บทที่ 2
การประลองยุทธ์
?ยินดีต้อนรับท่านทั้งหลายสู่โรงประลองแห่งราโทเนส โรงประลองที่ใหญ่ที่สุดในอาณาจักร?
เสียงประกาศของโฆษกหนุ่มผู้ยืนกลางขนาดใหญ่ รายล้อมด้วยอัฒจันทร์สูงตระหง่านบรรจุผู้คนเอาไว้มากกว่าสามพันคน ซึ่งล้วนแล้วแต่ส่งเสียงตะโกนโห่ร้องด้วยความคึกคะนองอย่างที่สุด ด้วยวันนี้เป็นวันสำคัญที่สุดวันหนึ่งของชาวเมือง
ราโทเนส...นามที่ถูกเอ่ยขึ้นในคำประกาศของโฆษกหนุ่มนั้น เป็นนามของเมืองหลวงประจำอาณาจักรโอเดเทลอันเกรียงไกรแห่งตะวันออก เมืองขนาดใหญ่สร้างจากอิฐดินเผาสีขาวทั้งเมือง มีถนนทอดผ่านไปในทุกสัดส่วนของเมืองแห่งนี้ อีกทั้งยังมีคลองแขนงที่ทดมาจากแม่น้ำสายใหญ่ที่ไหล่ลงสู่มหาสมุทรวาเนดิส เพื่ออำนวยความสะดวกในการอุปโภคบริโภคของประชาชนในตัวเมือง
ในเมืองแห่งนี้เป็นที่ตั้งมหาวิทยาลัยทางการศึกษาขนาดใหญ่ อันมีนามว่า ?มหาวิทยาลัยแห่งอาณาจักรโอเดเทล? สถานที่แห่งนี้ถือเป็นแหล่งความรู้ขนาดมโหฬารของคนทางทิศตะวันออก บัณฑิตที่เรียนจบจากวิทยาลัยสาขาในเมืองและแคว้นต่างๆ มักเข้ามาศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยแห่งนี้เพื่อเข้าเป็นราชบัณฑิตในราชสำนักต่อไป
ซึ่งมหาวิทยาลัยแห่งนี้ต้องหยุดชะงักการสอนไปเกือบปีในตอนที่มีการกบฏชิงเมืองเกิดขึ้น แต่ในเวลานี้เหล่าบัณฑิตทั้งชายหญิงต่างก็ได้เข้ามาศึกษาหาความรู้กันอีกครั้ง หลังมีประกาศเปิดการศึกษาและรับบัณฑิตใหม่ตามหนังสือสั่งของท่านชายมิคาเอล บราฮิวโนส โคนาส
ด้านในสุดของเมืองสูงเหนือพื้นที่ตั้งบ้านเรือนของประชาชนเป็นสัดส่วนลดหลั่นกันดูสวยงามนั้นคือ พระราชวังโอเดล พระราชวังสีขาวสร้างจากหินอ่อนชั้นดีทั้งหลังตั้งแต่พื้นจนถึงยอดหอคอยที่สูงที่สุด ล้อมรอบด้วยกำแพงหินอ่อนสีขาวอันเงางามสามารถฉายเงาผู้คนได้อย่างเด่นชัด แลเป็นที่ตั้งหอสังเกตการณ์มากถึงสิบสองหอห่างกันราวห้าร้อยเมตร มีทหารคอยเฝ้าดูแลอย่างแข็งขันตลอดเวลาทั้งกลางวันและกลางคืน
ภายในกำแพงหินอ่อนนั้นอัดแน่นด้วยดินเหนี่ยวชั้นเยี่ยมเสริมเหล็กหนาป้องกันการทำลายด้วยปืนใหญ่ดินดำ ประตูพระราชวังทั้งแปดทิศเองก็สร้างจากไม้โอ๊คอันแข็งแรงมากเกือบหนึ่งพันต้น เนื้อในนั้นสอดแทรกด้วยแผ่นเหล็กทั้งชิ้นหนาเกือบหกนิ้ว น้ำหนักมากขนาดที่ต้องอาศัยแรงวัวลากดึงในยามต้องเปิดประตู ด้วยต้องใช้กำลังมากขนาดนี้เองจึงมีเพียงประตูจตุทิศเท่านั้นที่จะถูกเปิด และเหลือเพียงประตูทักษิณทิศเท่านั้นที่เปิดทิ้งไว้ในยามค่ำคืน
ในรั่วพระราชวังนั้นประกอบด้วยหมู่ตึกมากมายรายล้อมปราสาทสูงตระหง่าน ดังสร้างขึ้นเพื่อให้เทียมทันชั้นฟ้าเบื้องบน แล้วล้อมกรอบแต่ละชั้นด้วยลานกว้างขนาดใหญ่ให้ขุนนางชั้นสูงเรื่อยไปจนถึงทหารยามชั้นเลวได้ใช้ฝึกฝีมือ
พระราชวังโอเดลแห่งนี้นับเป็นหนึ่งในพระราชวังที่สวยที่สุดในดินแดนทางตะวันออก และเป็นพระราชวังเพียงหนึ่งเดียวที่รอดพ้นจากการทำลายล้างของกองทัพกบฏ ซึ่งเสียดายในความงามของสถานที่แห่งนี้จนมิอาจหาญเผาทำลายให้สิ้นซากลงได้ มันเป็นสถานที่พำนักในปัจจุบันของท่านชายผู้ยิ่งใหญ่ผู้นั้น
ไม่เพียงเท่านั้นยังเป็นสถานที่ตั้งวิหารขนาดใหญ่ที่สุดในตะวันออก ซึ่งถูกสร้างขึ้นเพื่อบูชาเจ้าแม่แห่งปฐพีผู้มีเมตตาดังมารดาผู้ให้กำเนิด นับเป็นวิหารพรหมจารีอันยิ่งใหญ่มักใช้เป็นสถานที่ประกอบพิธีสำคัญต่างๆ เสมอ เมื่อคราวที่กบฏชิงเมืองเข้ายึดเมืองหลวงใหม่ๆ นั้น ก็ใช้วิหารแห่งนี้ในการปราบดาผู้นำของตนเองขึ้นเป็นกษัตริย์ อีกทั้งยังเป็นสถานที่ที่ท่านชายผู้รักษาเมืองสาบานตนว่าจะดูแลเมืองแลอาณาจักรด้วยความสัตย์ซื่ออีกด้วย
นับแต่วันที่ท่านชายมิคาเอล บราฮิวโนส โคนาสขึ้นรักษาเมืองแทนตามคำเชิญของสภาอภิมนตรีนั้น รัฐบุรุษหนุ่มได้ทำนุบำรุงบ้านเมืองแลอาณาประชาราษฎร์มาเป็นอย่างดี เมืองราโทเนสกลายเป็นเมืองน่าอยู่ที่สุดในอันดับต้นๆ ของอาณาจักร
หากมิติดว่าสายโลหิตฝั่งหม่อมเจ้ามารดานั้นเป็นเพียงสามัญชนแล้ว ท่านชายผู้นี้คงจะเป็นผู้หนึ่งที่ได้รับเลือกเข้าสภาพิจารณาตำแหน่งสมเด็จพระรามาธิบดี และมิแน่ว่าอาจจะได้ครองพระยศนั้นด้วยท่านกระทำคุณงามความชอบไว้มากมายแต่ครั้งยังเป็นแม่ทัพรับศึกที่ชายแดน
ครั้นเมื่อเกิดการลอบสังหารรัฐบุรุษมิคาเอลผู้นี้เป็นครั้งแรกที่วิหารพรหมจารีหลวง โดยนักฆ่าผู้ชาญวิชาเกาทัณฑ์คนหนึ่ง ซึ่งในครั้งนั้นนักฆ่ามิได้ขึ้นสายคลาดคราจากท่านชายเลยสักนิด หากแต่บุรุษหนุ่มก็รอดมาได้เพราะก้มลงลูบกระหม่อมเด็กน้อยผู้หนึ่ง ยังผลให้นักฆ่าผู้หมายชีพท่านชายต้องหลบหนีเจ้าพนักงานอาญาประจำเมืองหัวซุกหัวซุน ก่อนถูกพบในสภาพเป็นศพอยู่ก้นเหวกลางป่าลึก
ถึงแม้ว่ากรมอาญาจะเร่งจัดหาองครักษ์ฝีมือดีเข้ามารักษาความปลอดภัยแก่ท่านชาย แต่อันตรายจากการลอบสังหารก็เกิดอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งครั้งที่ใหญ่ที่สุดคือ คราวเดินทางไปยังเมืองกาโรธ ในครั้งนั้นกองกำลังไม่ทราบฝ่ายซุ้มโจมตีขบวนของท่านชายเป็นเหตุให้ต้องเสียกำลังพลไปเป็นอันมาก ดังนั้นเมื่อผู้เป็นรัฐาธิปัตย์(ผู้ปกครอง)กลับมายังเมืองหลวงจึงมีคำสั่งให้จัดงานประลองคัดเลือกผู้กล้าขึ้นมา
โดยการประลองครั้งนี้จัดให้มีการคัดเลือกคนฝีมือดีมาแต่นอกเมือง ผู้ที่ชนะเลิศจากเมืองและแคว้นต่างๆ จะต้องเข้ามาชิงชัยในรอบสุดท้ายในเมืองราโทเนสอันยิ่งใหญ่แห่งนี้ เพื่อการนั้นจึงมีการปลูกสร้างโรงประลองขนาดใหญ่บนพื้นที่โล่งรกร้างทางตะวันออกของเมือง แลจัดให้โรงเตี๋ยมต่างๆ เป็นที่พักของผู้เข้าประลองเหล่านั้นอย่างสะดวกสบาย
ทว่าท่ามกลางผู้กล้าที่ชนะเลิศมาจากเมืองและแคว้นต่างๆ กว่าร้อยคนนั้น มีผู้หนึ่งที่ยืนหยัดขึ้นมาอย่างโดดเด่นท่ามกลางความกังขาของคนอื่นๆ เป็นที่ยิ่ง คนผู้นั้นได้รับสิทธิพิเศษเพราะชนะเลิศการประลองในเมืองคาล์ทาเลย์ เมืองแห่งทรชนเดนนรกที่กระทั่งคนปัญญาอ่อนก็มิอยากเข้าใกล้ ทำให้ได้ไปยืนรออยู่ในการประลองรอบชนะผ่าน โดยไม่ต้องต่อสู้แบบพบกันหมดในช่วงแรกของการคัดเลือกในเมืองหลวง
ซึ่งเพียงแค่คนทั้งหลายได้เห็นนามของผู้นี้แล้วก็ให้กังขานัก และยิ่งหนักมากขึ้นเมื่อเพศที่ระบุเอาไว้บนกระดานประกาศนามนักสู้ก็คือ เพศหญิง!
ร่างสง่าในอาภรณ์เยี่ยงบุรุษเดินตามเสียงโห่ร้องอย่างคึกคะนองของผู้คนมุ่งหน้าสู่โรงประลองอย่างไม่รีบร้อน ร่างอรชรที่แหวกผ่านหมู่ผู้คนไปนั้นยังความสนใจให้พวกเขาเป็นที่ยิ่ง ทว่าด้วยแรงกดดันหรือรัศมีอันใดจากเธอมิอาจทราบ ทำให้ปวงประชาทั้งชายหญิงไม่เว้นเด็กเล็กต้องหลีกทางให้โดยมิต้องเอ่ยวาจา ครั้นมองหน้างามที่ประดับเด่นด้วยดวงตาสีแดงฉานนั้นแล้ว ก็ให้รู้สึกหนาวสันหลังวาบคล้ายวิญญาณถูกกระชากออกไปก็มิปาน
มิมีใครรู้ว่าร่างบางคนนี้เป็นใคร...
พวกเขารู้แต่เพียงว่าหากเข้าใกล้เธอแม้เพียงครึ่งนิ้วชีวิตก็คงจะหาไม่ไปในบัดดล...
ผู้คนแหวกออกเช่นนั้นไปตลอดทางที่ร่างบางเคลื่อนผ่าน แม้เธอจะมิได้สูงไปกว่าไหล่บุรุษฉกรรจ์คนหนึ่ง แต่เพียงดวงตาสีโลหิตคู่งามเคลื่อนมองก็สร้างความกลัวให้เป็นที่สุดแล้ว และไม่นานหลังจากนั้นร่างสง่าผมยาวสีดำรวบรัดเป็นหางม้าก็มายืนในที่พักนักสู้หนึ่ง โดยมีสายตาของบุรุษทั้งหลายทอดมองด้วยความประหลาดใจ
?แม่นางน้อย เจ้าลงมาแต่ที่ใดจึงไม่รู้ว่าที่นี่คือ ที่พักนักสู้น่ะ? หนึ่งในผู้เข้าประลองเอ่ยถามขึ้น
ทว่าร่างนั้นยังคงนิ่งหาตอบสิ่งใดไม่ นักสู้ชายจึงได้แต่หยักไหล่ปล่อยให้เธอยืนอยู่ตรงนั้นเงียบๆ ในขณะที่โฆษกยังพร่ำพากษ์ถึงจุดประสงค์ของการประลองนี้มิได้หยุด
ในชั่วครู่ที่ดวงตาสีแดงฉานหลับลงเธอก็สัมผัสถึงจิตหนึ่งที่มุ่งตรงมาได้ จิตนั้นมิได้เป็นจิตสังหารหากแต่เป็นจิตที่เกิดจากความสนใจใคร่รู้อย่างสุดซึ่ง เธอจึงเบิกตาขึ้นกวาดมองไปทุกซุ้มที่พักนักสู่จนได้ประสพพบคนผู้หนึ่งซึ่งยืนอยู่ตรงข้ามคนละฝากสนาม คนผู้นั้นสวมใส่หน้ากากสีขาวปกปิดทั้งใบหน้ามองไม่ออกว่าเป็นใคร แต่ร่างสูงใหญ่และไหล่กว้างผึงผายนั้นก็บอกได้ดีว่าเป็นบุรุษ แล้วไฉนจิตแห่งความสนใจของคนผู้นั้นจึงมุ่งตรงมาหาเธอได้เล่า
การจ้องสบตากันและกันดำเนินไปสักครู่ใหญ่ และเป็นร่างบางที่เคลื่อนตาไปมองโฆษกฝีปากกล้ากลางสนามก่อน เมื่อเขาเริ่มประกาศชื่อนักสู่ที่ต้องประลองคู่แรกของรอบการชนะผ่าน
?...เมื่อทุกท่านได้ทราบจุดประสงค์ของการจัดการประลองแล้ว ดังนั้นข้าน้อยจะขอเรียกนักสู้คู่แรกออกมาเดี๋ยวนี้...ฝ่ายตะวันออก มาร์ค บรานาส!!?
ชายสวมหน้ากากที่หมายตามองร่างบางในตอนแรกก้าวออกมากลางสนาม พร้อมกับดาบรูปร่างเพรียวบางแต่คมปลาบเล่มหนึ่ง เสียงโห่ร้องของผู้คนดังกระหึ่มก้องตะโกนบอกให้ ?ฆ่ามัน? ผู้เป็นอริให้จงได้
โฆษกหนุ่มผู้มีมารยาทรอจนกระทั่งเสียงซาลงเสียก่อนจึงค่อยประกาศนามอันเป็นที่น่ากังขาที่สุดออกมา
?...และ...ฝ่ายตะวันตก เอรีอา นีโอเลียส!!?
แทนที่จะมีเสียงโห่ร้องของผู้ชมดังสำทับข่มขวัญนักสู้ที่รออยู่ ทุกเสียงกลับเงียบสกัดลงด้วยความประหลาดใจในนามนั้นเป็นอย่างยิ่ง เพราะนามที่เอ่ยมาแลผู้เป็นเจ้าของนามนั้นก็คือ สตรี
ร่างบางในอาภรณ์อย่างบุรุษเดินออกมาจากซุ้มที่พักนักสู้ที่ยืนอยู่ มาเผชิญหน้ากับชายสวมหน้ากากคนนั้นอย่างไม่ขลาดกลัว แลหาได้สนใจเสียงพึมพำที่ดังงึมงำด้วยความสนเท่ในเพศของนักสู้ฝ่ายตะวันตกเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งแม้แต่โฆษกหนุ่มเองก็ให้ประหลาดใจดุจเดียวกัน หากแต่มิใช่ในความเป็นสตรีของร่างบาง ทว่าเพราะเธอมิได้ถืออาวุธอันใดติดมือมาเลย
?แม่นางเอ๋ย ไม่มีอาวุธหรืออย่างไร ทำไมจึงไม่แจ้งแก่กรรมการให้จัดหามาให้เล่า? เขาถาม
?ไม่จำเป็นค่ะ ศัสตราใดคงใช้ในการประลองที่ห้ามตายนี้มิได้ คงจะต้องสู้ด้วยสองมือเปล่านี้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น? เอรีอาตอบนิ่งๆ แต่ยังความอัศจรรย์ใจแก่ผู้ฟังนัก
?สองมือหรือ แล้วตอนที่ประลองเข้ามาที่นี่ไม่ได้ใช้อาวุธเลยรึ? โฆษกหนุ่มถามด้วยความทึ้ง
?ใช่ค่ะ แปลกหรือที่ข้าสู้โดยใช้เพียงมือเปล่า? เอรีอาถามกลับ
แม้ใบหน้าจะนิ่งสนิทแต่ดวงตานั้นกลับออกได้ดีถึงความจริงที่เธอเคยพบเจอ ในตอนที่เข้าประลองคัดเลือกที่เมืองคาล์ทาเลย์นั้น เธอแทบจะมิได้เคลื่อนไหวตัวเลยเสียด้วยซ้ำ จะทำก็เพียงเคลื่อนกายลงสู่สนามมองภาพนักสู้ฝ่ายตรงข้ามทั้งหมดวิ่งหนีไปด้วยความหวาดกลัว ด้วยพวกเขาในเมืองเดนนรกนั้นรู้ซึ้งซึ่งกิตติศัพท์ของเธอเป็นอย่างดี ไม่มีใครปรารถนาจะเอาชีวิตเข้าแลกเพื่อให้ได้ใกล้ชิดกับรัฐาธิปัตย์แห่งโอเดเทลเลยสักคน
แต่ถึงแม้ว่าในเมืองคาล์ทาเลย์ที่รู้กิตติศัพท์ของเธอจะกลัวเกรง ทว่าที่นี่เธอได้พบกับข้อกังขาจากคนทั้งหลายทั้งในเรื่องของความสามารถและพละกำลัง เพียงมินานทั้งนักสู่แลผู้ชมก็เริ่มเปล่งเสียงหัวเราะหยามเหยียดกันแล้ว
?เฮ้อ...เมื่อท่านกล่าวเช่นนั้นข้าก็มิอาจห้ามสิ่งใดได้อีก? โฆษกหนุ่มถอนใจเสียเฮือกใหญ่ ?ท่านกรรมการเชิญขอรับ หน้าที่ของท่านแล้ว?
ชายหนุ่มเคลื่อนตัวออกไปในขณะที่กรรมการวัยกลางคนเข้ามาแทนที่ เขาหันมองนักสู้นาม ?มาร์ค บรานาส? ด้วยสายตาพิจารณาสักครู่ แล้วเลื่อนสายตาแบบเดียวกันมามองเอรีอา คล้ายกับกำลังคำนวณเวลาว่าการประลองนี้จะจบลงด้วยความพ่ายแพ้ของเธอเมื่อใด
และถึงแม้ว่าจะสังเกตเห็นสายตาที่มองมาอย่างไม่ปกปิดของกรรมการเฒ่า แต่สายตาของเอรีอากลับถูกร่างสูงตรงหน้าตรึงนิ่งเอาไว้จนไม่อาจละ ชายคนนี้มีบางสิ่งบางอย่างที่ทำให้เธอหลบตามามิได้ ดังว่ามีเวทมนต์ให้สายตาสบนิ่งที่ชายคนนี้ก็มิปาน
?การประลองครั้งนี้กำหนดหนึ่งยกในเวลาสามสิบนาที แต่ห้ามเกิดการตายในสนามประลองแห่งนี้เป็นอันขาด ทั้งสองฝ่ายเข้าใจแล้วหรือไม่?
ไร้เสียงตอบจากคนทั้งคู่ กรรมการจึงมือขึ้นสูงแล้วฟันลงกลางอาการเป็นสัญญาณเริ่มการต่อสู้
?เริ่มได้!!!?
แม้ขาดเสียงของกรรมการไปนานแล้วแต่การต่อสู้ของทั้งสองฝ่ายก็ยังไม่เริ่มต้นขึ้น ต่างฝ่ายต่างก็มองจ้องหน้าของกันและกันยิ่ง คล้ายจะใช้ญาณจิตทำลายอีกฝ่ายให้พังภินฑ์ ไปก็มิปาน
สายลมเริ่มพรายพัดอ่อนๆ ท่ามกลางความเงียบสงบอันสุดแสนจะกดดัน ผู้ชมมากกว่าสามพันคนต่างก็มองนักสู้ตรงกลางสนามนั้นด้วยความแปลกใจ เสียงซุบซิบนินทาว่าทำไมการต่อสู้จึงยังเกิดขึ้นเสียที แต่จะเสียงนั้นจะสะกิดจิตการต่อสู้ของทั้งสองฝ่ายให้ลุกโชนขึ้นก็หาไม่ ต่างยังนิ่งคล้ายกำลังรอสิ่งอันใดมาเป็นสัญญาณเริ่มต้นการต่อสู้อีกครั้ง
ใบไม้ถูกกระชากจากต้นมารดาพลิ้วผกตามสายลมพัดเอื่อยลงสู่สนามประลอง ในตอนนี้เองที่มีการเคลื่อนไหวจากนักสู้ทั้งสอง คนหนึ่งตั้งท่าเหน็บดาบที่ข้างเอว ในขณะที่อีกคนหนึ่งยกสองมือเปล่าขึ้นตั้งการ์ดพร้อมรับมือ กรรมการผู้ให้สัญญาณในตอนแรกต้องรีบผละถอย ด้วยรู้ว่า การต่อสู้ของคู่แรกนี้จะดุเดือดยิ่งกว่าที่เห็นนัก
แผ่นใบไม้สีเขียวแกมเหลืองผกพลิ้วตามลงมาตกลงระหว่างนักสู่ ทันใดนั้นเป็นฝ่ายมาร์คที่สะบัดดาบเข้าใส่เอรีอาอย่างรวดเร็ว ทว่าสายตาของนักฆ่าสาวก็ยังมองเห็นปลายดาบที่ตวัดเข้ามาใกล้ เธอดึงตัวถอยออกมาด้านหลังหลบดาบนั้นได้อย่างฉิวเฉียด ก่อนจะหมุนตัวตวัดเท้าหมายฟาดที่ใบหน้าอีกฝ่ายให้ล้มร่วงลงไปกองกับพื้น
ดาบถูกตวัดกลับมาอีกครั้งเป็นการป้องกันตัวเอง เอรีอาจำต้องหลีกตัวถอยออกมาตั้งหลักเสียใหม่ ใจนั้นคิดคำนวณความยาวของช่วงแขนและตัวดาบของอริ แล้วเปรียบเทียบกับรัศมีการเตะฟาดด้วยสองเท้าและชกอัดด้วยสองมือ ระยะทั้งคู่นั้นแตกต่างกันมากนัก...แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีทางชนะ
เอรีอาสืบเท้าเข้าหานักสู้มาร์คอย่างรวดเร็ว ก่อนร่างของเธอจะเลื่อนหายไปราวกับภาพมายายังความประหลาดใจแก่คนทุกผู้เป็นอย่างยิ่ง แต่บุรุษสวมหน้ากากหรือจะหวั่นใจในสิ่งที่เกิดขึ้น เขาตั้งดาบรอพร้อมสู้พร้อมหลับตาลงเพื่อใช้จิตสัมผัสพิเศษในการหาตัวหญิงสาว ทว่าเขาก็พบว่า การหาตัวเธอที่เคลื่อนไหวด้วยความเร็วดังสายลมเพราะอำนาจวิเศษนั้น ช่างเป็นเรื่องยากยิ่งเข็นครกขึ้นภูเขาเลยทีเดียว
แรงอัดกระแทกหนึ่งพุ่งชนเข้าที่สีข้างของบุรุษสวมหน้ากากอย่างแรง เป็นผลให้เขาต้องกระเด็นออกไปตามแรงนั้นเกือบสองหลา ทว่าในเสี้ยววินาทีที่ร่างลอยออกไปเขาก็วาดดาบใส่ผู้โจมตีในทันที หญิงสาวต้องรีบรั้งตัวออกห่าง ก่อนปลายดาบจะได้สัมผัสใบหน้าแล้วลูบแก้มปลั่งด้วยความพอใจอย่างที่สุด
?เก่งจัง ไม่ได้เจอใครแบบนี้มานานแล้ว? เอรีอาเอ่ยชม
แล้วเธอก็พุ่งตรงไปหาบุรุษสวมหน้ากากผู้นั้นอีกครั้ง สองมือกำแน่นแล้วเข้าประชิดก่อนอีกฝ่ายจะได้ตั้งรับ เหวี่ยงหมัดอัดเข้าที่ช่องท้องและปลายคางของเขาเสียหลายหมัด ยังผลให้เขาต้องล่าถอยออกไปพร้อมกับความจุก หน้ากากของเขาเริ่มแตกร้าวเผยแก้มสีแทนที่ซ่อนอยู่ภายใน นั่นทำให้เรียวปากของเธอยกยิ้มขึ้นทันที
?ข้าจะถอดหน้ากากนั้นออกมาให้ได้เลยคอยดู? เอรีอาชี้หน้าบอกอีกฝ่าย
มาร์คฟังคำพูดนั้นแล้วก็นิ่งไปสักครู่ จากนั้นจึงลุกขึ้นขยับหน้ากากให้กระชับแน่นขึ้นกว่าเก่า เพราะแววตาของอีกฝ่ายบอกได้อย่างดีว่าจะลงมือกระทำตามคำพูดจริงๆ เขาโบกสะบัดดาบเป็นสัญญาณบอกเจตนารมณ์จะไม่ยอมตกเป็นเหยื่อแต่ฝ่ายเดียวให้เอรีอาได้เห็นอย่างชัดเจน ซึ่งหญิงสาวก็เพียงยิ้มน้อยๆ ด้วยความสุขแล้วตั้งหมัดในท่าพร้อมรับอีกครั้ง นี่ถือเป็นการท้าทายบุรุษสวมหน้ากากอย่างตรงไปตรงมาเลยทีเดียว
ดาบถูกโบกสะบัดพร้อมกับร่างที่พุ่งตรงมาหาเอรีอา หญิงสาวจับตานิ่งที่ร่างนั้นพร้อมคาดเดาว่าดาบจะถูกฟาดมาแบบใด ซึ่งมาร์คตวัดดาบเฉียงขึ้นหมายปาดในท่าสะพายแล่ง เอรีอาจึงเบี่ยงตัวหลบไปด้านข้างในทิศทางเดียว ทว่าในตอนนั้นเองที่มาร์คหยุดดาบของตัวเองแล้วเตะเข้าที่สีข้างของเธออย่างแรง
?โอ๊ย!?
หญิงสาวร้องด้วยความเจ็บในขณะที่ร่างกระเด็นออกมา แต่เธอก็ยังเร็วมากพอยันมือลงพื้นดีดตัวกลับขึ้นมาตั้งท่าใหม่ ซึ่งในวินาทีที่ยืนได้เธอก็ต้องเอี่ยวตัวหลบดาบของมาร์คอีกครั้ง มันเป็นการหลบด้วยความเร็วที่ออกจะฉิวเฉียดอยู่สักหน่อย เพราะดาบที่สะบัดมานั้นเร็วเสียจนเธอต้องใช้จิตสัมผัสช่วยในการจับทิศ ทั้งๆ ที่คนผู้นี้เป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาแต่กลับตวัดดาบได้ต้อนเธอได้ถึงเพียงนี้ แสดงว่าจะต้องชาญการต่อสู้ไม่น้อยเลยทีเดียว...เขาเก่งเสียจนเธอยังมองหาช่องทางสวนคืนไม่ได้เลย
ทว่าโอกาสก็มาถึงเมื่อมาร์คกระชากดาบเงื้อสูงจนเกินไป เอรีอาจึงแทรกตัวเข้าใกล้แล้วกระแทกศอกเข้าที่ช่องท้องของเขาเต็มแรง ไม่เพียงเท่านั้นเธอยังเสริมความหนักหน่วงด้วยมนตราของตัวเอง จนร่างของชายสวมหน้ากากลอยหวือไปกระแทกกับแผงกั้นอัฒจันทร์ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามอย่างแรง เสียงฮือฮาของผู้ชมดังขึ้นทันทีที่ได้เห็นเช่นนั้น ก่อนพวกเขาจะเริ่มโห่ร้องเป็นรางวัลของการต่อสู่อันน่าประทับใจ
ร่างบางเคลื่อนกายไปหยุดนิ่งตรงหน้ามาร์ค ซึ่งบัดนี้หมดสติใบหน้าสบอยู่กับไหล่นิ่ง แล้วยื่นมือลงไปเพื่อถอดหน้ากากของชายคนนี้ออก ทว่าในตอนนั้นเองที่ร่างที่ดูหมดสติเมื่อครู่ขยับไหวส่งดาบขึ้นมาหมายเสียบคอของเธอ!
?หมดเวลาการประลอง ทั้งสองฝ่ายหยุดเดี๋ยวนี้!!!?
เสียงประกาศหมดเวลาของกรรมการเฒ่าดังกระหึ่ม ผู้ชมทั้งหลายต่างรีบมองว่ามีสิ่งใดเกิดขึ้นกับนักสู้ทั้งหรือไม่ ด้วยคำประกาศนั้นดังขึ้นกลางคันระหว่างที่มาร์คกำลังโจมตีเอรีอา
และสิ่งที่พวกเขาได้เห็นก็คือ หญิงสาวจับปลายดาบของชายหนุ่มเอาไว้ด้วยมืดเปล่า ในขณะที่มือข้างหนึ่งหยุดชะงักห่างจากหน้ากากของอริเพียงไม่กี่เซนติเมตร ดูเหมือนว่าเธอจะรับดาบเอาไว้แล้วพยายามเอื้อมมือไปดึงหน้ากากออกมา แต่กรรมการกลับประกาศหมดเวลาเสียก่อน ยังความสงสัยแก่คนทั้งหลายว่า ผลตัดสินจะออกมาเป็นเช่นไร
?น่าเสียดายที่เวลาหมดเสียก่อนนะ ไม่อย่างนั้นคงจะถอดหน้ากากของเจ้าออกมาได้จริงๆ?
เอรีอาพูดพร้อมกับละมือเปื้อนเลือดออกมาจากดาบ จากนั้นเธอก็เดินไปยืนข้างกรรมการที่กลับมาประจำอยู่กลางสนาม ซึ่งมาร์คก็ตามมายืนอยู่ฝั่งตรงข้ามกัน ในขณะทุกคนกำลังเงียบฟังคำตัดสินของกรรมการ
?เนื่องด้วยทั้งสองต่างได้รับบาดเจ็บและไม่อาจหาผลแพ้ชนะกันได้ในครั้งเดียว จึงขอตัดสินว่า ทั้งสองฝ่ายเสมอกัน!?
เป็นอีกครั้งที่เสียงโห่ร้องดังขึ้นเพื่อชื่นชมนักสู้ทั้งสองอีกครั้ง เพราะเพียงแค่คู่แรกลงสู่สนามประลองก็สู้กันได้อย่างดุเดือดแล้ว ซึ่งไม่นานนักเสียงเรียกนามของเอรีอาก็ดังทั่วสนามเป็นการชมเชยในความสามารถที่มี สตรีเพียงคนเดียวที่หาญกล้าเข้ามาประลองกับบุรุษ และทำได้ดีถึงขนาดเสมอกับชายที่มีร่างกายสูงใหญ่และแข็งแรงกว่า
แต่ร่างบางจะใส่ใจเสียงนั้นก็หาไม่ เธอเพียงหันหลังเดินกลับออกไปจากสนามอย่างไม่อนาทรร้อนใจในบาดแผลที่มือเลย ทว่าก่อนจะเดินเข้าไปนั่งพักในซุ้มนักสู้ที่มองด้วยความอัศจรรย์ใจนั้น สองเท้าของเธอก็ชะงักนิ่งแล้วจึงถอนใจ จากนั้นก็เดินออกไปตามทางสู่ทางเดินด้านนอกที่ใช้เข้าในสนามประลอง คล้ายกับว่าเปลี่ยนใจหาสถานที่พักใหม่แล้ว
ทว่าแทนที่เอรีอาจะเดินกลับที่พักอันเป็นโรงเตี๋ยมหรูที่ทางกรมเมืองจัดให้ เธอกลับเลือกเดินมุ่งสู่ทางเปลี่ยวปราศจากผู้คนแห่งหนึ่ง ซึ่งตลอดทางนั้นหยาดเลือดสีแดงฉานหยดลงบนพื้นสีขาว ยังความประหลาดใจแก่คนที่พบเป็นยิ่งนัก แต่ก็หามีผู้ใดเข้ามาช่วยเหลือทำแผลฉกรรจ์ที่มือของเธอก็หาไม่ ด้วยต่างก็หวั่นเกรงในรัศมีอำนาจที่อีกฝ่ายแผ่กระจายออกมาอย่างชัดเจน รัศมีแห่งความไม่พอใจที่กดดันที่สุดเท่าที่พวกเขาทั้งหลายเคยพบมา
ในที่สุดร่างบางก็มาหยุดยืนตรงทางตันหนึ่ง มันเป็นสถานที่แห่งหนึ่งที่ควรหลีกเลี่ยงเพราะจะหนีได้ยากในยามเกิดภัย แต่เอรีอาก็ทอดถอนลมหายใจแล้วหันกลับมาเบื้องหลัง ซึ่งชายสวมหน้ากากผู้เป็นคู่ประลองยืนอยู่ไม่ห่างนัก
?ต้องการสิ่งใดจากข้า? ร่างบางถามก่อน
?แผลของเจ้า? อีกฝ่ายตอบมา
?อ๋อ นี่เหรอ อย่าใส่ใจเลย? เอรีอาบอกพลางยกมือเปื้อนเลือดมาดูแบบไม่อนาทรเสียเท่าใด ?เจ้าต่างหากที่ต้องใส่ใจตัวเอง ถูกข้าอัดกระแทกจนกระเด็นออกไปขนาดนั้นคงช้ำไปหลายวัน?
?ขอบคุณที่เป็นห่วง แต่ข้าห่วงเจ้าเสียมากกว่า?
มาร์คเคลื่อนกายเข้ามาใกล้แล้วดึงมือมีบาดแผลของเอรีอาไปเช็ดห้ามเลือด เอรีอามองการกระทำของอีกฝ่ายเงียบๆ แล้วนึกแปลกใจที่มือใหญ่ดูแข็งแกร่งคู่นี้กลับปฏิบัติต่อเธอได้อย่างนุ่มนวลนัก ทุกปลายนิ้วสัมผัสล้วนให้แต่ความรู้สึกนุ่มนวลไม่เจ็บแสบเลยสักเล็กน้อย
?ข้าใคร่ถามเจ้าสักเรื่อง? มาร์คเปิดปากอีกครั้ง
?เชิญสิ? เอรีอาบอก ?หากข้าตอบได้ข้าจะยินดีตอบ?
?ทำไมนักฆ่าอย่างเจ้าถึงคิดมาประลองเป็นองครักษ์กับเขาด้วยล่ะ?
คำถามนั้นทำให้เอรีอาถึงกับชะงัก ก่อนเธอจะออกแรงสะบัดมือของเขาออกไป ทว่ามือใหญ่ก็ล่วงรู้ถึงการนั้นแล้วยึดมือเธอไว้ไม่ยอมปล่อย ความเจ็บปวดที่ลืมไปเมื่อสักครู่จึงก่อบังเกิดขึ้นทันทีที่เขาออกแรงบีบ ดวงตาสีแดงของเอรีอาสบประสานกับดวงตาสีดำขลับภายใต้หน้ากากของมาร์คนิ่ง กรามของเธอขบแน่นด้วยความรู้สึกที่พลุ่งพล่านทั้งจากความโกรธและตกใจ
แต่ถึงอย่างนั้นหญิงสาวก็ยังแสดงออกอย่างนิ่งสงบ
?ทำไมถึงบอกว่า ข้าเป็นนักฆ่า ล่ะ? เธอถามกลับ ?ข้าเป็นเพียงผู้หญิงคนหนึ่งที่ได้สิทธิเข้าประลองเท่านั้นเองนะ?
?คิดหรือว่าข้าจะเชื่อน้ำคำของเจ้าง่ายๆ น่ะ? อีกฝ่ายพูดอย่างเหยาะหยัน ?ในตอนที่ได้ชื่อของเจ้าส่งมาข้าก็พยายามบอกตัวเองว่า ไม่น่าจะใช่ตระกูลเดียวกัน แต่เมื่อได้ประลองกับเจ้าแล้วข้าก็แน่ใจทันทีว่าเจ้าเป็นนักฆ่า?
?อะไรคือ ข้อพิสูจน์ของเจ้า? เอรีอาสวนคำถามกลับไปทันที
หยาดน้ำเหนี่ยวข้นไหลตามมือนุ่มลงสู่พื้นเบื้องล่างอย่างไม่ได้รับการสนใจ ด้วยสายตาของคนทั้งคู่นั้นสบประสานกันนิ่งดังจะใช้จิตปลิดชีพให้หายกันไปข้างหนึ่ง
?ข้อพิสูจน์ของข้าคือ สกุลตระกูลของเจ้าและอำนาจวิเศษที่มนุษย์ธรรมดาไม่มีสิทธิได้ถือครอง?
ชายสวมหน้ากากตอบพร้อมรวบร่างบางเข้ามาแนบชิด เมื่อเธอเริ่มขยับตัวเตรียมสะบัดกายออกห่าง
?ทั้งโลกใบนี้ก็มีเพียงสองตระกูลเท่านั้นที่ได้ถือครองอำนาจวิเศษอันยิ่งใหญ่ หนึ่งนั้นคือ เอลาทอส อันเป็นตระกูลนักล่าที่เก่งกาจที่สุดในโลกมืด ถือครองอำนาจวิเศษแห่งความมืด อีกหนึ่งคือ นีโอเลียส อันเป็นตระกูลนักฆ่าที่เก่งกาจที่สุ.ี่สุดในโลกมืด ถือครองอำนาจวิเศษแห่งแสงสว่าง ด้วยความที่อยู่มานานและมีอิทธิพลมากที่สุดจึงได้รับฉายาว่า ?จักรพรรดิแห่งรัตติกาล? ปกครองโลกมืดมาตลอด ซึ่งตระกูลนี้ล่มสลายลงด้วยสงครามต่อต้านเมื่อสิบแปดปีก่อน?
เอรีอาพยายามอย่างยิ่งที่จะดึงร่างของตัวเองออกจากอ้อมแขนของชายสวมหน้ากาก ทว่าอ้อมแขนแกร่งนั้นกลับยิ่งกระชับกอดให้แน่นขึ้นไปอีกเท่าตัว ไม่ว่าอย่างไรเธอก็เป็นเพียงสตรีร่างเล็กคนหนึ่งย่อมไม่อาจสู้แรงชายได้อยู่แล้ว ที่สามารถกระแทกร่างสูงตรงหน้าออกไปได้ในตอนประลองนั้น ก็เพราะมีอำนาจวิเศษช่วยโดยแท้
?แต่ที่คนโลกเบื้องหน้าไม่รู้จักสกุลตระกูลของเจ้า เพราะตลอดช่วงเวลาหลายร้อยปีที่ผ่านมาพวกเจ้าใช้นาม ?จักรพรรดิแห่งรัตติกาล? ในการติดต่องานมาโดยตลอด ไม่ว่าจะออกไปพบกับใครเมื่อใดก็ใช้ฉายานี้ต่างชื่อเสมอ ทว่ามันไม่ใช่กับข้าคนนี้...ในช่วงที่เติบโตมานั่นข้าถูกสอนในเรื่องการศึกและการปกครองมาโดยตลอด มีโอกาสได้ศึกษาเรื่องราวของนักฆ่าอย่างพวกเจ้ามาบ้าง ไม่คิดเลยว่า หลังจากการล่มสลายของตระกูลนีโอเลียส ข้าจะได้พบกับนักฆ่าจากตระกูลอันยืนยงแห่งนั้นตัวเป็นๆ แบบนี้?
มาร์คพูดต่อด้วยเสียงแข็งกร้าวขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย หวังเพียงข่มขวัญอีกฝ่ายหยุดการดิ้นให้พ้นจากเงื้อมมือของเขา เพราะในเวลานี้หยาดเลือดเริ่มอาบโทรมไปทั้งแขนของเอรีอาแล้ว ซึ่งเขาสามารถสัมผัสได้มันเป็นอย่างดีเสียด้วย ดังนั้นเขาจึงส่งสายตาเป็นคำสั่งให้เธอหยุดนิ่งเสีย และมันก็เป็นผลเมื่อเอรีอาตัวชาชะงักไปเพราะสายตานั้น
?และในตอนที่ประลองกับเจ้านั้นก็ได้เห็นรัศมีอำนาจโดยตลอด ทั้งตอนที่เคลื่อนกายด้วยความเร็วสูงและอัดกระแทกข้าไปชนกับแผงกันอัฒจันทร์ มันเป็นรัศมีสีขาวที่มีเพียงตระกูลนักฆ่านีโอเลียสเท่านั้นที่มี?
ได้ยินแล้วเอรีอาก็แย้มยิ้มออกมาในทันใด รอยยิ้มแห่งความดื้อรั้นยังมิยอมรับในความจริงที่อีกฝ่ายเอ่ยปากออกมา
?พูดเสียอย่างกับเคยเห็นมาก่อนอย่างนั้นแหละ? เธอว่า
หญิงสาวลดมือข้างหนึ่งลงข้างตัวเรียกอำนาจสีขาวสว่างออกมาเตรียมพร้อม แม้ใจไม่อยากรีบฆ่าใครในตอนนี้ แต่คงจะต้องฆ่าบุรุษสวมหน้ากากคนนี้เสียที่นี่ เพราะความลับของตระกูลเธอถูกเปิดเผยเสียแล้ว
?ใช่...ข้าเคยเห็น? มาร์คตอบพร้อมกระชากมือเปื้อนอำนาจของเธอขึ้นมา ?ไม่ต้องรีบร้อนฆ่าข้าหรอก ข้ารู้ดีว่าเป้าหมายของเจ้าเป็นใคร และข้ายังไม่คิดเอาเรื่องของเจ้าไปบอกให้ใครรู้ด้วย ใจเย็นๆ อดใจรออีกสักนิดเถอะ เอรีอา นีโอเลียส?
แล้วมาร์คก็ปล่อยมือไปจากร่างบางหันหลังเดินจากไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งเอรีอายกมือเปื้อนอำนาจของตัวเองขึ้นหมายปลิดชีพของบุรุษคนนั้นลงเสีย ทว่าวาจาในประโยคช่วงท้ายของการสนทนากลับดังก้องไปมาภายในหัว นั้นทำให้เธอเหวี่ยงหมัดเคลือบอำนาจนั้นกระแทกไปยังกำแพงทางตันเบื้องหลัง ด้วยแรงอัดจากมนตราอันรุนแรงทำให้กำแพงนั้นพังทลายลงเปิดเส้นทางโล่งแต่มืดสลัวให้เห็น
?ชิ! ไม่ได้อยากให้เจ้ามาสอนหรอกนะ!?
นานทีเดียวที่เอรีอายืนอยู่ตรงนั้นเพื่อระงับความโกรธที่เกิดขึ้น เพราะทุกคำพูดของมาร์คเสียดแทงใจของเธออย่างหนัก ไม่เคยมีใครมองเรื่องตัวตนที่จริงและตระกูลของเธอได้เฉียบขาดเท่าชายคนนี้มาก่อน จะพูดให้ถูกคือ ทุกคำพูดของเขาอันเกี่ยวข้องกันตระกูลของเธอนั้นล้วนแล้วแต่เป็นความจริงทั้งสิ้นเลยต่างหาก มันช่างน่าโมโหที่มีคนรู้เรื่องของตระกูลแล้วลงมือฆ่าไม่ได้แบบนี้
เวลาที่ผ่านเลยไปทำให้เลือดที่เคยหยดซึมออกมาจากบาดแผลก็แห้งกรังติดมือ ส่วนเลือดที่เปื้อนตามเสื้อผ้าเองก็แห้งจนติดตามตัวเหมือนกันกาว หญิงสาวขยับดึงมันไปมาด้วยความรำคาญใจเล็กน้อย ก่อนจะเริ่มออกเดินกลับไปยังลานประลองอีกครั้ง เพื่อรอประลองในรอบต่อไปโดยไม่สนใจทำแผลที่ฝ่ามือเลยสักนิด
ในช่วงเวลานี้เองที่เอรีอาเริ่มคิดทบทวนว่า ทำไมบุรุษสวมหน้ากากคนนั้นจึงรู้สถานะที่แท้จริงของตระกูลเธอได้ เพราะตามปกติแล้วการติดต่องานต่างๆ มักจะผ่านคนกลางเสมอ ซึ่งคนกลางก็ล้วนแล้วแต่เอ่ยปากถึงตระกูลของเธอด้วยชื่อ ?จักรพรรดิแห่งรัตติกาล? ทุกรุ่น หามีรุ่นใดเอ่ยนามตระกูลอันแท้จริงออกไปไม่
แล้วไฉนจึงมีคนรู้สกุลตระกูลที่ถูกลืมเลือนไปนานแล้วของเธอได้เล่า...
...ข้าถูกสอนในเรื่องการศึกและการปกครองมาโดยตลอด...
คำพูดนี้หวนกลับมาดังขึ้นในสามัญสำนึกของเอรีอาอีกครั้ง นั่นช่วยจำกัดกรอบความคิดของเธอให้แคบลงมาอีกมากโข เพราะมีเพียงนักศึกษาระดับราชบัณฑิตขึ้นไปที่จะได้ศึกษาวิชาการปกครอง และมีเพียงราชบัณฑิตฝ่ายทหารและชนชั้นสูงเท่านั้นที่จะได้เรียนการศึก นั่นหมายความว่า มาร์คคนนั้นจะต้องเป็นราชบัณฑิตหรือชนชั้นสูงเป็นแน่แท้
แต่คำตอบที่ว่า เคยเห็นลักษณะมนตราของเธอมาก่อนนั้น ทำให้เอรีอานึกสงสัยว่าคนที่เขาเห็นนั้นเป็นใคร เพราะตลอดช่วงสิบปีที่ผ่านมานั่นงานส่วนใหญ่ของตระกูลเธอ มักเป็นงานจากนอกอาณาจักรเสียมากกว่า แล้วชายคนนั้นมาจากภายนอกอาณาจักรอย่างนั้นหรือ...
เป็นไปไม่ได้...เพราะเธอตรวจสอบที่มาของนักสู้ทั้งหมดแล้วว่าเป็นคนในอาณาจักร แม้แต่มาร์คคนนั้นเองก็มาจากเมืองกาโรธเช่นกัน
อีกครั้งที่ความคิดของเอรีอาหยุดชะงักลง ร่างกายของเธอถึงกับแข็งชาเมื่อนึกถึงความสำคัญของเมืองกาโรธขึ้นมาได้ ครั้นเมื่อลองเอามันมารวมกับข้อมูลที่เริ่มประมวลผลได้แล้ว คำถามก็เกิดขึ้นในใจของเธอทันที มันจะเป็นเรื่องขนาดนั้นเลยหรือที่มาร์คมาจากเมืองกาโรธ มันจะเป็นข้อมูลเท็จที่เขาลงเอาไว้หรือเปล่า มันจะมีสิ่งใดในโลกนี้ที่บังเอิญกันมากถึงขนาดนั้นเชียวหรือ...
ร่างบางกลับเข้ามาถึงลานประลองอีกครั้ง ซึ่งผู้ชมกำลังส่งเสียงโห่ร้องกันด้วยความสนุกสนาน ในขณะที่นักสู้ทั้งหมดไปยืนรวมตัวกันอยู่ที่กลางสนาม และเพียงทันทีที่ผู้ชมคนหนึ่งเห็นเธอเขาก็ถึงกับร้องลั่นทันที
?นั่นเอรีอานี่ เอรีอา...เอรีอา...เอรีอา!!?
แล้วเสียงตะโกนชื่อของดังกระหึ่มไปทั่วทั้งสนาม ยังความประหลาดใจให้แก่เอรีอาเล็กน้อย เธอมองหน้าชายหนุ่มที่เรียกชื่อเธอคนแรกสักครู่ ก่อนจะเคลื่อนกลับเข้าไปรวมกลุ่มกับนักสู่คนอื่นๆ ซึ่งกำลังยืนเหมือนรอการประกาศอะไรบางอย่างกันอยู่ และไม่ว่าจะรู้ตัวหรือไม่แต่นักสู้ทั้งหมดกำลังมองเธอด้วยสายตาเป็นกังขากันทั้งสิ้นทั้งปวง
ไม่นานนักโฆษกหนุ่มคนเดิมก็ปรากฏตัวบนแท่นยกสูงจากพื้นที่ตั้งอยู่ด้านหน้าสุดของกลุ่มนักสู้ เขาคำนับแสดงการทักทายให้แก่ผู้ชมทุกทิศอย่างนอบน้อม ทำให้เสียงตะโกนเรียกนามของเอรีอาเงียบลง เพื่อฟังการประกาศจากโฆษกหนุ่มต่อไป ซึ่งเขาดึงเอาม้วนกระดาษม้วนหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อกางออกแล้วอ่านให้ทุกคนได้ฟัง
?หนังสือคำสั่งประจำวันที่ห้า เดือนสี่ ปีโอเทสศก ท่านชาย มิคาเอล บราฮิวโนส โคนาส มีบัญชาให้ยุติการประลองคัดเลือกองครักษ์ ด้วยท่านชายได้คัดเลือกองครักษ์ใหม่ทั้งสามลำดับเป็นที่เรียบร้อยแล้ว อนึ่งในการประลองในรอบสุดท้าย ท่านชายได้ดูนิสัยแลความสามารถของนักสู้ทั้งหมดอย่างถ้วนถี่แล้ว จึงได้มีคำสั่งให้ยุติการประลองลงแต่เพียงเท่านี้ และผู้ได้รับคัดเลือกเข้าเป็นองครักษ์ใหม่นั้นได้แก่ เฟคตัส ซัลโทส ราราสแห่งโทมินาส และเอรีอา นิโอเลียส ให้ทั้งสามย้ายเข้าสู่พระราชวังเพื่อรับการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการในคืนนี้?
สิ้นเสียงโฆษกที่บรรจงอ่านหนังสือคำสั่งของท่านชายมิคาเอลอย่างถ้วนถี่ เสียงโห่ร้องของปวงประชาที่เข้าชมก็ดังขึ้นอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ดูจะเป็นการโห่ด้วยความไม่พอใจที่การประลองชะงักลงเสียมากกว่า ซึ่งบรรดานักสู้ที่ไม่ได้รับประกาศชื่อต่างก็มอง ผู้ได้รับคัดเลือกทั้งสามคนด้วยความไม่พอใจ ด้วยพวกเขาไม่เคยเตรียมใจรับมาก่อนเลยว่า การประลองจะยุติลงเพียงเท่านี้
?บ้าชะมัด ทำไมต้องหยุดลงด้วยนะ ทั้งที่รอบหน้าจะได้เจอกับยายนั่นแท้ๆ?
คำพูดนี้ทำให้เอรีอาเลื่อนสายตาไปมองชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของทันที ซึ่งดวงของเธอในตอนที่มองไปนั้นแฝงเอาไว้ด้วยแววแห่งความอาฆาตทำให้เขาถึงกับสะดุ้งเลยทีเดียว ชายหนุ่มถอยกรูดจนสะดุดขาล้มตึงราวกับได้พบอสูรกายตัวร้ายก็ไม่ปาน
ทว่าตอนนั้นเองที่โฆษกหนุ่มสังเกตเห็นเอรีอาในหมู่นักสู้ เขาจึงรีบถลันตัวลงมาจากแท่นยกพื้นเข้าไปหาเธออย่างพินอบพิเทา ดูท่าเขาจะยังไม่ลืมภาพความร้ายกาจของเธอในตอนประลองกับมาร์ค
?เอ่อ...แม่นางเอรีอา นีโอเลียสสินะ ข้าน้อย ?จิโนเรียส? เป็นข้าหลวงคนสนิทของท่านชายมิคาเอลจะทำหน้าที่รับรองท่านตราบจนกว่าจะเข้าพิธีแต่งตั้งขอรับ? เขาบอก
?เหรอ...? เอรีอาแสดงความรับรู้พลางมองเขาอย่างพิจารณา ?ไปรับรองอีกสองคนเถอะ ไม่จำเป็นต้องดูแลข้าหรอก?
?มิได้ขอรับ ผู้รับคัดเลือกท่านอื่นมีผู้รับรองอยู่แล้วขอรับ? จิโนเรียสบอก
เขาผายมือให้ดูนักสู้อีกสองคนที่เดินออกจากสนามไปพร้อมกับผู้รับรองจากพระราชวังอีกสองคน
?ข้าน้อยเป็นคนรับรองของท่านตามคำสั่งของท่านชาย หากหลีกเลี่ยงหน้าที่ไปแล้วเกรงกว่าอาญาจะติดตามมาลงทัณฑ์เอาได้? จิโนเรียสอธิบายฐานะของตัวเอง ?ถือว่าเห็นแก่ชีวิตหนึ่งเดียวที่มีค่าเพียงน้อยนิดนี้ด้วยเถิด ให้ข้าน้อยได้รับรองท่านตราบจนกว่าจะจบสิ้นการแต่งตั้งในคืนนี้ด้วย?
เอรีอามองการคำนับน้อมร้องขอของจิโนเรียสตรงหน้าแล้วก็ให้ถอนใจ มันช่างน่าเบื่อหน่ายที่เมื่อออกมาจากที่ดินนีโอเลียสแล้วเจอกับเรื่องแบบนี้ แต่เมื่อเธอกวาดสายตาที่เมียงมองด้วยความอิจฉาแล้วความรู้สึกระอายิ่งกว่าก็ปรากฏขึ้น ไม่ว่าเมื่อไหร่มนุษย์ก็ชื่นชอบการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นจนน่าเอือมระอา แต่ถ้าให้เลือกต้องอยู่กลางหมู่นักสู้ขี้อิจฉาพวกนี้แล้ว...
?เจ้าชื่อ...จิโนเรียสสินะ? เอรีอาเอ่ยพลางเชยคางให้อีกฝ่ายยืนตัวตรงขึ้น
ชายหนุ่มถึงกับหน้าแดงน้อยๆ เมื่อถูกหญิงสาวปฏิบัติอย่างใกล้ชิดทั้งที่พบกันครั้งแรก แต่เอรีอากลับยังคงใบหน้าไร้ความรู้สึกของตัวเองได้อย่างสนิทแนบแน่น
?ข้า...ยินดีรับความหวังดีของเจ้า...ก็แล้วกันนะ?
?ขอรับ เช่นนั้นเชิญนำกลับที่โรงเตี๋ยมที่พักเลยขอรับ ข้าจะช่วยขนของกลับเองขอรับ? จิโนเรียสอาสาเสียงใสแล้ววิ่งตามเอรีอาไปอย่างรวดเร็ว
ทว่าในการยุติการประลองกลางคันและถูกคันเลือกให้เป็นหนึ่งในองครักษ์ใหม่ของท่านชายมิคาเอล บราฮิวโนส โคนาสครั้งนี้ ช่างเหนือความคาดหมายจริงๆ มันเป็นเพราะเทพเจ้าไม่ทอดทิ้งเจตนารมณ์ของเอรีอาอย่างนั้นหรือ
...หรือเป็นเพราะความจงใจของใครบางคนกันหนอ
????????????????????
น้องโฮเรงงยังไงเหรอคะ ถามได้นะคะ
จันทรากัสมา/กาฬจันทรา
[..นิยาย..] Kill & Hunt ล่ารัก...สังหารหัวใจ [บทที่ 2]
Moderator: Gals, B.Comics, พี่บี
-
- โพสต์: 608
- ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 15 มิ.ย. 2007 8:54 pm
- ที่อยู่: ดารารัตน์นาม สุสานไหร้อยปี