[..นิยาย..] Kill & Hunt ล่ารัก...สังหารหัวใจ [บทที่ 1]

ถ้าเพื่อนๆ มีเรื่องที่น่าสนใจและต้องการแบ่งปันเนื้อหา หรือร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการเป็นนักเขียนมืออาชีพ

Moderator: Gals, B.Comics, พี่บี

ตอบกลับโพส
จันทรากัสมา
โพสต์: 608
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 15 มิ.ย. 2007 8:54 pm
ที่อยู่: ดารารัตน์นาม สุสานไหร้อยปี

[..นิยาย..] Kill & Hunt ล่ารัก...สังหารหัวใจ [บทที่ 1]

โพสต์ โดย จันทรากัสมา »

บทที่ 1
คำจ้างวานของการเริ่มต้น


ในยุคสมัยที่สหราชอาณาจักรโอเดเทลยังเป็นเพียงอาณาจักรทางภาคกลางนั้น มีผู้คนหลากหลายกลุ่มเข้ามาพำนักอาศัยอยู่กันอย่างสงบ ร้างไร้เรื่องร้ายอันจะกลายเป็นสงครามใหญ่กลางเมือง ซึ่งโดยไม่รู้ตัวนั้นอาณาจักรถูกแบ่งออกเป็นสองด้านอย่างเงียบๆ ด้วยคนกลุ่มหนึ่งที่เรียกตัวเองว่า...

นักฆ่า...สิ่งมีชีวิตสายพันธุ์มนุษย์ที่จัดว่ามีความเลือดเย็นมากที่สุดในโลก มนุษย์ผู้อยู่ในความดำมืดของสังคมยังชีพด้วยการฆ่าคนเป็นหลัก ผู้คนมากมายที่กระหายการฆ่าฟันต่างก็มุ่งตรงมาเป็นนักฆ่าในโลกมืด เพื่อสนองตัณหาแห่งการทำลายล้างอั.ัวเอง ทว่าในบรรดานักฆ่าที่โลดแล่นไปในโลกมืดด้วยตัวคนเดียวนั้น กลับมีตระกูลหนึ่งที่ดำรงตนอยู่ในม่านรัตติกาลแห่งความตายนี้มานานนับพันปี

ตระกูลที่ทำหน้าที่ขับเคลื่อนโลกเบื้องหลังอย่างลับๆ

ตระกูลที่ไล่ล่าทุกคนตามใบสั่งด้วยพลังอำนาจพิเศษของตนอย่างเลือดเย็น

ตระกูลที่ได้รับฉายาจากคนทั้งโลกมืดว่า ?จักรพรรดิแห่งรัตติกาล?

ด้วยเหตุว่าในยุคสมัยหนึ่งตระกูลนักฆ่านี้ลงมือฆ่าผู้คนแบบไม่เลือกหน้า และไม่สนใจว่าจะมีใบสั่งหรือไม่ มองเพียงมนุษย์เป็นผักปลาที่จะลิขิตเช่นใดก็ได้ จึงเกิดทำให้ผู้คนอันเป็นญาติมิตรสหายของคนตายออกมาร่วมมือกันต่อต้านตระกูลนี้อย่างสุดกำลัง

สงครามระหว่างมนุษย์ธรรมดากับนักฆ่าผู้มีอำนาจวิเศษมีทีท่าว่าคนธรรมดาจะพ่ายแพ้ จนกระทั่งตระกูลนักล่าตระกูลหนึ่งซึ่งดำรงตนเป็นศัตรูกับตระกูลนักฆ่ามาตลอดปรากฏตัวขึ้น นักล่าตระกูลนี้เองก็มีอำนาจวิเศษเช่นเดียวกันตระกูลนักฆ่า พวกเขาเข้ามาแทรกแซงสงครามระหว่างมนุษย์ธรรมดากับนักฆ่ามีพลังวิเศษ ทำให้สถานการณ์พลิกผันจากดำเป็นขาวในทันที

ตระกูลนักฆ่าที่ลือนามมากที่สุดต้องสิ้นชื่อลงอย่างน่าเวทนา

แต่ในศึกสุดท้ายซึ่งเจ้าตระกูลนักฆ่าออกมาท้าทายเจ้าตระกูลนักล่าสู้ตัวต่อตัว ชายผู้ทำให้ฉายา ?จักรพรรดิแห่งรัตติกาล? รุ่งโรจน์จนถึงขีดสุดได้สำแดงอำนาจแห่งแสงสว่างอันรุนแรงออกมาปะทะกับอำนาจมืดของอีกฝ่าย ผลจากการปะทะนั้นสร้างความเสียหายใหญ่หลวงให้แก่โลกไม่น้อย แผ่นดินต้องสั่นสะเทือนเกิดรอยแยกในหลายสถานที่ กระแสน้ำในมหาสมุทรแปรเปลี่ยนทิศทางไปอย่างที่ไม่เคยเป็น ฤดูกาลต่างๆ ถึงคราวเลื่อนเปลี่ยนแปลงไปอย่างไม่น่าเชื่อ

และทันทีที่เจ้าตระกูลนักฆ่าสิ้นชีพลง...สงครามก็จบสิ้น

โลกทั้งใบบอบช้ำจากการต่อสู้ในครั้งนั้น ผู้คนต่างเดือดร้อนไปทุกหย่อมหญ้าและต้องใช้เวลานานหลายปีกว่าจะยุติลง

ทว่ากลับไม่มีใครรู้เลยว่า ในการท้าทายอันเป็นจุดเริ่มต้นแห่งผลร้ายนั้น จักรพรรดิแห่งรัตติกาลได้เดิมพันสิ่งหนึ่งเอาไว้ นั่นคือ การส่งคนให้นำพาบุตรฝาแฝดหลบหนีออกไปจากสมรภูมิ โดยคนหนึ่งถูกสะกดอำนาจให้ไปเติบโตกับมนุษย์ธรรมดารอเวลากลับมามีอำนาจใหม่ในตระกูลอีกครั้ง ขณะที่อีกคนก็ถูกเลือกให้สืบทอดอำนาจแสงสว่างอันเป็นสัญลักษณ์ของเจ้าตระกูลนักฆ่า แล้วเติบโตสืบทอดตระกูลต่อไปอย่างลับๆ

สิบแปดปีให้หลังจากการโค่นล้มอำนาจตระกูลนักฆ่าอันยืนยงที่สุด อาณาจักรอันเป็นที่อาศัยของตระกูลนักฆ่านี้นั้นก็ประสบปัญหาใหญ่ เมื่อมีการก่อกบฏเกิดขึ้นเป็นเหตุให้องค์กษัตริย์แลเชื้อพระวงศ์เกือบทั้งหมดถูกสำเร็จโทษจนสิ้น

ถึงแม้ว่าครั้งปีหลังจากนั้นกองทัพกู้ชาติภายใต้การนำของเจ้าชายโฮเรีย เจ้าชายฮานน์ พระราชอนุชาของอดีตกษัตริย์ และท่านชายมิคาเอล บราฮิวโนส โคนาส พระราชนัดดาของอดีตกษัตริย์จะเข้าช่วงชิงบ้านเมืองคืนมา ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วเจ้าชายโฮเรียจะต้องได้ครองราชย์บัลลังก์ตามฐานันดรพระราชวงศ์ลำดับสูงสุด

ทว่าเจ้าชายฮานน์กลับอ้างสิทธิว่า พระองค์ทรงเป็นพระราชโอรสในสมเด็จพระพันปีลำดับที่หนึ่ง สมควรได้ครองพระราชบัลลังก์มากกว่าสมเด็จพระเชษฐาผู้ประสูติกาลในสมเด็จพระพันปีลำดับที่สอง ยังผลให้สภาอภิมนตรีต้องเชิญท่านชายมิคาเอล บราฮิวโนส โคนาสขึ้นเป็นผู้รักษาเมือง ตราบจนว่าสภาจะหาข้อยุติว่าผู้ใดสมควรเป็นสมเด็จพระรามาธิบดีแห่งอาณาจักรโอเดเทลแห่งนี้

ตลอดช่วงเวลาที่โลกเบื้องหน้าเกิดความระส่ำระสายนั้น โลกเบื้องหลังก็เกือบจะต้องหยุดชะงักเพราะผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของอาณาจักรที่เข้าสู่ยุคมืด ทว่าในที่ดินอันรกร้างกว้างใหญ่ซึ่งเคยเป็นสมรภูมิทางมนตราอันดุเดือดของสองตระกูล ซากไหม้สีดำทมิฬปรากฏกว้างไกลสุดลูกหูลูกตาดุจถึงเส้นขอบฟ้ามีร่างหนึ่งยืนอยู่เงียบๆ

ร่างนั้นเป็นหญิงสาวใบหน้าสวยงามดังนางสวรรค์ ผิวพรรณของเธอขาวเนียนดังหิมะแรกฤดู เอวองค์ในอาภรณ์เยี่ยงบุรุษนั้นสะโอดสะองชวนให้นึกฝัน แต่ดวงตาสีแดงโลหิตของเธอกลับให้ความรู้สึกกดดันจนหนักอึ้ง

เธอเอื้อมมือขวาซึ่งตรงข้อมือที่โผล่พ้นจากเสื้อแขนยาวนั้นมีรอยสีขาวบางอย่างสลักเอาไว้หยิบเศษเถ้าดินสีดำนั้นขึ้นมา ดวงตาที่เบิกมองเศษนั้นช่างยากแก่การหยั่งถึง และเมื่อสายลมพัดพรายเธอก็ปล่อยให้พวกมันลอยไปอย่างไม่ใยดีเสียเท่าใดนัก

?ท่านนายิกา(หัวหน้าหญิง)ขอรับ?

บุรุษร่างสูงคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นเบื้องหลังเธอผู้เป็นเจ้าของดวงตาสีแดง เขาน้อมศีรษะแสดงความเคารพให้จนต่ำ

?อะไรหรือ? หญิงสาวถาม

?คาลรีฟ...ผู้ทำหน้าที่เป็นคนกลางมาขอพบขอรับ? เขารายงาน

?งั้นรึ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้ล่ะ?

แล้วหญิงสาวกับบุรุษผู้ทำหน้าที่มาตามตัวนั้นก็หายออกไปจากบริเวณรกร้างแห่งนั้นในทันที

.....................................

ปราสาทนีโอเลส...ปราสาทหินขนาดใหญ่ที่มีลักษณะคล้ายกับป้อมปราการที่ใช้ในการศึก มีหอสังเกตการณ์มากถึงหกหอตั้งบนกำแพงสูงตระหง่านที่ล้อมรอบตัวปราสาทเอาไว้ ซึ่งตัวกำแพงเองก็เป็นกำแพงขนาดใหญ่สามารถยืนม้าบนนั้นได้ถึงหกตัวเป็นแถวตอนลึก มันสร้างจากหินแกรนดินและดินจำนวนมหาศาลเป็นปราการด้านแรกที่ต้องทำลาย หากปรารถนาจะเข้าไปในปราสาทหลังนี้

นอกจากหอสังเกตการณ์ทั้งหกหอและกำแพงหนาสูงใหญ่แล้ว บานประตูทางเข้าออกทั้งสี่ทิศยังสร้างด้วยไม้ซีดาร์อันแข็งแรงนับร้อยต้น แทรกภายในด้วยแผ่นเหล็กหนากว่าสี่นิ้วหนักมากกว่าสิบตัน มันเป็นประตูที่หนาหนักและแข็งแรง ตัวขื่อซึ่งใช้ลั่นดาลภายในเองก็ยังมีแท่งเหล็กสอดแทรกในท่อนซีดาอีกด้วย ดังนั้นเมื่อมันถูกลงดาลปิดตายแล้วก็เป็นการยากที่จะเกิดออก ทว่าร่างบางที่ปรากฏขึ้นหน้าประตูมหึมานั้นกลับเปิดมันออกได้ด้วยมนตรา

ร่างสูงเคลื่อนไปตามทางมุ่งหน้าสู่ตัวปราสาทซึ่งแบ่งแยกออกไปสามชั้น ชั้นนอกเป็นแถวอาคารเล็กๆ ตั้งรายล้อมสี่ทิศขั้นระหว่างกำแพงปราสาทด้วยลานกว้างประมาณสิบเมตร แต่เมื่อผ่านชั้นแรกเข้าไปด้านในก็จะได้พบกับลานกว้างขนาดใหญ่ ซึ่งสมัยก่อนนั้นใช้เป็นลานฝึกซ้อมของสมาชิกในตระกูลซึ่งมีมากกว่าห้าร้อยคน แต่บัดนี้เมื่อจำนวนสมาชิกเหลือเพียงน้อยนิดลานนี้ก็ถูกปล่อยให้รกร้าง

ผ่านจากลานกว้างเข้ามาถึงปราสาทชั้นกลางอันเป็นหมู่เล็กๆ ตั้งประจำทั้งสี่ทิศ เชื่อมด้วยทางเดินที่ทอดยาวและซุ้มหลังคาแสนสวยมุ่งด้วยกระเบื้องสีทองเขียนลายมังกรสีขาวทอดตัวบรรจบครบรอบ หญิงสาวเดินผ่านหมู่ตึกทางทิศใต้เข้าไปสู่ปราสาทใหญ่ด้านในอย่างรวดเร็ว โดยมีชายหนุ่มติดตามอยู่เบื้องหลังไม่ห่างกายเลยทีเดียว

เมื่อมาถึงปราสาทใหญ่อันเป็นส่วนในสุดตั้งเป็นศูนย์กลางปราสาท มันเป็นอาคารหลังเดียวสูงใหญ่สร้างจากหินแกรนนิคทั้งหลังให้ความรู้สึกเข้มแข็งไม่โอนอ่อน ทว่าภายในนั้นกลับตกแต่งทุกสัดส่วนด้วยไม้ซีดาร์ชั้นเยี่ยมที่สุด ตั้งแต่พื้นไปจนถึงเครื่องเรือนนานาชนิด...กระทั่งกรอบหน้าต่างและกรอบประตูก็ยังเป็นไม้ซีดาร์จากผืนป่าที่ปราสาทหลังนี้ตั้งอยู่

หญิงสาวเคลื่อนกายขึ้นมาตามบันไดอย่างคล่องแคล้ว ทั้งๆ ที่เธอน่าจะเหนื่อยเพราะต้องเดินจากประตูทิศใต้ขึ้นไปบนชั้นสอง อันเป็นที่ตั้งของห้องประชุมใหญ่ใช้ในการติดต่องาน แต่ใบหน้าของเธอกลับนิ่งสนิทคล้ายไม่ประสบกับความเหนื่อยอ่อนใดๆ เลย ไม่ช้าเธอก็เดินมาถึงห้องหนึ่งซึ่งมีคนยืนเฝ้าอยู่ด้านหน้าถึงสองคน โดยคนที่อยู่ใกล้บานจับที่สุดเปิดประตูให้ทันทีที่นายหญิงมาถึง

?สวัสดี นายิกาที่รักยิ่ง?

เสียงนุ่มเอ่ยขึ้นทันทีที่หญิงสาวผมดำก้าวเข้าไปในห้องกว้างรายล้อมด้วยชั้นหนังสือ ด้านในสุดเป็นเตาผิงขนาดใหญ่ตั้งอยู่ เหนือขึ้นไปประดับด้วยภาพวาดชายและหญิงยืนเคียงคู่ ตรงกลางห้องนั้นตั้งไว้ด้วยโต๊ะไม้ซีดาร์ขนาดใหญ่ใช้ในการประชุม ซึ่งมีคนนั่งล้อมอยู่เต็มโต๊ะและตรงหัวโต๊ะใกล้กับประตูนั้นมีชายผมแดงคนหนึ่งยืนอยู่ เป็นเขาที่เอ่ยปากทักทาย

?สวัสดี ไม่ได้พบกันเสียนานนะ คาลรีฟ คราวนี้เอางานแบบไหนมาให้เราล่ะ? นายิกาสาวกล่าวแล้วไปนั่งที่หัวโต๊ะ

?งานใหญ่ที่ข้าคิดว่าท่านจะสนใจ งานฆ่าท่านชายมิคาเอล บราฮิวโนส โคนาส?

สิ้นเสียงของชายชื่อ ?คาลรีฟ? ทั้งโต๊ะก็ส่งเสียงฮือฮาขึ้นในทันที ต่างจากหญิงสาวที่ยังนั่งนิ่งอยู่ไม่เปลี่ยนแปลง

?ใครว่าจ้างมา? เธอถามต่อไป

?เพราะเขาไม่ได้มาด้วยตัวเองจะบอกว่าไร้นามผู้ว่าจ้างก็ได้? คาลรีฟหยักไหล่ ?แต่คนของเขาเรียกเจ้านายตัวเองว่า ?ศิกาล? น่ะนะ?

?แล้วเป้าประสงค์การฆ่าล่ะ? เธอถามคำถามที่สาม

?ข้าไม่ทราบ...แต่การลอบสังหารท่านชายคนนี้ดำเนินมาได้เกือบเดือนแล้วนี่? คาลรีฟพูดสบายๆ แต่ดูไร้ความรับผิดชอบ

ทว่ามันเป็นเรื่องจริงเพราะการลอบสังหารท่านชายผู้รักษาเมืองดำเนินมาได้เกือบหนึ่งเดือนแล้ว ซึ่งมีกลุ่มนักฆ่ามากมายจากโลกมืดได้รับการว่าจ้างเป็นเงินมหาศาล เพียงเพื่อปลิดชีพท่านชายผู้ทำเพื่อประชาชนคนนั้น หากเป็นเมื่อสี่ปีก่อนเธอคงรับฟังเรื่องนี้อย่างไร้อารมณ์และคิดว่าเป็นเรื่องหนึ่งที่จะผ่านพ้นไป ไม่ว่าจะมีงานนี้เข้ามาหรือไม่ก็หาอยู่ในความสนใจของเธอไม่

แต่หลังจากที่เริ่มออกตามหาความจริงในเรื่องบางอย่างตั้งแต่เมื่อสี่ปีก่อน ข่าวของราชสำนักอาณาจักรโอเดเทลก็กลายเป็นเรื่องที่เธอต้องสนใจ ซึ่งเมื่อครั้งที่เกิดการกบฏชิงเมืองและกอบกู้เมืองที่เกิดขึ้นเมื่อราวหนึ่งปีก่อน เธอก็เดินทางไปดูการรบในครั้งนั้นด้วยตัวเองเพราะเหตุผลหนึ่ง

เหตุผลซึ่งไม่มีใครเคยรู้แม้จะเป็นคนในตระกูล พวกเขารู้แต่เพียงว่านายหญิงของตนนั้นให้ความสนใจในราชสำนักมากขึ้น เหมือนกับมีมนต์มาสะกดมาดึงดูดของเธอให้เข้าใกล้

ดวงตาสีแดงของหญิงสาวหลับพริ้มลง เมื่อความทรงจำล้วนรำลึกไปถึงชายหนุ่มผู้เป็นเหยื่อในครั้งนี้ เพราะคราที่ไปดูสงครามกลางเมืองด้วยตัวเองนั้น เธอได้มีโอกาสเห็นผู้นำกองทัพกอบกู้ชาติทั้งสามคนด้วย เจ้าชายโฮเรีย ผู้มีเส้นผมสีน้ำตาลทองดังใบไม้ในฤดูใบไม้ร่วง เจ้าชายฮานน์ ผู้มีเส้นผมสีแดงดังเพลิงร้อนที่แผดเผาป่า และท่านชายมิคาเอล ผู้มีเส้นผมสีทองคำดังแสงตะวันในยามเที่ยงวัน

ใบหน้าอันหล่อเหลาของท่านชายหนุ่มคนนั้นยังคงตราตรึงในความทรงจำของหญิงสาว นัยน์เนตรสีดำขลับเข้มคมนั้นแข็งกร้าวดังนัยน์ตาของเสือร้าย ในตอนที่ดวงตานั้นเลื่อนผ่านมาทางเธอนั้นแม้จะไม่ได้ตั้งใจและไม่เห็นตัว แต่มันกลับทำให้ร่างทั้งร่างของเธอชาไปด้วยความรู้สึกร้อนผ่าวที่ไม่เคยเจอ ซึ่งมันยังรู้สึกมาจนบัดนี้ในยามที่นึกถึงท่านชายผู้นั้น

โดยไม่รู้ตัวนั้นเธอได้สร้างโซ่พันธนาการหัวใจเอาไว้เสียแล้ว...

?นี่เป็นเอกสารรวบรวมเกี่ยวกับการฆ่าของนักฆ่ากลุ่มอื่น ท่านคงต้องการเอาไว้ใช้ในการหาวิธีเข้าไปสังหารท่านชายคนนั้นที่แนบเนียนกว่านี้? คาลรีฟเอ่ยทำให้ดวงตาของนายิกาสาวเบิกขึ้น

?ขอบใจ?

เธอรับเอกสารนั้นมาเปิดอ่านไปสักครู่ ก่อนจะวางลงบนโต๊ะแล้วมองหน้าชายหนุ่มผมแดงฝั่งตรงข้าม ดวงตาของเธอฉายแววคาดคั้นออกมาอย่างเด่นชัด ซึ่งถ้าหากคาลรีฟมองเห็นมันเขาก็คงเป็นคนหนึ่งที่เก็บอารมณ์ได้อย่างยอดเยี่ยม

?แต่ข้าอยากจะถามอะไรเจ้าหน่อย เจ้าเป็นคนกลางของนักฆ่าถึงสี่กลุ่มทำไมถึงเลือกเอางานนี้มาให้ข้าล่ะ?

คำถามที่สี่นั่นช่างตรงตัวขนาดที่คาลรีฟผู้แสนอารมณ์ดีก็ยังต้องลูบคอด้วยความเสียวสันหลัง

?ก็ข้าเลือกได้ไม่ใช่เหรอว่า งานไหนน่าจะเหมาะกับกลุ่มไหนน่ะ? เขาตอบอย่างมีเหตุผล ?และข้าคิดว่า ตระกูลของท่านเหมาะสมที่สุดที่จะรับงานนี้ เพราะกลุ่มอื่นๆ เขาทำพลาดไปหมดแล้วนี่นา แต่ท่านมีประวัติทางการฆ่าอันยอดเยี่ยมเสียด้วย?

คนกลางหนุ่มต้องสะดุ้งเมื่อดวงตาของหญิงสาวหรี่ลงอย่างคาดคั้น แววตานั้นบอกได้อย่างดีว่ามิใคร่ชอบใจในคำตอบของเขา คนทั้งโต๊ะเริ่มกลืนน้ำลายอย่างลำบากเมื่อได้เห็นนายหญิงไม่พอใจ

?อ่ะ...เอ่อ...คือ...ข้าเห็นว่าท่านกำลังสนใจเรื่องของราชสำนักก็เลยเอางานนี้มาให้น่ะ ท่านไม่พอใจหรือที่ข้าเอางานที่ท่านน่าจะรอคอยมากที่สุดมาให้?

?ค่าตอบแทนเท่าไหร่...? คำถามที่ห้าถูกเอ่ยนิ่งๆ

?สะ...สองแสนเยนีทองคำ...เงินค่านายหน้าต่างหาก? คาลรีฟตอบเสียงสั่น

คนทั้งห้องเริ่มสั่นเทาเมื่อร่างบางเรืองอำนาจสีขาวออกมาบางๆ ขณะบรรยากาศตกอยู่ในสภาพกดดันอย่างแจ่มชัด

?ค่าตอบแทนที่แพงมากเลยทีเดียว? นายิกาสาวบอก

ดวงตาสีแดงฉานมองเอกสารรายงานการลอบสังหารท่านชายที่ไม่สำเร็จผลตรงหน้า ก่อนไฟจะลุกพรึบขึ้นแผดเผามันให้มอดไหม้จนพื้นโต๊ะที่ลงยาขัดอย่างดีเริ่มเปลี่ยนเป็นสีดำ กระนั้นก็ไม่มีใครหาญกล้าเข้ามาดับไฟนั้นด้วยเพราะมันเกิดขึ้นอำนาจของนายสาว

?เจ้าก็น่าจะรู้ว่า ข้าไม่ใช่นักฆ่าที่เรียกค่าตอบแทนในทันที และค่าตอบแทนเหล่านั้นก็ไม่ตายตัวเสียด้วย ลืมแล้วหรือว่า ข้าคือ นักฆ่าที่เอาแต่ใจที่สุดในโลกมืดแห่งนี้?

?ขะ...ข้ารู้...แต่นี่คือ ความปรารถนาของท่านมิใช่หรือ นายิกาแห่งนีโอเลียส? คาลรีฟตอบกลับพร้อมสูดลมหายใจลึกเพื่อเรียกความมั่นใจ ?ความปรารถนาที่จะเข้าไปในราชสำนักแห่งนั้น หากท่านคิดว่าข้า ?คาลรีฟ? ผู้เป็นคนกลางของตระกูลท่านมานานถึงสิบปีโง่เง่า ไม่สังเกตถึงความต้องการของนักฆ่าที่จัดหางานให้แล้ว ท่านก็คงคิดผิด เวลาทำให้ข้าเรียนรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับท่านผู้เป็นนักฆ่ามือหนึ่ง?

?ข้าขอบใจที่ท่านรู้ใจของข้าคนนี้ และขอบใจที่นำงานนี้มาให้? หญิงสาวบอกพลางหยิบเหยือกน้ำมาเทราดลงบนเอกสารที่ลุกไหม้ทำให้ไฟมอดดับลง ?ในเมื่อท่านพูดแบบนั้นก็ย่อมหมายความว่า ท่านจะไม่ขัดขวางการทำงานของข้าใช่หรือไม่?

?ไม่แน่นอน ข้าเป็นคนกลางเคยยุ่งกับงานของท่านมาก่อนรึ? คาลรีฟสวนกลับด้วยคำถามทำให้ร่างบางแย้มยิ้ม

?ดี เมื่อได้ยินแบบนี้ข้าก็วางใจ? เธอกล่าวด้วยรอยยิ้มหวาน

?ท่านนายิกา...เอ่อ...ข้าอยากทบทวนให้ท่านคิดเกี่ยวกับงานนี้ให้ดีกว่านี้ก่อนนะขอรับ? หนึ่งในสมาชิกในตระกูลเอ่ยขึ้น

?เดซาล เจ้าอยากให้ข้าคิดแบบไหนอย่างนั้นหรือ? นายิกาถามกลับนิ่งๆ

?เอ่อ...ตระกูลของเราหลีกเลี่ยงการใกล้ชิดกับราชสำนักมาตลอด อีกทั้งยังปฏิเสธงานทุกชิ้นที่เกี่ยวข้องกับราชสำนักด้วย เพราะงานพวกนี้มักสร้างผลเสียให้แก่เราอย่างมหาศาลนะครับ? ชายชื่อ ?เดซาล? ตอบเสียงสั่นเล็กน้อย ?อีกทั้งตระกูลของเราเองก็ล่มสลายมานานถึงสิบแปดปี การจะกลับไปโลดแล่นในโลกทั้งมืดทั้งสว่างยังต้องเป็นความลับต่อไปนะขอรับ?

?เพราะสงครามเมื่อสิบแปดปีก่อน...ซึ่งสองอำนาจ...สว่างและมืดมาเผชิญหน้ากัน ทำให้โลกทั้งใบต้องแปรปรวนไปเป็นหลายปีกว่าจะกลับคืนสู่สภาพปกติ ซึ่งเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบนั้นขึ้นอีก เราจึงปิดผนึกตัวเองอยู่แบบนี้เรื่อยมา?

เสียงหวานกล่าววาจาทั้งหมดนั้นอย่างแช่มช้า ดวงตาของผู้เป็นเจ้าตระกูลนีโอเลียสหลับพริ้มลงนึกถึงอดีตอันแสนขมขืน ซึ่งเธอต้องยืนดูสมาชิกตระกูลนักฆ่าหลายต่อหลายคนตายจากไป เพียงเพื่อใช้พลังทั้งหมดร่ายเวทกำบังตาปกป้องผืนป่าซีดาร์อันเป็นที่ตั้งปราสาทนีโอเลส และสมรภูมิรบในสงครามเมื่อสิบแปดปีก่อนแห่งนี้ เพื่อป้องกันมิให้ใครคนใดเข้ามาตามหาล่าหัวนักฆ่าแห่งนีโอเลียสที่เหลืออยู่

มันช่างแสนเศร้าที่ผู้คนในตระกูลต้องตายจากไปทีละคน เพียงเพื่อปิดผนึกตัวเองจากโลกแล้วอยู่อย่างเจ็บแค้น

?ทว่า...พวกเราอยู่กันด้วยความโกรธแค้นมิใช่หรือ แล้วไฉนจึงยังคิดว่าการปิดหนึกตัวเองในยามนี้เป็นเรื่องดีอีกเล่า มันเป็นโอกาสอันดีแล้วมิใช่รึที่จะลอบเข้าไปสืบหาความจริงเกี่ยวกับความแค้นของเรา เพราะราชสำนักแห่งนั้นเป็นสถานที่ที่เราไม่เคยเข้าไปสำรวจหาความจริงมาก่อนมิใช่หรือ?

?มันก็ใช่...แต่มันอันตรายเกินไปสำหรับท่านนายิกานะขอรับ? เดซาลตบโต๊ะแล้วยืนขึ้นด้วยความเจ็บปวด

ทว่าเขาก็ต้องชะงักเมื่อได้เห็นร่างบางยิ้มให้อย่างอ่อนหวาน ซึ่งเขาไม่เคยพบเห็นก่อนยิ้มนี้มาก่อนในชีวิต

?ไม่มีสิ่งใดอันตรายสำหรับข้าคนนี้อีกต่อไปแล้วล่ะ? เธอพูดด้วยเสียงนุ่ม ?นับแต่วันที่ข้าอายุได้สิบสองแล้วเริ่มฆ่าคนเป็นครั้งแรกในชีวิต...ก็หามีสิ่งใดที่ข้าจะต้องหวั่นเกรงอีกต่อไป ท่านทั้งหลายข้าปรารถนาจะพบกับคำตอบสุดท้ายของความแค้นของเรา ท่านยินดีจะให้ข้ารับงานนี้หรือไม่?

คนทั้งโต๊ะหันมองหน้าของกันและกันคล้ายต้องการจะปรึกษา ทว่าพวกเขาก็เพียงมองตากันด้วยความเป็นทุกข์กับการตัดสินใจของนายหญิง ด้วยเพราะเธอสตรีคนเดียวของตระกูลและยังเป็นผู้นำอีกด้วย เป็นคนเดียวที่สามารถปลอบโยนพวกให้สงบใจจากความแค้นทั้งหลายได้ นับเป็นผู้นำตระกูลคนหนึ่งที่พวกเขาไม่ปรารถนาจะให้เป็นอันตราย และพยายามถนอมกล่อมเกลี้ยงให้อยู่แต่ในปราสาทมาตลอด

ทว่าสิ่งที่แสดงออกในตอนนี้กลับบอกพวกเขาได้เห็นอย่างดีว่า นายหญิงน้อยมีความโกรธแค้นเป็นเพลิงแผดเผาอยู่ในอก และมันเป็นเรื่องยากเสียยิ่งกว่าการฆ่านางราชสีห์หวงลูกในการจะทำให้ไฟนั้นดับมอดลง แม้ใบหน้าของเธอจะนิ่งดังไร้อารมณ์ใดในเบื้องลึก แต่เธอก็มีความแค้นเป็นอาภรณ์คล้องใจเอาไว้ ซึ่งเธอยินดีที่จะก้าวเดินไปในเส้นทางอันแสนอันตราย เพียงเพื่อให้ได้ชำระความแค้น

ทุกใบหน้าสั่นส่ายไปมาด้วยความสิ้นหวัง ก่อนพวกเขาจะหันมองร่างบางที่บัดนี้ลูบไล้ปลายนิ้วบนรอยสักสีขาวที่ข้อมือ และเป็นเดซาลที่เอ่ยปากพูดแทนทุกคน

?ตามแต่ใจของท่านเถิด เพราะถึงจะออกปากห้ามท่านก็คงจะไปให้ได้อยู่ดี?

รอยยิ้มเหยียดบนเรียวปากงามได้รูปนั้นอีกครั้ง

?ขอบคุณ? เธอกล่าว

?เฮ้อ...ยินดีรับงานสินะ เอานี่ไปสิ?

คาลรีฟร่อนกระดาษอีกแผ่นผ่านโต๊ะมาลงตรงหน้าของนายิกาสาว เธอหยิบมันขึ้นมาอ่านพิจารณาอย่างถ้วนถี่แล้วพบว่า มันเป็นใบประกาศเชิญชวนผู้กล้าเข้าประลองยุทธ์ เพื่อรับคัดเลือกเป็นองครักษ์ใหม่ของท่านชายมิคาเอล บราฮิวโนส โคนาสผู้นั้น

?มันเป็นการแฝงตัวเข้าไปที่ดีนะ ว่ามั้ย? คาลรีฟถามด้วยความมั่นใจ

?อืม เป็นเรื่องที่น่าสนใจมากเลยทีเดียว? นายิกาสาวบอกด้วยรอยยิ้มอันน่าขนลุก ?ข้าจะเรียกค่าตอบแทนจากนายจ้างในภายหลัง ระหว่างนั้นคาลรีฟ...?

?ข้ารู้หน้าที่ของข้าดี ท่านนายิกา?

คาลรีฟเลื่อนสายตามองตามร่างบางที่ลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วเดินออกไปจากห้องอย่างงามสง่า แม้จะรัศมีคอยกดดันให้รู้สึกหนักอึ้งและหวาดกลัวอยู่ตลอดเวลา แต่ความงามสง่าของสตรีนางนี้ก็ยากแก้การจะละสายตาจากไปได้ ความสวยและงามของเธอนั้นช่างดูสูงศักดิ์เกินกว่าจะเป็นนักฆ่า สมแล้วที่เป็นสตรีผู้สืบทอดฉายา ?จักรพรรดิแห่งรัตติกาล?

ทว่าก่อนร่างบางจะก้าวออกไปจากห้องนั้น ชายหนุ่มผมแดงก็รั้งเธอเอาไว้ด้วยประโยคนี้

?ข้าหวังกับการทำงานของท่านนะ ท่านจักรพรรดินีเอรีอา นีโอเลียส?

ไม่ว่าหญิงสาวจะรู้สึกอันใดกับวาจาประโยคนี้ แต่เธอก็หาได้ห้วนย้อนกลับมาตอบโต้คำพูดนั้นไม่ เธอเพียงก้าวเดินออกไปจากห้องนั้นอย่างเงียบๆ...แล้วหายตัวลับไปในทางเดินแห่งนั้น



????????????????????

บทที่ 1 มาแล้วค่ะ ขอบคุณที่ตามอ่าน
จันทรากัสมา

ภาพประจำตัวสมาชิก
Horae
โพสต์: 5
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ 18 มิ.ย. 2007 12:41 pm
ที่อยู่: โหลแก้วที่มีน้ำปริ่ม
ติดต่อ:

โพสต์ โดย Horae »

รู้มั้ยคะว่า...มันกระตุ้นชวนให้อ่านต่อมากมาย - -+

(แต่แอบมีงงๆอยู่บ้างในช่วงอธิบายตอนแรกๆเรื่องตระกูลน่ะค่ะ จะพยายามทำความเข้าใจนะคะ ตามประสาปลาทอง T T)

มาต่อไวๆนะคะ พี่จันทรา
ดวงดาว กระจ้อย กระจอก
ใครบอก โดดเด่น เพียงไหน
หาญสู้ จันทรา หรือไร
ผู้ใด จะหมาย เพียงดาว

ตอบกลับโพส

ย้อนกลับไปยัง “ก้าวแรก(สู่นักเขียนมืออาชีพ)”