊จะได้อะไรละค่ะ

ธรรม : ก็ถ้าอุ๊เป็นแฟนกับพี่นะ พี่จะทำให้อุ๊เป็นคนที่มีความสุขเป็นอันดับที่ 2 ของโลกเลยทีเดียว

น้องอุ๊ : อ่าว! แล้วทำไมไม่ได้เป็นที่ 1 ละค่ะ

ธรรม : ก็ถ้าอุ๊เป็นแฟนกับพี่ แล้วมันจะมีใครในโลกที่มีความสุขไปมากกว่า ?พี่? อีกละ

อาจจะเป็นเพราะมุกเสี่ยวๆของผมหรือเป็นเพราะความงงของเธอก็ไม่อาจจะรู้ได้ ที่ทำให้หลังจากวันนั้นเธอก็ตัดสินใจมาเป็นแฟนกับผม

ชีวิตของผมเริ่มกลับมาเป็นปกติสุขอีกครั้งและก่อนที่จะเป็นเภสัชกรอย่างเต็มตัวก็ต้องสอบใบประกอบวิชาชีพให้ผ่าน แล้ววันหนึ่งในช่วงที่ใกล้จะเรียนจบก็เดินทางเข้ากรุงเทพมหานครเพื่อไปสอบใบประกอบวิชาชีพกับเพื่อนอีก 4 คน พอถึงวันสอบพวกเราทั้งหมดก็ตื่นกันแต่เช้าทุกคน ในระหว่างที่กำลังรอขึ้นรถที่ป้ายรถเมล์ ผมก็ตาดีเหลือบไปเห็นเหรียญ 1 บาทตกอยู่ริมฟุตบาท คนเดินข้ามไปข้ามมาแต่ไม่เห็นมีคนก้มเก็บเหรียญนั้นขึ้นมาซักที ผมเห็นแบบนั้นเลยรีบวิ่งไปเก็บ จนเพื่อนอีก 4 คนที่มันเห็นผมวิ่งไปเก็บ มันทักขึ้นมาว่า

เพื่อน : เห้ย! ไอ้ธรรม มึงไม่มีตังค์ขนาดนั้นเลยเหรอวะ แค่บาทเดียวเองนะมึง

ธรรม : ก็สำหรับพวกมึงมันมีค่าแค่นั้นแหละ แต่สำหรับตัวกูมันมีค่ายิ่งกว่านั้นเยอะเลยแหละ

เพื่อน : อะไรของมึงวะ!

ธรรม : กูก็แค่ไม่อยากให้ใครเดินข้าม ?พ่อหลวง? ของกู ก็แค่นั้น
นั่นแหละคือคุณค่าที่กูเห็นในเหรียญบาทที่มันตกอยู่เหรียญนี้

(รูปเหรียญ)

เพื่อน : เอ่อ! เอ่อ! กูเข้าใจละ กูขอโทษวะเพื่อน

มีหลายๆสิ่งในชีวิตที่ถือว่าเป็นโชคดีของผมและหนึ่งในนั้นก็คือการได้เกิดมาเป็นคนไทย ได้เกิดมาอยู่ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทของ ?ในหลวง? ท่านคือ ?เทวดา? ที่คนธรรมดาอย่างผมสามารถเห็นและสัมผัสได้อย่างแท้จริง รู้สึกภูมิใจเป็นอย่างยิ่งที่ได้เกิดมาในยุคสมัยของ ?พระราชา? ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของผม ท่านทรงเป็นแบบอย่างในชีวิตของผมอย่างแท้จริง
?นักการเมืองยื่นปลา พระราชายื่นเบ็ด
นักการเมืองแจกแท็บเล็ด กษัตริย์แนะเคล็ดวิชา
นักการเมืองห่วงอำนาจ มหาราชห่วงประชา
นักการเมืองสร้างสัญญา องค์เจ้าฟ้าสร้างสรรค์ธรรม
นักการเมืองหาเรื่องกิน องค์ภูมินทร์หาเรื่องทำ
นักการเมืองยุให้รำ ในหลวงย้ำให้ทำดี
นักการเมืองชอบแบ่งขั้ว องค์เหนือหัวไม่แบ่งสี
นักการเมืองทำสี่ปี องค์ภูมีทำทุกวัน
นักการเมืองชอบแบ่งเสียง พ่อพอเพียงชอบแบ่งปัน
นักการเมืองคิดสั้น องค์ราชันย์คิดยาว



ยังมีต่ออีกเยอะหากมีคนสนใจในหนังสือเล่มนี้


com_mon
โพสต์: 2
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ 11 ม.ค. 2012 4:12 pm

Re: "คิดต่าง สร้างใหม่" หนังสือที่คุ้มค่ากับเวลาที่เสียไปในก

โพสต์ โดย com_mon »

uptear.tear เขียน:hello
hi!

ตอบกลับโพส

ย้อนกลับไปยัง “ก้าวแรก(สู่นักเขียนมืออาชีพ)”