ปริศนานักสืบสยอง (ตอนที่5)

ถ้าเพื่อนๆ มีเรื่องที่น่าสนใจและต้องการแบ่งปันเนื้อหา หรือร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการเป็นนักเขียนมืออาชีพ

Moderator: Gals, B.Comics, พี่บี

ตอบกลับโพส
complicated
โพสต์: 7
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร 08 มิ.ย. 2010 7:59 am

ปริศนานักสืบสยอง (ตอนที่5)

โพสต์ โดย complicated »

?เหนื่อยจังเลย...?

แพรวบ่นพึมพำกับตัวเองขณะเดินอยู่บนสนามโรงเรียนตอนกลางดึก เป็นเวลาสองทุ่มแล้ว แต่เพราะรายงานกลุ่มที่หนักหนาทำให้เธอเพิ่งจะได้กลับบ้าน อาคารเรียนสูงสิบชั้นที่อยู่ทางด้านขวาของประตูโรงเรียนซึ่งเธอเพิ่งจะเดินลงมาในตอนนี้ปิดไฟมืดสนิทหมดทุกชั้น บรรยากาศเงียบมากจนน่าขนลุก ยิ่งเมื่อไม่กี่วันก่อนเธอยังได้ยินข่าวลือเรื่องผีหญิงสาวชมรมบาสเก็ตบอลที่น่ากลัว ทำให้หล่อนรู้สึกเสียวสันหลังมากขึ้นไปอีก อยากจะรีบเดินออกจากโรงเรียนแล้วกลับบ้านไปห่มผ้าคลุมโปงเสียเหลือเกิน

เด็กสาวไม่ใช่คนหัวดีมาก อีกทั้งยังมีนิสัยขี้เกียจ จึงทำงานช้าเป็นดินพอกหางหมู อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ว่าเธอเป็นคนไม่รับผิดชอบ แต่เพราะมีเหตุผลบางอย่าง จึงทำให้เธอไม่มีกะจิตกะใจจะทำงานมากกว่า

เพราะเรื่องราวที่เคยเกิดขึ้นในอดีต มันยังฝังแน่นอยู่ในใจ... แต่ถึงอย่างไร ชีวิตก็ต้องดำเนินต่อไป

เธอมองไปรอบตัว หากไม่เคยลองมาเยือนโรงเรียนตอนกลางคืน ก็คงไม่รู้หรอกว่าบรรยากาศในยามค่ำคืนแบบนี้มันน่ากลัวแค่ไหน อาจเพราะแบบนี้เองจึงได้มีเรื่องสยองขวัญในโรงเรียนเกิดขึ้นมาหลายต่อหลายเรื่อง เนื่องจากตอนนี้ทุกอย่างน่ากลัวมากเหลือเกิน ราวกับจะมีสิ่งลึกลับดำมืดที่ไม่สามารถอธิบายได้ด้วยปรากฏการณ์ทางวิทยาศาสตร์เดินมายืนจังก้าอยู่ตรงหน้าได้ทุกเมื่อ

บรรดานักเรียนคนอื่นก็พากันกลับบ้านกันหมดแล้ว ไม่เว้นแม้แต่ชมรมบาส หรืออาจารย์เวรทั้งหลายที่ตอนนี้กลับไปทำงานต่อที่บ้าน หากไม่นับยามซึ่งไม่รู้ไปอยู่ที่ไหน ในโรงเรียนตอนนี้ก็คงมีแต่เด็กสาวเท่านั้น

อย่างน้อยก็ไม่เหลือนักเรียนคนอื่นแล้วล่ะ เพราะไฟทุกดวงก็ปิดสนิท... แพรวคิดในใจ เริ่มรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาอีก เธอพยายามขยับกระเป๋าสะพายหลังให้เข้าที่ เพราะสายสะพายใกล้จะขาดเต็มที

ลมพัดวูบหนึ่งทำให้ผมยาวเคลียไหล่ของเด็กสาวปลิวสะบัด ในตอนนั้นเองที่เธอหันไปเห็น... อะไรบางอย่าง...

หากเป็นเวลากลางวัน ภาพที่เห็นคงไม่น่าสะพรึงกลัวมากนัก แต่นี่เป็นเวลากลางคืน และไฟทุกดวงบนอาคารปิดสนิท อีกทั้งนอกจากเธอแล้วยังไม่น่าจะมีใครอยู่ดึกจนถึงป่านนี้ เพราะว่าตอนเดินลงมาจากอาคาร เธอได้ปิดไฟห้องที่ตัวเองใช้งานตั้งแต่เมื่อครู่เรียบร้อยแล้ว ส่วนห้องอื่นๆก็ปิดไฟมืดสนิทมาตั้งแต่แรก ก็แปลว่าไม่น่าจะมีคนอื่นทำงานอยู่บนนั้นอีก

ทั้งที่น่าจะเป็นเช่นนั้น แต่ตอนนี้กลับปรากฎร่างเด็กสาวในชุดนักเรียนสีขาวคนหนึ่งกำลังยืนชะโงกหน้ามองลงมาจากตรงกลางระเบียงทางเดินมืดสนิทบนชั้นสิบของอาคารที่ว่า สีขาวของเสื้อผ้าตัดกันกับสีดำของความมืดสนิทรอบข้างจนเห็นได้ชัด หากมองจากด้านล่างจะเห็นร่างนั้นเป็นเพียงจุดเล็กๆ แต่ก็พอรู้ว่าเป็นเด็กผู้หญิง แม้จะเห็นใบหน้าของเธอไม่ชัดเจนนัก จึงไม่อาจรู้ได้ว่าอีกฝ่ายกำลังทำสีหน้าเช่นไร รู้แต่ว่าตอนนี้ เด็กสาวปริศนาคนนั้นกำลังมองลงมาจากชั้นสิบตรงมายังแพรวซึ่งกำลังยืนอยู่กลางสนามโรงเรียน... ภาพที่เธอเห็นช่างผิดปกติและแปลกประหลาดจนน่าสะพรึงกลัว

ต่อให้อีกฝ่ายเป็นเด็กสาวธรรมดาทั่วไป แต่ก็น่าสงสัยว่า ...ทำไมถึงต้องขึ้นไปอยู่บนนั้นตอนนี้? ...ทำไมเธอถึงไม่เปิดไฟ? ...และทำไมเธอถึงต้องจับตามองคนอื่นจากบนนั้นด้วย?

หากไปเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟัง ทุกคนก็ต้องตอบว่าน่าสงสัย ...อาคารเรียนสูงสิบชั้นฝั่งขวามืดสนิท เพราะทุกชั้นปิดไฟหมดแล้ว แต่มาบัดนี้กลับมีร่างของนักเรียนหญิงในชุดสีขาวยืนอยู่ท่ามกลางความมืดตรงกลางระเบียงทางเดินชั้นสิบ และกำลังมองผ่านหน้าต่างลงมาที่เธอ... เป็นเรื่องที่ฟังแล้วทำให้รู้สึกขนลุกขึ้นมาในความประหลาดของบรรยากาศยามค่ำคืนเช่นนี้

ทำไมต้องมองมาทางนี้ด้วยนะ?

ร่างนักเรียนสาวปริศนานั้นยืนนิ่งสนิทราวกับรูปปั้น ไม่ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว...

ทำอะไรพิลึกจัง... แพรวคิดในใจก่อนตั้งท่าจะเดินออกไป หลังจากละสายตาจากอาคารสูงสิบชั้นไปเพียงไม่กี่วินาที แต่ก็ยังรู้สึกติดใจสงสัยไม่หาย จึงรีบหันกลับมามองอาคารอีกครั้งแทบจะในทันที

แล้วก็ต้องเบิกตาโพลงด้วยความประหลาดใจ...

เด็กสาวปริศนาในชุดนักเรียนสีขาวยังคงยืนนิ่งไม่ขยับเขยื้อนดุจรูปปั้นหินอยู่ตรงกลางระเบียงทางเดินที่มืดสนิท พลางจ้องมองลงมาที่เธอดังเดิม หากแต่ตอนนี้เธอไม่ได้ยืนอยู่ที่ชั้นสิบ...

หล่อนกำลังยืนอยู่กลางระเบียงทางเดินที่อยู่บนชั้นแปด...

แพรวมั่นใจว่าตนเองไม่ได้ตาฝาด ก่อนหน้าที่เด็กสาวคนนั้นยืนอยู่บนชั้นสิบไม่ผิดแน่ เพราะนั่นเป็นชั้นสูงสุดของอาคาร ทว่าตอนนี้อีกฝ่ายกลับมายืนอยู่บนชั้นแปดหลังจากเธอละสายตาไปเพียงไม่นาน

ในเวลาไม่ถึงสิบวินาที คงไม่มีใครสามารถวิ่งลงบันไดสองชั้นลงมายืนอยู่กลางระเบียงทางเดินได้โดยไม่แสดงอาการหอบ ไม่สิ แค่วิ่งลงมาในเวลาแค่นั้นคงไม่มีใครทำได้ด้วยซ้ำ อย่างน้อยมนุษย์ก็ทำไม่ได้หรอก...

ถ้าอย่างนั้นแล้ว... ทำไม?

นักเรียนสาวปริศนายังคงยืนนิ่งท่ามกลางความมืด ไม่ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว แต่ยังจ้องมองลงมาดังเดิม...

แพรวเริ่มหวาดกลัวมากขึ้นทุกขณะ ในสมองสั่งการให้รีบวิ่ง จึงเผลอละสายตาจากอาคารเหลือบมองไปยังประตูโรงเรียนราวห้าวินาที แต่เมื่อเบนสายตากลับมามอง ก็พบว่าเด็กสาวปริศนาไม่ได้ยืนอยู่ที่ชั้นแปดแล้ว...

อะไรกัน... หายไปไหน? เด็กสาวมองไล่สายตาลงมาตามชั้นต่างๆด้วยความหวาดกลัว แล้วก็พบกับสิ่งที่กำลังมองหา

นักเรียนสาวชุดขาวคนนั้นกำลังยืนอยู่ตรงกลางระเบียงทางเดินมืดสนิท... บนชั้นสี่...

คราวนี้เด็กนักเรียนสาวคนนั้นไม่ได้ยืนตรงนิ่งๆ หากแต่กำลังเอามือสองข้างเกาะบานเกล็ดหน้าต่าง เอียงคอไปทางขวาเล็กน้อย ...ทว่ายังคงมองตรงมายังเธอโดยไม่ละสายตา

ไม่ใช่... ไม่ใช่คนแน่ๆ!? ...แพรวมั่นใจในความคิดของตน พร้อมกับที่ความหวาดกลัวพุ่งสูงถึงขีดสุด เธอเตรียมพร้อมวิ่งหนีแบบไม่หันกลับไปมองอาคารอีก แต่ในตอนนั้นเองที่สายสะพายกระเป๋าขาด และกระเป๋าก็ร่วงลงบนพื้น

อารามตกใจ เด็กสาวตั้งท่าจะหันไปเก็บกระเป๋า จึงละสายตาจากอาคารโรงเรียนอีกครั้ง แต่พอได้สติและเหลียวกลับมามองก็พบว่า ตอนนี้นักเรียนหญิงชุดขาวปริศนาคนนั้นไม่ได้ยืนอยู่ที่ชั้นสี่แล้ว...

เธอกำลังยืนอยู่... บนสนามโรงเรียน...

แพรวมือสั่นจนแทบจะทำกระเป๋านักเรียนตกพื้นอีกครั้ง

ที่สนามโรงเรียนหน้าอาคารเรียนชั้นหนึ่ง... บัดนี้มีร่างของนักเรียนสาวชุดขาวยืนนิ่งไม่ขยับเขยื้อน แต่สิ่งที่ต่างออกไปจากทุกครั้งคือเธอกำลังยืนก้มศีรษะ จนมองไม่เห็นใบหน้าของเธอ และเสื้อนักเรียนสีขาวของเธอเริ่มมีจุดด่างดวงเป็นสีแดงสดของเลือดเประเปื้อนขึ้นตามตำแหน่งต่างๆจนภายในพริบตาเสื้อก็ถูกย้อมด้วยสีเลือด อีกทั้งยังมีเลือดสีแดงคล้ำไหลลงมาจากชายเสื้อเปรอะเปื้อนพื้นจนเป็นแอ่งเลือดย่อมๆบริเวณปลายเท้าของเธอ

กลิ่นคาวเลือดทำเอาแพรวเกือบอาเจียนออกมา

นักเรียนสาวโชกเลือดยังคงไม่เงยหน้าขึ้น หากแต่ยื่นมือเปื้อนเลือดทั้งสองข้างตรงมาข้างหน้า

?กรี๊ด!!!?

แพรวกรีดร้องดังลั่น น้ำตาไหลรินออกมาด้วยความหวาดกลัว ก่อนจะรีบวิ่งตัดผ่านสนามโรงเรียนโดยไม่หันไปมองร่างโชกเลือดนั่นอีก ทว่าเธอเห็นจากหางตาว่าเด็กสาวในชุดนักเรียนเปื้อนเลือดกำลังวิ่งไล่กวดเธอในระยะประชิด ทุกครั้งที่ละสายตาและเหลือบไปมองใหม่อีกรอบ ร่างปริศนานั้นก็เคลื่อนเข้ามาใกล้จนน่าตกใจ

ทำไงดี... ทำดี? เด็กสาวหวาดกลัวมาก ปรารถนาอยากจะวิ่งหนีออกจากโงเรียนให้เร็วที่สุด เมื่อมาถึงที่หน้าประตูก็พบกับยามที่มีสีหน้าตกใจและทำท่าจะถามอะไรบางอย่างแต่เธอไม่สนใจ วิ่งผ่านหน้าเขาไปโดยไม่หันกลับมามอง

แม้จะอยากกลับบ้านให้เร็วที่สุด แต่ก็ไม่อยากขึ้นรถแท็กซี่ เพราะต้องการเลี่ยงสภาพอันแออัดคับแคบที่อยู่กับโชเฟอร์แค่สองคน ใช่ว่าเธอจะระแวงโชเฟอร์ จริงอยู่ว่าปัจจุบันนี้ผู้หญิงตัวคนเดียวขึ้นรถแท็กซี่มักเสี่ยงอันตราย ทว่าไม่ใช่ประเด็นหลัก สาเหตุหลักเป็นเพราะเธอกลัววิญยาณของเด็กสาวคนนั้นจะโผล่มาในรถแท็กซี่ต่างหาก

เธอต้องการอยู่กับคนเยอะๆ ดังนั้นจึงเลือกขึ้นรถประจำทาง

แม้ปกติเธอจะรู้สึกอึดอัดกับการต้องยืนเบียดเสียดกับผู้คนมากมายบนรถประจำทางยามค่ำคืน แต่ครั้งนี้แพรวกลับรู้สึกว่ามันปลอดภัยกว่าความสะดวกสบายบนรถแท็กซี่มากนัก

อยากกลับถึงบ้าน... อยากหลับแล้วลืมทุกอย่างที่เห็นในวันนี้... ถึงจะคิดเช่นนั้นแต่ก็รู้ดีว่ามันไม่มีทางเป็นไปได้

ภาพที่เห็นเมื่อครู่คงจะติดตาเด็กสาวไปชั่วชีวิต...

แพรวพยายามสะกดกลั้นน้ำตา เพราะไม่อยากร้องไห้ออกมาให้คนอื่นที่ไม่รู้จักเห็น

ไม่มีวี่แววว่านักเรียนสาวโชกเลือดคนนั้นจะวิ่งตามเธอมาแต่อย่างใด

_____________________

?บางทีมันอาจเป็นอาการ ลูอี้ บอดี้ (Lewy Body Dementia) ก็ได้นะ เพราะมันเป็นอาการประสาทหลอนที่ไม่สามารถแยกแยะความจริงได้ คนเราก็เลยเห็นผียังไงล่ะ? หมิวกำลังอธิบายทฤษฎีวิทยาศาสตร์ให้เพื่อนในกลุ่มฟัง ขณะที่กอล์ฟกำลังจะเดินออกจากห้อง เธอก็ถามว่า ?นี่นายจะไปไหนน่ะ? อีกไม่นานจะเข้าเรียนแล้วนะ?

เด็กหนุ่มหันกลับมาเอียงคอแล้วหาวหวอดแบบง่วงๆ ?ปกติเธอเคยเห็นฉันตั้งใจเรียนด้วยเหรอ?

น้องสาวของเขาทำแก้มป่องแล้วเชิดหนี ราวกับจะบอกว่า ?ไม่รู้ไม่ชี้?

ดวงตาและฟ้ากำลังจับตามองสองพี่น้องคู่นั้นโดยพยายามระวังไม่ให้ตัวเองถูกทั้งคู่สงสัย

?ทำไมสองคนนี้ พออยู่ที่โรงเรียน ทำตัวเหมือนพี่น้องบ้านแตก แต่พอลับหลังพวกเรา ดูกอล์ฟเอ็นดูน้องมาก แถมหมิวก็ดูจะชื่มชมพี่มากด้วยนะ มันกลับกันเลยนี่นา? ฟ้าพูดด้วยเสียงกระซิบ

?ใช่ๆ ก็แปลว่าคงมีอันใดอันหนึ่งเป็นการแสดงละคร ซึ่งคงเป็นการแสดงเวลาอยู่ต่อหน้าพวกเรามากกว่า แกล้งทำเป็นพี่น้องไม่รักกันแล้วไม่เชื่อเรื่องผี พยายามอยู่ฝ่ายวิทยาศาสตร์ แต่พอลับหลังก็ไปเป็น DBHO ไงล่ะ? ดวงตาพูดอย่างมีอารมณ์

?แต่จะว่าไป สองคนนั้น... หมายถึง DBHO น่ะ พวกนั้นบอกว่าใช้วิทยาศาสตร์มาช่วยในการมองเห็นผีไม่ใช่เหรอ??

คำพูดของฟ้าทำให้สาวน้อยจอมห้าวขมวดคิ้วครุ่นคิด ตามที่สองพี่น้องฮิปโปโปเตมัสพูด วิญญาณไม่มีจริง เป็นแค่ภาพหลอนที่เกิดจากสมองส่วนกหน้าทำงานผิดพลาด ได้รับคลื่นความถี่ประหลาด หรือเกิดจากการกระตุ้น อะไรประมาณนั้นล่ะมั้ง แล้วสองคนนั้นใช้หลักวิทยาศาสตร์อะไรมาช่วยในการตามหาผีกันล่ะ?

เธอพลันนึกไปถึงหูฟังประหลาดกับเครื่องเล่นเอ็มพีสาม ที่เธอเห็นกับตากับที่ฟ้าเล่าให้เธอฟัง

อุปกรณ์นั้นใช้ในการมองเห็นผี... สองคนนั้นใช้หลักวิทยาศาสตร์ในการหาผี...

แล้วมันหลักอะไรกันล่ะ?

ป่วยการที่เด็กสาวซึ่งสอบวิชาสายวิทย์ตกทั้งหมดจะสามารถตอบคำถามข้อนี้ได้ เรื่องนั้นช่างมันก่อนละกัน

คดีผีสาวโค้ชชมรมบาสที่เพิ่งเกิดขึ้นนั้นไม่ซับซ้อนมากนัก หากตามสืบจากพวกอาจารย์คนเก่าๆก็น่าจะรู้แต่แรก อย่างไรก็ตาม ดูท่าสองพี่น้องนั่นจะไม่ได้เริ่มสืบจากอาจารย์เก่าๆ แต่ไปหาเบาะแสจากที่อื่นด้วย

...แล้วหาจากไหนล่ะ?

...จากผี?

ต่อให้สืบเรื่องราวจากอาจารย์เก่าๆแล้วรู้ภูมิหลังของอดีตโค้ชสาวจริง แต่ก็ไม่น่ารู้ไปถึงขั้นที่ว่าต้องทำอย่างไรจึงจะทำให้วิญญาณหญิงสาวสงบและไม่ระรานคนอื่นได้นี่นา

หรือสองคนนั้นจะเห็นผีจริงๆ... แถมยังรู้อะไรบางอย่างจากผีด้วย!!

น่าแปลกที่ดวงตาคิดเองได้ถึงขั้นนี้ แสดงให้เห็นว่าสมองของเธอมีพัฒนาการบ้างแล้ว หากแดนรู้เข้าละก็คงถึงกับอุทานออกมาด้วยเสียงดังเกือบร้อยแปดสิบเดซิเบลให้กับปาฏิหารย์ที่มหัศจรรย์ยิ่ง และกินเนสบุ๊คอาจต้องเปลี่ยนชื่อดวงตาออกจากคนซึ่งครองตำแหน่งคนที่มีขี้เลื่อยในสมองเยอะที่สุดในโลกเสียแล้ว

ขอสารภาพตามตรงว่าตอนแรก ดวงตาเองก็คิดว่า DBHO เป็นแค่คนธรรมดา หรือไม่ก็นักต้มตุ๋นด้วยซ้ำ เรื่องที่พวกนั้นบอกว่าเห็นผีเพราะใช้เครื่องมือคล้ายเฮดโฟนกับเครื่องเล่นเอ็มพีสามนั่นก็ไม่มีอะไรพิสูจน์ได้ว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่ ตกลงว่าพวกนั้นจะเป็นแค่นักสืบหรือว่ามีความสามารถอะไรมากกว่านั้น ลำพังแค่คดีง่ายๆที่เพิ่งจะเกิดขึ้นคงไม่สามารถวัดฝีมือของคนทั้งคู่ได้ นอกจากว่าจะมีเรื่องราวปริศนาที่หนักหนาสาหัสและไขได้ยากมากกว่านี้เกิดขึ้นจริงๆ

ใช่แล้ว... ไม่อย่างนั้นแล้วมันจะสนุกตรงไหนล่ะ? ต้องมีคดียากๆแบบในนิยายสืบสวน แล้วให้สองคนนั้นไปสอบปากคำผีหรืออะไรทำนองนั้น ออกจะแฟนตาซีไปหน่อย แต่เพราะเรื่องประหลาดๆที่ผ่านมาก็แฟนตาซีพออยู่แล้ว ดังนั้นหากสองพี่น้อง DBHO จะเป็นร่างทรงหรือมนุษย์ต่างดาวจำแลงกายมาก็คงไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่ ไม่สิ... อันแรกยังพอว่า แต่อันหลังนี่เกินไปหน่อย ขอถอนคำพูดละกัน ไม่อยากคิดว่าตัวเองมีมนุษย์ต่างดาวเป็นเพื่อนร่วมชั้นเรียนหรอกนะ...

กอล์ฟเดินเข้าห้องก่อนคาบเรียนแรกเริ่มต้นไม่นานนัก เขายังคงขี้เกียจแบบเสถียร พูดภาษาชาวบ้านก็คือขี้เกียจแบบคงเส้นคงวา นอนได้นอนดีไม่มีเบื่อ บางคาบก็นอนอ่านการ์ตูนใต้โต๊ะเรียน ในขณะที่หมิวตั้งหน้าตั้งตาฟังที่อาจารย์สอนมากเหลือเกิน พี่น้องที่ต่างกันสุดขั้นคู่นี้น่ะเหรอ ที่จริงๆแล้วคือ DBHO?

หากนึกย้อนไปดีๆแล้ว สองพี่น้อง DBHO กับสองพี่น้อง ฮิปโปโปเตมัส ก็ไม่ต่างกันเท่าไหร่ เรื่องเสื้อผ้ามันเปลี่ยนกันได้ สีผมก็อาจใช้ครีมหรือเจลอะไรสักอย่างทาและจัดทรงได้ เพราะทรงผมของพวกเขาไม่ได้ต่างกันมากนักกับของ DBHO และหากจับพวกนั้นถอดแว่นละก็ หน้าตาก็คงคล้ายกันมากๆ ทั้งรูปร่าง โครงหน้า สีผิว ทุกอย่างเหมือนกันหมด

อย่างไรก็ตาม ด้วยนิสัยที่ต่างกันระหว่างตอนอยู่ในห้องเรียนกับตอนเป็น DBHO และการปลอมแปลงรูปลักษณ์ภายนอกที่เนียนมากชนิดที่หากไม่สังเกตดีๆก็จะมองไม่ออก ทำให้สามารถอนุมานได้ว่าสองคนนั้นคงไม่อยากให้ใครรู้เรื่องที่ตัวเองเป็น DBHO จริงๆ เพราะพวกเขาไม่ได้แกล้งแอ๊บแบบดาราที่ชอบแสร้งเป็นคนไม่อยากทำตัวเด่น อยากมีชีวิตสงบๆเวลาออกไปข้างนอก ไม่มีคนมารุมล้อม พอจะไปไหนมาไหนเลยต้องใส่แว่นกันแดดเหมือนไม่อยากให้ใครจำได้

แต่... อนิจจา แว่นกันแดดนั้นใหญ่และเด่นได้อีก ดุจเป็นสัญลักษณ์ที่ป่าวประกาศให้คนทั้งโลกรู้ว่า ?ฉันกำลังปลอมตัวอยู่? ไม่เพียงเท่านั้น พอมีคนทั่วไปจำหน้าตาดาราพวกนี้ได้แล้วเข้ามารุมขอลายเซ็นหรือถ่ายรูป เหล่าดาราผู้แสร้งอยากมีชีวิตสงบสุขก็จะบอกว่า ?ว้า แย่จัง... จำได้ด้วยเหรอ? อุตส่าห์ใส่แว่นแล้วนะเนี่ย? พูดพลางขยับเลนส์แว่นตาขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางยี่สิบเซนติเมตรเล็กน้อยเพื่อประกอบคำพูดของตน โดยแทบจะกลั้นยิ้มดีใจเอาไว้ไม่อยู่

ไม่เพียงเท่านั้น คนพวกนี้มักชอบใส่แว่นกันแดดใหญ่ๆแพงๆ ดีไซน์แปลกๆ เหมือนจะหรู แต่พอใส่แว่นแล้วดูไปดูมาก็ชวนให้สงสัยว่าตกลงนี่มันคนหรือแมลงวันหัวเขียวกันแน่? แล้วที่ใส่แว่นแบบนั้นเพราะไม่อยากให้คนอื่นจำได้ หรืออยากให้คนอื่นจำได้แต่เล่นละครแกล้งเป็นคนขี้อาย เรียบร้อย แบบพอเป็นพิธีกันนะ?

เลิกวิจารณ์ดารากันก่อนดีกว่า เพราะไม่ใช่ดาราทุกคนที่จะเป็นแบบนี้ หากฝ้ายมาได้ยินเสียงความคิดของดวงตาในตอนนี้เข้าละก็ เธอคงขุดเรื่องดาราสาวเตยมาวิจารณ์แบบสาดเสียเทเสียอีกแน่ น่าสงสารเตยจริงๆ ให้ตายสิ
เอาเป็นว่า ในตอนนี้ไม่มีอะไรแน่ชัดสักอย่าง ทั้งเรื่องตัวจริงของสองพี่น้อง DBHO และความสามารถพิเศษกับอุปกรณ์วิทยาศาสตร์ที่ช่วยให้เห็นผีนั่น ไม่รู้อันไหนจริงเท็จกันแน่

ชักอยากสืบเรื่องของสองพี่น้องฮิปโปโปเตมัสให้ละเอียดซะแล้วสิ...

เมื่อเวลาเลิกเรียนซึ่งดุจเป็นเวลาที่เทพเจ้าประทานลงมาให้เหล่านักเรียนตาดำๆผู้น่าสงสารมาถึง แดนก็รีบวิ่งเข้ามาตบบ่ากอล์ฟ ?ไงเพื่อน ไปเล่นเกมกันมั้ยวะ แบ่งทีมสู้กันเลยไง เอาป่าว?

?เฮ้ย น่าสน ไปด้วยๆ? เด็กแว่นจอมเนิร์ดพยักหน้าอย่างแรง

ดูเหมือนว่านอกจากจะเป็นคนขี้เกียจ ชอบนอน อ่านการ์ตูน หมอนี่ยังเล่นเกมเก่งอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นเกมออนไลนื เกมคอมพิวเตอร์ เกมเพลย์ หรือ PSP อันที่จริงคือเกมทุกชนิดนั่นแหละ สมภาพลักษณ์เด็กเนิร์ดจอมติดเกมทุกรูขุมขนจริงๆ

ส่วนหมิวก็มองพี่ชายด้วยท่าทีเบื่อหน่าย ก่อนจะออกจากห้องเรียนพร้อมกับเพื่อนสาว

เอาละ... ลองไปกับหมิวดีกว่า

ถึงดวงตาจะเป็นคนห้าว แต่เธอก็มั่นใจว่าตัวเองมีความงามพร้อมตามแบบฉบับของเด็กผู้หญิงทั่วไปคนหนึ่ง หากเจ้าตัวพอใจจะคิดเช่นนั้นก็ปล่อยเขาไปเถิด อย่าไปทำลายความคิดเขาเลย แม้ว่ามันฟังดูไม่จริงก็ตาม เอาเป็นว่าอย่างน้อยเธอก็สามารถแกล้งตะโกนบอกพวกหมิวว่า ?พวกเธอจะไปไหนกัน ไปช็อปปิ้งรึเปล่า ฉันไปด้วย!!? ได้อย่างกลมกลืนจนคนอื่นไม่ปฏิเสธละกันน่า

?ดีสิๆ คนเยอะๆจะได้สนุก? หมิวพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มน่ารักราวกับแมวตัวน้อยๆ ดวงตากลมโตภายใต้แว่นยิ่งเบิกกว้างมากขึ้นไปอีก ?เห็นด้วยมั้ยทุกคน? เธอหันไปถามเพื่อนๆในกลุ่ม

?ได้สิ ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว ดีซะอีก คนจะได้เยอะขึ้น ไหนๆก็ไหนๆ ชวนฟ้าไปด้วยเลยดีมั้ย เธอยิ่งป๊อปอยู่ด้วย เป็นดาวเด่นของการแข่งบาสนัดก่อนเลยนี่นา? เมย์ เด็กสาวร่างท้วมไว้ผมสั้นหน้าม้าหันไปกวักมือเรียกสาวเรียบร้อยประจำชมรมบาส ?ฟ้าๆ วันนี้พวกเราจะไปช็อปปิ้งที่ห้างแถวนี้กันน่ะ ดวงตาก็ไปด้วยนะ เธอจะร่วมวงกับเรามั้ย??

ฟ้ามีสีหน้าลำบากใจ ตอนแรกเธอทำท่าจะปฏิเสธ แต่เพราะเหลือบไปเห็นดวงตาและหมิว ด้วยความที่เป็นคนหัวไว เธอจึงเข้าใจในทันทีถึงจุดประสงค์ในการขออาสาไปเที่ยวด้วยของเพื่อนคนนี้

?เอาสิ ถือซะว่าคลายเครียดจากการแข่งครั้งที่แล้ว? เธอหัวเราะและเดินตรงมาร่วมกลุ่มด้วย
หลังจากเดินช้อปปิ้งกันพอหอมปากหอมคอเรียบร้อยแล้ว พวกเธอก็มานั่งสั่งอาหารที่ร้านอาหารฟาสต์ฟูดแห่งหนึ่ง

?จะว่าไป ฉันไม่เห็นเธอกับพี่คุยกันสนิทๆซักครั้งเลยนี่? ดวงตาชวนหมิวคุยหลังจากสวาปาม... ไม่สิ... รับประทานแฮมเบอร์เกอร์ด้วยกิริยามารยาทแบบผู้ดีไปแล้วเรียบร้อย

?ก็พี่ฉันมันงี่เง่านี่นา พูดถึงทีไรก็หงุดหงิดทุกที? หมิวพูดด้วยสีหน้าคล้ายรำคาญคนที่ถูกพาดพิงถึงเล็กน้อย

?แปลว่าเธอไม่เคยพูดจาดีๆกับกอล์ฟเลยเหรอ?? ฟ้าลองตะล่อมถามดู

?ถ้าอีกฝ่ายทำตัวดีก็อยากพูดจาดีๆอยู่หรอก? อีกฝ่ายตอบพลางหยิบมันฝรั่งทอดเข้าปาก

?ว่าแต่... แปลกจัง? ดวงตาพยายามแสร้งทำเป็นประหลาดใจ ?วันก่อนฉันได้ยินเธอเรียกกอล์ฟว่า ?ท่านพี่? นี่นา?

ปล่อยหมัดตรงออกไปแล้ว...

หากนี่เป็นกีฬาฟุตบอล นักกีฬานามว่าดวงตาก็ได้ชูตลูกไปที่ประตูของฝ่ายตรงข้ามแล้ว ทีนี้ก็ต้องมารอลุ้นกันว่าผู้รักษาประตูของฝ่ายตรงข้ามจะตกตะลึงจนรับลูกพลาดหรือไม่

?อ๋อ... บางทีก็มีบ้างอะ เห็นอย่างนั้นแต่ตานั่นก็น้อยใจเป็นเหมือนกันนะ บางทีก็ต้องมีป้อยอบ้าง ถึงไงก็เป็นพี่น้องกันนี่นะ คงไม่มีใครอยากให้ครอบครัวแตกแยกใช่มั้ยล่ะ?? หมิวตอบราวกับเป็นเรื่องปกติ

ลูกชู้ตสุดสวยที่บรรจงเตะไปเมื่อครู่ถูกผู้รักษาประตูปัดทิ้งได้อย่างสวยงาม สาวแว่นตรงหน้าไม่มีท่าทางชะงัก ตกใจ หรือทำท่าครุ่นคิดให้รู้สึกชวนสงสัยหรือผิดปกติเลยแม้แต่น้อย เรียกได้ว่าไม่มีพิรุธหลุดออกมาให้เห็นเลย แถมยังตอบได้เร็วและน้ำเสียงเป็นธรรมชาติมากๆอีกต่างหาก ถ้านี่เป็นการแสดงละครล่ะก็ อีกฝ่ายก็ต้องมีสติที่มั่นคงมาก

?เอ่อ...? ฟ้าทำท่าอยากจะพูดอะไรบางอย่าง นั่นก็คือเรื่องที่หมิวเรียกกอล์ฟว่า ?ท่านพี่? นั้น เหมือนกันกับที่น้องสาวแห่ง DBHO เรียกพี่ชายของตนว่า ?ท่านพี่? มาก จนไม่น่าใช่เรื่องบังเอิญไปได้ แต่หลังจากไตร่ตรองอยู่สักพัก เธอก็ตัดสินใจไม่พูดออกไป และหยิบแก้วน้ำโค้กขึ้นมาดื่มอึกหนึ่ง แล้วเหลือบตามองไปที่ดวงตา ...ดูท่าคงไม่สามารถหลอกถามได้มากกว่านี้อีก

หลังจากนั้น ทุกคนก็พากันแยกย้ายกลับบ้าน หมิวโบกรถแท็กซี่และโบกมือลาเพื่อนๆ หลังจากนั้นฟ้ากับดวงตาก็นั่งรถตู้กลับบ้าน เพราะบ้านของพวกเธออยู่ไม่ไกลกันมากนัก ในขณะที่ดวงตารู้สึกเหมือนตนลืมอะไรบางอย่างไป แต่ก็นึกไม่ออกว่าลืมอะไร เหมือนเธอจะเก็บของอะไรบางอย่างได้ แต่ก็ไม่ค่อยแน่ใจ ช่างมันเถอะ...

?หมิวไม่เผยพิรุธเลยแฮะ? เด็กสาวจอมห้าวพูดขึ้นขณะรถตู้เริ่มแล่นไปตามถนน ?คนอะไรเคี้ยวยากชะมัด?

?แหงล่ะสิ คนนะไม่ใช่หมากฝรั่ง? ฟ้าพยายามเล่นมุข แต่พอคนทั้งรถหันมามองเพราะความแป้กเธอจึงก้มหน้าลงด้วยความเขิน ก่อนจะเริ่มพูดจริงจัง ?ฉันว่าหมิวฉลาดกว่าที่พวกเราคิด คงหลอกล่อให้เค้าหลุดปากพูดออกมาเองหรือคาดคั้นบังคับให้ยอมรับไม่ได้หรอก เพราะอีกฝ่ายตอบมาเนียนขนาดนั้น?

?อื้ม เนียนมาก แต่ที่น่าสงสัยก็คือเรื่องที่เรียกว่า ?ท่านพี่? ตรงกัน นี่แหละ? ดวงตาพูดเหมือนที่ฟ้าคิดเอาไว้ไม่มีผิด ?มันบังเอิญตรงกันมากไปหน่อย แถมรูปร่างหน้าตาคนน้องใน DBHO ก็มีส่วนคล้ายหมิวด้วย?

?เราคงต้องอดทนแล้วล่ะ รอจับผิดไปเรื่อยๆ เหมือนเล่นเกมโฟโต้ฮันท์ไง? ฟ้าพูดอย่างนึกสนุก ดูท่าเด็กสาวจะติดนิสัยแปลกๆมาจากเพื่อนร่วมชมรมผู้นั่งอยู่ข้างๆเธอเสียแล้ว

_____________________

แพรวเดินออกจากโรงเรียนเร็วกว่าเมื่อวาน เธออ้างกับเพื่อนร่วมกลุ่มว่าไม่สบาย เพราะไม่อยากอยู่ดึกมากเกินไป เหตุการณ์เมื่อวานยังคงฝังอยู่ในสมองไม่ยอมลบเลือนออกไปง่ายๆ

แม้จะไม่ถึงขั้นถูกตามไปหลอกหลอนถึงบ้าน แต่เรื่องที่ได้พบเจอก็น่าสะพรึงกลัวมากพอจะทำให้เธอนอนไม่หลับตลอดทั้งคืน รู้สึกอ่อนเพลียและอยากจะอาเจียนออกมา เพราะเด็กสาวไม่ใช่คนร่างกายแข็งแรงมาแต่ไหนแต่ไร ทั้งตัวเล็ก ผิวขาว และร่างผอมบาง ดูราวกับคุณหนูผู้บอบบางที่แค่เอานิ้วแตะเบาๆก็แทบจะแหลกสลายไป

นักเรียนสาวโชกเลือกปริศนาคนนั้น คือใครกัน และทำไมมันต้องคอยเฝ้ามองเธอด้วย?

ระหว่างที่เดินคิดมาตั้งแต่เมื่อครู่ เธอเกือบเดินชนกลุ่มรักเรียนห้องข้างๆ ในตอนนั้นเองที่เธอสังเกตเห็นดวงตา เพื่อนร่วมชั้นสมัยประถมที่ไม่ค่อยสนิทมากนัก ดูท่าอีกฝ่ายจะสังเกตเห็นเธอเหมือนกัน แต่ก็ไมได้ทักทายกันแต่อย่างใด แค่เหลือบมองกันแวบเดียวแล้วเดินจากไปราวกับไม่รู้จักกันมาก่อน เพราะไม่รู้จะคุยอะไร

เพราะไม่เคยมีเพื่อนสนิทมาก่อนเลยกระมัง เด็กสาวจึงรู้สึกเหงาและเศร้าสร้อยเกินบรรยาย

ตอบกลับโพส

ย้อนกลับไปยัง “ก้าวแรก(สู่นักเขียนมืออาชีพ)”